เราอาจจำแนกประเภทวัตถุระเบิดแบบคร่าว
ๆ ได้เป็นสองประเภท
ประเภทแรกเป็นประเภทที่มีความว่องไวสูงต่อการกระตุ้น
(จะด้วยแรงกระแทกหรือความร้อนก็ตามแต่)
และประเภทที่สองคือประเภทที่ไม่ว่องไวต่อการกระตุ้น
(คือแม้ว่าจะโดนกระสุนปืนยิงใส่หรือจุดไฟเผา
ก็ยังไม่ระเบิด)
ถ้าเทียบกันโดยหน่วยน้ำหนักแล้ว
วัตถุระเบิดจะมีพลังงานสะสมในตัวต่ำกว่าเชื้อเพลิง
แต่การที่วัตถุระเบิดให้อำนาจทำลายล้างสูงกว่าก็เพราะมันมี
"อัตราการปลดปล่อยพลังงาน"
ที่สูงกว่าเชื้อเพลิงมาก
ทำให้เกิดเป็น shock
wave หรือคลื่นกระแทก
และการใช้ประโยชน์หนึ่งของคลื่นกระแทกนี้ก็คือการใช้คลื่นกระแทกที่เกิดจากวัตถุระเบิดความว่องไวสูงในการจุดระเบิดวัตถุระเบิดความว่องไวต่ำ
ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ง่ายคือกระสุนปืน
ตัวดินปืนที่เป็นแหล่งพลังงานหลักที่บรรจุอยู่ในปลอกกระสุนนั้นจะไม่ว่องไวต่อการระเบิด
(คือถ้าเอามาเผาไฟ
หรือโดนกระสุนปืนยิงใส่
ต้องไม่ระเบิด)
ในขณะที่ตัวแก๊ป
(ภาษาอังกฤษเรียก
primer)
ที่อยู่ที่ท้ายปลอกกระสุนนั้นจะเป็นสารเคมีที่ว่องไวต่อการแรงกระแทก
เมื่อเข็มแทงชนวนกระแทกลงไปบนตัวแก๊ป
(มันบรรจุอยู่ในภาชนะโลหะที่มีความอ่อนและบาง)
ตัวแก๊ปก็จะระเบิด
ส่งแก๊สร้อนพุ่งเข้าไปในปลอกกระสุนเข้าไปจุดดินปืนที่บรรจุอยู่ในปลอกกระสุนให้ระเบิด
แรงขับเคลื่อนของหัวกระสุนทั้งหมดจะมาจากดินปืน
แต่ใช่ว่าตัวแก๊ปเองก็ไม่มีแรงขับเคลื่อน
ในงานออกร้านบางงานที่มีร้านยิงปืนนั้น
ก็มีการใช้ลูกกระสุนที่มีแต่แก๊ป
ส่วนในปลอกกระสุนก็ใช้ไขเทียนหยอดเอาไว้แทน
ใช้ยิงเพื่อเอาเสียง
(เช่นการปล่อยตัวนักกีฬา)
หรือยิงเป้ากระดาษในระยะใกล้
ๆ ได้
รูปที่
๑ ปกหน้าหนังสือเรื่อง
"Railway
disasters : cause and effect" เขียนโดย
Stanley
Hall
การหาทางป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุรถไฟที่วิ่งอยู่บนรางเดียวกัน
(จะวิ่งตามกันหรือสวนทางกันก็ตามแต่)
วิ่งชนกันนั้นมีมานานแล้ว
มีการคิดค้นระบบอาณัติสัญญาณและอุปกรณ์ป้องกันอัตโนมัติต่าง
ๆ ขึ้นมาเพื่อให้ผู้ควบคุมขบวนรถรับรู้
"ด้วยการมองเห็นสัญญาณ"
ว่าเส้นทางข้างหน้ามีความปลอดภัยหรือไม่
แต่ในกรณีที่สภาพอากาศไม่เป็นใจ
เช่นมีหมอกหนาหรือหิมะตกหนัก
ที่ทำให้ทัศนวิสัยไม่ดี
จึงได้มีการคิดค้นการใช้สัญญาณเสียงเพื่อเตือนผู้ควบคุมขบวนรถว่าเส้นทางข้างหน้ามีปัญหา
ให้ใช้ความระมัดระวัง
และวิธีการที่ใช้คือการนำ
"Detonator"
ไปวางบนรางเพื่อให้รถไฟ
"วิ่งทับ"
รูปที่
๒ เนื้อหาหน้า ๒๘ และ ๒๙
จากหนังสือดังกล่าวที่มีการกล่าวถึงการวาง
detonator
บนราง
Detonator
เป็นวัตถุระเบิดขนาดเล็กที่จะเกิดการระเบิดและให้เสียงดังออกมาเพื่อเตือนผู้ควบคุมขบวนรถ
เสียงดังกล่าวต้องดังกว่าเสียงเครื่องยนต์และต้องดังพอที่ทำให้ให้ผู้ควบคุมขบวนรถไม่ว่าจะอยู่ทางหน้าสุดของหัวรถจักร
(เช่นในกรณีของหัวรถจักรดีเซลหรือไฟฟ้า)
หรืออยู่ทางด้านหลังของหัวรถจักร
(เช่นในกรณีของหัวรถจักรไอน้ำ)
ได้ยินเสียงดังกล่าว
การใช้ detonator
นี้ในหลายประเทศก็มีการยกเลิกการใช้งานอันเป็นผลจากพัฒนาการทางด้านการติดต่อสื่อสารทางวิทยุ
หรือด้วยการออกแบบโครงสร้างที่ปกป้องผู้ควบคุมขบวนรถจากเสียงการทำงานของเครื่องยนต์
แต่สำหรับบางงานก็ยังอาจจำเป็นอยู่
เช่นวางไว้สำหรับเตือนคนงานที่ทำงานอยู่บริเวณเส้นทางรถไฟเพื่อให้รู้ว่ากำลังมีขบวนรถไฟวิ่งเข้ามายังบริเวณสถานที่ทำงาน
รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถอ่านได้ที่
https://en.wikipedia.org/wiki/Detonator_(railway)
หรือจะลองดูวิดิโอใน
YouTube
ดูก็ได้
ด้วยการพิมพ์คำว่า Railway
detonators หรือ
Train
detonators ลงไป
รูปที่นำมาประกอบในวันนี้นำมาจากหนังสือที่พิมพ์ครั้งแรกในปีค.ศ.
๑๙๘๗
หรือเมื่อ ๓๐ ปีที่แล้ว
(ฉบับที่ผมมีเป็นฉบับที่พิมพ์ซ้ำในปีค.ศ.
๑๙๙๒)
ที่มีตัวอย่างแนวปฏิบัติในการใช้
detonator
ของระบบรถไฟอังกฤษ
รถไฟในยุคแรก ๆ
จะมีพนักงานประจำทั้งที่หัวขบวนและท้ายขบวน
รูปที่
๓ เนื้อหาตอนท้ายของหน้า
๒๘
ที่กล่าวถึงการป้องกันรถไฟที่หยุดนิ่งบนรางจากรถไฟขบวนอื่นที่อาจวิ่งตามมาในรางเดียวกัน
รูปที่
๔ ข้อความในหน้า ๒๙
ต่อเนื่องจากรูปที่ ๓
กล่าวถึงตำแหน่งการวาง
detonator
ในกรณีของประเทศอังกฤษนี้
เป็นระบบรถไฟรางคู่ที่วิ่งไปกลับคนละรางกัน
จึงทำการป้องกันเฉพาะรถไฟที่อาจวิ่งตามหลังมาในรางเดียวกันโดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีรถไฟวิ่งสวนทางมาในรางเดียวกัน
รูปที่
๕ ในกรอบสี่เหลี่ยมสีเหลืองคือ
detonator
ที่จะระเบิดและให้เสียงดังเมื่อรถไฟวิ่งทับ
จริงอยู่ที่ว่ารถไฟนั้นออกแบบมาเพื่อให้ล้อเหล็กวิ่งบนรางเหล็กที่เรียบ
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าถ้ามีอะไรแม้แต่เพียงชิ้นเล็กชิ้นน้อยวางอยู่บนราง
จะทำให้รถไฟตกรางได้ทันที
โดยความเห็นส่วนตัวแล้ว
อย่างน้อย ๆ สองสิ่งที่รถไฟต้องวิ่งผ่านไปได้
(อย่างต่ำก็ด้วยความเร็วใช้งาน)
โดยไม่เกิดปัญหาใด
ๆ เห็นจะได้แก่
ก้อนหินที่ใช้รองรางรถไฟที่เป็นสิ่งที่อยู่ที่ทางรถไฟอยู่แล้วและมีทั้งความแข็งที่มากกว่าและขนาดที่ใหญ่กว่าเหรียญกษาปณ์
และใครก็ตามที่เข้าไปถึงตัวรางได้สามารถหยิบเอามาวางบนรางได้
(หินรองรางรถไฟนี้ภาษาอังกฤษเรียก
ballast
หรือ
track
ballast )
อีกสิ่งหนึ่งคือกิ่งไม้ที่อาจฉีกขาดจากต้นไม้ข้างทางและปลิวตามแรงลมมาตกบนราง
(เราอาจป้องกันต้นไม้ไม่ให้โค่นขวางรางได้ด้วยการทำให้พื้นที่ด้านข้างของรางปราศจากไม้ยืนต้นเป็นระยะทางที่มากพอ
แต่การป้องกันไม่ให้กิ่งไม้ที่ฉีกขาดและปลิวตามลมพายุมาตกบนรางนั้นจะทำได้ยากกว่า
เพราะมันคาดเดาไม่ได้ว่าจะเกิดตรงไหม
เมื่อใด)
เพราะถ้าสองสิ่งง่าย
ๆ แค่นี้รถไฟยังไม่สามารถผ่านได้
รถไฟดังกล่าวก็คงไม่มีความปลอดภัยที่จะนำมาใช้ขนส่งผู้โดยสารหรือสินค้าบนเส้นทางที่อยู่ระดับพื้นดิน
เว้นแต่จะทำเป็นรถไฟใต้ดินหรือรถไฟลอยฟ้าตลอดทั้งเส้นทางที่ไม่เปิดช่องให้ใครเข้าถึงระบบรางได้
และต้องวางรางแบบที่ไม่ต้องใช้ก้อนหินรองด้วย
คือยึดเข้ากับพื้นคอนกรีตไปเลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น