หมู่ไฮดรอกซิล
(Hydroxyl
group หรือ
-OH)
ที่จะคุยกันในที่นี้คือหมู่ที่อะตอม
O
นั้นสร้างพันธะโควาเลนซ์กับอะตอมไฮโดรเจน
๑ อะตอม และสร้างพันธะโควาเลนซ์กับอะตอมอื่นอีก
๑ อะตอมที่ไม่ใช่ H
ตรงนี้หลายรายไปจำสับสนกับไฮดรอกไซด์ไอออน
(Hydroxide
ion หรือ
OH-)
ซึ่งเป็นกรณีที่ไอออน
OH-
นั้นสร้างพันธะไอออนิกกับไอออนบวกตัวอื่น
ไฮดรอกไซด์ไอออนนั้นเป็นเบส
(ไม่ว่าไอออนบวกนั้นจะเป็นไอออนอะไร)
แต่หมู่ไฮดรอกซิลนั้นเป็นได้ทั้งกรดและเบส
ขึ้นอยู่กับว่าอะตอม O
นั้นไปสร้างพันธะอีกพันธะหนึ่งเข้ากับหมู่อะไร
หมู่ -OH
แสดงฤทธิ์เป็นกรดได้ด้วยการจ่าย
H+
ออกมา
และแสดงฤทธิ์เป็นเบสลิวอิสได้ด้วยการใช้อิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว
(lone
pair electron) ของอะตอม
O
นั้นรับ
H+
ซึ่งมักตามมาด้วยการหลุดของหมู่
-OH
ออกมาในรูปของ
H3O+
ดังรูปที่
๑ ข้างล่าง
รูปที่
๑ การแสดงฤทธิ์เป็นกรดและเบสของหมู่ไฮดรอกซิล
เรื่องความเป็นเบสของหมู่ไฮดรอกซิลนั้นขอเก็บเอาไว้ก่อน
ใน Memoir
ฉบับนี้จะคุยกันเพียงแค่ความเป็นกรด
โดยธรรมชาติของอะตอมที่มีประจุนั้น
มันจะดึงดูดประจุที่ตรงข้ามกันเข้าหากัน
ความสามารถในการดึงประจุที่ตรงข้ามกันนั้นขึ้นอยู่กับความหนาแน่นประจุ
ความหนาแน่นประจุดูได้จากปริมาณประจุต่อขนาดอะตอมหรือกลุ่มอะตอมที่มีประจุนั้น
ถ้าอะตอมนั้นมีความหนาแน่นประจุสูง
มันก็จะแรงในการดึงประจุตรงข้ามที่สูง
เพื่อสะเทินประจุของตัวมันเอง
ประจุที่ตรงข้ามกันนั้นอาจอยู่ในรูปของไอออนที่มีประจุตรงข้าม
หรือตำแหน่งของโมเลกุลที่มีขั้ว
ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดก็คือกรณีของกรด
HX
ที่ความแรงของกรดเรียงตามลำดับ
HF < HCl < HBr < HI แม้ว่าทั้ง
F-
Cl- Br- และ
I-
ต่างเป็นไอออนที่มีประจุ
-1
เหมือนกัน
แต่ไอออน F-
มีขนาดเล็กสุดจึงมีความหนาแน่นประจุมากที่สุด
(หรือจะมองว่าอิเล็กตรอนที่เกินมา
1
ตัว
มันหาตัวเพื่อสร้างพันธะได้ไม่ยากก็ได้)
จึงสามารถดึงเอา
H+
กลับเข้าหามันได้ง่ายกว่าตัวอื่น
(ในสภาวะที่ใช้น้ำเป็นตัวทำละลาย
HF
จึงเป็นกรดอ่อน)
ส่วนไอออน
I-
มีขนาดใหญ่สุด
ประจุลบจึงแผ่กระจายออกไปมากกว่า
(หรือจะมองว่าไอออนบวกที่จะเข้ามาสร้างพันธะกับอิเล็กตรอนที่เกินมา
1
ตัวจะสร้างได้ยากกว่าเพราะหาอิเล็กตรอนตัวนั้นได้ยากกว่า
เนื่องจากมันมีพื้นที่ให้เคลื่อนที่ที่กว้างกว่า)
HI จึงเป็นกรดที่แก่ที่สุดในกลุ่มนี้
ในกรณีของไอออนที่ประกอบขึ้นจากอะตอมหลายอะตอม
ยังมีอีกวิธีการหนึ่งที่สามารถลดความหนาแน่นประจุได้นั่นก็คือการเกิดทำให้ประจุนั้นเคลื่อนที่ไปยังอะตอมอื่นที่อยู่เคียงข้าง
(จะเรียกว่าเกิด
delocalization
หรือ
resonance
ก็ตามแต่)
ในทางเคมีอินทรีย์ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดของกรณีนี้ก็คือ
pi
electron ของวงแหวนเบนซีนหรือในกรณีของ
conjugated
double bond (โครงสร้างโมเลกุลที่มีพันธะ
C=C
สลับกับพันธะ
C-C)
ตำแหน่งพันธะคู่
C=C
นั้นมองได้ว่าเป็นเบสลิวอิสหรือเป็นบริเวณที่มีอิเล็กตรอนหนาแน่น
แต่พอเกิด delocalization
แล้วทำให้ความหนาแน่นของอิเล็กตรอน
ณ ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งลดลง
การดึงอิเล็กตรอนจากวงแหวนเบนซีนจึงยากกว่าการดึงจากพันธะ
C=C
ปรกติ
ที่เล่ามาข้างต้นเป็นพื้นฐานเพื่อการทำความเข้าใจว่าทำไมหมู่
-OH
จึงแสดงฤทธิ์เป็นกรดที่มีความแรงแตกต่างกันได้
ในกรณีของแอลกอฮอล์นั้น
หมู่ -OH
เกาะอยู่กับอะตอม
C
ของหมู่
R
โดยอะตอม
C
ตัวที่มีหมู่
-OH
เกาะอยู่ของหทู่
R
นี้สร้างพันธะที่เหลือเข้ากับอะตอม
C
ตัวอื่น
(ในรูปแบบของพันธะเดี่ยว
C-C
นะ
ไม่ใช่พันธะคู่ C=C)
หรืออะตอม
H
และโครงสร้างส่วนที่เหลือของหมู่
R
เป็นหมู่ไฮโดรคาร์บอนอิ่มหรือไม่อิ่มตัว
ถ้าหมู่ไฮดรอกซิลของแอลกอฮอล์นี้จ่ายโปรตอนออกไป
ไอออนลบที่เกิดขึ้น
(ที่เรียกว่าอัลคอกไซด์ไอออนหรือ
alkoxide)
จะมีประจุลบค้างอยู่ที่ตำแหน่งอะตอม
O
เท่านั้น
เพราะอะตอม C
ของหมู่
R
ที่มีหมู่
-OH
เกาะอยู่นั้นไม่มีความสามารถในการดึงอิเล็กตรอนออกไปจากอะตอม
O
ทำให้ความหนาแน่นประจุที่ตำแหน่งอะตอม
O
สูงมาก
มันก็เลยไม่อยากปล่อยโปรตอนออกไป
ยกเว้นแต่ว่าจะมีเบสที่แรงจริง
ๆ เท่านั้นมาทำปฏิกิริยาด้วย
(เช่นโลหะ
Na)
ดังนั้นหมู่
-OH
ของแอลกอฮอล์จึงมีฤทธิ์เป็นกรดที่อ่อนมาก
ในกรณีของฟีนอลนั้น
หมู่ -OH
เกาะเข้าโดยตรงกับอะตอม
C
ของวงแหวนเบนซีน
เมื่อหมู่ -OH
จ่ายโปรตอนออกไป
อะตอม C
ที่มีหมู่
-OH
เกาะอยู่นั้นก็ไม่มีความสามารถในการดึงอิเล็กตรอนจากอะตอม
O
เช่นกัน
(เพราะ
C
มีค่าอิเล็กโทรเนกาติวิตี
(electronegativity)
ต่ำกว่า
O)
แต่อะตอม
C
ดังกล่าวมี
pi
electron ของพันธะไม่อิ่มตัว
สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คืออิเล็กตรอนที่ทำให้เกิดประจุลบที่อะตอม
O
จะเกิดการ
delocalization
กับ
pi
electron ของวงแหวนเบนซีน
(ดังรูปที่
๒ ข้างล่าง)
ทำให้ประจุลบมีการแผ่กระจายออกไปทั้งโมเลกุล
(หรือกล่าวได้ว่ามีความหนาแน่นประจุลดลง)
ฟีนอลจึงเป็นกรดที่แรงกว่าแอลกฮอล์
(เพราะ
phonoxide
ion มีเสถียรภาพมากกว่า)
รูปที่
๒ การเกิด charge
delocalization ของ
phenoxide
ion
ทีนี้ลองมาดูกรณีของกรดอินทรีย์
(carboxylic
acid) กันดูบ้าง
ในกรณีนี้อะตอม O
ของหมู่
-OH
เกาะกับอะตอม
C
ของหมู่คาร์บอนบิล
(carbonyl
-CO-) อะตอม
C
ของหมู่คาร์บอนิลตัวนี้มีอะตอม
O
เกาะด้วยพันธะคู่อยู่อีก
๑ อะตอม และอะตอม O
ตัวนี้เป็นตัวที่ดึงอิเล็กตรอนออกจากอะตอม
C
ทำให้อะตอม
C
มีความเป็นขั้วบวก
ดังนั้นเมื่อหมู่ -OH
จ่ายโปรตอนออกไปกลายเป็น
-O-
ประจุลบที่
-O-
จะถูกอะตอม
C
ของหมู่คาร์บอนิลดึงเข้าหาให้เคลื่อนที่ไปทางฝั่งนี้บ้าง
ทำให้ความหนาแน่นประจุลบของ
-O-
ลดลง
แต่ที่สำคัญคือโครงสร้าง
C=O
ของหมู่คาร์บอนนิลนั้นสามารถทำให้ประจุลบของ
-O-
เกิด
delocalization
ได้
และเป็นตัวหลักที่ทำให้ความหนาแน่นประจุลดลง
(เพราะแผ่ออกไปเป็นบริเวณที่กว้างขึ้น)
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้กรดอินทรีย์มีความเป็นกรดที่แรงกว่าแอลกอฮอล์และฟีนอล
รูปที่
๓ การเกิด delocalization
ของหมู่คาร์บอกซิล
แรงที่กระทำต่อไอออนที่อยู่บนพื้นผิวสารประกอบโลหะออกไซด์ที่เป็นของแข็งนั้นเป็นแรงที่ไม่สมมาตร
ทำให้ด้านที่หันเข้าหาเฟสแก๊ส/ของเหลวนั้นสามารถดึงดูดโมเลกุลที่มีขั้วให้มาเกาะอยู่บนพื้นผิว
(ที่เรียกว่าเกิดการดูดซับ)
และโมเลกุลมีขั้วที่มีอยู่ทั่วไปมากที่สุดเห็นจะได้แก่น้ำ
ถ้าไอออนบวกนั้นเป็นกรดลิวอิส
(Lewis
acid) ที่แรงมาก
มันจะดึงเอาส่วน OH-
ให้มาเกาะกับตัวมันและแยก
H+
ไปเกาะกับไอออน
O
ที่อยู่ข้างเคียงให้กลายเป็นหมู่
-OH
ที่มีคุณสมบัติเป็น
Brönsted
acid site ที่สามารถจ่าย
H+
ให้กับเบส
(ฟัง
ๆ ดูแล้วอาจจะงงหน่อย
แต่ว่ามันไม่ใช่ไฮดรอกไซด์ไอออนนะ)
และในสภาวะที่เหมาะสม
(เช่นที่อุณหภูมิสูง
มีไอน้ำ ฯลฯ)
พื้นผิวก็จะคายโมเลกุลน้ำออกมา
เปลี่ยนสภาพเป็น Lewis
acid ได้
รูปที่
๔ การเกิด Brönsted
และ
Lewis
acid site บนพื้นผิวซีโอไลต์ที่เกิดจากการดูดซับน้ำหรือคายน้ำ
หรือการแทนที่ Si4+
ด้วยไอออน
4+
ของโลหะตัวอื่น
(จากบทความเรื่อง
"Recent
progress in the development of solid catalysts for biomass conversion
into high value-added chemicals : Focus issue review", โดย
Michikazu
Hara, Kiyotaka Nakajima และ
Keigo
Kamata, Sci, Technol. Adv. Mater. 16 (2015) 22 pp.
รูปที่
๕ การเปลี่ยนจากBrönsted
มาเป็น
Lewis
acid site บนพื้นผิวซีโอไลต์อันเป็นผลจากไอน้ำและความร้อน
ทำให้ Al3+
หลุดออกจากโครงสร้าง
และตัว Al3+
ที่หลุดออกมาตัวนี้แหละที่เป็น
Lewis
acid site (จาก
http://what-when-how.com/nanoscience-and-nanotechnology/catalytic-properties-of-micro-and-mesoporous-nanomaterials-part-1-nanotechnology/)
รูปที่
๔ เป็นตัวอย่างกรณีของซีโอไลต์
(zeolite)
ที่ทำให้เกิดความไม่สมมาตรด้วยการแทรกไอออน
Al3+
เข้าไปในโครงสร้าง
SiO2
(ที่ประกอบด้วย
Si4+)
เจ้าตัว
Al3+
ที่ทำให้เกิดความไม่สมมาตรในโครงสร้าง
ดึงดูดโมเลกุลน้ำเข้ามา
ทำให้เกิดตำแหน่งที่เป็น
Brönsted
acid site บนพื้นผิว
แต่ถ้าให้ความร้อนที่สูงมากพอและมีไอน้ำร่วม
ไอออน Al3+
จะหลุดออกาจากโครงสร้างได้
และเจ้าตัว Al3+
ที่หลุดออกมาตัวนี้แหละที่เป็น
Lewis
acid site (รูปที่
๕)
รูปที่
๖ เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของหมู่
-OH
บนพื้นผิวโลหะออกไซด์
ที่แสดงฤทธิ์เป็น Brönsted
acid site (ไอออนบวกของโลหะดึงอิเล็กตรอนออกจากอะตอม
O
แบบเดียวกับที่หมู่คาร์บอนิล
-CO-
ทำนั่นแหละ)
แต่เป็นกรณีที่มีการใช้สารประกอบซับเฟต
(SO42-)
เข้าไปเสริมแรงของ
Lewis
acid site
รูปที่
๖ การเกิด Brönsted
และ
Lewis
acid site บนพื้นผิวสารประกอบโลหะออกไซด์
(ซ้าย)
พื้นผิวปรกติ
(ขวา)
ได้รับการเสริมด้วยซัลเฟต
(SO42-)
(จากบทความเรื่อง
"Nanoporous
catalysts for biomass conversion : Critial Review" โดย
Liang
Wang และ
Feng-Shou
Xiao, Green Chem, 2015, 17, pp 24-39)
อันที่จริงเรื่องความเป็นกรดของหมู่
-OH
บนพื้นผิวมันเป็นเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่ง
เอาไว้ผมมีความรู้เรื่องนี้ดีก่อนแล้วค่อยเล่าให้ฟังก็แล้วกัน
เพราะมันมีหลายแบบจำลองที่ขัด
ๆ กันอยู่
ว่าแต่ตรงจุดนี้อาจมีคนสงสัยว่าเริ่มต้นเรื่องนี้ด้วยเคมีอินทรีย์แล้วมาจบลงที่เคมีอนินทรีย์ได้อย่างไร
สาเหตุก็เป็นเพราะคิดว่ามีใครต่อใครหลายคนอาจต้องการความรู้พื้นฐานเรื่องความเป็นกรดของหมู่ไฮดรอกซิลเพื่อเอาไปใช้ในการสอบวิทยานิพนธ์ที่จะเกิดขึ้นเร็ว
ๆ นี้ ก็เลยเขียนเรื่องนี้เล่าสู่กันฟังเท่านั้นเอง
ส่วนภาพในหน้าถัดไปก็ไม่มีอะไร
เห็นมีคนเขาโพสบนหน้า
facebook
ของเขาเมื่อช่วงหัวค่ำวันวานที่ผ่านมา
(ตามเวลาประเทศไทย)
ก็เลยขอเอามาบันทึกไว้กันลืมเท่านั้นเอง
เพราะในความเป็นจริงผมเองก็ไม่ได้เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์หรือกรรมการสอบของพวกเขาเลย
เป็นเพียงแค่แวะไปกินกาแฟกับพวกเขาเท่านั้นเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น