"สำหรับการวิเคราะห์ด้วยเทคนิคตระกูล
TPD
ต่าง
ๆ นั้น
การแยกพีคด้วยฟังก์ชันที่ไม่เหมาะสมมักนำไปสู่การแปลผลการวิเคราะห์ที่ผิดพลาด
ตัวอย่างเช่นในกรณีของ
NH3-TPD
ที่บ่งบอกความแรงของตำแหน่งที่เป็นกรดบนพื้นผิวของแข็งด้วยพีค
NH3
ที่ปรากฏที่อุณหภูมิต่าง
ๆ
แม้ว่าพื้นผิวของแข็งนั้นจะมีตำแหน่งที่เป็นกรดที่มีความแรงอยู่เพียงชนิดเดียว
แต่พีค NH3
ที่คายออกมาจากตำแหน่งกรดเพียงชนิดเดียวนี้ก็มีลักษณะเป็นพีค
Gaussian
ที่ไม่สมมาตร
สาเหตุก็เพราะของแข็งที่ดูดซับ
NH3
นั้นเป็นของแข็งที่มีรูพรุน"
ข้อความข้างต้นผมเคยเขียนเอาไว้ใน
Memoir
ปีที่
๖ ฉบับที่ ๗๔๔ วันศุกร์ที่
๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ เรื่อง
"ทำไมพีคจึงลากหาง"
ที่ได้อธิบายว่าทำไมการคายซับออกจากตำแหน่งที่มีความแรงในการดูดซับเบสเท่ากัน
จึงให้พีคที่ไม่สมมาตร
และได้แสดงให้เห็นว่าการใช้ฟังก์ชันที่สมมาตรไปทำ
peak
deconvolution sหรือ
peak
fitting พีคที่ไม่สมมาตรนั้น
ก่อให้เกิดความผิดพลาดในการแปลผลอย่างไร
เพื่อเป็นการทบทวน
ก็จะขออธิบายก่อนว่าทำไมพีคการคายซับนั้นจึงไม่สมมาตร
ตรงนี้ขอให้พิจารณารูปที่
๑ ข้างล่างประกอบ (นำมาจากรูปที่
๒ ของ Memoir
ฉบับ
๗๔๔)
รูปที่
๑ แบบจำลองการคายโมเลกุลออกจากพื้นผิวของแข็ง
รูปบนเป็นกรณีของของแข็งที่ไม่มีรูพรุน
ส่วนรูปล่างเป็นกรณีของของแข็งที่มีรูพรุน
โดยสมมุติให้พื้นผิวของแข็งดูดซับแก๊สเอาไว้ด้วยความแรงเท่ากันทุกตำแหน่ง
สมมุติว่าเรามีของแข็งที่มีตำแหน่งที่เป็นกรดที่มีความแรง
(strength)
เท่ากันหมดอยู่บนพื้นผิว
เริ่มแรกนั้นเราให้พื้นผิวดูดซับโมเลกุล
NH3
จนอิ่มตัวก่อน
จากนั้นจึงค่อย ๆ
เพิ่มอุณหภูมิของแข็งนั้นให้สูงขึ้น
เมื่ออุณหภูมิสูงเพียงพอตำแหน่งที่เป็นกรดเหล่านี้จะคายโมเลกุล
NH3
ที่มันจับเอาไว้พร้อมกันทั้งหมด
สำหรับของแข็งที่ไม่มีรูพรุนนั้น
(รูปที่
๑ บน)
โมเลกุล
NH3
ที่หลุดออกมาจากพื้นผิวก็จะมาอยู่ในกระแสแก๊สที่ไหลผ่านทันที
และจะถูกแก๊สพัดพาออกไปจากตัวของแข็ง
โมเลกุล NH3
ในกระแสแก๊สที่พัดพามันไปจะมีการกระจายความเข้มข้นเนื่องจากการแพร่
ดังนั้นความเร็วของโมเลกุลในแก๊สนั้นจะเท่ากับความเร็วในการไหลของแก๊ส
บวกกับความเร็วในการแพร่
(ถ้าเป็นการแพร่ในทิศทางเดียวกับการไหล)
หรือลบความเร็วในการแพร่
(ถ้าเป็นการแพร่สวนทิศทางกับการไหล)
ผลที่ได้ก็คือเราะจะเห็นความเข้มข้นของ
NH3
ในกระแสแก๊สที่ตัวตรวจวัดมีการกระจายแบบ
Gaussian
ที่สมมาตร
แต่ถ้าเป็นของแข็งที่มีรูพรุน
(รูปที่
๑ ล่าง)
การดูดซับจะเกิดขึ้นทั้งตำแหน่งที่อยู่ใกล้ปากรูพรุนหรือภายในรูพรุน
เมื่ออุณหภูมิสูงพอ
ตำแหน่งเหล่านี้ก็จะปล่อยโมเลกุล
NH3
ออกจากพื้นผิวพร้อม
ๆ กัน แต่ในกรณีของแข็งที่มีรูพรุนนี้
โมเลกุลที่เดิมเกาะอยู่บนพื้นผิวด้านนอกหรือใกล้กับปากรูพรุนจะแพร่เข้าสู่เฟสแก๊สที่ไหลผ่านของแข็งและถูกพัดพาออกไปทันทีที่ถูกคายซับออกมา
แต่โมเลกุลที่อยู่ในรูพรุนจะใช้เวลามากกว่าเพราะต้องแพร่ออกมาถึงปากรูพรุนก่อนที่จะเข้าสู่กระแสแก๊สที่ไหลผ่าน
ยิ่งรูพรุนมีความลึกมาก
(เช่นในกรณีของอนุภาคที่มีขนาดใหญ่)
แม้ว่าโมเลกุล
NH3
ที่อยู่ที่ปากรูพรุนหรือที่ก้นรูพรุนจะหลุดออกมาจากพื้นผิวของแข็งที่อุณหภูมิเดียวกัน
โมเลกุล NH3
ที่อยู่ลึกเข้าไปในรูพรุนจะใช้เวลาเดินทางมากกว่าในการออกสู่เฟสแก๊สที่ไหลผ่าน
ทำให้ได้พีคการกระจายความเข้มข้นมีลักษณะที่เป็นพีคที่ลากหาง
คือขึ้นเร็วแต่ลงช้า
ตรงจุดนี้
ถ้าใครเคยวิเคราะห์ GC
ด้วย
capillary
column ที่
stationary
phase เป็นเพียงชั้นฟิล์มบางมากเคลือบอยู่บนผิวด้านในของคอลัมน์
(เหมือนกับการดูดซับบนพื้นผิวที่ไม่มีรูพรุน)
จะเห็นว่าพีคที่ได้นั้นมีความสมมาตรมาก
แตกต่างไปจากกรณีของ packed
column (ที่ใช้ของแข็งมีรูพรุนเป็น
stationary
phase) ที่เป็นเรื่องปรกติที่จะเห็นพีคลากหาง
ในทางคณิตศาสตร์แล้ว
การทำ peak
deconvolution
หรือการหาว่าสัญญาณที่เห็นนั้นประกอบด้วยพีคที่มีขนาดเท่าใด
จำนวนเท่าใด และอยู่ตรงตำแหน่งไหนนั้น
จัดได้ว่าเป็นการคำนวณแบบ
nonlinear
regression กล่าวคือคำตอบที่ได้
(คือเข้ากับข้อมูลที่นำมาวิเคราะห์)
นั้นมีได้หลายคำตอบ
ขึ้นอยู่กับเลือกรูปแบบฟังก์ชันการกระจายตัว
(ว่าจะให้เป็นแบบสมมาตรหรือไม่สมมาตร
หรือมีรูปร่างการกระจายตัวอย่างไร)
การประมาณ
จำนวน ตำแหน่ง และขนาด
ของพีคที่คิดว่าควรมี
ก่อนที่จะให้โปรแกรมวิเคราะห์ผลว่าแต่ละพีคนั้นควรมีขนาดที่แท้จริงเท่าใดและอยู่ควรตรงตำแหน่งไหนจึงจะให้ผลการคำนวณเข้าใกล้กับข้อมูลมากที่สุด
ซึ่งหลังจากที่ได้ผลการคำนวณเบื้องต้นแล้วก็อาจต้องมีการพิจารณาปรับเพิ่มหรือลดพีคในบางตำแหน่งเพื่อให้ผลการทำ
peak
fitting นั้นดูดีขึ้น
แต่ที่สำคัญก็คือผลการคำนวณนั้นควรต้อง
"ดูสมเหตุสมผล"
คำว่า
"ดูสมเหตุสมผล"
ตรงนี้ควรต้องนำเอาข้อเท็จจริงของปรากฏการณ์นั้นเข้ามาพิจารณาด้วย
เช่นถ้าหากรูปแบบการกระจายตัวนั้นมีลักษณะไม่สมมาตร
ก็ควรใช้พีคที่ไม่สมมาตรในการทำ
peak
fitting หรือแม้แต่รูปแบบการกระจายตัวนั้นมีความสมมาตร
ก็ควรต้องใช้ฟังก์ชันกระจายตัวที่มีความสมมาตรที่เหมาะสมด้วย
และที่สำคัญคืออีกพารามิเตอร์หนึ่งที่สำคัญที่ควรต้องนำเอามาประกอบการพิจารณาคือตำแหน่ง
"จุดเริ่มต้น"
ของการเกิดพีค
รูปที่
๒ (ซ้าย)
ผลการวิเคราะห์ด้วย
NH3-TPD
และ
(ขวา)
การทำ
peak
deconvolution
ทำไมเราจึงควรให้ความสำคัญกับ"จุดเริ่มต้น"
ของการเกิดพีคก็เพราะ
โดยหลักการแล้ว
ตำแหน่งที่มีการดูดซับที่แรงกว่า
จะเกิดการคายซับที่อุณหภูมิที่สูงกว่า
ดังนั้นตำแหน่งจุดเริ่มต้นของการเกิดพีคที่เกิดการคายซับทีหลังจึงควรต้องอยู่หลังจากตำแหน่งจุดเริ่มต้นของการเกิดพีคของการคายซับที่เกิดขึ้นก่อน
ดังนั้นแม้ว่าหลังทำ peak
deconvolution
แล้วพบว่าแม้ว่ากราฟผลรวมนั้นจะเข้าได้ดีกับข้อมูลการทดลอง
แต่ถ้าตำแหน่งยอดพีคของพีคที่อยู่ข้างหลังนั้นกลับมีตำแหน่งการเกิดพีคนั้นที่เวลาเดียวกันหรือก่อนหน้าตำแหน่งเกิดพีคของพีคที่มีตำแหน่งยอดพีคอยู่ก่อนหน้า
แสดงว่าผลการทำ peak
deconvolution นั้นไม่ถูกต้อง
เพราะมันตอบไม่ได้ว่าทำไมพีคที่คิดว่ามีการดูดซับที่แรงกว่า
กลับเริ่มเกิดการคายซับที่อุณหภูมิเดียวกันหรือต่ำกว่าพีคที่คิดว่ามีการดูดซับที่อ่อนกว่า
อย่างเช่นกรณีของตัวอย่างในรูปที่
๒ ผลการทำ peak
deconvolution ที่ใช้ฟังก์ชันที่สมมาตรในการทำ
peak
fitting รูปด้านขวาแถวบนทั้ง
3
รูปนั้นจะเห็นว่าแม้ว่าพีค
2
จะมีตำแหน่งยอดพีคอยู่หลังพีค
1
แต่ตำแหน่งเกิดพีค
2
นั้นกลับอยู่ก่อนหน้าหรือที่เวลาเดียวกันกับพีคที่
1
ตรงนี้ถ้าดูแต่ตำแหน่งยอดพีคก็จะสรุปว่าตำแหน่งที่ทำให้เกิดพีคที่
2
นั้นมีการดูดซับที่แรงกว่าพีคที่
1
แต่ถ้าดูจากตำแหน่งเริ่มการเกิดพีคจะกลายเป็นว่าตำแหน่งที่ทำให้เกิดพีคที่
2
นั้นมีการดูดซับที่อ่อนกว่าพีคที่
1
หรือเท่ากัน
เพราะมันเริ่มคาย NH3
ที่อุณหภูมิที่ต่ำกว่าหรือที่อุณหภูมิเดียวกัน
อันที่จริงตามความรู้สึกส่วนตัวแล้ว
(จากประสบการณ์ที่เคยทำมา)
พีค
3
ที่เป็นพีคแรกของบทความนี้ไม่น่าจะเป็นพีคใหญ่เพียงพีคเดียว
ถ้าหากใช้ฟังก์ชันการกระจายตัวที่ไม่สมมาตร
(เช่น
Gaussion
distribution function ที่มีความกว้างด้านซ้ายและขวาไม่เท่ากัน
เช่นที่โปรแกรม fityk
เรียกว่า
split
Gaussian) มาใช้ในการทำ
peak
fitting น่าจะพบว่าพีค
3
นั้นอาจประกอบด้วยพีคสองพีคด้วยกัน
โดยพีคแรกนั้นเป็นพีคที่มีจุดสูงสุดอยู่ที่อุณหภูมิที่ต่ำกว่าและมีขนาดเล็ก
และพีคที่สองเป็นพีคที่สองเป็นพีคที่มีจุดสูงสุดอยู่ที่อุณหภูมิที่สูงกว่าและมีขนาดใหญ่
รูปที่
๓ ผลการวิเคราะห์ด้วย
NH3-TPD
และการทำ
peak
deconvolution
ผลการทำ
peak
deconvolution ในรูปที่
๓ ก็ออกมาในทำนองเดียวกัน
ในกรณีของ H-ZSM-5(30)
นั้นจะเห็นได้ชัดว่าพีค
2
นั้นแม้ว่าจะมีตำแหน่งยอดพีคอยู่หลังพีค
1
ที่อยู่ทางด้านซ้ายและมีขนาดเล็กกว่า
แต่จุดเริ่มต้นพีคที่สองนั้นกลับเกิดก่อนพีคแรก
ตรงนี้จากประสบการณ์ส่วนตัวแล้ว
สำหรับข้อมูลหน้าตาแบบนี้ถ้าทำ
peak
deconvolution ด้วยการใช้ฟังก์ชันการกระจายตัวที่ไม่สมมาตร
(เช่น
Gaussion
distribution function ที่มีความกว้างด้านซ้ายและขวาไม่เท่ากัน
เช่นที่โปรแกรม fityk
เรียกว่า
split
Gaussian) น่าจะได้พีคออกมา
3
พีค
คือพีค 1
ควรเป็นพีคที่มีขนาดใหญ่
พีค 2
ที่อยู่ตรงกลางที่มีขนาดเล็กกว่าโดยอยู่ซ้อนทับส่วนหางของพีคแรก
และพีค 3
ที่เป็นองค์ประกอบของพีคที่เตี้ยกว่าที่อยู่ท้ายสุด
ตัวอย่างที่นำมาแสดงให้เห็นในรูปที่
๔ ก็มีพฤติกรรมแบบเดียวกัน
คือจุดเริ่มต้นของพีค1
และ
2
นั้นเริ่มต้นที่อุณหภูมิเดียวกัน
โดยความเห็นส่วนตัวแล้วในกรณีของ
LaVPO
ที่ต้องใช้พีคถึง
5
พีคในการทำ
peak
fitting นั้นน่าจะเป็นผลจากการสมมุติว่าพีคการกระจายตัวเป็นแบบสมมาตตร
นอกจากนี้บทความเลี่ยงไม่กล่าวถึงสิ่งที่เห็นเป็นเหมือนพีคในช่วงอุณหภูมิสูง
เช่นที่อุณหภูมิสูงเกินกว่า
400ºC
(พีค
3
และ
4)
ในกรณีของ
MoVPO
หรือที่อุณหภูมิสูงเกินกว่า
500ºC
ในกรณีของ
CrVPO
และ
WVPO
(พีค
5
และ
6)
คำถามก็คือทำไมเขาจึงไม่พิจารณาว่าสิ่งที่เห็นในบริเวณดังกล่าวก็คือพีคด้วย
ตัวอย่างในรูปที่
๕ พึงสังเกตว่าตำแหน่งยอดของพีค
1
อยู่ที่อุณหภูมิที่ต่ำกว่าตำแหน่งยอดของพีค
2
ซึ่งถ้าว่ากันตามนี้ก็จะบอกว่าพีค
1
เกิดจากการคายซับ
NH3
จากตำแหน่งกรดที่มีความแรงอ่อนกว่าของพีค
2
แต่ถ้าพิจารณาจากจุดเริ่มต้นของพีค
จะเห็นว่าตำแหน่งกรดที่ทำให้เกิดพีค
2
นั้นเกิดการคายซับ
NH3
ก่อนและมากกว่าของตำแหน่งกรดที่ทำให้เกิดพีค
1
อีก
ซึ่งถ้าพิจารณาจากจุดเริ่มต้นการคายซับก็บ่งบอกว่าพีค
2
นั้นเป็นตำแหน่งกรดที่มีความแรงที่อ่อนกว่าของพีค
1
รูปที่
๔ ผลการวิเคราะห์ด้วย
NH3-TPD
และการทำ
peak
deconvolution
ตัวอย่างนี้น่าจะเป็นการแสดงเส้นสัญญาณแท้จริงที่ได้จากการวัดที่มีการไต่ขึ้นสูงเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น
(พฤติกรรมของ
thermal
conductivity detector)
ไม่เหมือนในตัวอย่างอื่นที่เป็นข้อมูลที่ผ่านการตัด
base
line ออกไปแล้ว
รูปที่
๕ ผลการวิเคราะห์ด้วย
NH3-TPD
(วัดด้วย
mass
spectrometer) และการทำ
peak
deconvolution จากประสบการณ์ส่วนตัว
กราฟรูปบนนั้นถ้าทำ peak
fitting ด้วยการใช้ฟังก์ชัน
Gaussian
ที่ไม่สมมาตรอาจะเห็นเพียงแค่สองพีค
คือพีคแรกเป็นพีคที่ใหญ่และลากหางยาว
และพีคที่สองที่มีขนาดเตี้ยกว่าและลากหางยาวเช่นกัน
รูปที่
๖ นั้นเป็นกรณีของ pyrrole-TPD
ที่เป็นการวัดปริมาณและความแรงของตำแหน่งที่เป็นเบสบนพื้นผิวของแข็ง
ลองดูกรณีของพีค 1
ที่ครอบทับพีค
2
เอาไว้แต่พีค
1
มีจุดสูงสุดนั้นอยู่ที่ตำแหน่งอุณหภูมิที่สูงกว่าของพีค
2
ดังนั้นถ้ามองแต่ตำแหน่งจุดสูงสุดของพีคก็จะสรุปว่าพีค
1
นั้นเป็นการคายซับจากตำแหน่งเบสที่มีความแรงมากกว่าของพีค
2
แต่ถ้าดูจากจุดเริ่มต้นการเกิดพีคแล้วจะกลายเป็นว่าตำแหน่งเบสที่ทำให้เกิดพีค
1
นั้นมีความแรงต่ำกว่าของพีค
2
เพราะมันเกิดการคายซับก่อนพีค
2
อีก
ส่วนกรณีการครอบทับของพีค
4
ที่ทับพีค
5
นั้นแตกต่างกันออกไป
เพราะทั้งตำแหน่งสูงสุดและจุดเริ่มต้นการเกิดพีคของพีค
4
นั้นอยู่ก่อนหน้าของพีค
5
ลักษณะเช่นนี้จะแปลได้ว่าตำแหน่งเบสที่ทำให้เกิดพีค
4
นั้นมีความแรงที่ต่ำกว่าและมีจำนวนที่มากกว่าของพีค
5
กรณีของพีค
6
และ
7
นั้นก็เป็นทำนองเดียวกันกับของพีค
1
และ
2
เพียงแต่จุดเริ่มต้นการเกิดพีค
(ซึ่งก็คืออุณหภูมิที่เริ่มเกิดการคายซับ)
เกิดขึ้นพร้อม
ๆ กัน แสดงว่าพีค 6
และ
7
นั้นเป็นพีคที่มีความเป็นเบสที่แรงเท่ากัน
โดยส่วนตัวแล้ว
ซอร์ฟแวร์ที่ใช้ทำ peak
deconvolution และ
peak
fitting ไม่ว่าจะเป็น
chromatogram
ของ
GC,
NH3-TPD, XRD, UV-Vis หรือแม้แต่
XPS
ที่ใช้อยู่เป็นประจำก็คือ
fityk
(ที่ลงไว้ในเครื่องก็เป็นรุ่น
0.9.7
และ
1.3.1)
ซอร์แวร์ตัวนี้เป็น
Open-source
curve-fitting and data analysis softwareที่ดาวน์โหลดมาใช้งานได้ฟรี
ข้อดีของซอร์ฟแวร์ตัวนี้คือมี
distribution
function หลากหลายรูปแบบให้เลือก
ทั้งชนิดที่การกระจายตัวมีความสมมาตรและไม่สมมาตร
เพียงแต่เราควรต้องรู้ว่าข้อมูลที่เรามีนั้นควรต้องใช้ฟังก์ชันการกระจายตัวรูปแบบใด
และเมื่อเลือกรูปแบบการกระจายตัวที่เหมาะสมมาใช้ก็จะพบว่าสามารถใช้เพียงไม่กี่พีคก็สามารถปรับเข้ากับข้อมูลดิบที่มีอยู่ได้
และยังสามารถอธิยายได้ทั้งตำแหน่งเริ่มเกิดพีคและตำแหน่งจุดสูงสุดของพีคโดยไม่มีความขัดแย้งกัน
ดังนั้นสำหรับผู้ที่ต้องทำ
peak
deconvolution เพื่อการแปลผลข้อมูล
ก็ขอแนะนำให้หาโปรแกรมนี้มาทดลองใช้ดู
รูปที่
๖ ผลการวิเคราะห์ด้วย
Pyrrole-TPD
และการทำ
peak
deconvolution
การอ่านผลข้อมูลดิบที่ได้จากการวัดเป็นสิ่งสำคัญก่อนที่จะทำการแปลผล
และการแปลผลนั้นควรอิงอยู่บนความจริงพื้นฐานของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างการวิเคราะห์ตัวอย่างด้วย
Memoir
ฉบับนี้เพียงต้องการแสดงให้เห็นว่า
ด้วยการตั้งคำถามพื้นฐานง่าย
ๆ เราก็จะมองเห็นแล้วว่าข้อสรุปที่ได้มานั้นมันสมเหตุสมผลเพียงใด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น