ในสภาพการทำงานทึ่ดูเผิน
ๆ แล้วน่าจะเหมือนกันนั้น
เอาเข้าจริง ๆ
แล้วด้วยรายละเอียดปลีกย่อยที่แตกต่างกันก็อาจทำให้ความเสี่ยงในการเกิดและรูปแบบการเกิดอุบัติเหตุนั้นแตกต่างกันไปได้
และในทางกลับกันสิ่งในงานที่ดูแล้วไม่น่าจะเหมือนกันเลย
กลับมีความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุรูปแบบเดียวกันก็ได้
ในตอนที่แล้ว
(ตอน
"ทำไมเมื่อวานจึงไม่เกิดเรื่อง")
ได้ยกกรณีตัวอย่างที่ช่างเชื่อมที่ทำการเชื่อมถังอะลูมิเนียม
เข้าไปเชื่อมชิ้นส่วนสแตนเลสเพิ่มเติมในวันรุ่งขึ้น
ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตจากการขาดอากาศ
เนื่องจากลืมปิดวาล์วแก๊สอาร์กอนที่ป้อนไปยังหัวเชื่อมที่ทิ้งไว้ในถังก่อนการเลิกงานในวันก่อนหน้า
ทีนี้ถ้าเราลองมาพิจารณาสถานการณ์สมมุติสถานการณ์หนึ่ง
ที่เป็นการทำงานแบบเดียวกัน
(รูปที่
๑)
แต่เปลี่ยนวัสดุเป็นการเชื่อมชิ้นส่วนเหล็กกล้าคาร์บอนธรรมดาในถังเหล็กกล้าคาร์บอนธรรมดา
คุณคิดว่าความเสี่ยงที่ช่างเชื่อมจะพบกับการขาดอากาศหายใจจากการกลับมาทำงานในวันรุ่งขึ้นจะเหมือนกันหรือไม่
รูปที่
๑ รูปบนเป็นกรณีของการเชื่อมชิ้นส่วนสแตนเลสในถังอะลูมิเนียม
ส่วนรูปล่างเป็นกรณีสมมุติของการทำงานแบบเดียวกัน
แต่ให้เป็นการเชื่อมชิ้นส่วนเหล็กกล้าคาร์บอนธรรมดาในถังเหล็กกล้าคาร์บอนธรรมดา
ความเสี่ยงในการขาดอากาศหายใจจากการกลับมาทำงานในวันรุ่งขึ้นจะเหมือนกันหรือไม่
การเชื่อม
TIG
(ที่บ้านเราเรียกว่าการเชื่อมติ๊กซึ่งย่อมาจาก
Tungsten
Inert Gas welding ที่ใช้แก๊สอาร์กอนปกคลุมรอบเชื่อมในระหว่างการเฃื่อม)
นั้นนำมาใช้กับการเชื่อมเหล็กกล้าธรรมดาได้
แต่ช่างที่เชื่อมแบบนี้ได้จะมีค่าแรงแพง
ดังนั้นถ้าไม่ใช่งานที่จำเป็นต้องการได้รอยเชื่อมที่สมบูรณ์
(เช่นการต่อท่อความดันสูง
อุณหภูมิสูง)
ก็จะใช้การเชื่อมด้วยธูปเฃื่อมแทน
ซึ่งจะถูกกว่าและทำได้ง่ายกว่า
แก๊สที่ปกคลุมรอยเชื่อมในขณะที่ทำการเชื่อมด้วยการใช้ธูปเชื่อมเกิดจากฟลักซ์ที่หุ้มลวดเชื่อมอยู่
ดังนั้นจะมีแก๊สเกิดขึ้นเฉพาะช่วงเวลาที่ทำการเชื่อมเท่านั้น
การระบายแก๊สออกจากที่ทำงานในขณะที่ทำการเชื่อมจึงเป็นเรื่องสำคัญ
แต่ถ้าไม่มีการเชื่อมหรือหยุดงานเชื่อมทั้งหมด
ก็จะไม่มีแก๊สเกิดขึ้น
ดังนั้นถ้าพิจารณาในแง่นี้
ถ้าเป็นการเชื่อมชิ้นส่วนเหล็กกล้าคาร์บอนในถังเหล็กกล้าคาร์บอนด้วยการใช้ธูปเชื่อม
(และไม่มีการทำงานอื่นร่วมด้วย)
โอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์ที่ว่ามีแก๊สอื่นเข้าไปแทนที่อากาศในถังหลังจากเลิกงานตอนเย็น
จนทำให้ผู้ที่เข้าไปทำงานในถังในวันรุ่งขึ้นประสบอุบัติเหตุจากการขาดอากาศหายใจได้จึงไม่น่าจะมี
แต่การเชื่อมเหล็กกล้าคาร์บอนแบบที่ใช้แก๊สปกคลุมรอยเชื่อมก็มีเหมือนกัน
คือวิธีการที่เรียกว่าเชื่อมมิก
(MIG
ที่ย่อมาจาก
Metal
Inert Gas welding) หรือเชื่อม
CO2
ในการเชื่อมนี้จะใช้ลวดโลหะยาวเป็นทั้งขั้วไฟฟ้าและโลหะหลอมเติมแนวรอยเชื่อม
กล่าวคือประกายไฟที่เกิดขึ้นระหว่างชิ้นงานและลวดโลหะจะทำให้ชิ้นงานและลวดโลหะหลอมละลายรวมเข้าด้วยกัน
แต่ใช้แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
(CO2)
เป็นตัวปกป้องรอยเชื่อมจากอากาศ
ดังนั้นถ้าใช้การเชื่อมแบบ
MIG
นี้ก็จะมีโอกาสที่จะมี
CO2
เข้าไปแทนที่อากาศในถังหลังจากเลิกงานตอนเย็น
จนทำให้ผู้ที่เข้าไปทำงานในถังในวันรุ่งขึ้นอาจเสียชีวิตเนื่องจากการขาดอากาศได้
(หมายเหตุ
:
ในการเชื่อม
TIG
นั้นใช้ขั้วไฟฟ้า
(ที่มีแก๊สอาร์กอนป้อนเข้ามา)
ที่ทำจากโลหะทังสเตนเป็นตัวทำให้เกิดประกายไฟกับชิ้นงานที่จะเชื่อม
แล้วใช้ลวดโลหะป้อนเข้ามาตรงบริเวณประกายไฟนั้น
ชิ้นงานและลวดโลหะที่ป้อนเข้ามาจะหลอมเหลวรวมกัน
โดยที่ขั้วทังสเตนไม่ได้เกิดการหลอมไปด้วย
แต่มันก็สึกหรอบ้างเหมือนกัน)
แต่
CO2
ยังมีอันตรายอีกรูปแบบหนึ่งคือมันส่งผลกระทบต่อการหายใจของคน
สามารถทำให้คนเสียชีวิตได้แม้ว่าในอากาศนั้นจะมีปริมาณออกซิเจนที่ระดับปรกติ
ระดับ CO2
ในอากาศที่ประมาณ
7%
(70,000 ppm)
ขึ้นไปสามารถทำให้คนหมดสติและตามด้วยการเสียชีวิตได้ในเวลาอันสั้น
แม้ว่าในอากาศนั้นจะมีออกซิเจนเพียงพอต่อการหายใจก็ตาม
ซึ่งตรงนี้แตกต่างไปจากกรณีของแก๊สอาร์กอน
ที่มันไม่ก่อให้เกิดปัญหาเช่นนี้
ทีนี้ลองพิจารณาสถานการณ์สมมุติอีกสถานการณ์หนึ่ง
เป็นการทำงานเชื่อมโลหะในถังเหมือนกัน
แต่เปลี่ยนจากการเชื่อมไฟฟ้าเป็นการเชื่อมแก๊ส
(รูปที่
๒)
รูปที่
๒ คล้ายกับกรณีในรูปที่
๑ แต่เปลี่ยนเป็นการเชื่อมแก๊ส
การเชื่อมแก๊สนั้นจะใช้การเผาไหม้แก๊สเฃื้อเพลิง
(เช่นอะเซทิลีน
แก๊สหุงต้ม)
กับแก๊สออกซิไดซ์
(เช่น
อากาศที่ป้อนมาจากถังอากาศ
ออกซิเจนบริสุทธิ์)
อุณหภูมิของเปลวไฟที่ได้ขึ้นอยู่กับการจับคู่แก๊ส
เปลวไฟที่เกิดจากการใช้ออกซิเจนเป็นสารออกซิไดซ์จะมีอุณหภูมิสูงกว่าเปลวไฟที่ใช้อากาศเป็นสารออกซิไดซ์
และเปลวไฟที่ใช้อะเซทิลีนเป็นเชื้อเพลิงจะมีอุณหภูมิสูงกว่าเปลวไฟที่ใช้แก๊สหุงต้มเป็นเชื้อเพลิง
(แก๊สหุงต้มในที่นี้อาจเป็นโพรเพน
(propane
C3H8) บริสุทธิ์ไปจนถึงบิวเทน
(butane
C4H10) บริสุทธิ์
หรือเป็นแก๊สผสมระหว่างแก๊สสองชนิดนี้
อย่างเช่นในบ้านเราจะอยู่ที่ประมาณโพรเพน
60%
บิวเทน
40%)
ดังนั้นงานนี้ถ้าหากว่ามีการเปิดแก๊สเชื้อเพลิงทิ้งไว้
ก็จะมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุ
๒ รูปแบบด้วยกัน
รูปแบบแรกคือถ้าหากแก๊สเชื้อเพลิงนั้นเข้าไปแทนที่อากาศไม่เพียงพอต่อการหายใจ
ผู้ที่กลับเข้ามาทำงานในวันรุ่งขึ้นก็มีโอกาสที่จะประสบกับเหตุการณ์ขาดอากาศ
แต่ถ้าการรั่วของแก๊สเชื้อเพลิงนั้นไม่มากพอที่จะทำให้ผู้กลับเข้ามาทำงานในวันรุ่งขึ้นขาดอากาศหายใจ
แต่มากพอที่จะทำให้ส่วนผสมเชื้อเพลิงกับอากาศอยู่ในช่วง
explosive
limit
ดังนั้นถ้าผู้ที่กลับเข้ามาทำงานในวันรุ่งขึ้นจุดไฟเพื่อเริ่มการทำงานเมื่อใด
ก็มีโอกาสที่จะเกิดการระเบิดขึ้นในถัง
ณ
จุดนี้อาจมีคนแย้งว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเป็นกรณีของการใช้แก๊สหุงต้มเป็นเชื้อเพลิง
เพราะมันเป็นแก๊สที่หนักกว่าอากาศ
แต่ถ้าใช้อะเซทิลีน
(น้ำหนักโมเลกุล
26)
ก็ไม่น่าจะเกิด
เพราะอะเซทิลีนเป็นแก๊สที่เบากว่าอากาศ
(น้ำหนักโมเลกุลเฉลี่ย
28.84)
ดังนั้นถ้าอะเซทิลีนรั่วออกมามันก็ควรจะลอยขึ้นบน
ไม่สะสมอยู่เบื้องล่าง
การที่แก๊สที่เบากว่าจะลอยขึ้นไปอยู่เหนือแก๊สที่หนักว่าได้นั้น
น้ำหนักโมเลกุล
(ซึ่งบ่งบอกถึงความหนาแน่นของแก๊ส)
ของแก๊สสองชนิดนั้นต้องต่างกันมากพอควร
ตัวอย่างที่เห็นได้ง่ายคือกรณีของอากาศที่ประกอบด้วยไนโตรเจน
(น้ำหนักโมเลกุล
28)
ที่เบากว่าออกซิเจน
(น้ำหนักโมเลกุล
32)
แต่ในสภาพอากาศปรกติแม้ในที่ปิดก็ตาม
เราก็ไม่พบการแยกตัวกันระหว่างไนโตรเจนกับออกซิเจน
พูดง่าย ๆ
ก็คืออากาศที่ชั้นล่างสุดของอาคารมีสัดส่วนออกซิเจนเป็นอย่างไร
อากาศที่ชั้นบนสุดของอาคารก็มีสัดส่วนออกซิเจนแบบเดียวกัน
ถัดไปเราลองมาพิจารณาว่า
ถ้าเปลี่ยนเป็นเผลอเปิดแก๊สออกซิไดซ์ทิ้งเอาไว้
จะมีโอกาสเกิดเหตุการณ์อะไรได้หรือไม่
ซึ่งถ้าเป็นกรณีที่แก๊สออกซิไดซ์นั้นเป็นอากาศ
มันก็ไม่ควรมีผลอะไร
แต่ถ้าแก๊สออกซิไดซ์นั้นเป็นออกซิเจนบริสุทธิ์
จะก่อให้เกิดอันตรายอะไรได้หรือไม่
คนเราใช้ชีวิตอยู่ในบรรยากาศออกซิเจนบริสุทธิ์ได้ครับ
ปัจจุบันก็มีบางโรงพยาบาลมีให้บริการรักษาโรคบางชนิดหรือบาดแผลที่ผิวหนัง
ด้วยการให้ผู้เข้ารับการรักษาเข้าไปอยู่ในตู้ที่บรรยากาศภายในตู้เป็นออกซิเจนบริสุทธิ์ที่เรียกว่าการรักษาแบบ
Hyperbaric
Oxygen Therapy
แต่สิ่งหนึ่งที่บรรยากาศแก๊สออกซิเจนบริสุทธิ์ส่งผลต่อร่างกายหรือเสื้อผ้าที่เราสวมใส่ก็คือ
มันทำให้สิ่งเหล่านี้
"ไวไฟมากขึ้น"
จนเราคาดไม่ถึงได้
รูปที่
๓ ฟลาสค์ ๓ คอที่มีการนำมาใช้เป็น
saturator
ระเหยเอทานอลด้วยแก๊สออกซิเจนบริสุทธิ์แล้วเกิดการระเบิด
อ่านเรื่องนี้เพิ่มเติมได้ใน
Memoir
ปีที่
๔ ฉบับที่ ๓๖๓ วันศุกร์ที่
๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๔ เรื่อง
"อุบัติเหตุจาก saturator"
กรณีไฟคลอกในบรรยากาศออกซิเจนบริสุทธิ์ที่เป็นที่รู้จักกันทั่วไปมากที่สุดเห็นจะได้แก่กรณีของยาน
Apollo
1 ที่ใช้ออกซิเจนบริสุทธิ์ในตัวยาน
ความผิดพลาดของระบบไฟฟ้าในตัวยานในระหว่างการฝึกซ้อมส่งผลให้เกิดไฟไหม้ที่ลุกลามอย่างรวดเร็วและรุนแรง
จนทำให้นักบินอวกาศทั้ง ๓
นายที่อยู่ในยานนั้นเสียชีวิต
ในกรณีของการเชื่อมโลหะด้วยแก๊สก็เช่นกัน
ก็มีบันทึกว่ามีออกซิเจนรั่วออกจากสายยางที่เดินเข้าไปในถัง
ทำให้ความเข้มข้นออกซิเจนในถังสูงผิดปรกติ
เมื่อคนงานคนหนึ่งทำการจุดไฟแช็คเพื่อสูบบุหรี
เขาก็พบว่าเปลวไฟของไฟแช็คสูงผิดปรกติ
และบุหรี่ก็ไหม้เร็วกว่าปรกติ
แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาฉุกคิดอะไร
แต่ในระหว่างการทำงานนั้นปรากฏว่ามีลูกไฟกระเด็นไปโดนเสื้อของผู้ร่วมงานอีกคนหนึ่งที่ทำงานอยู่ใกล้กัน
ส่งผลให้เสื้อผ้าของผู้ร่วมงานคนนั้นลุกไหม้ติดไฟอย่างรวดเร็วและลามไปทั่วตัว
ส่งผลให้เสียชีวิตในเวลาต่อมา
เรื่องนี้เคยเล่าเอาไว้ใน
Memoir
ปีที่
๑๐ ฉบับที่ ๑๔๙๕ วันอาทิตย์ที่
๗ มกราคม ๒๕๖๑ เรื่อง
"อุบัติเหตุจากออกซิเจนความเข้มข้นสูง"
นอกจากออกซิเจนบริสุทธิ์จะทำให้การเผาไหม้รุนแรงขึ้นมากแล้ว
มันยังส่งผลต่อค่า autoignition
temperature และ
flammability
ของสารด้วย
(อ่านเพิ่มเติมได้ในบทความชุด
"ปัจจัยที่ส่งผลต่อค่า
autoignition
temperature" และ
"ปัจจัยที่ส่งผลต่อค่า
flammability
limit" บนหน้า
blog)
ในกรณีของค่า
autoignition
temperature
นั้นบรรยากาศออกซิเจนบริสุทธิ์มีแนวโน้มที่จะทำให้ค่าดังกล่าวลดต่ำลง
ซึ่งอาจถึงลดต่ำกว่าค่าที่วัดในอากาศปรกติได้มากกว่า
100ºC
รูปที่
๔ ขวดแก้วที่มีการนำมาใช้ทำเป็น
saturator
ระเหยเอทานอลด้วยออกซิเจนบริสุทธิ์และเกิดการระเบิดขึ้น
เหตุการณ์นี้เคยเล่าไว้ใน
Memoir
ปีที่
๑๐ ฉบับที่ ๑๔๒๖ วันจันทร์ที่
๒๑ สิงหาคม ๒๕๖๐ เรื่อง
"อุบัติเหตุจาก saturator (๒)"
เหตุการณ์ที่เคยพบก็คือการที่นิสิตใช้ออกซิเจนบริสุทธิ์ระเหยเอทานอลจาก
saturator
เพื่อก่อนป้อนเข้า
reactor
(ที่ทำงานที่อุณหภูมิสูง)
ผลก็คือเกิดการระเบิดที่
saturator
ที่ใช้ดัดแปลงมาจากอุปกรณ์ที่ทำจากแก้ว
(รูปที่
๓ และ ๔)
ในเหตุการณ์นี้เชื่อว่าไอผสมของออกซิเจนบริสุทธิ์กับเอทานอลคงเกิดการลุกไหม้ที่ตัว
reactor
และเกิดเป็นไฟวิ่งย้อนกลับมายัง
saturator
ที่เต็มไปด้วยไอระเหยของเอทานอล
ก็เลยเกิดการระเบิดขึ้น
โดยในช่วงแรกที่อุณหภูมิ
reactor
ยังต่ำนั้นแก๊สผสมยังไม่เกิดการลุกไหม้
แต่เมื่ออุณหภูมิ reactor
สูงถึงระดับหนึ่ง
(โดยอาจมีตัวเร่งปฏิกิริยาช่วยด้วย)
ก็เลยเกิดการลุกไหม้
มีหน้ากระดาษว่างเกือบเต็มหน้าก็ไม่รู้จะเขียนอะไรต่อแล้ว
ก็เลยขอนำเอาภาพบรรยากาศนิสิตในที่ปรึกษาขณะกำลังทำงานในแลปแมวที่ถ่ายเอาไว้เมื่อวานมาลงไว้เป็นที่ระลึกก็แล้วกัน
:)
:) :)
(หมายเหตุ
:
บทความชุด
"ความปลอดภัยในการทำงานและการออกแบบ"
นี้จัดทำขึ้นเพื่อขยายความสไลด์ประกอบการสอนวิชา
"2105689
การออกแบบและดำเนินการกระบวนการอย่างปลอดภัย
(Safe
Process Operation and Desing)"
ที่เปิดสอนให้กับนิสิตระดับปริญญาโท
ภาควิชาวิศวกรรมเคมี
คณะวิศวกรรมศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เป็นครั้งแรกในภาคการศึกษาปลาย
ปีการศึกษา ๒๕๖๑)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น