เมื่อค่ำวันวานมีอาจารย์ท่านหนึ่งจากห้องปฏิบัติการวิจัยในสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่ง
ที่ตั้งอยู่คนละฟากฝั่งแม่น้ำกับสถานที่ทำงานของผม
โทรมาสอบถามเรื่องปัญหาเกี่ยวกับการทำการทดลอง
อันที่จริงก่อนหน้านี้เมื่อสัปดาห์ที่ตอนวันวาเลนไทน์แล้วเขาก็เคยโทรมาปรึกษาครั้งหนึ่ง
ซึ่งจะว่าไปแล้วเรื่องที่เขาถามนั้นจะว่าไปก็เป็นเรื่องที่ผมเองก็พบเห็นมานานแล้วตั้งแต่กลับมาทำงานใหม่
ๆ เมื่อกว่า ๒๐ ปีที่แล้ว
และบางเรื่องก็เคยเขียนลง
blog
เอาไว้เหมือนกัน
และบังเอิญคราวนี้มีคำถามแบบเดียวกันมาเป็นชุด
ๆ ก็เลยขอรวบรวมเอาไว้เสียหน่อย
(เผื่อ
google
จะได้มีโอกาสหาเจอมากขึ้นเวลามีคนค้นหาคำตอบของคำถามแบบนี้)
เพราะมันเป็นเรื่องที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครเขียนเอาไว้
และบางเรื่องมันเป็นเรื่องที่วิธีการแก้ปัญหานั้นได้จากประสบการณ์ที่ลงมือทำโดยตรง
ไม่ใช่ได้จากฟังคนอื่นเขาบอกเล่ามาอีกที
ปฏิกิริยาที่เขาทดลองนั้นเป็นปฏิกิริยาในเฟสแก๊สที่เกิดขึ้นใน
fixed-bed
catalytic reactor ที่อุณหภูมิสูง
ในการทดลองนั้นเขาผสมแก๊ส
๒ ตัวคือ A
และ
B
เข้าด้วยกัน
โดยแก๊ส A
มีอัตราการไหลที่ต่ำกว่าแก๊ส
B
มาก
(คือประมาณ
10%)
การวัดอัตราการไหลใช้
bubble
flow meter โดยใช้เส้นทาง
bypass
ที่ไม่ผ่าน
reactor
ส่วนแก๊สขาออกจาก
reactor
นั้นเข้าสู่ระบบเก็บตัวอย่างเพื่อวิเคราะห์ด้วยเครื่อง
gas
chromatograph (GC)
รูปข้างล่างเป็นรูปที่ผมวาดขึ้นเองจากจินตนาการที่ฟังเขาเล่าให้ฟัง
แต่ก็คิดว่าน่าจะใกล้เคียงกับของจริง
เพราะตอนที่ผมเสนอแนะวิธีแก้ปัญหาให้เขาผมก็อิงเอาจากรูปที่ผมสร้างขึ้นจากจินตนาการรูปนี้
ถ้าของจริงกับที่ผมฝันเอาไว้มันเป็นคนละเรื่องกันเลยล่ะก็
แสดงว่าวิธีแก้ปัญหาที่ผมแนะนำให้เขาไปคงจะไม่ได้ผล
รูปที่
๑ แผนผังระบบการทำปฏิกิริยา
แก๊ส A
ที่มีอัตราการไหลที่ต่ำ
(ประมาณ
10%
ของแก๊ส
B)
จ่ายมาจากถังที่ความดัน
P0
ก่อนผ่านวาล์วปรับอัตราการไหล
และผสมรวมเข้ากับแก๊ส B
ด้วยการใช้ข้อต่อ
๓ ทาง (Tee)
โดยให้แก๊สแต่ละสายเข้ามาบรรจบแบบไหลชนกันและออกตรงกลาง
(แก๊สทั้งคู่เป็น
reactant
gas ไม่มีการผสมแก๊สเฉื่อย)
การวัดอัตราการไหลใช้
bubble
flow meter โดยใช้เส้นทาง
bypass
ตัว
reactor
และวัดที่อุณหภูมิห้องและความดันบรรยากาศ
ส่วนการทำปฏิกิริยานั้นทำปฏิกิริยาที่อุณหภูมิหลายร้อยองศาเซลเซียส
แก๊สที่ออกจาก reactor
ต่อไปยังระบบเก็บตัวอย่างเพื่อวิเคราะห์ด้วยเครื่อง
GC
ทีนี้ก็ลองมาดูกันนะครับว่ามีคำถามอะไรบ้าง
และผมได้ให้ความเป็นไปอย่างไร
๑.
การนำผงตัวเร่งปฏิกิริยาไปอัดเป็นแผ่นแล้วตัดให้เป็นชิ้นเล็ก
ๆ มีผลหรือไม่ต่อผลการทดลอง
ตัวเร่งปฏิกิริยาวิวิธัพันธ์ที่เป็นของแข็งที่เตรียมกันในระดับห้องปฏิบัติการนั้นมักจะมาในรูปของผงละเอียด
ถ้าเป็นการทดลองกับปฏิกิริยาในเฟสของเหลว
ก็มักจะใช้ในรูปที่เป็นผงนั้นเลย
แต่ถ้าเป็นการทดลองกับปฏิกิริยาในเฟสแก๊สใน
fixed-bed
ก็เห็นมีการทำกันอยู่
๒ รูปแบบคือ รูปแบบแรกก็ใช้ในรูปที่เป็นผงนั้นเลย
และรูปแบบที่สองที่จะนำผงตัวเร่งปฏิกิริยานั้นไปอัดให้เป็นแผ่นก่อน
จากนั้นก็ตัดให้เป็นชิ้นเล็ก
ๆ (แต่ก็ยังมีขนาดที่ใหญ่กว่าอนุภาคที่เป็นผงแต่ละอนุภาคมาก)
นำไปร่อนผ่านตะแกรงเพื่อคัดขนาด
แล้วจึงค่อยนำไปใช้ในการทดลอง
คำถามแรกก็คือ
ทั้งสองรูปแบบนั้นมันให้ผลที่เหมือนกันหรือแตกต่างกัน
ซึ่งจากประสบการณ์ที่ผ่านมานั้นพบว่ามันไม่เหมือนกัน
เพราะมันมีเรื่องของการแพร่
(diffusion)
เข้ามายุ่ง
ตัวเร่งปฏิกิริยาที่เป็นผงละเอียดนั้น
ทุกอนุภาคของตัวเร่งปฏิกิริยาจะสัมผัสกับแก๊สที่ไหลผ่าน
(convection)
ดังนั้นโอกาสที่จะมี
external
mass transfer resistance จึงต่ำกว่า
และถ้าหากผงตัวเร่งปฏิกิริยามีขนาดเล็กลงจนถึงระดับหนึ่งแล้ว
ปัญหาเรื่อง internal
mass transfer resistance ก็จะหมดไปด้วย
ดังนั้นถ้าการทดลองนั้นต้องการวัดอัตราการเกิดปฏิกิริยาที่แท้จริง
ซึ่งอัตราการหายไปของสารตั้งต้นนั้นต้องไม่ถูกจำกัดด้วยอัตราเร็วในการแพร่
การใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาในรูปแบบที่เป็นผงละเอียดจะให้ผลที่ถูกต้องมากกว่า
การนำเอาผงตัวเร่งปฏิกิริยาไปอัดให้เป็นแผ่นแล้วตัดให้เป็นชิ้นเล็ก
ๆ
นั้นจะมีเฉพาะผงอนุภาคที่อยู่บนพื้นผิวชิ้นตัวเร่งปฏิกิริยาแต่ละชิ้นเท่านั้นที่ได้สัมผัสกับสารตั้งต้นในเฟสแก๊สแบบไม่มี
external
mass transfer resistance
ส่วนผงอนุภาคตัวเร่งปฏิกิริยาที่อยู่ข้างในชิ้นอนุภาคตัวเร่งปฏิกิริยานั้น
จะได้รับเฉพาะสารตั้งต้นที่แพร่ผ่านช่องว่างระหว่างอนุภาคตัวเร่งปฏิกิริยาแต่ละอนุภาคที่แพร่เข้าไปถึงเท่านั้น
และถ้าเป็นกรณีของปฏิกิริยาคายความร้อนด้วย
โอกาสที่สารตั้งต้นจะแพร่เข้าไปถึงผงอนุภาคตัวเร่งปฏิกิริยาที่อยู่บริเวณตอนกลางของชิ้นตัวเร่งปฏิกิริยาแต่ละชิ้นจะน้อยลงไปอีก
(คำอธิบายตรงนี้มันอยู่ในเรื่อง
effectiveness
factor หรือค่า
)
เมื่อกว่า
๒๐ ปีที่แล้วเคยมีนิสิตปริญญาเอกคนหนึ่งมาถามผมด้วยคำถามเดียวกันนี้
(ตอนนี้ดูเหมือนเขาจะเป็นผู้มีตำแหน่งใหญ่โตในสายงานวิจัยของบริษัทยักษ์ใหญ่ชั้นแนวหน้าของไทยบริษัทหนึ่ง)
ผมก็ถามเขากลับไปว่าผมก็แปลกใจเหมือนกันว่าทำไมคุณต้องทำแบบนั้น
คุยกันไปคุยกันมาก็เลยรู้ว่าที่กลุ่มของเขาทำแบบนั้นเพราะไปลอกวิธีการจากแลปที่ญี่ปุ่นที่อาจารย์ที่ปรึกษาไปเห็นมา
(คือเห็นเขาทำอย่างนั้นก็เลยทำตามโดยไม่คิดอะไร)
และพอมีรุ่นพี่เคยใช้วิธีการนี้
(คืออัดให้เป็นแผ่นก่อนแล้วค่อยตัดเป็นชิ้นเล็ก
ๆ)
รุ่นน้องต่อ
ๆ มาก็เลยต้องทำแบบเดียวกัน
ด้วยเกรงว่าจะไม่สามารถนำผลการทดลองมาเปรียบเทียบกันได้
และมันก็เป็นอย่างนั้นจริง
เพราะเมื่อเขาทดลองใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาในรูปแบบที่เป็นผงละเอียดตามที่ผมแนะนำ
และใช้ในปริมาณที่น้อยกว่าด้วย
กลับได้ค่า conversion
สูงกว่าเมื่อใช้ในรูปแบบที่เป็นชิ้นเล็ก
ๆ
ตรงจุดนี้ผมก็ได้บอกเขาไปว่าคุณคงต้องเลือกเอาระหว่าง
การยอมเสียเวลานำตัวเร่งปฏิกิริยาของรุ่นพี่มาทำการทดลองใหม่ในรูปแบบที่เป็นผงละเอียด
เพื่อที่คุณจะได้ไม่ต้องเสียเวลากับการนำผงตัวเร่งปฏิกิริยาที่เตรียมได้นั้นมาอัดเป็นแผ่น
ตัดเป็นชิ้นเล็ก และนำมาค่อนเพื่อคัดขนาด
หรือจะไม่ไปยุ่งอะไรกับผลการทดลองของรุ่นพี่
โดยมายอมเสียเวลานำผงตัวเร่งปฏิกิริยาที่เตรียมได้นั้นมาอัดเป็นแผ่น
ตัดเป็นชิ้นเล็ก แล้วนำมาร่อน
สำหรับทุกตัวเร่งปฏิกิริยาที่เตรียมขึ้นใหม่
ซึ่งมันจะเป็นวิธีการที่รุ่นน้องต้องทำสืบเนื่องต่อไปเรื่อย
ๆ โดยไม่รู้ว่าจะไปสิ้นสุดเมื่อใด
ซึ่งสิ่งที่เขาเลือกก็คือ
....
(เชิญเดาเอาเองครับ)
ส่วนตัวผมเองนั้น
ผมไม่เคยให้นิสิตนำผงตัวเร่งปฏิกิริยาที่เตรียมได้มาขึ้นรูปให้เป็นชิ้นเล็ก
(เพราะไม่มีความจำเป็นใด
ๆ ที่ต้องทำเช่นนั้น)
แต่การใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาในรูปของผงละเอียดก็ใช่ว่าไม่มีปัญหานะ
ตรงนี้มันมีหลายประเด็นที่ต้องคำนึงอยู่เหมือนกัน
อย่างแรกก็คือถ้าหากในรูปแบบที่เป็นผงนั้นมันฟุ้งกระจายได้ง่าย
การใช้งานมันก็จะยาก
เพราะเมื่อเราชั่งน้ำหนักที่แน่นอนของมันก่อนบรรจุ
reactor
มันอาจเกิดการฟุ้งหายไปบางส่วนในขณะบรรจุได้
ทำให้น้ำหนักจริงที่ใส่
reactor
นั้นน้อยกว่าที่ชั่งได้
และก็บอกไม่ได้ด้วยว่ามันหายไปเท่าใด
ผมเองก็เคยเจอปัญหานี้กับ
support
บางตัว
(TiO2
P25) แต่แก้ปัญหาด้วยการพรมน้ำให้มันชื้นก่อน
จากนั้นนำไปอบให้แห้งและค่อยนำมาบดใหม่
ความเป็นฝุ่นฟุ้งกระจายง่ายมันก็หายไป
เนื่องด้วยตัวเร่งปฏิกิริยาในรูปของผงละเอียดนั้นไม่มีปัญหาเรื่องการแพร่เข้าถึงอนุภาคตัวเร่งปฏิกิริยาแต่ละอนุภาค
ดังนั้นถ้าใช้น้ำหนักตัวเร่งปฏิกิริยาในการทดลองเท่ากัน
การใช้ในรูปที่เป็นผงนั้นจะให้ค่า
conversion
ที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับการใช้เป็นชิ้นเล็ก
แต่ด้วยการที่มันเป็นผงละเอียดก็จะทำให้ค่า
pressure
drop คร่อมเบดตัวเร่งปฏิกิริยาสูงตามไปด้วย
ซึ่งปัญหาตรงนี้แก้ได้ด้วยการลดปริมาณที่ใช้
ซึ่งเป็นทั้งลด pressure
drop คร่อมเบด
การประหยัดปริมาณตัวเร่งปฏิกิริยาในแต่ละการทดลอง
โดยที่ยังคงรักษาระดับ
conversion
ที่สูงเอาไว้ได้
ปัญหาสำคัญอีกปัญหาหนึ่งที่มักถูกมองข้ามไปในการทำการทดลองด้วย
fixed-bed
ก็คือ
การเกิด channelling
ซึ่งหมายถึงการที่แก๊สจำนวนหนึ่งไหลผ่านบริเวณขอบผนังไปโดยไม่ไหลเข้าไปบริเวณตอนกลางของเบด
ใน
fixed-bed
นั้นบริเวณผนังจะมี
void
fraction สูงกว่าบริเวณตอนกลางเบด
ดังนั้นถ้าวัดความเร็วของแก๊สที่ไหลผ่านเบดที่ตำแหน่งแนวรัศมีต่าง
ๆ กันนั้นจะพบว่าบริเวณใกล้ผนังแก๊สจะไหลผ่านเร็วสุด
ความแตกต่างนี้จะเด่นชัดมากขึ้นถ้าหากอนุภาคของแข็งนั้นมีขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของเบด
และ/หรือเบดมีความสูงไม่มากเมื่อเทียบกับขนาดอนุภาคของแข็งที่บรรจุอยู่
ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาเรื่อง
channelling
นี้
ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของ
reactor
ต่อขนาดอนุภาคควรมีค่าไม่ต่ำกว่า
10
และถ้ามีสัดส่วนที่มากกว่านี้ก็จะทำให้
velocity
profile ของการไหลผ่าน
fixed-bed
เข้าใกล้กับ
plug
flow มากขึ้น
๒.
ควรใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาเท่าไรดี
คำตอบของคำถามนี้ก็คือใช้ในปริมาณที่ทำให้การวัดค่า
conversion
นั้นไม่น้อยเกินไปและไม่สูงเกินไป
ซึ่งตรงนี้คงต้องทำการทดลองหาเอาเอง
เพราะถ้าใช้น้อยจนกระทั่งทำให้ได้ค่า
conversion
ต่ำ
พอนำตัวเร่งปฏิกิริยาที่มีความว่องไวต่ำกว่ามาทำการทดลอง
ก็จะมองเห็นความแตกต่างไม่ชัดเจน
(บอกไม่ได้ว่าเกิดจากความคลาดเคลื่อนของการทดลองหรือไม่)
แต่ถ้าใช้มากเกินไปจนทำให้ได้ค่า
converison
ที่ระดับ
100%
ก็จะบอกไม่ได้ว่าใช้ตัวเร่งปฏิกิริยามากเกินจำเป็นไปเท่าใด
คือตัวเร่งปฏิกิริยาไม่ว่าจะว่องไวมากหรือน้อย
ถ้าใส่มากถึงระดับหนึ่งมันก็จะได้ค่า
conversion
100% เหมือนกันหมด
เช่นเพื่อให้ได้
conversion
100% ต้องใช้ตัวเร่งปฏิกิริยา
A
0.2 g ตัวเร่งปฏิกิริยา
B
0.3 g และตัวเร่งปฏิกิริยา
C
0.4 g แต่ถ้าในการทดลองนั้นเราใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาชนิดละ
0.5
g เราก็จะเห็นค่า
conversion
ที่ได้เป็น
100%
กับทุกตัวเร่งปฏิกิริยา
ในกรณีเช่นนี้ควรใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาในการทดลองน้อยกว่า
0.2
g เพื่อให้เห็นว่าค่า
conversion
ที่ได้จากตัวเร่งปฏิกิริยา
A
นั้นยังต่ำกว่า
100%
จะได้มั่นใจได้ว่าไม่ได้ใส่ตัวเร่งปฏิกิริยา
A
มากเกินจำเป็น
๓.
ทำไมเมื่อวัดผ่าน
bypass
แล้วอัตราการไหลลดลง
ตรงนี้ต้องขอให้พิจารณารูปที่
๑ คำถามที่เขาถามผมมาก็คือ
ก่อนเริ่มทำการทดลองนั้นวัดอัตราการไหลของแก๊ส
A
โดยใช้เส้นทาง
bypass
ได้ค่า
ๆ หนึ่ง
พอวันถัดมาเมื่อสิ้นสุดการทดลองก็วัดอัตราการไหลของแก๊ส
A
ซ้ำ
กลับพบว่ามันลดลงไปประมาณ
10%
ในเมื่อความดันด้านขาเข้าวาล์วปรับอัตราการไหล
(P0)
นั้นคงที่
และก็ไม่มีใครไปยุ่งอะไรกับวาล์วปรับอัตราการไหล
การวัดอัตราการไหลของเขานั้นใช้
bubble
flow meter ที่เป็นการวัดที่อุณหภูมิห้องและความดันบรรยากาศ
ดังนั้นถ้าอุณหภูมิของระบบท่อที่เป็นเส้นทางการไหลนั้นประมาณได้ว่าเปลี่ยนแปลงไม่มาก
และท่อก็ไม่ได้มีขนาดเล็กมาก
การเปลี่ยนแปลงถึงระดับ
10%
นี่ก็เป็นเรื่องแปลก
ซึ่งผมก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร
จริงอยู่แม้ว่าจะเป็นการวัดที่ความดันบรรยากาศ
แต่ถ้าเส้นทางการไหลของแก๊สมีขนาดเล็กและก่อนมาถึง
bubble
flow meter นั้นมีอุณหภูมิสูงขึ้น
มันก็เป็นไปได้ที่จะเห็นแก๊สไหลช้าลง
แต่ในระบบที่เขาเล่าให้ผมฟังนั้นคิดว่าไม่น่าเป็นเช่นนี้
ประเด็นหนึ่งที่ผมสงสัยคือการวัดด้วย
bubble
flow meter ท่อแก้วของ
bubble
flow meter ที่เขาใช้นั้นมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ
8
mm ซึ่งถ้าเป็นการวัดอัตราการไหลที่สูงก็ไม่มีปัญหาอะไร
แต่ถ้าเป็นการวัดอัตราการไหลที่ต่ำจะมีความคลาดเคลื่อนได้สูง
เพราะระยะเวลาที่ฟองสบู่จะเคลื่อนที่ผ่านเส้นขีดบอกปริมาตรที่เล็งอยู่นั้นค่อนข้างจะมาก
ทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนในการจับเวลาได้มาก
(ขึ้นอยู่กับคนเล็งแต่ละคนว่าเล็งตรงตำแหน่งไหนของเส้นขีดบอกปริมาตร)
สิ่งที่ผมแนะนำให้เขาทดลองทำก็คือลองเอา
graduated
pipette ขนาดไม่เกิน
10
ml มาเป็นตัววัดปริมาตรของแก๊สที่ไหลออกมา
เพราะปิเปตที่มีขนาดเล็กจะทำให้เห็นฟองสบู่เคลื่อนที่ได้เร็วขึ้น
ความคลาดเคลื่อนจากการจับเวลาเมื่อฟองสบู่เคลื่อนถึงขีดบอกปริมาตรที่กำหนดไว้ก็จะลดลงไปด้วย
๔.
ทำไมแก๊สหายไปเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น
อันนี้เป็นปัญหาที่หลายรายไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้น
เพราะตอนที่ปรับอัตรการไหลนั้นกระทำที่อุณหภูมิห้อง
และในช่วงแรกที่อุณหภูมิเบดสูงขึ้นก็ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร
ก็เลยคิดว่ามันไม่มีปัญหาอะไร
แต่ถ้าทดลองวัดอัตราการไหลผ่านเบดที่อุณหภูมิสูง
หรือวัดความเข้มข้นของสารตั้งต้นที่ไหลผ่านเบดที่อุณหภูมิสูง
(โดยใช้
inert
material บรรจุแทนตัวเร่งปฏิกิริยา)
ก็มีสิทธิ์ที่จะเห็นสารตั้งต้นบางตัวหายไป
ทั้ง ๆ ที่มันไม่มีปฏิกิริยาใด
ๆ เกิดขึ้น
ปัญหานี้มักจะเกิดกับผู้ที่ใช้แก๊สหลายตัวมาผสมกันในระบบท่อก่อนผ่านแก๊สผสมไปยังเบดตัวเร่งปฏิกิริยา
ปัญหามันอยู่ตรงที่การต่อท่อแก๊สสองตัวเข้าด้วยกัน
คือถ้าต่อถูกวิธีมันจะไม่มีปัญหาใด
ๆ แต่ถ้าต่อไม่ถูกวิธีมันมีโอกาสที่จะเกิดปัญหาได้
โดยเฉพาะเมื่อแก๊สตัวหนึ่งมีอัตราการไหลที่สูงกว่าอีกตัวหนึ่งมาก
อย่างเช่นในกรณีที่เขาถามผมมา
แก๊ส A
ที่มีอัตราการไหลเพียงแค่ประมาณ
10%
ของแก๊ส
B
นั้นหายไปเมื่ออุณหภูมิของเบดเพิ่มสูงขึ้น
(จากการวัดด้วย
GC)
สิ่งที่ผมถามเขาก็คือเขาต่อท่อแก๊สให้ผสมกันแบบไหน
คำตอบที่ได้ก็คือใช้ข้อต่อ
๓ ทาง (Tee)
โดยให้แก๊ส
A
และ
B
เข้าทางด้านตรงข้ามกัน
และให้แก๊สผสมไหลออกตรงกลางดังแสดงในรูปที่
๑
การต่อแบบนั้นถ้าเป็นกรณีที่แก๊สทั้งสองสายนั้นมีอัตราการไหลที่สูงพอ
ๆ กันก็อาจจะไม่เห็นปัญหาใด
ๆ แต่ถ้าแก๊สตัวหนึ่งไหลต่ำกว่าอีกตัวหนึ่งมาก
มีโอกาสสูงที่จะพบว่าแก๊สที่มีอัตราการไหลต่ำนั้นจะหายไปเมื่ออุณหภูมิเบดเพิ่มสูงขึ้น
ทั้งนี้เป็นเพราะความต้านทางการไหลด้าน
downstream
เพิ่มขึ้น
วิธีการที่ดีกว่าคือการให้แก๊สที่มีอัตราการไหลสูงนั้นไหลในแนวตรงของข้อต่อ
และให้แก๊สที่มีอัตราการไหลต่ำเข้าบรรจบทางด้านข้าง
เรื่องนี้เคยอธิบายไว้อย่างละเอียดใน
Memoir
ปีที่
๓ ฉบับที่ ๒๗๕ วันพุธที่ ๒๓
มีนาคม ๒๕๕๔ เรื่อง
"การใช้ข้อต่อสามทางผสมแก๊ส"
แก๊สมันไม่เหมือนของเหลวตรงที่แก๊สสามารถอัดตัวได้
ดังนั้นถ้าความต้านทางด้าน
downstream
(P1) เพิ่มสูงขึ้น
แต่ยังต่ำกว่าความดันทางด้าน
upstream
(P0) แก๊สก็ยังไหลผ่านวาล์วได้อยู่
แต่จะไปสะสมตรงในเส้นท่อก่อนจะถึงจุดผสม
การแก้ปัญหานั้นนอกจากการปรับแนวท่อใหม่
(ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรต้องทำ)
ก็อาจใช้การเพิ่มความดันด้านขาเข้าวาล์วปรับอัตราการไหลให้สูงขึ้น
แต่ก็ต้องแลกด้วยการเปิดวาล์วนั้นให้น้อยลง
ซึ่งถ้าพบว่าต้องเปิดวาล์วน้อยมาก
แสดงว่าวาล์วที่ใช้นั้นมีขนาดใหญ่เกินไป
ควรพิจารณาเปลี่ยนไปใช้วาล์วที่มีขนาดเล็กลง
แต่ก็ต้องไม่เล็กจนกระทั่งต้องเปิดวาล์วเกือบสุดจึงจะได้อัตราการไหลที่ต้องการ
สำหรับวันนี้ก็คงจะขอสรุปจบเพียงแค่นี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น