แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การเขียนวิทยานิพนธ์ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การเขียนวิทยานิพนธ์ แสดงบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2568

บทสนทนากับประธานการสอบวิทยานิพนธ์ MO Memoir : Friday 13 June 2568

อาจารย์ทำให้ผมมีเรื่องเขียนลง blog เลยครับ

เรื่องการเขียนวิทยานิพนธ์เนี่ยผมได้รับอิทธิพลมาจากประเทศอังกฤษที่ไปเรียนมาครับ

คือที่นั่นเล่มวิทยานิพนธ์ที่ส่งให้กรรมการอ่าน จะเข้าเล่มปกแข็งเดินตัวหนังสือสีทองเรียบร้อย ทำไว้อย่างน้อย ๔ เล่มคือสำหรับกรรมการสอบ ๒ ท่าน อาจารย์ที่ปรึกษา ๑ ท่าน และสำหรับส่งให้กับทางมหาวิทยาลัย

เรียกว่าสอบเสร็จก็ต้องสามารถส่งเข้าไปเก็บในห้องสมุดมหาวิทยาลัยได้เลย

ดังนั้นในการเขียน อาจารย์ที่ปรึกษาจึงย้ำความสำคัญว่า เขียนให้คนที่อ่านแล้วนั้นต้องไม่มีข้อสงสัยข้อซักถามในงานของเรา เพราะวิทยานิพนธ์คือสิ่งที่จะอยู่ในห้องสมุดตลอดไป คนที่มาอ่านทีหลังถ้าเขามีข้อสงสัยเขาไม่มีทางที่จะถามเราได้เพราะเขาไม่รู้ว่าเราอยู่ที่ไหน

ถ้ามีการพิมพ์ผิดหรือแก้ไขหน้าไหน ก็ต้องส่งเล่มนั้นไปให้ร้านที่เข้าเล่มทำการตัดหน้านั้นออกแล้วแทรกหน้าแก้ไขเข้าไป แต่มันจะทำใด้ถ้าหากมีการแก้เพียงแค่ไม่กี่หน้า (น่าจะไม่เกิน ๕ หน้าจาก ๒๐๐ หน้า) ถ้ามากกว่านั้นก็ต้องรื้อออกแล้วเข้าเล่มใหม่ (แน่นอนว่าค่าใช้จ่ายสูงตามไปด้วย)

ผมเองถือว่ารูปเล่มที่ส่งให้กรรมการอ่านนั้น บ่งบอกว่าอาจารย์ที่ปรึกษามีมาตรฐานการทำงานอย่างไร (เพราะนิสิตต้องได้รับความเห็นชอบจากอาจารย์ที่ปรึกษาก่อนจึงจะส่งเล่มให้กรรมการได้) และเห็นกรรมการคนอื่นเป็นอย่างไร

และมันก็ไม่ใช่หน้าที่ของกรรมการสอบที่จะต้องมาตรวจแก้ความไม่เรียบร้อยของวิทยานิพนธ์ให้กับนิสิตผู้สอบหรืออาจารย์ที่ปรึกษาของเขา ในส่วนของผมเองผมก็จะบอกกับนิสิตของตัวเองว่าต้องเขียนให้ได้แบบกรรมการอ่านแล้วต้องยอมรับในสิ่งที่เราเขียน ต้องไม่มีข้อสงสัยหรือการแก้ไขที่จุดใดในเล่ม ถือว่าเป็นการให้เกียรติกรรมการที่เขายอมเสียเวลามาอ่านงานของเราเพื่อเป็นกรรมการสอบเรา

เวลาอ่านแล้วเจอสิ่งที่ผิดหรือบกพร่องตรงไหน คือสามารถทำให้ดูดีดูเรียบร้อยกว่าเดิมได้ ก็จะทำเครื่องหมายไว้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่านิสิตที่รับเล่มผ่านการตรวจแก้ไปแล้ว ก็ทำการแก้ไขเฉพาะที่กรรมการท่านนั้นทำเครื่องหมายเอาไว้ก็พอ แต่ต้องกลับไปตรวจสอบเองใหม่หมดทั้งเล่มว่ายังมีที่อื่นที่หลุดรอดไปอีกหรือเปล่า ก็ขนาดตัวเองทำยังหลุดรอดมาได้ แล้วจะไปหวังว่าคนอื่นที่มาอ่านบ้างจะอ่านได้ละเอียดแบบไม่มีการหลุดรอดเลยได้ยังไง

ในการอ่านวิทยานิพนธ์นั้นผมแยกเป็นส่วน ๆ ดังนี้ครับ

ส่วนแรกคือการจัดรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นตัวอักษรและขนาด รูปแบบรูปภาพและตาราง (ความกว้างของแต่ละคอลัมน์ต้องเหมาะสมกับข้อความในคอลัมน์นั้น) ความคงเส้นคงว่าในการเขียนและใช้ภาษา (เช่น หัวข้อระดับเดียวกัน ต้องมีการย่อหน้าในระยะที่เท่ากัน การอ้างอิงรูปภาพจะใช้คำย่อ (Fig) หรือคำเต็ม (Figure) ก็ต้องใช้ให้เหมือนกัน ฯลฯ) รูปแบบการเขียนเอกสารอ้างอิง ลักษณะของภาษาที่ใช้เขียน เป็นต้น

ส่วนที่สองคือเนื้อหาที่ไม่เกี่ยวกับงานที่เขาทำ คือพวกบทนำและการทบทวนวรรณกรรม คือต้องแสดงให้เห็นว่ามันเกี่ยวโยงเข้ามาหาในสิ่งที่เขาทำได้อย่างไร ไม่ใช่ใส่ ๆ เข้ามาสักแต่ว่าเพื่อให้เล่มมันหนา ในกรณีของานที่มีความใหม่จริง ๆ นั้นก็ต้องแสดงให้เห็นได้ว่างานนี้ยังไม่มีใครเคยทำ และสิ่งที่จะทำนั้นทำไปเพื่ออะไร ในกรณีของงานที่เคยมีคนทำในลักษณะทำนองเดียวกันหรือคล้ายคลึงกันมามากแล้ว ก็ต้องแสดงให้เห็นว่าทำไมมันยังมีช่อว่างให้ทำอีก และการเติมเต็มช่องว่างนั้นจะให้ประโยชน์อย่างไร

สองส่วนแรกนี้บ่งให้เห็นถึงความรู้ของผู้วิจัยในงานที่ตัวเองกำลังจะทำและงานที่เคยมีคนอื่นทำไว้ก่อนหน้า ถ้าชี้ประเด็นตรงจุดนี้ไม่ได้มันก็เหมือนกับการท่องจำสิ่งที่อาจารย์ที่ปรึกษาบอก เพื่อไปพูดให้กรรมการฟัง โดยที่คนพูดเองก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่ตัวเองพูดออกมา

ส่วนที่สามคือวิธีการทำทดลอง ซึ่งส่วนนี้ผมถือว่าสำคัญสุด เพราะถ้าวิธีการทำการทดลองมันน่าสงสัยหรือมันไม่ถูกต้อง ผลการทดลองที่ได้นั้นก็ไม่มีค่าควรแก่การนำมาพิจารณาใด ๆ

ส่วนที่สีคือผลการทดลองและการวิเคราะห์ ส่วนนี้มีค่าแก่การพิจารณาแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับส่วนที่สาม (วิธีการทดลอง) ส่วนมากที่เจอมาคือส่วนที่สามนั้นเขียนไม่ละเอียด หรือบางสิ่งที่ไม่ได้เขียนนั้นเป็นเพราะมันเป็นเทคนิคที่ใช้กันทั่วไป เป็นที่รู้จักกัน แต่วิธีการใช้ที่ "ถูกต้อง" นั้นกลับไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างไร ความผิดพลาดตรงนี้มันไปโผล่ที่ผลการทดลองที่ทำให้การวิเคราะห์ (ถ้าทำโดยละเอียดแบบไม่เข้างตนเอง) นั้นมีปัญหา ตัวอย่างเช่นการดุลมวลสารไม่ได้ ผลดุลมวลสารผิด เป็นต้น

เรื่องรูปแบบและเนื้อหาการเขียนนั้น กรรมการแต่ละคนก็มีความชอบที่แตกต่างกัน บางเรื่องกรรมการบางคนเห็นว่ามันควรจำเป็นต้องใส่ แต่กรรมการคนอื่นเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่คนในวงการเขารู้กันอยู่แล้ว ไม่ควรใส่มันให้เล่มมันรก การจะให้นิสิตไปแก้ไขตามความต้องการของกรรมการแต่ละคนเพื่อให้กรรมการทุกคนพึงพอใจนั้นเป็นเรื่องยาก

ประเด็นนี้อาจารย์ที่ปรึกษาควรต้องเข้ามามีบทบาทครับ ถ้าตรงไหนเขาเห็นว่าไม่ควรต้องแก้ เขาก็ต้องชี้แจงให้เหตุผลเพื่อให้กรรมการคนอื่นเห็นชอบด้วยว่าการแก้ไขตรงจุดนี้มันไม่จำเป็น เพราะเขาเป็นคนเห็นชอบในสิ่งที่นิสิตของเขาเขียนมาแต่แรกแล้วว่าสิ่งที่นิสิตของเขาเขียนนั้นมันสามารถใช้สอบได้แล้ว ประเด็นตรงนี้ผมจึงมองว่าเป็นส่วนที่กรรมการสอบที่มีความเห็นแตกต่างกันนั้นต้องมาคุยกันว่าจะมีข้อยุติอย่างไร ถ้ากรรมการให้ความเห็นขัดแย้งกันในจุดเดียวกัน นิสิตก็ทำอะไรไม่ถูกแล้วครับ ไม่รู้ว่าควรจะทำตามที่อาจารย์คนไหนบอกดี

ในกรณีที่เป็นเป็นคำถามอยู่ในขณะนี้ผมก็มองอย่างนี้ครับ ในเมื่อคะแนนส่วนที่ไม่เห็นชอบนั้นมีน้อยกว่าคะแนนส่วนที่เห็นชอบ ก็ให้คนที่เห็นชอบและไม่เห็นชอบนั้นเขาไปคุยกันเอง ว่ารูปแบบการเขียนแบบนี้ทำไมกรรมการที่เห็นชอบจึงไปเห็นชอบได้ หรือทำไมกรรมการที่ไม่เห็นชอบจึงไม่สามารถเห็นชอบได้

การให้คะแนนการสอบของภาควิชานั้น แยกเป็นส่วนรูปแบบการเขียนซึ่งก็คือส่วนที่หนึ่ง และส่วนที่สอง ตรงนี้เป็นการลงคะแนนเพื่อดูว่าวิทยานิพนธ์เล่มนี้เหมาะสำหรับใช้เป็นเล่มสอบหรือไม่

ส่วนที่สำคัญกว่าคือส่วนที่สาม และส่วนที่สี่ เพราะเป็นตัวบอกว่าจะสอบผ่านหรือสอบตก เพราะต่อให้ส่วนที่หนึ่งและสอง ทำมาเรียบร้อยสมบูรณ์แบบ แต่ส่วนที่สามและสี่มีปัญหาเรื่องความน่าเชื่อถือ ผลสอบก็ออกมาตกได้ครับ เว้นแต่จะมีอะไรบางอย่างเป็นการเป็นพิเศษในหมู่กรรมการ เพื่อให้ผ่านด้วยคะแนนเสียงข้างมาก เรื่องนี้เคยเจอมากับตัวที่กรรมการสอบคนจับได้ว่าวิธีการทดลองและผลการทดลองในประเด็นที่สำคัญของงานของเขานั้นมัน "มั่ว" และไม่ให้ผ่าน (ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น) แต่สามคนที่เหลือให้ผ่าน งานนี้เนี่ยนิสิตผู้สอบมีบทความตีพิมพ์ไปแล้ว ๓ บทความครับ แต่พอมาเจอกรรมการสองคนจับความผิดพลาดได้ ที่เตรียมจากจะให้คะแนนระดับดีมาก ก็กลายเป็นเพียงแค่ผ่านแทนครับ

ผมเคยเป็นประธานกรรมการสอบของนิสิตปริญญาโทรายหนึ่ง ที่ทำวิจัยร่วมกับสายการแพทย์ และมีอาจารย์ทางด้านนั้นมาเป็นกรรมการสอบด้วย วิทยานิพนธ์ของเขานั้นทำได้ดีครับ แต่ก่อนเสร็จสิ้นการสอบก็มีการบอกว่าถ้าทำเพิ่มเรื่องนั้นเรื่องนี้อีกหน่อยก็จะตีพิมพ์บทความระดับนานาชาติได้แล้ว และจะได้ผลสอบเป็นดีมากได้ ซึ่งอาจารย์ที่ปรึกษาก็เห็นชอบด้วยครับ แต่สิ่งที่เขาจะให้นิสิตทำเพิ่มนั้น ผมในฐานะประธานฟังแล้วมันมากเกินไป คือจะให้ไปทำการทดลองกับสัตว์ทดลอง ซึ่งท้ายสุดต้องฆ่าทิ้งทุกตัวที่นำมาทำการทดลอง

ผมในฐานะประธานก็เลยบอกในที่ประชุมว่า ที่นี่คือคณะวิศว ขอให้พิจารณาด้วยว่าขอบเขตงานที่จะให้เขาทำเพิ่มนั้นมันใช่ขอบเขตงานวิศวหรือเปล่า ทางคณะนี้ไม่ได้ทำการสอนและฝึกให้นิสิตทำการทดลองเช่นนั้น ในเมื่ออาจารย์ที่ปรึกษาเขาเห็นชอบแล้วว่างานที่นิสิตส่งมาสอบนั้นเพียงพอต่อการสอบจบปริญญาโทแล้ว (การมีบทความตีพิมพ์ระดับนานาชาติเป็นเกณฑ์จบปริญญาเอกครับ) ก็ขอให้กรรมการให้คะแนนโดยใช้ผลงานที่เขานำเสนอ ถ้าคิดว่าไม่เพียงพอ ไม่ควรให้ผ่าน ก็ให้คะแนนไม่ผ่านได้เลย แต่ต้องชี้แจงด้วยว่าทำไมถึงไม่ให้ผ่าน และถ้าเห็นว่าให้ผ่านได้ ก็ขอให้พิจารณาด้วยว่าจะให้เพียงแค่ผ่าน หรือดี (ให้ดีมากไม่ได้เพราะไม่มีบทความตีพิมพ์ระดับนานาชาติ)

เวลาที่นิสิตมาปรึกษาผมเรื่องการเลือกกรรมการ ผมจะบอกว่าให้เลือกประธานให้ดี เพราะเขาต้องเป็นคนคุมเกมส์ คุมกติกาการสอบ ถ้าประธานอยู่ใต้อิทธิพลของอาจารย์ที่ปรึกษาเมื่อใด ก็เสี่ยงดวงกันเอาเองว่าจะโชคดีโชคร้าย อย่างเช่นในกรณีข้างบน ถ้าประธานคุมเกมส์ คุมกติกาไม่ได้ นิสิตก็แย่ แต่บางรายก็คิดว่ามันจะเป็นการดี เพราะจะทำให้ได้คะแนนเสียงว่าสอบผ่านมาตุนเอาไว้ในมืออีก ๑ เสียงนอกเหนือจากอาจารย์ที่ปรึกษา

*******************

บ่ายวันนั้น ประธานสอบวิทยานิพนธ์ส่งข้อความถามผมว่า จะให้นิสิตส่งเล่มวิทยานิพนธ์มาให้ตรวจสอบใหม่ไหม (เป็นครั้งที่สาม) เพราะดูเหมือนว่าผมจะเป็นเสียงส่วนน้อยที่บอกว่าวิทยานิพนธ์เล่มนั้นไม่เหมาะสมที่จะส่งเข้าสอบ ตอนเย็นผมก็ตอบกลับไปว่าเห็นข้อความแล้ว แต่ขอเวลารวบรวมความคิดหน่อย แล้วจะตอบกลับไปตอนดึก ๆ หรืออย่างช้าก็เช้าวันรุ่งนี้ และข้างบนทั้งหมดก็เป็นสิ่งที่ผมตอบกลับไป

ไม่กี่วันถัดมาผมก็ได้พบปะกับประธานกรรมการสอบ เราได้พูดคุยกัน ผมก็บอกกับอาจารย์ท่านนั้นไปว่า สิ่งที่น่าห่วงกว่ารูปเล่มก็คือวิธีการทดลองและผลการทดลอง เพราะโดยความเห็นส่วนตัวแล้วถ้าไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันมาได้อย่างไร ผลสอบก็คงยากที่จะผ่าน แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับเสียงของกรรมการส่วนใหญ่

แล้วผมก็เล่าให้อาจารย์ผู้เป็นประธานนั้นฟังว่า ที่เคยผ่านมานั้น ถ้าเห็นว่าความผิดพลาดตรงนั้นมันไม่มาก ก็จะให้รีบไปทำการทดลองซ่อมให้เสร็จก่อนสอบ แต่ถ้าเห็นว่ามันมากเกินกว่าที่จะรับได้หรือดูแล้วเห็นว่าไม่น่าจะแก้ไขเสร็จทันก่อนสอบ ก็จะแนะนำให้ยกเลิกการสอบไปเลย ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับนิสิตมากกว่า

ตอนนี้ก็ได้แต่รอดูว่า ท้ายสุดจะลงเอยอย่างไร

วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

แนวทางหัวข้อการทำวิทยานิพนธ์นิสิตรหัส ๖๒ (ตอนที่ ๕) MO Memoir : Friday 28 May 2564

เอกสารฉบับนี้แจกจ่ายเป็นการภายใน ไม่นำเนื้อหาลง blog

เนื้อหาในเอกสารฉบับนี้เป็นสรุปบางเรื่องของการประชุมกลุ่ม online เมื่อเช้าวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา

วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

แนวทางหัวข้อการทำวิทยานิพนธ์นิสิตรหัส ๖๑ (ตอนที่ ๑๒) MO Memoir : Thursday 23 July 2563

เอกสารฉบับนี้แจกจ่ายเป็นการภายใน ไม่นำเนื้อหาลง blog

เนื้อหาในนี้เกี่ยวกับแนวทางการเขียนวิทยานิพนธ์ที่ได้มีการพูดคุยกันไปเมื่อวาน


วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

แนวทางหัวข้อการทำวิทยานิพนธ์นิสิตรหัส ๖๐ (ตอนที่ ๗) MO Memoir : Thursday 28 February 2562

เอกสารฉบับนี้แจกจ่ายเป็นการภายใน ไม่นำเนื้อหาลง blog

เนื้อหาในเอกสารฉบับนี้เกี่ยวข้องกับการประชุมกลุ่มในช่วงเช้าที่ผ่านมา ที่ห้องสมุดคณะ (บรรยากาศตามรูป)

วันอังคารที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2556

แนวทางหัวข้อการทำวิทยานิพนธ์นิสิตรหัส ๕๔ ตอนที่ ๙ MO Memoir : Tuesday 16 April 2556

เอกสารฉบับนี้แจกจ่ายเป็นการภายใน ไม่นำเนื้อหาลง blog



เนื้อหาในเอกสารฉบับนี้เป็นบันทึกช่วยจำการสรุปแนวทางการอธิบายผลการทดลองสำหรับการเขียนวิทยานิพนธ์ ที่ได้มีการพูดคุยไปในช่วงวันบ่ายวันพุธที่ ๑๐ และวันพฤหัสบดีที่ ๑๑ เมษยนที่ผ่านมา

วันจันทร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2556

แนวทางหัวข้อการทำวิทยานิพนธ์นิสิตรหัส ๕๔ ตอนที่ ๘ MO Memoir : Monday 8 April 2556

เอกสารฉบับนี้แจกจ่ายเป็นการภายใน ไม่นำเนื้อหาลง blog

เนื้อหาในเอกสารฉบับนี้เกี่ยวกับแนวทางการเขียนสรุปผลการทดลองที่ได้คุยกันไว้ทางโทรศัพท์ในช่วงบ่ายวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ในส่วนของปฏิกิริยา NH3 oxidation และการเกิด N2O  เนื้อหาใน Memoir ฉบับนี้เป็นส่วนเพิ่มเติมของข้อ ๙. ของ Memoir ฉบับวันเสาร์ที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๖

วันเสาร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2556

แนวทางหัวข้อการทำวิทยานิพนธ์นิสิตรหัส ๕๔ ตอนที่ ๗ MO Memoir : Satruday 6 April 2556

เอกสารฉบับนี้แจกจ่ายเป็นการภายใน ไม่นำเนื้อหาลง blog
 
เนื้อหาในเอกสารฉบับนี้เกี่ยวกับแนวทางการเขียนสรุปผลการทดลองที่ได้คุยกันไว้เมื่อช่วงบ่ายวันศุกร์ที่ ๕ ที่ผ่านมา
 
Memoir ฉบับก่อนหน้าที่เกี่ยวข้องกับ memoir ฉบับนี้คือ
 
ปีที่ ๔ ฉบับที่ ๓๙๙ วันอาทิตย์ที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ เรื่อง "จลนศาสตร์การเกิดปฏิกิริยาบนพื้นผิวตัวเร่งปฏิกิริยาวิวิธพันธ์ ตอนที่ ๔ แบบจำลอง Eley-Rideal"
 
ปีที่ ๔ ฉบับที่ ๔๐๐ วันอังคารที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ เรื่อง "จลนศาสตร์การเกิดปฏิกิริยาบนพื้นผิวตัวเร่งปฏิกิริยาวิวิธพันธ์ ตอนที่ ๕ แบบจำลอง REDOX"

วันจันทร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2556

แนวทางหัวข้อการทำวิทยานิพนธ์นิสิตรหัส ๕๔ (ตอนที่ ๕) MO Memoir : Monday 28 January 2556

เอกสารฉบับนี้แจกจ่ายเป็นการภายใน ไม่นำเนื้อหาลง blog

เนื้อหาในเอกสารนี้เป็นบันทึกการประชุมในช่วงเช้าที่ผ่านมา โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับการทำการทดลองในช่วงสุดท้ายและแนวทางการเขียนวิทยานิพนธ์ของนิสิตรหัส ๕๔

วันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2553

วันเสาร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2553

การเตรียมการสอบวิทยานิพนธ์ MO Memoir : Saturday 10 April 2553

จากที่แยกจากกันตอนเย็นเมื่อวาน ถึงตอนนี้นิสิตป.โทปี ๒ ทุกคนก็คงเหลือแต่การทำรูปเล่มฉบับสมบูรณ์เพื่อส่งให้กรรมการสอบ จากนั้นก็คงเป็นการพักผ่อนช่วงสงกรานต์และเตรียม power point เพื่อการสอบ ดังนั้นในวันจันทร์ที่ ๑๒ เมษายนที่จะถึงนี้ผมก็คงจะไม่ตรวจแก้งานให้พวกคุณ (ขืนทำเช่นนั้นก็คงจะไม่ได้ทำเอกสารส่งให้กรรมการอีก) คงตรวจแก้ส่งคืนให้อีกทีก็คงเป็นหลังสอบเสร็จ


Memoir ฉบับนี้จึงขอให้คำแนะนำในการเตรียมการสอบทั้งในเรื่องทั่วไป ในส่วนรูปเล่มวิทยานิพนธ์ และในส่วนของการนำเสนอ


. รูปเล่มวิทยานิพนธ์


สิ่งแรกที่คุณต้องไม่ลืมคือ คุณต้องมีฉบับส่วนตัวของคุณเองด้วย และควรเป็นฉบับที่เหมือนกับที่ส่งให้กรรมการสอบอ่านด้วย เพราะเวลาที่กรรมการสอบถามคำถามก็จะอ้างอิงไปยังเล่มที่กรรมการถืออยู่

เรื่องถัดมาคือคุณต้องรู้ว่าเขียนอะไรไว้ในหน้าไหน แม้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่คัดลอกของคนอื่นมา คุณก็ต้องอ่านมันให้เข้าใจ เข้าใจในที่นี้ไม่ใช่แค่ให้รู้คำแปล แต่ต้องเป็นเหมือนว่าคุณเป็นผู้เขียนเอง

ความเรียบร้อยของรูปเล่มก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะเป็นสิ่งที่เห็นได้โดยไม่ต้องอ่าน เพียงแค่พลิกดูก็จะเห็นแล้วว่าคุณมีความตั้งใจในการทำวิทยานิพนธ์แค่ไหน เหมือนกับคนที่แต่งตัวดี ใครเห็นก็จะเกิดความประทับใจก่อน แต่หลังจากได้พูดคุยกันแล้วจะคิดอย่างไรนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ความเรียบร้อยของรูปเล่มในที่นี้คือการจัดรูปแบบ ระยะย่อหน้า รูปแบบตัวอักษร ขนาดตัวอักษร หัวข้อ รูปภาพ ตาราง การเว้นวรรค การเว้นบรรทัด การจัดกั้นหน้า ความคงเส้นคงวาต่าง ๆ เช่นการทำตัวเข้ม การขีดเส้นใต้ ฯลฯ ทางที่ดีคุณควรให้คนที่ไม่เคยอ่านงานของคุณให้เขาลองตรวจสอบความเรียบร้อยดูบ้าง เพราะคนที่อ่านเป็นประจำนั้นมักจะมองข้ามบ้างจุดไปเป็นประจำด้วยความเคยชิน ในขณะที่คนทีพึ่งจะเห็นเป็นครั้งแรกมักจะตรวจดูอย่างทั่วถึงมากกว่า


. การเตรียมการนำเสนอ


เชื่อว่าทุกคนคงใช้ power point เป็นหลัก แต่การนำเสนอนั้นไม่จำกัดอยู่เพียงแค่การใช้ power point คุณสามารถใช้การเขียนบนกระดาน นำตัวอย่างมาประกอบการนำเสนอด้วยก็ได้

power point ควรมีหมายเลขกำกับแต่ละหน้า และรูปผลการทดลองที่นำมาแสดงถ้าเป็นรูปเดียวกันกับในเล่มวิทยานิพนธ์ ก็ควรมีหมายเลขกำกับแจ้งด้วยว่าเป็นรูปไหนในเล่มวิทยานิพนธ์

effect ต่าง ๆ ที่ใส่เข้าไปในแต่ละหน้าของ power point นั้น ถ้าไม่จำเป็นใด ๆ ต่อการนำเสนอสิ่งที่คุณต้องการให้กรรมการเห็นก็ไม่จำเป็นต้องใส่เข้าไป สิ่งที่ต้องการให้กรรมการเห็นในที่นี้คือสิ่งที่เป็นหัวใจของการทำงาน ถ้างานของคุณเป็นการพัฒนาเทคนิคการทดลองใหม่ขึ้นมา คุณก็สามารถใส่ effect ต่าง ๆ เพื่อเน้นให้เห็นสิ่งที่คุณทำว่าแตกต่างไปจากคนอื่นอย่างไรบ้าง แต่ถ้าคุณใช้วิธีการที่เหมือนกับคนก่อนหน้าที่เคยทำมา (เช่นการเตรียมตัวเร่งปฏิกิริยา) คุณก็ไม่จำเป็นต้องใส่ effect ต่าง ๆ เข้าไปในรก (เช่นรูปการกวน การเติมสาร ฯลฯ)

การตอบคำถามก็สามารถใช้การเขียนหรือการวาดรูปช่วยก็ได้ ไม่ใช่ใช้แต่คำพูดอย่างเดียว บ่อยครั้งที่พบว่าการเขียนบนกระดาษตอบคำถามได้รวดเร็วและชัดเจนกว่าการพยายามพูดให้กรรมการสอบเข้าใจเสียอีก

ตัวอย่างผลการทดลอง ผลการคำนวณ ก็ให้เตรียมไว้ด้วย เช่นคุณคำนวณค่า conversion และ selectivity อย่างไร คำตอบประเภท "ใช้ Excel คำนวณ" นั้นไม่ควรมี แต่มีเป็นประจำกับกลุ่มที่ทำงานแบบรุ่นพี่ส่งโปรแกรมต่อ ๆ กันมาให้ โดยที่ไม่เคยมีการทำ calibration curve ของเครื่องมือ พวกนี้ดูได้ไม่ยากเพราะถ้าตรวจสอบย้อยหลังขึ้นไป (ดูจากชื่อผู้ที่เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา) จะเห็นว่าในวิทยานิพนธ์นั้นจะใช้กราฟ calibration curve เดียวกัน หรือพอถามรายละเอียดว่าได้กราฟมาตรฐานนั้นมาอย่างไร ก็จะอธิบายไม่ได้ ที่พบกันเป็นประจำคือ calibration curve ของ GC และกราฟที่ใช้คำนวณค่าขนาดของผลึกโดยใช้ Scherrer's equation

อุปกรณ์การชี้ก็เลือกใช้ตามแต่ถนัด บางคนอาจชอบใช้ laser pointer บางคนอาจชอบใช้การชี้บนจอ หรือบางคนอาจใช้เมาส์ชี้บนคอมพิวเตอร์ แต่สิ่งสำคัญคือต้องให้ผู้ชมนั้นมองเห็นสิ่งที่คุณต้องการชี้ให้เห็น


. การแต่งกาย


บอกได้สั้น ๆ ว่าแต่งกายให้สุภาพ เรียบร้อย "ในสายตาของกรรมการสอบ" ไม่ใช่ในสายตาของเพื่อนร่วมแลป นิสิตชายให้ใส่เสื้อเชิ้ตทรงเรียบร้อย ถ้าเป็นเสื้อแขนยาวต้องไม่พับแขนเสื้อ กางเกงทรงสุภาพ ไม่ใช่แบบเอวต่ำโชว์กางเกงใน รองเท้าหนัง ส่วนนิสิตหญิงก็ควรแต่งกายแต่พองาม ไม่ใช่เน้นโป๊เป็นหลัก ประเภทจะยืน จะชี้กระดาน หรือจะนั่ง ก็ต้องกลัวโป๊ไปหมด (ยังดีนะที่ยังรู้สึก บางรายเห็นไม่สนใจเลย) ไม่ควรใส่ชุดที่บางหรือรัดรูปจนเห็นทะลุไปหมดว่าใส่ชุดชั้นในรูปแบบไหน สีอะไร ลวดลายอะไร การแต่งหน้าก็แต่งได้พอควร (คงไม่ต้องถึงขั้นเอาชุดสำหรับแต่งไปงานแต่งงานมาใช้แต่งสอบหรอก)

สำหรับสมาชิกของกลุ่มที่จะเข้ารับฟังนั้น ขอให้แต่งกายให้สุภาพเรียบร้อยเหมือนกับผู้เข้าสอบด้วย ถือเสียว่าเป็นการให้เกียรติแก่ผู้สอบ เพราะการสอบนั้นเป็นงานสำคัญของพวกเขา นิสิตหญิงก็ควรสวมกระโปรง เสื้อสุภาพ รองเท้าเรียบร้อย (ไม่ลากรองเท้าแตะ) ส่วนนิสิตชายก็ควรแต่งตัวให้เรียบร้อยดังที่เขียนไว้ข้างบนด้วย อย่ามาในเครื่องแต่งกายเหมือนกับว่างานสอบนี้เป็นงานแบบขอไปที ตื่นนอนในชุดไหนก็มาในชุดนั้น

ถ้าจะชวนใครเข้าฟังหรือจะมีใครขอเข้าฟังก็บอกเขาหน่อยว่างานนี้ขอนะเรื่องการแต่งกาย ถ้าคุณจัดงานแต่งงานของคุณเอง (ขอให้ทุกคนมีโอกาสนะ) คุณก็คงไม่อยากให้แขกที่มาร่วมงานแต่งตัวแบบไม่เอาไหนใช่ไหม งานสอบนี้ก็แบบเดียวกัน


. การเตรียมของว่าง


จริง ๆ แล้วกรรมการไม่ได้กะมากินของว่างหรืออาหารใด ๆ ในระหว่างการสอบหรอก แต่หลัง ๆ ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรดูเหมือนว่าจะเตรียมกันให้หนักเหลือเกินจนกลายเป็นว่าต้องทำให้ออกมาดีที่สุด เวลากรรมการจะให้คะแนนสอบเขาดูที่เนื้องานวิทยานิพนธ์ที่คุณส่งให้ดู ไม่ใช่ของกินที่คุณเตรียมให้กิน

ผมพูดเล่นอยู่เสมอว่า อย่าเสริฟกาแฟให้กรรมการสอบ โดยเฉพาะการสอบในช่วงบ่าย เพราะจะทำให้กรรมการสอบไม่ง่วง


. การเตรียมใจเพื่อตอบคำถาม


ส่วนนี้คงเป็นส่วนที่ยากที่สุดมั้ง ถึงเวลานั้นคุณต้องพึ่งอยู่บนตัวคุณเองแล้ว เพราะเป็นการสอบตัวคุณเองไม่ใช่อาจารย์ที่ปรึกษา งานต่าง ๆ ที่คุณส่งให้กรรมการอ่านจะถูกตรวจสอบด้วยการถามคำถาม เพื่อที่จะดูว่าคุณได้ทำงานนั้นจริงหรือเปล่า คุณได้ทำโดยรู้เรื่องหรือเปล่าว่าทำไปทำไม ความคิดที่ว่าที่ทำมานั้นทำเพราะอาจารย์สั่งให้ทำไม่ควรมีอยู่ เพราะถ้าแสดงอาการนี้เมื่อใดกรรมการก็รู้เลยว่าคุณไม่ได้รู้เรื่องอะไรในงานที่ทำ เป็นเพียงแค่ลูกมือทำแลปให้อาจารย์เท่านั้นเอง และอย่าคาดหวังว่าอาจารย์ที่ปรึกษาจะช่วยตอบ ผมเคยกล่าวในห้องสอบว่างานนี้เป็นงานสอบนิสิตหรือสอบอาจารย์กันแน่ เพราะนิสิตตอบคำถามอะไรไม่ได้เลย อาจารย์ที่ปรึกษาเป็นผู้ตอบให้ทั้งหมด

หน้าที่ของคุณคือการปกป้องผลงานที่คุณกระทำ ไม่ใช่ปกป้องผลงานที่ผู้อื่นกระทำ เรื่องนี้เห็นเป็นประจำเวลาที่กรรมการสอบนั้นมีความเห็นว่าบทความ (paper นั่นแหละ) ที่นำมาเสนอนั้นมันไม่ถูกต้อง นั่นก็เป็นเรื่องระหว่างกรรมการสอบท่านนั้นกับบทความนั้น ไม่ใช่หน้าที่ของคุณที่จะต้องเข้าไปปกป้องผลงานของบทความนั้น คุณมีสิทธิที่จะมีความเห็นต่างจากบทความ โดยมีความเห็นเช่นเดียวกันกับที่กรรมการสอบเห็นด้วยก็ได้

แต่ถ้าเป็นกรณีที่คุณนำเอาข้อมูลจากบทความนั้นมาใช้ประโยชน์ (เช่นนำตัวเลขต่าง ๆ หรือวิธีการวิเคราะห์ หรือผลสรุป มาใช้) คุณก็ต้องปกป้องบทความนั้นว่าสิ่งที่เขาทำ (และคุณนำมาใช้) นั้นถูกต้อง

ที่ผ่านมานั้นผมไม่เคยช่วยนิสิตของผมเองตอบคำถามในระหว่างการสอบ และผมก็ไม่เคยถามคำถามใด ๆ ให้กับกรรมการแทนนิสิตที่ผมส่งเข้าสอบ เพราะผมถือว่าถ้าผมยังมีข้อสงสัยใด ๆ ในงานที่พวกคุณทำ ผมก็จะยังไม่ส่งคุณเข้าห้องสอบ และเมื่อเข้าห้องสอบแล้วก็เป็นหน้าที่ของพวกคุณที่จะต้องตอบคำถาม เพราะกรรมการสอบจะถือว่าวิทยานิพนธ์นั้นเป็นงานที่ผู้กระทำจะต้องรู้เหตุผลในทุกอย่างที่ตัวเองได้กระทำลงไป ผมจะทำอย่างมากคือชี้แจงคำตอบที่ถูกต้อง (ถ้ามีการตอบแบบมั่ว ๆ) ให้กรรมการท่านอื่นรับทราบ ในขณะที่ทำการประชุมผลการสอบ

อีกอย่างคือผมไม่ห้าม แต่ก็ไม่แนะนำ ให้ผู้ที่ยังไม่สอบเข้าไปฟังการสอบของเพื่อนคนที่สอบก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นการสอบในเรื่องที่คล้ายกัน หรือสอบโดยกรรมการชุดเดียวกัน


หวังว่าสถานการณ์ต่าง ๆ คงเรียบร้อยก่อนวันจันทร์ ไม่เช่นนั้นคงมีปัญหาเรื่องการส่งวิทยานิพนธ์ให้กับกรรมการสอบ

วันศุกร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2553

สำคัญสุดคือวิธีการ MO Memoir : Friday 2 April 2553

Memoir ฉบับนี้เป็นตอนต่อจากฉบับวันอาทิตย์ที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๓ เรื่อง "ทำให้เรียบร้อย (ตอนที่ ๒)"


ตั้งแต่วันจันทร์ที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ผมได้สอบวิทยานิพนธ์ปริญญาโทรวม ๘ เล่ม (อันที่จริงยังมีอีกหนึ่งเล่มแต่มีการเลื่อนการสอบออกไป) ที่รู้สึกแปลกใจมากคือวิทยานิพนธ์ทั้ง ๙ เล่มที่ได้รับมานั้นมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ "ไม่ให้รายละเอียดและไม่แสดงวิธีการทำงาน" ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของ การทดลอง การสร้างแบบจำลอง หรือการคำนวณ

เคยเห็นในหนังสือคู่มือนักวิจัยเล่มหนึ่งที่หน่วยงานวิจัยแห่งหนึ่งพิมพ์แจกจ่าย โดยในนักเป็นบทความที่เขียนโดยผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นนักวิจัยอาวุโสหลายท่าน มีบทหนึ่งในหนังสือนั้นกล่าวว่าบทที่สำคัญสุดของงานวิจัยคือ "ผลสรุปของงานนั้น" กล่าวคือให้ดูแต่ว่างานนั้นได้ผลออกมาเป็นอย่างไร ตรงนี้ผมไม่เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง ในการอ่านงานวิจัยหรือวิทยานิพนธ์ใด ๆ นั้นบทที่ผมให้ความสำคัญที่สุดคือ "วิธีการทดลอง" หรือถ้าเป็นงานการสร้างแบบจำลองก็จะเป็น "วิธีการสร้างแบบจำลอง"


กติกามีอยู่ง่าย ๆ เพียงข้อเดียวคือ "ถ้าวิธีการผิด ก็ไม่ต้องไปเสียเวลาดูผล"


ก่อนที่จะอ่านผลการทดลองใด ๆ นั้น สิ่งแรกที่ผมจะตรวจดูก่อนก็คือ การเตรียมการทดลอง การเก็บตัวอย่าง และเทคนิคการวิเคราะห์ตัวอย่างนั้นมีความเหมาะสมหรือไม่ บ่อยครั้งที่พบว่าผลการวิเคราะห์ที่ได้นั้นมีการแปลความหมายให้เข้ากับสมมุติฐานที่ตัวเองตั้งไว้ ทั้ง ๆ ที่มีผลการทดลองนั้นสามารถใช้ทฤษฎีอื่นอธิบายก็ได้ ซึ่งก่อนที่ระบุสาเหตุลงไปก็ควรต้องมีการทำการทดลองเพิ่มเติมหรือนำผลการวัดอื่นมาประกอบด้วย ไม่ใช่รีบด่วนสรุป

ในกรณีที่เป็นงานที่เป็นการสร้างแบบจำลองคณิตศาสตร์ ก็จะตรวจดูก่อนว่าแบบจำลองคณิตศาสตร์ที่สร้างนั้นเหมาะสมกับสิ่งที่ต้องการจำลองหรือไม่ ในกรณีที่มีการใช้ข้อสมมุติเพื่อทำให้แบบจำลองง่ายขึ้น ก็ต้องพิจารณาด้วยว่าข้อสมมุติดังกล่าวเหมาะสมหรือไม่ เพราะบ่อยครั้งพบว่าข้อสมมุติที่ผู้สร้างแบบจำลองนำมาใช้นั้น ก็เพื่อทำให้งานของตัวเอง "ง่ายขึ้น" โดยไม่สนว่าคำตอบที่ได้มันจะสอดคล้องกับความเป็นจริงหรือไม่

ตัวอย่างเช่นกรณีหนึ่งที่เจอในการสอบสัปดาห์นี้ วิทยานิพนธ์ของผู้เข้าสอบนั้นบอกว่าจะทำอะไร และตามด้วยผลสรุปการวิเคราะห์เลย โดยไม่มีการแสดงรายละเอียดว่าได้ดำเนินการทำงานอย่างไรบ้าง และผลที่ได้จากการทำงานนั้นมีอะไรบ้าง พอโดนกรรมการซักถามก็ตอบไม่ได้ ได้แต่ตอบไปข้าง ๆ คู ๆ ประเภทตัวเลขมันเยอะ พอถามว่าแล้วตัวเลขนั้นอยู่ที่ไหน ก็ไม่มีให้ดู จนกรรมการต้องถามตรง ๆ ว่าตกลงว่าคุณได้ทำงานจริงหรือเปล่า หรือนั่งคิดตัวเลขว่ามันต้องได้ตามนี้แล้วเอาตัวเลขนั้นมาเขียนบนสรุปเลย (นั่งเทียนเขียนผลนั่นแหละ) รายนี้กรรมการต้องให้กลับไปเตรียมรายละเอียดวิธีการทำงานและผลการทำงานมาให้ตรวจก่อน ก่อนที่จะพิจารณาผลสอบ

อีกอย่างที่รู้สึกแปลกก็คือทุกรายที่เข้าสอบนั้น "ไม่มี" วิทยานิพนธ์ฉบับของตัวเอง พอกรรมการถามว่าสิ่งที่คุณนำเสนอนั้นมันอยู่ในหน้าไหนของวิทยานิพนธ์ ก็ตอบไม่ได้ หรือพอกรรมการถามว่าผลที่แสดงในหน้านี้มันมาได้อย่างไร ก็ต้องมาขอกรรมการดูวิทยานิพนธ์ฉบับที่ส่งให้กรรมการดูว่าผลการทดลองนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร จนต้องมีการถามว่าตัวผู้สอบเองเห็นว่าวิทยานิพนธ์ฉบับที่ส่งให้กรรมการนั้นไม่มีความสำคัญหรืออย่างไร

บางรายก็คิดว่า เนื่องจากกรรมการสอบไม่ได้เป็นผู้ที่ทำวิจัยอยู่ในสาขาเฉพาะทางเดียวกันกับที่เขาศึกษา ดังนั้นไม่ต้องกลัวว่าเขาจะรู้เรื่องในสิ่งที่จะนำเสนอ (พวกประเมินความรู้ของกรรมการสอบต่ำเกินไป หรือไม่ก็ไม่ได้สืบประวัติมาก่อนว่ากรรมการสอบมีความรู้ด้านไหนบ้าง) หรือถ้าเขาถามมาก็ตอบอะไรไปก็ได้ให้มันฟังยาก ๆ พอเขาไม่รู้เรื่องอะไรก็คงเลิกถามไปเอง ผมเคยเจอเหตุการณ์นี้เข้ากับตัวเองครั้งหนึ่ง จนผู้เข้าสอบเอาไปบ่นกับเพื่อนของเขาว่า "ไม่นึกว่าผมจะรู้เรื่องด้วยว่าเขามั่ว" เรื่องนี้ผมได้รับฟังจากคนที่ผู้เข้าสอบนั้นไปบ่นให้ฟัง

ที่น่าแปลกคือมีผู้ที่กำลังจะสอบ (ตอนนี้ยังไม่สอบแต่กำลังจะสอบในไม่ช้า) ถามผมว่า "อ่านวิทยานิพนธ์ด้วยหรือ" ได้ยินคำถามแบบนี้ก็รู้เลยว่าเขาคิดว่า "กรรมการสอบนั้นคงจะไม่อ่านวิทยานิพนธ์ที่ส่งให้ คงมาเพียงแค่นั่งฟังการนำเสนอในห้องสอบ แล้วก็ให้คะแนนการสอบจากการนำเสนอ ส่วนวิทยานิพนธ์นั้นมันต้องโดนแก้ไขอยู่ดี ดังนั้น ไม่ต้องไปเสียเวลาทำให้มันดี เขียนอะไรชุ่ย ๆ ใส่เข้าไปก็ได้ เดี๋ยวกรรมการก็แก้ไขมาให้เอง ถ้าโชคดีกรรมการไม่มีเวลาอ่านก็ไม่ต้องแก้ไขอะไร"


ไม่น่าเชื่อว่าเดี๋ยวนี้คนที่มีการศึกษาในระดับนี้จะมีแนวความคิด "เลว ๆ" แบบนี้กันทั่วไปหมด


สิ่งที่จะต้องคำนึงในการสอบวิทยานิพนธ์คือ "ต้องให้กรรมการยอมรับในสิ่งที่คุณเขียนอยู่ในวิทยานิพนธ์ โดยต้องไม่มีคำถามหรือข้อสงสัยใด ๆ เมื่ออ่านวิทยานิพนธ์ของคุณจบ"


การอ่านวิทยานิพนธ์นั้นเป็น "หน้าที่" ของกรรมการสอบที่ต้องอ่านวิทยานิพนธ์ที่เป็นกรรมการสอบ แต่กรรมการต้องได้รับวิทยานิพนธ์ก่อนวันสอบล่วงหน้าเป็นระยะเวลาที่เหมาะสม ตามระเบียบนั้นต้องส่งก่อน "อย่างน้อย" สองสัปดาห์ แต่ที่ผ่านมาบางทีก็นำมาให้ก่อนแค่วันเดียว แบบนี้บางรายโดนกรรมการแจ้งไปเลยว่าให้เลื่อนการสอบออกไป เพราะไม่มีเวลาอ่าน

การที่กรรมการไม่ถามอะไรในการสอบนั้นแปลความหมายได้หลายอย่าง เช่น


ก. กรรมการอ่านงานของคุณ แล้วพบว่าเขียนมาดี พึงพอใจมาก จนไม่มีอะไรสงสัยจะถาม

ข. กรรมการไม่ได้อ่านงานของคุณ และอาจไม่สนใจด้วยว่าคุณทำอะไร เพียงแต่เข้ามานั่งฟัง (และรับเงินค่าเป็นกรรมสอบ) ส่วนผลสอบนั้นก็ให้ตามความเห็นของกรรมการคนอื่น

ค. กรรมการอ่านงานของคุณ แล้วเห็นว่าไม่ได้เรื่อง เชื่อไม่ได้ ให้ผลสอบเป็น "ตก" ทันทีที่อ่านจบ ก็เลยไม่อยากมาเสียเวลาถามคำถาม (จริง ๆ แล้วอยากจะบอกว่าไม่ต้องมาเสียเวลานำเสนอเลยด้วยซ้ำ)

ง. กรรมการไม่ได้อ่านงานของคุณ แต่คุณนำเสนอได้ดีและชัดเจนจนกรรมการไม่มีข้อสงสัยใด ๆ


เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งผู้เข้าสอบนั้นส่งวิทยานิพนธ์ให้กรรมการสอบตรวจ เขาเห็นเพื่อน ๆ โดยแก้ไขด้วยปากกาแดงเต็มไปหมดทั้งเล่ม ส่วนของเขานั้นมีข้อความเขียนมาสั้น ๆ บนหน้าปกเท่านั้น ตอนแรกเขาก็ดีใจคิดว่างานของเขานั้นไม่ต้องแก้ไขอะไร แต่ข้อความที่กรรมกรรมสอบเขียนเอาไว้นั้นบอกว่า


"อ่านไม่รู้เรื่อง แก้ไขอะไรให้ไม่ได้ ให้ไปเขียนมาใหม่ทั้งเล่ม"

วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2553

ทำให้เรียบร้อย (ตอนที่ ๒) MO Memoir : Sunday 28 March 2553

เมื่อวานพึ่งจะอ่านวิทยานิพนธ์ปริญญาโทที่จะสอบในวันจันทร์ที่ ๒๙ มีนาคมนี้จบไปทั้ง ๔ เล่ม พบว่าใน ๔ เล่มนั้นคุณภาพงานเขียนวิทยานิพนธ์ ๓ เล่มนั้นเป็นได้อย่างมากเพียงแค่ฉบับ "ร่างครั้งแรก" ไม่คู่ควรกับการเป็นฉบับส่งให้กรรมการสอบอ่านเลย ดูเหมือนผู้เขียนทำแบบขอไปที ขอให้มีส่ง หวังว่ากรรมการคงจะไม่อ่านกัน คงเป็นเพียงแค่มาฟังการนำเสนอในห้องสอบแล้วก็ให้คะแนนไปตามที่ได้ยินได้ฟัง นี่ก็ยังสงสัยอยู่เลยว่าตัวอาจารย์ที่ปรึกษาเองมีโอกาสได้อ่านมาก่อนหรือเปล่า หรือรอฟังแต่ผลที่นิสิตนำมาเสนอ พอได้ผลเป็นที่น่าพอใจแล้วก็ปล่อยให้ไปเขียนกันเองโดยไม่สนเลยว่านิสิตจะเขียนอะไรลงไป บ่อยครั้งที่พบว่าอาจารย์ที่ปรึกษาทำเพียงแค่ "ได้เห็น" คือตาเห็น แต่ไม่ได้อ่านสิ่งที่นิสิตในที่ปรึกษาเขียน งานนี้กะว่าจะขอส่งวิทยานิพนธ์ทั้ง ๓ เล่มคืนนิสิตให้กลับไปทำให้เรียบร้อยก่อน แล้วค่อยนัดสอบใหม่จะดีกว่า

บางคนคงเคยได้ยินแล้วว่ากรรมการสอบวัดคุณสมบัตินิสิตปริญญาเอกชุดที่ผมเป็นกรรมการร่วมอยู่นั้น เคยให้นิสิตปริญญาเอกผู้หนึ่งสอบวัดคุณสมบัติไม่ผ่านถึง ๒ ครั้ง ซึ่งเป็นผลให้นิสิตผู้นั้นต้องพ้นสภาพนิสิตไปตามระเบียบของมหาวิทยาลัย งานนี้กรรมการชุดนั้นทุกคนโดยหัวหน้าหน่วยงานเรียกตัวไปถามเป็นรายคนว่าทำไมถึงให้ตก ปรากฏว่ากรรมการทุกคนตอบตรงกันโดยไม่ได้นัดหมายว่างานที่นิสิตคนดังกล่าวทำส่งมานั้น "ชุ่ย" กล่าวคือสิ่งที่เขาส่งมาในรายงานกับสิ่งที่เขานำเสนอในการสอบครั้งแรกนั้นมันเป็นคนละเรื่องกัน พอโดนซักก็บอกว่าเขาเปลี่ยนแนวทาง (เหตุผลฟังไม่ขึ้น) เพราะถ้าจะเปลี่ยนเรื่องไปเลยก็ต้องแจ้งกรรมการสอบว่าขอยกเลิกเอกสารเก่า และส่งเอกสารใหม่มาให้ และนัดวันสอบใหม่ ไม่ใช่มาบอกกันในห้องสอบ ทำให้รู้ได้เลยว่ากะว่ากรรมการคงไม่อ่านเอกสาร เลยเอาอะไรต่อมิอะไรมายัดไส้ต่อเข้าด้วยกัน ดูเผิน ๆ เป็นเหมือนเอกสารสมบูรณ์ แต่พออ่านดูจะรู้ว่าเรื่องราวมันไม่เกี่ยวข้องกันเลย พอสอบใหม่ครั้งที่สองก็ยังทำแบบเดิมอีก (คงกะว่ากรรมการสอบคงนึกไม่ถึงว่าจะทำซ้ำเดิมอีก) งานนี้ก็เลยเจอดีเข้าไป

อันที่จริงแล้วก่อนหน้านี้เมื่อกว่า ๑๐ ปีที่แล้วผมเคยให้นิสิตปริญญาโทที่เรียนมา ๔ ปีแล้วสอบวิทยานิพนธ์ตก กล่าวคือนิสิตคนดังกล่าวพอสอบโครงร่างเสร็จก็หายหน้าไปเลย พอเทอมสุดท้ายปี ๔ ก็โผล่หน้ามาให้อาจารย์ที่ปรึกษาเห็น ตอนสอบก็บอกว่าได้ทำไอ้นั่น ได้ทำไอ้นี้ ผลที่ได้ออกมาเป็นอย่างนี้ พอขอดูงานที่ทำจริงก็ปรากฏว่าไม่มี วิทยานิพนธ์ของเขาเป็นเพียงแค่นำเอาข้อความในคู่มือการใช้ซอร์ฟแวร์มาตัดต่อเข้าด้วยกันแค่นั้นเอง ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย งานนั้นดูเหมือนว่าจะมีผมกับกรรมการสอบอีกท่านที่ได้อ่านวิทยานิพนธ์ฉบับนั้นมาทั้งเล่มก่อนสอบ ที่น่าแปลกก็คือตัวประธานสอบกับอาจารย์ที่ปรึกษาขอให้นิสิตสอบผ่าน ด้วยเหตุผลเพียงแค่ว่าเขาเรียนมา ๔ ปีแล้ว (โดยที่ไม่ได้ทำวิทยานิพนธ์เป็นชิ้นเป็นอันเลยหรือ) งานนี้กรรมการสอบก็เลยตอบกลับไปว่าถ้าเช่นนั้นก็ไปหากรรมการสอบชุดใหม่เองก็แล้วกัน

สำหรับผู้ที่พึ่งจะมาเห็นบันทึกฉบับนี้ (อาจจะโดยเปิดเข้าดูเอง หรือมาตามที่ผมแจ้งไว้ในวิทยานิพนธ์ที่ส่งกลับคืนไปว่าให้มาอ่าน) ก็ขอแจ้งให้ทราบว่าก่อนหน้านี้ได้เคยกล่าวถึงเรื่องทั่วไปในการเขียนเอาไว้บ้างแล้วใน


MO Memoir 2551 Saturday 20 September 2551 การเขียนเอกสารอ้างอิง

MO Memoir 2552 Friday 6 February 2552 การเขียนวิทยานิพนธ์

MO Memoir 2552 Friday 3 April 2552 ทำให้เรียบร้อย


ซึ่งผู้ที่ต้องการให้ผมเป็นกรรมการสอบ (สำคัญมากเพราะจะไม่ทำให้กรรมการสอบอารมณ์เสียก่อนเข้าห้องสอบ) หรือผู้ที่ต้องมาแก้ไขเพื่อให้ผมตรวจใหม่นั้น กรุณาอ่านและทำตามด้วย จะเป็นประโยชน์แก่กันทั้งสองฝ่าย


ที่จะเล่าต่อไปนี้ไม่ใช่รูปแบบที่ "ต้องทำ" แต่เป็นรูปแบบที่ "ควรทำ" หรือเป็นสิ่งที่ "ต้อง" ตรวจทาน ทั้งนี้เพื่อให้ผู้อ่านรู้สึกว่าผู้เขียนวิทยานิพนธ์นั้นมีความพิถีพิถันและความตั้งใจในการทำงาน ไม่ได้ทำแบบขอไปทีโดยนึกว่ากรรมการสอบนั้นเป็นเพียงแค่ตรายาง คือคิดว่ายังไงก็ต้องผ่านเพราะว่าได้เป็น (แค่) ลูกมือทำผลแลปให้อาจารย์เอาไปเขียน paper แล้ว อาจารย์ที่ปรึกษาก็ต้องให้จบอยู่ดี (ทำนองว่ายื่นหมูยื่นแมวนั่นแหละ) โดยที่ตัวเองไม่ต้องไปสนหรือรู้ว่าได้ทำอะไรลงไป เรื่องแบบนี้ผมเจอบ่อยจนถึงกับปฏิเสธไม่ขอเป็นกรรมการสอบของนิสิตของอาจารย์หลายราย


. การเว้นบรรทัดระหว่างหัวข้อกับย่อหน้าแรกใต้หัวข้อ และการเว้นวรรคระหว่างเลขหัวข้อกับชื่อหัวข้อ


ในวิทยานิพนธ์นั้นมักจะมีหัวข้อต่าง ๆ อยู่หลายหัวข้อ ภายใต้หัวข้อเหล่านั้นก็จะเป็นคำบรรยาย สิ่งที่ต้องทำคือตรวจสอบว่ารูปแบบที่คุณใช้นั้น พอขึ้นหัวข้อใหม่แล้ว ก่อนที่จะขึ้นย่อหน้าแรกคุณมีการเว้นบรรทัดหรือไม่ ถ้าคิดจะเว้น ๑ บรรทัดก็ทำให้ตลอดทั้งเล่ม ถ้าจะไม่เว้นก็ทำให้เหมือนกันทั้งเล่ม และทุกบทก็เหมือนกันด้วย ตัวอย่างเช่น


.๒ ชื่อหัวข้อเรื่อง ........


เนื้อหาในเรื่องนี้มีอยู่ว่า ...........


ซึ่งตรงนี้มีการเว้นบรรทัด แต่พออ่านไปกลับไปเจอ


.๑ ชื่อหัวข้อเรื่อง ...........

เนื้อหาในเรื่องนี้มีอยู่ว่า ............


กลับกลายเป็นว่าไม่เว้นบรรทัดระหว่างหัวข้อกับย่อหน้าแรก

นอกจากนี้ยังเคาะวรรคไม่เท่ากันอีก กล่าวคือระหว่างเลข . กับชื่อหัวข้อมีการเคาะวรรค ๒ วรรค แต่ระหว่างเลข . กับชื่อหัวข้อมีการเคาะวรรคแค่วรรคเดียว จะทำแบบใดก็เลือกเอาแบบหนึ่งให้เหมือนกันทั้งเล่ม


. ไม่ยอมตรวจหาคำที่พิมพ์ผิด


ที่แปลกใจก็คือวิทยานิพนธ์ที่ผมกำลังจะสอบในวันจันทร์พรุ่งนี้มีที่พิมพ์ผิดเยอะมาก ทั้ง ๆ ที่คำที่พิมพ์ผิดเหล่านี้ตัวโปรแกรมที่ใช้พิมพ์ (ซึ่งเชื่อว่าเกือบทุกคนคงใช้ Microsoft Office และมีส่วนน้อยที่ใช้ Latex) นั้นสามารถตรวจพบได้ แต่ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเขาถึงไม่ยอมใช้มันตรวจ หรือว่าไม่ได้สนใจว่ามันบอกว่าพิมพ์ผิด ที่ผมยังสงสัยคือทำไมโปรแกรม Open Office ที่ผมใช้พิมพ์ Memoir นี้มันไม่แสดงคำที่พิมพ์ผิด ทั้ง ๆ ที่ผมตั้งค่าเอาไว้ให้มันตรวจหาคำพิมพ์ผิดระหว่างพิมพ์เอาไว้ด้วย

สักสิบกว่าปีที่แล้วผมก็เคยเจอแบบนี้ พอถามนิสิตกลับไปว่าทำไมถึงไม่ใช้โปรแกรมแก้ไขคำที่พิมพ์ผิด เขาก็ตอบกลับมาว่ามันมีเยอะมากและเสียเวลาแก้ไขมาก ผมก็เลยถามกลับไปว่าแล้วคุณคิดว่าเวลาของกรรมการสอบนั้นมันไม่มีค่าหรือไง ในการที่ต้องมานั่งอ่านและตรวจแก้ไขคำที่พิมพ์ผิดให้คุณ ทั้ง ๆ ที่คุณใช้โปรแกรมตรวจหาในไฟล์ของคุณจะง่ายกว่าและเสียเวลาน้อยกว่ามาก

อีกรายหนึ่ง (แลปเดียวกับพวกเรา แต่อยู่คนละกลุ่มกัน) ที่อยู่ในรุ่นเดียวกับคนในย่อหน้าข้างบนก็มาอีกแบบหนึ่ง คือเขาไม่ยอมไปตรวจหาเอง ใช้วิธีการแก้ไขเฉพาะที่กรรมการตรวจเจอเท่านั้น (แต่กรรมการบอกไว้ชัดเจนว่าให้ไปตรวจดูทั้งเล่มใหม่หมดด้วย ไม่ใช่ตรวจแก้เฉพาะตรงที่กรรมการวงแดงเอาไว้) โดยคิดว่ากรรมการคงไม่ตรวจเพิ่มอีก งานนี้ผมก็เลยยังไม่ยอมลงชื่อในฉบับสมบูรณ์ ส่งกลับไปให้แก้ไขจนกระทั่งวันสุดท้ายของการส่ง ก็ยังพบว่ามีที่ผิดที่เขายังไม่ไปแก้ไขอีก ตอนที่เขามาหาผมที่ห้องทำงานพร้อมกับเพื่อนของเขอเพื่อขอให้ผมลงชื่อนั้น เขาก็สัญญาว่าขอให้อาจารย์ลงชื่อให้เขาส่งงานให้ได้ก่อน เพราะวันนี้วันสุดท้ายแล้ว แล้วเขาจะแก้ไขให้ พอผมลงชื่อในเอกสารและยื่นส่งคืนให้เขา พอเขารับเอกสารไปเรียบร้อยเขาก็พูดต่อหน้าผมและเพื่อนของเขาที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ว่า "แล้วอาจารย์คิดหรือว่าหนูจะกลับมาให้เห็นอีก" ผมฟังแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปและไม่ได้เล่าให้อาจารย์ท่านใดฟัง

ปรากฏว่าเขาไปได้งานเป็นอาจารย์ที่สถาบันแห่งหนึ่ง บังเอิญว่าทางสถาบันนั้นมีทุนให้อาจารย์ที่ยังไม่จบระดับปริญญาเอกให้เรียนต่อปริญญาเอกในประเทศ เขาก็สมัครมาเรียนที่เดิมโดยขอกลับมาเรียนกับอาจารย์ที่ปรึกษาคนเดิมของเขา บังเอิญว่าอดีตอาจารย์ที่ปรึกษาของเขาเอาเรื่องนี้เข้าที่ประชุมเพื่อวางตัวอาจารย์ผู้สอนและผู้ดูแล งานนี้ผมเลยขอปฏิเสธพร้อมทั้งเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองให้ฟัง ส่วนท่านอื่นจะตัดสินใจอย่างไรนั้นผมไม่มีความเห็นและไม่ขอออกความเห็นใด ๆ ทั้งสิ้น

สุดท้ายได้ยินมาว่าเขาได้ทุนไปเรียนต่อเอกต่างประเทศ และในขณะนี้จบการศึกษาและกลับมาทำงานเป็นอาจารย์ได้หลายปีแล้ว


. เคาะวรรคไม่สม่ำเสมอ


อันนี้เจอเป็นประจำกับพวกที่เขียนวิทยานิพนธ์เป็นภาษาอังกฤษ คือแต่ละคำในแต่ละประโยคนั้นเคาะวรรคไม่สม่ำเสมอ บางทีก็เคาะวรรค ๑ วรรค บางทีก็ ๒ วรรค ตอนที่ผมเรียนพิมพ์ดีดนั้น ครูผู้สอนก็ย้ำเสมอว่าเพื่อให้งานออกมาดูสวยงาม ระยะระหว่างคำในแต่ละประโยคให้เว้น 1 วรรค ส่วนระยะระหว่างประโยค (หลังจุด full stop จนถึงอักษรตัวแรกของประโยคถัดไป) ให้เว้น ๒ วรรค

แต่พอมาใช้คอมพิวเตอร์นั้น ผมก็ยังใช้เกณฑ์นี้อยู่ อาจมียกเว้นบ้างในกรณีที่ใช้การกั้นหน้าสม่ำเสมอซ้าย-ขวา ถ้าพบว่าการเว้นวรรค ๒ วรรคระหว่างประโยคนั้นทำให้การตัดประโยคขึ้นบรรทัดใหม่นั้นดูไม่สวยงาม ก็อาจมีการเปลี่ยนเป็น ๑ วรรคหรือเป็น ๓ วรรคระหว่างประโยค แต่ก็เป็นการกระทำเพียงบางจุดเท่านั้น ไม่ใช่เอาแน่เอานอนไม่ได้


คำที่อยู่หน้าเครื่องหมาย "," บางทีก็ไม่เคาะวรรค เช่น


....... for example, .....


แต่บางทีก็เคาะวรรค เช่น


....... for example , .....


โดยส่วนตัวแล้วผมชอบแบบแรก (ที่ไม่เคาะวรรค) มากกว่า


เล็กบ้าง-ใหญ่บ้าง เต็มบ้าง-ย่อบ้าง


ที่พบเป็นประจำคือคำว่า table และ figure ที่อยู่ในประโยคและไม่ได้เป็นคำแรกของประโยค

กล่าวคือจะเขียนแบบ ..... as shown in figure ...... (ตัวเล็ก) หรือ ..... as shown in Figure ..... (ตัวใหญ่) ก็เลือกเอาแบบใดแบบหนึ่ง

อีกแบบคือ ..... as shown in figure ..... (แบบไม่ย่อ) หรือ ..... as shown in fig. ..... (แบบย่อ แต่อย่างลืมใส่จุด (.) ด้วยนะ) ก็เลือกเอาแบบใดแบบหนึ่ง

อีกอันหนึ่งที่เจอก็คือไม่เติม "s" เมื่อมีมากกว่า 1 กล่าวคือ

ถ้าเป็นรูปเดียวเช่น ..... as shown in figure 4.4 .... ก็ไม่ต้องเติม s

แต่ถ้ามีสองรูปเช่น ..... as shown in figures 4.4 and 4.5 ต้องเติม s ท้ายคำ figure

และถ้ามีมากกว่าสองรูปเช่น ..... as shown in figures 4.4 - 4.7 ก็ต้องมี s และใช้เครื่องหมาย hyphen (-) คั่นระหว่างรูปแรกและรูปสุดท้ายได้เลย ไม่ใช่เขียนเป็น ..... as shown in figure 4.4, 4.5, 4.6, and 4.7 ...

คำว่า Figure x.x ที่กำกับรูปหรือคำว่า Table x.x ที่กำกับตาราง ควรใช้ตัวพิมพ์เข้ม เพื่อเน้นให้เด่นจากข้อความปรกติและตัวคำบรรยายรูปภาพหรือตาราง เช่น


Figure 4.4 Flow diagram of ....


Table 4.1 Parameters ....


และควรมีการเว้น ๑ บรรทัดระหว่างข้อความกับรูปภาพหรือตารางด้วย โดยชื่อรูปควรอยู่ใต้รูป และชื่อตารางควรอยู่เหนือตาราง


. ย่อหน้าไม่สม่ำเสมอ


บางคนนั้นเวลาที่มีหัวข้อย่อย ก็จะทำการย่อหน้าลึกเข้าไปทางขวาเรื่อย ๆ ตัวอย่างเช่น


xxxxx5.1 Effects of .....


xxxxxเนื้อหาหัวข้อ 5.1


xxxxxxxxxx5.1.1 Effects of .....


xxxxxxxxxxเนื้อหาหัวข้อ 5.1.1 .....


แต่บางคนก็จะคงระยะย่อหน้าไว้คงที่เสมอ เช่น


xxxxx5.1 Effects of .....


xxxxxเนื้อหาหัวข้อ 5.1


xxxxx5.1.1 Effects of .....


xxxxxเนื้อหาหัวข้อ 5.1.1 .....


เรื่องการย่อหน้าเข้ามานี้ บางที่ก็มีระเบียบบังคับไว้เลยว่าถ้าเป็นหัวข้อย่อยก็ให้ถอยลึกเข้ามาเรื่อย ๆ ทำให้บางรายที่มีหัวข้อย่อหลายหัวข้อต้องย่อหน้าเข้ามากว่าครึ่งหน้า (เห็นแล้วดูไม่ได้เลย ไม่รู้คนคิดระเบียบนั้นคิดได้อย่างไร) ถ้าไม่มีระเบียบการเขียนกำหนดไว้ ก็ให้เลือกเอาแบบใดแบบหนึ่งให้เหมือนกันทั้งเล่ม


. มีจุด full stop ปิดท้ายด้วย


เป็นเรื่องประจำที่พบว่าผู้ที่เขียนวิทยานิพนธ์นั้นลืมใส่จุด full stop (.) ไว้ที่ท้ายประโยค จุดหนึ่งที่เห็นลืมกันมากที่สุดคือในส่วนเอกสารอ้างอิงที่เป็นฉบับภาษาอังกฤษ ที่ต้องมีจุด full stop ปิดท้ายด้วย และที่ชื่อรูปภาพและชื่อตารางด้วย


. ไม่ยอมเคาะวรรค


ระหว่างภาษาไทยกับภาษาอังกฤษ ระหว่างคำกับตัวเลข ระหว่าง คำ/ตัวเลขกับเครื่องหมายเปิดวงเล็บ หรือระหว่างเครื่องหมายปิดวงเล็บกับคำ/ตัวเลข ควรมีการเว้นวรรค 1 วรรคเพื่อให้ข้อความดูสวยงามและอ่านง่าย เช่น

รูปที่๓.๒แสดงให้เห็นว่า ..... ให้เขียนเป็น รูปที่ ๓.๒ แสดงให้เห็นว่า ..... (มีวรรค 1 วรรคอยู่หน้าเลข ๓ และหลังเลข ๒)

Figure4.1 shows that ...... ให้เขียนเป็น Figure 4.1 shows that ..... (มีวรรค 1 วรรคอยู่หน้าเลข 4)

ข้อมูล(ซึ่งได้มา ...... นั้น)แสดงให้เห็นว่า..... ให้เขียนเป็น ข้อมูล (ซึ่งได้มา ...... นั้น) แสดงให้เห็นว่า..... (มีวรรค 1 วรรคอยู่หน้าเครื่องหมายเปิดวงเล็บและหลังเครื่องหมายปิดวงเล็บ)


. คำอธิบายสัญลักษณ์


สำหรับงานที่มีสมการคณิตศาสตร์มากนั้น ควรมีการรวบรวมสัญลักษณะต่าง ๆ มาอธิบายไว้ข้างหน้า โดยต้องเรียงลำดับสัญลักษณ์ต่าง ๆ ตามตัวอักษรจาก A-Z ต่อจากนั้นจึงเป็นคำอธิบาย superscript และ subscript และตามด้วยคำอธิบายอักษร Greek ไม่ใช่ใส่เอาแบบตามใจชอบแล้วให้คนอ่านไปหาเอาเองว่าซ่อนไว้ตรงไหน

และควรระบุด้วยว่าตัวแปรแต่ละตัวมีหน่วยเป็นอะไรหรือเป็นตัวแปรที่ไม่มีหน่วย หน่วยบางหน่วยนั้นสามารถเขียนแบบกลาง ๆ ได้ เช่นพื้นที่ผิวภายนอกต่อหน่วยปริมาตร อาจเขียนเป็น m2/m3 หรือ l2/l3 (ความยาวกำลัง 2 ต่อความยาวกำลัง 3 เมื่อ l คือความยาว) ก็ได้


. ตกลงว่าจะพิมพ์สีหรือขาวดำ


ปัญหานี้พบประจำเวลาที่ทำรูปกราฟต่าง ๆ บนคอมพิวเตอร์ชอบที่จะทำเป็นรูปสี แต่ตอนพิมพ์วิทยานิพนธ์กลับใช้เครื่องพิมพ์ที่พิมพ์ได้แต่สีดำ ผลที่ตามมาคือไม่สามารถอ่านภาพได้ เส้นที่เป็นสีอ่อนจะหายไป เส้นที่เป็นสีเข้มจะดูเหมือนกันหมด หรือรูปที่เป็นการแรเงาไล่สีจะดูออกมาดำไปหมด

ดังนั้นถ้าคิดจะใช้เครื่องพิมพ์ที่พิมพ์ได้แต่สีดำ การสร้างกราฟหรือรูปภาพต่าง ๆ บนคอมพิวเตอร์ก็ควรจะทำให้เป็นสีดำ (หรือภาพขาว-ดำ) ซึ่งจะทำให้เห็นก่อนว่าถ้าพิมพ์ออกมาแล้วจะอ่านได้หรือเปล่า


อนึ่งพึงระลึกว่าข้อความเรื่องการจัดรูปแบบใน memoir นี้เขียนโดยใช้โปรแกรม OpenOffice แต่เมื่อนำไปลงใน blog แล้วอาจมีรูปแบบที่เพี้ยนไปได้ (เนื่องจากตัว blog เองไม่ได้มีฟังก์ชันให้จัดรูปแบบได้เหมือนโปรแกรมพิมพ์งานทั่วไป)

วันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ทำให้เรียบร้อย MO Memoir : วันศุกร์ที่ ๓ เมษายน ๒๕๕๒

หายไปเกือบ 2 เดือน (ขาดไป 3 วัน) เพราะว่าเป็นช่วงการสอบไล่ของปริญญาตรี และเร่งปิดแลปกับตรวจวิทยานิพนธ์ให้พวกปริญญาโทปี 2 เห็นวิทยานิพนธ์ที่เขียนมาให้อ่านแล้วทำให้อดใจไม่ได้ ต้องเขียนเพิ่มอีก

ก่อนอื่นขอเตือนความจำหน่อยว่าเรื่องการเขียนวิทยานิพนธ์นี้เคยกล่าวไว้สองครั้งแล้วใน

(1) MO Memoir : Saturday 20 September 2551 การเขียนเอกสารอ้างอิง และ

(2) MO Memoir : Friday 6 February 2552 การเขียนวิทยานิพนธ์

แต่ดูเหมือนว่าที่เขียนไว้ในฉบับ 20 กันยายนเรื่องการเขียนเอกสารอ้างอิง จะไม่ได้อ่านกัน หรือไม่ก็อ่านแล้วก็ลืม เพราะขนาดบอกกล่าวกันล่วงหน้าแล้วก็ยังมีผิดอีก

ทำไมต้องเขียนวิทยานิพนธ์ให้เรียบร้อย

ผมเคยกล่าวไว้ในฉบับวันที่ 6 กุมภาพันธ์แล้วว่า วิทยานิพนธ์ที่ดีนั้น เมื่อผู้อ่านได้อ่านแล้วจะต้องไม่มีข้อสงสัยใด ๆ เหลือให้ซักถามตอนสอบอีก สิ่งที่ต้องคำนึงเอาไว้เสมอตอนเขียนวิทยานิพนธ์คือ "ต้องให้กรรมการสอบยอมรับในสิ่งที่เราส่งให้โดยไม่มีข้อสงสัยหรือต้องแก้ไขใด" ถ้าทำเช่นนี้ได้ก็ถือได้ว่าดีมาก ความคิดแบบที่ว่า "ทำส่ง ๆ ไปเหอะ เดี๋ยวกรรมการก็ตรวจแก้มาให้แก้ไขใหม่อยู่ดี" เป็นความคิดที่ใช้ไม่ได้

วิทยานิพนธ์ที่คุณสอบเสร็จแล้วจะเข้าไปอยู่ในห้องสมุด ซึ่งอาจจะอยู่นานกว่าชั่วชีวิตคุณอีก และใคร ๆ ก็สามารถเข้าไปขอยืมอ่านได้ ถ้าคุณทำมันไม่เรียบร้อย ก็เท่ากับเป็นการประจานตัวผู้เขียนเอง (และกรรมการสอบต่าง ๆ ที่ลงนามไว้ในหน้าแรกของวิทยานิพนธ์ด้วย) ให้คนรุ่นหลังได้เห็นการกระทำของคุณ (และมาตรฐานของกรรมการสอบ) คำพูดและ slide ต่าง ๆ ที่คุณใช้ในระหว่างการสอบ มันไม่ได้ตามเข้าไปอยู่ในห้องสมุดด้วย

คราวนี้คงเป็นการตรวจแก้ ก็เลยจะขอเขียนปัญหาต่าง ๆ ที่ประสบมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นประจำ และหวังว่าจะประสบน้อยลง (ไม่ได้คาดหวังเลยนะว่ามันจะหมดไป) ถ้าคุณแก้ไขในสิ่งที่จะบอกต่อไปนี้ได้ วิทยานิพนธ์ของคุณก็จะออกมาดูดีมาก จะขอไล่ไปทีละเรื่องตามที่นึกออกก็แล้วกัน อ่านแล้วก็อย่าคิดอะไรมาก (ถือว่าเป็นการระบายอารมณ์ของผู้ตรวจก็แล้วกัน) แต่สมควรปฏิบัติตามเป็นอย่างยิ่ง

1. หน่วยไม่เหมือนกัน

พวกนี้มักเกินตอนลอก paper ต่าง ๆ มาเขียนโดยไม่ดัดแปลงใด ๆ เช่นบางฉบับใช้หน่วยอุณหภูมิเป็นเคลวิน (K - ไม่มีเครื่องหมายองศานะ) แต่บางฉบับให้หน่วยเป็นองศาเซลเซียส (°C - สังเกตนะว่ามีเครื่องหมายองศา "°" อยู่ด้วย) สิ่งที่คุณต้องทำคือแปลงหน่วยให้เหมือนกัน ถ้าคุณจะเลือกใช้ °C ก็ปรับหน่วยของคนอื่นที่ไม่ได้ใช้หน่วยนี้ให้เป็น °C ทั้งหมด ถ้าคุณจะเลือกใช้เป็น K ก็ปรับหน่วยของคนอื่นที่ไม่ได้ใช้หน่วยนี้ให้เป็น K ทั้งหมด

หรือในกรณีของการรายงานปริมาตรเป็น ml หรือ cc หรือ cm3 ซึ่งผมไม่เถียงหรอกว่ามันเท่ากัน แต่ถ้าจะให้ดูสวยงามควรเลือกเอาแบบใดแบบหนึ่ง และปรับหน่วยให้เขียนเหมือนกันหมดทั้งเล่ม ซึ่งรวมไปถึงอัตราการไหลด้วย เช่นให้เลือกว่าจะใช้เป็น ml/min หรือ cc/min หรือ cm3/min หรือจะใช้แบบยกกำลังติดลบทำนองแบบ ml min-1 หรือ cc min_1 หรือ cm3 min-1 ก็ทำให้เหมือนกันทั้งเล่ม

อีกที่ที่พบคือการรายงานค่าความหนาแน่น (โดยเฉพาะใน Material Safety Data Sheet - MSDS ที่แนบมาตอนท้ายวิทยานิพนธ์นั่นแหละ คาดว่าคงลอกโดยตรงมาจากอินเทอร์เนต) เลือกเอาว่าจะรายงานในรูปแบบความหนาแน่น (density) ที่มีหน่วยเป็น g/ml (หรืออะไรทำนองนี้) หรือความถ่วงจำเพาะ (specific gravity - sp.gr.) ที่ไม่มีหน่วย

จุดที่จะมีข้อยกเว้นอยู่บ้างเห็นจะได้แก่เรื่องความดัน ถ้าเป็นความดันเหนือบรรยากาศ คุณอาจรายงานเป็น atm หรือ bar หรือ kg/cm2 หรืออะไรก็ตามแต่ แต่ถ้าเป็นความดันเหนือบรรยากาศเพียงเล็กน้อย มักจะรายงานเป็น "นิ้วน้ำ - in. H2O" เช่นความดัน 2 in. H2O กล่าวคือเป็นความดันที่เทียบเท่าความสูงของน้ำ 2 นิ้ว และถ้าเป็นความดันต่ำกว่าบรรยากาศก็มักจะใช้เป็น in. H2O (ถ้าต่ำกว่าเล็กน้อย) หรือเป็นมิลลิเมตรปรอท - mm Hg (ถ้าต่ำกว่าบรรยากาศค่อนข้างมาก) หรือถ้าต้องการละเอียดมากอาจต้องรายงานเป็นความดันสัมบูรณ์ (Absolute pressure) เป็น MPa หรือ kPa หรือ Pa ขึ้นอยู่กับช่วงความดัน

2. ทำตารางให้เรียบร้อย

บางคนเอาสบายเข้าว่า โปรแกรม Word ตีตารางไว้ให้อย่างไรก็ใช้ไปตามนั้นเลย ตัวอย่างเช่น (ตารางที่ปรากฏใน blog จะแตกต่างไปจากฉบับที่แจกจ่ายทางอีเมล์)

Catalyst

Surface Area (m2/g)

Cat A

100

Cat B

120

Cat C

115

Cat D

108


เห็นแบบนี้แล้วรู้ทันทีเลยว่าคนทำไม่ได้สนใจเลยว่าทำอะไรลงไป หรืออาจคิดว่ากรรมการไม่อ่านวิทยานิพนธ์เลยก็ได้ บางรายยังดีหน่อยที่พอจะจัดขนาดความกว้างของคอลัมน์มาให้เหมาะสม มีการเน้นหัวข้อมาให้ และตีเส้นตารางมาพอเหมาะ ดังเช่น


Catalyst

Surface Area (m2/g)

Cat A

100

Cat B

120

Cat C

115

Cat D

108


แต่ตารางที่มีความกว้างน้อยกว่าความกว้างของหน้ากระดาษ ไม่จำเป็นต้องชิดซ้ายตลอดนะ อาจจะวางไว้โดยเอาตรงกลางเป็นหลัก เช่น


Catalyst

Surface Area (m2/g)

Cat A

100

Cat B

120

Cat C

115

Cat D

108


หรืออาจให้มีการเยื้องไปทางขวาบ้างเล็กน้อยตามความเหมาะสม เช่น

Catalyst

Type

Surface Area (m2/g)

Cat A

X

100

Cat B

X

120

Cat C

Y

115

Cat D

Y

108

ก็จะทำให้ดูดีขึ้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับตัววิทยานิพนธ์ว่าแบบไหนจะทำให้ภาพโดยรวมดูดีที่สุด

แต่ยังเห็นได้ว่าเมื่อตีเส้นตารางแล้ว แถวบนสุด (ที่เป็นหัวข้อ) และแถวที่สอง (Cat A) ที่ให้สีน้ำเงินไว้ จะมีด้านบนติดเส้นตาราง แต่ด้านล่างจะเว้นห่างออกมา ทำให้ดูไม่สวยงาม (พวกนี้มักพบในกรณีที่คุณใช้ระยะบรรทัด (line spacing) เป็น 1 เท่าครึ่งหรือ 2 เท่า ถ้าใช้เป็นแบบเท่าเดียว (single space) จะไม่พบปัญหานี้) ในกรณีนี้เราสามารถปรับแก้ได้โดยการใช้คำสั่ง "space before" ที่อยู่ในส่วนการจัดรูปแบบย่อหน้า เพิ่มที่ว่างเหนือบรรทัดเข้าไปสัก 6 pt เฉพาะแถวที่ติดเส้นตารางก็จะทำให้ดูดีขึ้นดังนี้

Catalyst

Type

Surface Area (m2/g)

Cat A

X

100

Cat B

X

120

Cat C

Y

115

Cat D

Y

108

แต่ในบางครั้งถ้ามีข้อมูลไม่มาก เราอาจไม่ต้องตีเส้นแนวดิ่งก็ได้ ตีแต่เส้นแนวนอนและเน้นเส้นหนาดังเช่น


Catalyst

Type

Surface Area (m2/g)

Cat A

X

100

Cat B

X

120

Cat C

Y

115

Cat D

Y

108

ก็จะทำให้ได้ตารางที่ดูไม่รกเกินไป

อีกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตารางคือระยะบรรทัด บางคนใช้ระยะบรรทัดของแต่ละตารางไม่เหมือนกัน บางตารางใช้ระยะบรรทัดเท่าเดียว (single space) แต่อีกตารางใช้ระยะบรรทัดเท่าครึ่ง (one and half space)

และในกรณีที่ตารางทำท่าว่าจะล้นขอบกระดาษไปเล็กน้อยนั้น อาจแก้ปัญหาด้วยการลดขนาดตัวอักษร (Font size) ของตารางลงเล็กน้อย (แต่อย่างให้ถึงขั้นอ่านไม่ออกหรือมองไม่เห็น) ก็ถือว่ายอมรับได้ เพื่อให้ตารางอยู่ในขอบเขตของกระดาษ ไม่ล้นออกไป

3. ไอ้ที่มีก็ไม่ปรากฏ ไอ้ที่ปรากฏก็ดันไม่มี

เรื่องนี้เป็นเรื่องเอกสารอ้างอิงที่มักเกิดจากการลอก ๆ กันมาจากรุ่นก่อนหน้า สิ่งที่พบคือเอกสารที่มีการกล่าวอ้างในเนื้อหา กลับไม่มีปรากฏในส่วน References และเอกสารที่ปรากฏใน References กลับไม่มีปรากฏว่ามีการกล่าวอ้างในเนื้อหา ซึ่งทั้งสองส่วนต้องตรงกัน และที่สำคัญคือกรรมการจะถือว่าคุณจะต้องได้อ่านสิ่งที่คุณนำมาอ้างอิง และต้องเข้าใจในสิ่งที่เอกสารอ้างอิงเขียน ไม่ใช่ว่าลอก ๆ มาเพื่อให้วิทยานิพนธ์มันหนาขึ้นโดยที่ไม่ได้สนใจอะไรเลย ถ้าคุณได้อ่านมัน แต่มันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับงานของคุณเลย ก็ไม่ต้องนำมาใส่ในส่วนของเนื้อหาหรือเอกสารอ้างอิง

4. เขาบอกว่า ไม่ใช่คุณพูดเอง

เรื่องนี้เป็นการลอกบทคัดย่อของผลงานที่มีผู้อื่นได้มีการตีพิมพ์เผยแพร่ไว้มาเป็นเนื้อหาในบท Literature review ของพวกคุณ ในเนื้อหาบทคัดย่อนั้นเป็นการเล่าของผู้ที่ทำการทดลองจริงว่า ได้ทำอะไร พบอะไร คิดอย่างไร และเสนอแนะว่าอย่างไร แต่เมื่อคุณนำข้อความของเขามา คุณจะต้องทำการดัดแปลงเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจว่าข้อความที่คุณนำมานั้นเป็นข้อความของคนอื่น ไม่ใช่ของคุณเอง คุณต้องเล่าในทำนองว่า ผู้เขียนบทความนั้นได้ทำการทดลองอะไร ผู้เขียนบทความนั้นพบอะไร ผู้เขียนบทความนั้นคิดอย่างไร และผู้เขียนบทความนั้นเสนอแนะว่าอย่างไร ซึ่งเป็นเพียงแค่การเล่าเรื่อง ส่วนคุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อ จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

อีกเรื่องที่พบคือชื่อย่อ (อาจเป็นสารเคมีหรือชื่อรหัสตัวเร่งปฏิกิริยา) ซึ่งมักเป็นชื่อย่อที่ใช้เฉพาะกับบทความนั้น เวลาที่คุณนำบทความนั้นมาอ้างอิงคุณต้องเขียนเป็นชื่อเต็มหรือปรับให้เข้ากับชื่อย่อสารเคมีที่คุณใช้ในวิทยานิพนธ์ของคุณ ถ้าเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาก็ต้องบอกเป็นองค์ประกอบแทน ไม่ใช่นำเอาชื่อรหัสของเขามาอ้างอิง คนอ่านวิทยานิพนธ์ของคุณจะไปรู้ได้อย่างไรว่าชื่อรหัสนั้นเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาชนิดไหน ประกอบด้วยอะไรบ้าง

5. ไม่ต้องใช้คุ้มจนบรรทัดสุดท้าย

บางรายพิมพ์ไปข้างหน้าอย่างเดียว ให้คอมพิวเตอร์ทำการขึ้นหน้าใหม่ให้ตลอด ผลออกมาก็คือในบางครั้งเมื่อขึ้นหัวข้อใหม่ ตัวหัวข้อไปอยู่ที่บรรทัดสุดท้ายหรือเกือบสุดท้าย แล้วไปเริ่มต้นเนื้อหาหัวข้อนั้นในหน้าใหม่ หรือขึ้นย่อหน้าใหม่ได้บรรทัดเดียว แล้วส่วนที่เหลือของย่อหน้าก็ไปอยู่อีกหน้าหนึ่ง

จริงอยู่ การที่คุณพิมพ์แต่ละหน้าจนบรรทัดสุดท้ายอาจทำให้คุณประหยัดหน้ากระดาษที่ต้องพิมพ์ออกมา (ผมว่าอย่างมากไม่น่าถึง 10 หน้าต่อวิทยานิพนธ์ที่หนา 100 หน้า) แต่การกระทำดังกล่าวนอกจากจะดูไม่สวยงามแล้วยังอาจทำให้เกิดปัญหาตามมาเมื่อคุณต้องทำการแก้ไข เพราะถ้ามีการแทรกข้อความเพิ่มเติมเข้าไปหรือตัดข้อความออกบางส่วน จะสามารถทำให้การขึ้นหน้าใหม่ของเนื้อหาและ/หรือเลขลำดับหน้าของวิทยานิพนธ์จากจุดที่ทำการแก้ไขเปลี่ยนแปลงทั้งหมดทันที และคุณต้องพิมพ์เนื้อหาจากจุดที่คุณได้ทำการแก้ไขลงกระดาษใหม่ทั้งหมด

ที่ว่างที่เว้นไว้ในตอนท้ายของหน้าที่มีอยู่บางหน้านั้น (ขึ้นอยู่กับจังหวะการขึ้นหัวข้อและย่อหน้าใหม่) จะทำหน้าที่เป็นกันชนสำหรับการยืดขยายหรือหดสั้นของข้อความ คุณอาจจะต้องพิมพ์จากจุดที่ได้ทำการแก้ไขออกมาใหม่บางหน้าเท่านั้นโดยไม่ต้องพิมพ์ออกมาทั้งหมด

คำแนะนำคร่าว ๆ คือถ้าท้ายหน้าของคุณเหลือเพียงไม่กี่บรรทัด เช่นสมมุติว่าเหลืออยู่ 3 บรรทัด และย่อหน้าของคุณยาวกว่า 3 บรรทัด จะเป็นการดีกว่าถ้าคุณจะเว้น 3 บรรทัดนั้นให้ว่างเอาไว้และไปขึ้นย่อหน้าใหม่ในรูปถัดไป

6. คงเส้นคงวาหน่อย

บางรายมีกราฟแบบเดียวกันหลาย ๆ กราฟ เช่นทดสอบตัวเร่งปฏิกิริยาหลายตัวที่อุณหภูมิต่าง ๆ กันและรายงานผลเป็นค่า conversion, selectivity ของผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ตามอุณหภูมิของตัวเร่งปฏิกิริยาแต่ละตัว แต่ใช้รูปแบบเส้นและ/หรือ marker ของเส้นต่าง ๆ เปลี่ยนไปตามกราฟ เช่นกราฟหนึ่งใช้ marker ของ conversion เป็นสี่เหลี่ยม แต่อีกรูปหนึ่งกลับใช้เป็นวงกลมแทน ถ้าจะให้ดูสวยงามแล้ว ค่า conversion เลือกใช้ (เส้น + marker) รูปแบบใด ก็ใช้ให้มันเหมือนกันทุกกราฟ ค่า selectivity ของผลิตภัณฑ์เดียวกันก็ให้ใช้ (เส้น + marker) เหมือนกันทุกกราฟด้วย และแกน x และแกน y ก็ช่วยทำให้มันเหมือนกันทุกกราฟ ไม่ว่าจะเป็นช่วงระยะแกนหรือการตีเส้นแกนหลัก-แกนรอง และขนาดของรูปก็ควรจะทำให้เท่ากันด้วย (ถ้ากราฟมีรูปแบบเดียวกัน)

7. ช่วย ๆ กันบ้าง

หลายรายเลยเวลาที่แก้ไขวิทยานิพนธ์ก็จะแก้ไขเฉพาะตรงที่กรรมการทำเครื่องหมายเอาไว้ให้เท่านั้น ทั้ง ๆ ที่บางจุดกรรมการก็อาจอ่านผ่านข้ามสายตาไป หรือมีมากจนกรรมการแก้ให้หมดไม่ได้ ได้แต่บอกเพียงว่าช่วยไปตรวจดูทั้งเล่มด้วยในจุดที่ทำผิดซ้ำ ๆ เสมอ

สิ่งที่คุณควรทำคือต้องตรวจดูทั้งหมด โดยเฉพาะข้อผิดพลาดที่คุณทำผิดเป็นประจำในเนื้อหา ว่ายังมีตกหล่นอยู่ที่ไหนอีกที่กรรมการมองไม่เห็น เช่นการกั้นหน้า ในบางครั้งบางย่อหน้าก็ไม่ได้จัดให้กั้นชิดขอบขวาด้วย (มีแต่ขอบซ้ายอย่างเดียว) การจัดตำแหน่งหัวข้อไม่ตรงกัน การเว้นระยะระหว่างบรรทัดที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ (บางช่วงเว้นมาก บางช่วงเว้นน้อย บางช่วงไม่เว้นเลย) ถ้ามีปัญหามากเรื่องการจัดระยะบรรทัดและการจัดตำแหน่งหัวข้อ ขอแนะนำให้ยกเลิกคำสั่ง Auto format และลบตำแหน่ง Tab ต่าง ๆ ทิ้งทั้งหมด และทำแบบ manual แทน เช่นใช้แป้น Tab ในการขึ้นย่อหน้าใหม่ ยกเลิกคำสั่งพิเศษต่าง ๆ ทั้งหมดที่อยู่ในส่วนการจัดรูปแบบย่อหน้า ปัญหาพวกนี้บางทีเกิดจากการคัดลอกข้อความมาจากไฟล์ของผู้อื่นที่มีการตั้งคำสั่งไว้ไม่เหมือนกับในเครื่องของคุณ

วันนี้บ่นมามากพอแล้ว ได้แต่หวังอย่างลม ๆ แล้ง ๆ ว่าจะไม่ต้องเจอกับปัญหาต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้นอีกกับพวกที่จะสอบในเย็นวันนี้และในสัปดาห์หน้า