"สางห่า
เป็นงูใหญ่ชนิดหนึ่ง นายหญิง
แต่มีตีนสี่ตีน บางขณะเดิน
บางขณะมันเลื้อย
ถ้าจะไปเร็วมันก็เลื้อยไป
พิษมันจะร้ายสักขนาดไหน
บุญคำก็ไม่รู้เหมือนกัน
แต่เขาเล่ากันว่าทางที่ตัวมันเลื้อยผ่านไป
กิ่งไม้ใบไม้สด ๆ
จะไหม้เกรียมเป็นทางราวกับถูกไฟเผาทีเดียว...
พรานใหญ่บอกนายหญิงไว้ตรงกับที่บุญคำว่านี้หรือเปล่า?"
ย่อหน้าข้างบนคือคำอธิบายตัว
"สางห่า"
ของพรานบุญคำให้กับ
ม.ร.ว.ดาริน
(หรือนายหญิง)
ในนิยายเรื่อง
"เพชรพระอุมา"
ของพนมเทียน
เล่มที่ ๑๔ ตอน อาถรรพณ์นิทรานคร
ในช่วงก่อนที่จะไปตามหาพรานกระเหรี่ยงที่ชื่อแงซาย
ในนิยายเรื่องนี้
ถ้าอ่านต่อไปจนถึงภาค ๒
ก็จะพบว่า "สางห่า"
ในเรื่องนี้จะหมายถึง
"พญานาค"
นั่นเอง
และถ้าอิงตามความเชื่อที่มีบันทึกอยู่ในนิยายเรื่องนี้
ก็แสดงว่าพญานาคนั้นมี "ขา"
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน
พ.ศ.
๒๕๔๒
พิมพ์ครั้งที่ ๑ พ.ศ.
๒๕๔๖
ให้คำจำกัดความของสางห่าแตกต่างออกไป
(รูปที่๑)
โดยหมายถึงจิ้งเหลนหางยาวชนิดหนึ่งที่พบได้ทั่วทุกภาคในประเทศไทย
และเนื่องจากการที่ตัวมันเรียวยาวมากเมื่อเทียบกับขนาดขา
ทำให้ถ้าไม่สังเกตให้ดีจะเข้าใจว่าเป็นงูได้
ส่วนในวรรณคดีไทยนั้น
ตัวที่มีรูปร่างคล้ายพญานาคและมีขา
๔ ขาคือตัว "เหรา"
(อ่าน
เห-รา
เป็นคำสองพยางค์)
ที่พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน
พ.ศ.
๒๕๔๒
ให้คำจำกัดความเอาไว้ดังแสดงในรูปที่
๒
รูปที่
๑ นิยามของคำว่า "สางห่า"
ในพจนานุกรม
ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.
๒๕๔๒
รูปที่
๓ ราวบันไดทางเข้าวิหารวัดโลกโมฬี
อ.เมือง
จ.เชียงใหม่
ดูเผิน ๆ อาจนึกว่ามีแต่พญานาค
แต่ถ้าสังเกตจะเห็นว่ามีตัวที่มีขาหน้านี้
(คือตัวเหรา)
ที่บางคนก็บอกว่ากำลัง
"กลืน"
พญานาคเข้าไป
แต่บางคนก็บอกว่ากำลัง
"คาย"
พญานาคออกมา
ส่วนที่ถูกต้องเป็นอย่างไรนั้นผมก็ไม่รู้เหมือนกัน
คงขึ้นอยู่กับแต่ละท้องถิ่น
รูปที่
๔ ตัวเดียวกับในรูปที่ ๓
ตัวนี้ก็มีขาหลังด้วย
ต้นสัปดาห์ที่แล้วมีโอกาสได้ไปประชุมที่เชียงใหม่
ช่วงเช้าวันกลับก่อนเดินทางไปยังสนามบินได้มีโอกาสแวะไปที่วัดโลกโมฬี
ได้เข้าไปเยี่ยมชมวิหารหลวง
เลยถือโอกาสถ่ายรูปราวบันไดพญานาคทางด้านหน้าวิหารหลวงมาฝากกัน
ราวบันไดนี้ดูเผิน ๆ
อาจนึกว่ามีแต่พญานาค
แต่ถ้าดูให้ดีจะเห็นว่าเฉพาะส่วนหัวของพญานาคเท่านั้นที่โผล่ออกมาจากปากของอีกตัวหนึ่งที่มี
๔ ขา ที่เห็นบางคนก็เรียกว่าตัว
"เหรา"
(อ่าน
เห-รา)
บางคนก็เรียกว่าตัว
"มกร"
(อ่าน
มะกะระ)
ส่วนที่ว่าทั้ง
"เหรา"
และ
"มกร"
เป็นตัวเดียวกันหรือต่างกันนั้นขอไม่ออกความเห็น
เพราะไม่มีความรู้ทางด้านนี้
รูปที่
๕ พญานาคที่บันไดทางขึ้นเทวลัย
คณะอักษรศาสตร์ ตัวนี้ไม่มีขา
ไหน
ๆ วันนี้ก็เริ่มต้นเรื่องด้วยข้อความจากนิยายเรื่องเพชรพระอุมา
ปิดท้ายเรื่องเล่าในวันนี้ก็ขอปิดด้วยข้อความจากนิยายเรื่องเพชรพระอุมาเช่นกัน
โดยเป็นเรื่องราวตอนที่พระเอกของเรื่องคือ
รพินทร์ ไพรวัลย์
ได้เผชิญหน้ากับตัวสางห่าเป็นครั้งแรกบนยอดเขา
"สองเท้าสั้น
ๆ แตกต่างไปจากลักษณะลำตัวที่ยาวเรียว
เกาะตะกายเข้ากับแผ่นหิน
ตำแหน่งที่รพินทร์และคริสนั่งคุยกันอยู่เมื่อครู่นี้
แล้วมันก็เหนี่ยวตัวขึ้นมาอย่างช้า
ๆ ผงกส่วนหัวบนเชิดร่าโดยมีเท้าสั้น
ๆ คู่หน้านั้นยันเอาไว้
สิ่งที่พุ่งแปลบปลาบออกมาจากปากยาวเป็นวา
มองเห็นเป็นสองแฉกชัดเจน
และบัดนี้มันกำลังตะแคงคอ
เอียงศีรษะที่มองดูคล้ายกึ่งงูกึ่งตะกวด
มองดูรพินทร์ ไพรวัลย์
ผู้กำลังกระแทกทรุดนั่งอยู่หลังโขดหินที่เขาถอยผละออกมาจากที่เดิม"
จากนิยายเรื่อง
"เพชรพระอุมา"
เล่มที่
๓๗ ตอน "นาคเทวี"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น