ตำราเคมี
(ในที่นี้เอาเป็นว่าเฉพาะเคมีอินทรีย์ก็แล้วกัน)
มักจะบอกเพียงว่าเมื่อสารตั้งต้น
A
ทำปฏิกิริยากับ
B
แล้วได้ผลิตภัณฑ์
C
คืออะไร
แต่สิ่งสำคัญที่มักจะละเอาไว้ก็คือ
"C
ที่ได้มานั้นยังสามารถเกิดปฏิกิริยาต่อเนื่องในระบบนั้นได้อีกหรือไม่"
ซึ่งจะว่าไปแล้วสิ่งนี้มันก็อยู่ในตำรา
เพียงแต่ว่าเราต้องการเห็นเพียงแค่ปฏิกิริยาที่เราต้องการเห็นหรือไม่เท่านั้นเอง
เรื่องการเห็นเฉพาะปฏิกิริยาที่ต้องการเห็นนั้นมันก่อให้เกิดปัญหาได้เวลาที่จะทำ
simulation
หรือออกแบบกระบวนการหรือทำการ
scale
up ระบบ
โดยเฉพาะถ้าในความเป็นจริงนั้นมันยังมีปฏิกิริยาข้างเคียง
(ที่อาจเกิดจากสารตั้งต้น
A
และ
B
ทำปฏิกิริยากันและได้สารอื่นที่ไม่ใช่
C)
หรือการทำปฏิกิริยาต่อเนื่องของผลิตภัณฑ์
(คือ
C
ที่เกิดขึ้นนั้นทำปฏิกิริยากับ
A
หรือ
B
เสียเอง)
การละสิ่งที่เกิดขึ้นจริงสามารถก่อผลกระทบต่อผลที่ได้จากการทำ
simulation
(ซึ่งมักจะออกมาในแง่ที่ดูดีชึ้น)
หรือการทำงานของกระบวนการที่สร้างขึ้นได้
(ซึ่งมักจะออกมาในทางที่เกิดปัญหาที่ไม่คาดคิดมาก่อน)
ในกรณีของการทำ
simulation
นั้น
การละปฏิกิริยาที่เกิดร่วมได้ออกไปทำให้ผลการคำนวณค่าการเลือกเกิด
(selectivity)
และผลได้
(yield)
ของผลิตภัณฑ์ที่ต้องการสูงขึ้น
และยังรวมไปถึงการใช้พลังงานที่ต่ำ
เพราะพอไม่มีผลิตภัณฑ์ข้างเคียง
ก็เลยไม่มีการใส่หน่วยแยกผลิตภัณฑ์ออกจากกันเอาไว้
แต่พอทำการสร้างหน่วยผลิตจริงออกมาก็จะทำให้พบว่าไม่สามารถสังเคราะห์ผลิตภัณฑ์ที่มีความบริสุทธิ์ตามต้องการได้
และ/หรือได้ผลได้ที่ต่ำจากที่คำนวณไว้
สำหรับผู้ที่เรียนทางวิศวกรรมเคมีที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง
นอกจากปฏิกิริยาที่สนใจแล้วจึงควรต้องคำนึงถึงปฏิกิริยาที่มีสิทธิเกิดขึ้นร่วมด้วย
ไม่เช่นนั้นจะก่อให้เกิดปัญหาในการนำทฤษฎีหรือผลในห้องปฏิบัติการไปใช้งานจริงได้
ดังนั้น Memoir
ฉบับนี้จึงขอทบทวนพื้นฐานเรื่องราวเหล่านี้เสียหน่อย
ด้วยการยกบางตัวอย่างมาให้เห็นภาพ
รูปที่ ๑ (บน) ปฏิกิริยาการออกซิไดซ์ ethanol ไปเป็น acetaldehyde และ (ล่าง) ปฏิกิริยา chlorination ของ methane
ในตำราอินทรีย์เคมีนั้นบอกว่าสังเคราะห์สารประกอบ
aldehyde
ทำได้ด้วยการออกซิไดซ์
1º
alcohol ดังเช่นกรณีของการออกซิไดซ์
ethanol
ไปเป็น
acetaldehye
(รูปที่
๑)
แต่ในขณะเดียวกันในส่วนของการทำปฏิกิริยาของ
aldehyde
ก็บอกไว้ด้วยว่าการออกซิไดซ์
aldehyde
จะได้
carboxylic
acid
ถ้าหาก
-COH
(aldedhye) นั้นทนต่อการออกซิไดซ์มากกว่าหมู่
-OH
(alcohol) ปัญหาการเกิด
-COOH
(carboxylic acid)
ก็คงจะเลี่ยงได้ด้วยการเลือกใช้สารออกซิไดซ์ที่แรงเพียงแค่ออกซิไดซ์
-OH
ได้แต่ไม่สามารถออกซิไดซ์
-COH
ได้
แต่ในความเป็นจริงนั้นหมู่
-COH
ถูกออกซิไดซ์ง่ายกว่าหมู่
-OH
ดังนั้นสารออกซิไดซ์ที่สามารถออกซิไดซ์หมู่
-OH
ได้ก็จะสามารถออกซิไดซ์หมู่
-COH
ได้เช่นกัน
ในกรณีเช่นนี้ถ้าต้องการสังเคราะห์
aldehyde
จากการออกซิไดซ์
1º
alcohol ก็ต้องใช้วิธีการค่อย
ๆ สารออกซิไดซ์ทีละน้อย ๆ
ลงไปใน alcohol
และหาทางแยก
aldehyde
ที่เกิดขึ้นนั้นออกจากระบบไปพร้อมกัน
เพื่อป้องกันไม่ให้ aldehyde
ที่เกิดขึ้นถูกออกซิไดซ์ต่อไปเป็น
carboxylic
acid
หรืออย่างในกรณีของปฏิกิริยา
chlorination
ของมีเทน
(CH4)
ด้วย
Cl2
นั้น
เนื่องจาก Cl2
เป็นสารที่มีความว่องไวในการทำปฏิกิริยาสูงมาก
ดังนั้นมันจึงสามารถเข้าไปแทนที่อะตอม
H
ทั้ง
4
อะตอมได้
(รูปที่
๑)
ถ้าต้องการการแทนที่เพียงแค่ตำแหน่งเดียว
(คือต้องการ
CH3Cl)
ก็ต้องใช้วิธีการเติม
Cl2
ทีละน้อย
ๆ เข้าไปทำปฏิกิริยากับ CH4
ด้วยเหตุนี้จึงอย่างแปลกใจถ้าพบว่าทำไมในตำราอินทรีย์เคมี สำหรับหมู่ฟังก์ชันแต่ละหมู่นั้นจึงมีวิธีการเตรียมที่หลากหลาย อย่างเช่นในกรณีของการเตรียม aldehyde จาก 1º alcohol ด้วยปฏิกิริยา dehydrogenation (ดึงไฮโดรเจนออก) จะไม่มีการเกิด carboxylic acid หรือการเตรียม CH3Cl โดยใช้ปฏิกิริยาระหว่าง CH3OH กับ HCl ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะได้ผลิตภัณฑ์ที่มี Cl มากกว่า 1 อะตอม
ปฏิกิริยาการสังเคราะห์
olefin
(หรือที่ในตำราเคมีอินทรีย์เรียก
alkene)
จาก
paraffin
(หรือที่ในตำราเคมีอินทรีย์เรียก
alkane)
ด้วยปฏิกิริยาการออกซิไดซ์ก็เป็นปฏิกิริยาหนึ่งที่เคยมีการศึกษากันอย่างแพร่หลาย
กระบวนการผลิต olefin
หลักในปัจจุบัน
(เช่นการผลิต
ethylene
และ
propylene)
ยังคงใช้ปฏิกิริยา
thermal
cracking ของ
paraffin
อยู่
แต่เนื่องจากปฏิกิริยา
thermal
cracking เป็นปฏิกิริยาดูดความร้อน
จึงทำให้ต้องใช้อุณหภูมิที่สูงในการทำปฏิกิริยา
แถมยังถูกจำกัดด้วยค่าคงที่สมดุลเคมีอีก
ด้วยเหตุนี้จึงมีแนวความคิดที่จะกลับเทอร์โมไดนามิกส์ของปฏิกิริยา
ด้วยการใช้ปฏิกิริยาการออกซิไดซ์ที่เรียกว่า
oxidativedehydrogenation
แทน
โดยในปฏิกิริยานี้ paraffin
จะทำปฏิกิริยากับ
O2
ได้
olefin
และน้ำ
(รูปที่
๒)
เนื่องจากปฏิกิริยานี้เป็นปฏิกิริยาคายความร้อน
เทอร์โมไดนามิกส์จึงทำนายว่าปฏิกิริยาจะสามารถดำเนินไปข้างหน้าได้อย่างสมบูรณ์โดยไม่ต้องใช้อุณหภูมิที่สูงมาก
แต่เอาเข้าจริงกับพบว่าด้วยความที่
paraffin
นั้นค่อนข้างจะทำปฏิกิริยายาก
จึงจำเป็นต้องใช้อุณหภูมิที่สูงพอในการทำให้ปฏิกิริยาเกิด
หรือไม่ก็ต้องใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาที่มีความว่องไวสูง
แต่ปัญหาที่ตามมาก็คือพันธะ
C=C
ของ
olefin
นั้นมีความว่องในการทำปฏิกิริยาที่สูงกว่า
paraffin
ที่เป็นสารตั้งต้น
จึงทำให้ olefin
ที่เกิดขึ้นนั้นทำปฏิกิริยากับ
O2
ได้ง่ายกว่าและสลายตัวต่อไปเป็น
CO2
และน้ำ
จริงอยู่แม้ว่าการป้องกันไม่ให้ผลิตภัณฑ์ที่ได้นั้นทำปฏิกิริยากับสารตั้งต้นต่อสามารถทำได้ด้วยการจำกัดปริมาณสารตั้งต้นตัวที่ก่อปัญหา
(เช่นสารออกซิไดซ์หรือ
Cl2
ในตัวอย่างที่ยกมา)
แต่นั่นหมายถึงการมีค่าใช้จ่ายที่สูงในแยกเอาสารตั้งต้นตัวที่ใส่ในปริมาณมากเกินพอ
(ซึ่งมักจะเกินพออยู่หลายเท่า)
กับผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นออกจากกัน
เพื่อที่จะเอาสารตั้งต้นตัวที่ใส่ไปมากเกินพอนั้นกลับไปทำปฏิกิริยาใหม่
การสังเคราะห์
alkylaromatic
จากปฏิกิริยา
alkylation
เบนซีนด้วย
olefin
(โดยมีกรดเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา)
ก็เป็นปฏิกิริยาหนึ่งที่มีการทำกันมากในอุตสาหกรรม
เช่นการสังเคราะห์ ethylbenzene
เพื่อผลิต
ethyl
benzene (สารตั้งต้นที่ใช้ในการสังเคราะห์
styrene)
จากปฏิกิริยาระหว่าง
benzene
กับ
ethylene
หรือ
cumene
(สารตั้งต้นที่ใช้ในการสังเคราะห์
phenol
และ
acetone)
จากปฏิกิริยาระหว่าง
benzene
กับ
propylene
(รูปที่
๓)
สิ่งที่ต้องการนั้นก็คือการสร้างสาร
alkyl
benzene ที่มีหมู่แทนที่เพียงหมู่เดียว
แต่เนื่องจากหมู่ alkyl
นั้นเป็น
ring
activating group จึงทำให้สารประกอบ
alkyl
benzene ที่เกิดขึ้นนั้นมีความว่องไวในการทำปฏิกิริยาสูงกว่า
benzene
การทำปฏิกิริยาจึงจำเป็นต้องใช้
benzene
ในสัดส่วนที่สูงกว่า
olefin
อยู่มาก
เพื่อหลีกเลี่ยงการแทนที่มากกว่า
1
ตำแหน่ง
ในกรณีที่มีการแทนที่มากกว่า
1
ตำแหน่งนั้น
ปฏิกิริยาทั้งสองก็ยังมีสิทธิให้ผลการแทนที่ตำแหน่งที่สองที่แตกต่างกันได้
จริงอยู่แม้ว่าหมู่ alkyl
นั้นจะทำให้เกิดการแทนที่ครั้งที่สองในตำแหน่ง
o-
(ortho หรือ
1,2-)
หรือ
p-
(para หรือ
1,4-)
แต่การแทนที่ครั้งที่สองนั้นจะมีเรื่องขนาดและรูปร่างของหมู่ที่เข้ามาแทนที่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
ethylene
นั้นเป็นโมเลกุลขนาดเล็กและหมู่
-C2H5
ที่เกาะอยู่กับวงแหวนก่อนหน้าก็ไม่ได้มีขนาดใหญ่
การแทนที่ครั้งที่สองจึงมีโอกาสเกิดได้ทั้งที่ตำแหน่ง
o-
(ได้ผลิตภัณฑ์
o-diethylbenzene
หรือ
1,2-diethylbenzene)
และ
p-
(ได้ผลิตภัณฑ์
p-diethylbenzene
หรือ
1,4-diethylbenzene) แต่ในกรณีของ
propylene
นั้น
ด้วยขนาดโมเลกุลที่ใหญ่กว่าจึงทำให้การแทนที่ที่ตำแหน่ง
o-
นั้นเกิดได้ยาก
การแทนที่ครั้งที่สองที่จะเกิดได้ก็ควรเป็นที่ตำแหน่ง
p-
ปฏิกิริยา
nitration
ของ
benzene
(รูปที่
๔)
นั้นมีปัญหาน้อยกว่าเรื่องการแทนที่ครั้งที่สองเพราะหมู่
-NO2
ที่เติมเข้าไปนั้นเป็น
ring
deactivating group ทำให้
nitrobenzene
ที่เกิดขึ้นนั้นทำปฏิกิริยาได้ยากกว่า
benzene
ถ้าต้องการให้เกิดการแทนที่ครั้งที่สองก็ต้องใช้สภาวะการทำปฏิกิริยาที่รุนแรงกว่าที่ใช้ในการแทนที่ครั้งแรก
ดังนั้นด้วยการควบคุมสภาวะการทำปฏิกิริยาไม่ให้รุนแรงเกินไปก็จะสามารถจำกัดการแทนที่ให้เกิดเพียงแค่ครั้งเดียวได้
แต่ถ้าเป็นปฏิกิริยา
nitration
ของ
phenol
(รูปที่
๔)
จะยุ่งยากในการพิจารณากว่า
เพราะหมู่ -OH
เป็นหมู่
ring
activating group ในขณะที่หมู่
-NO2
เป็น
ring
deactivating group ดังนั้น
nitrophenol
ที่เกิดขึ้นจะยังคงมีความว่องไวสูงหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าระหว่างหมู่
ring
activating group (คือ
-OH)
และ
ring
deactivating group (คือ
-NO2)
ตัวไหนที่แรงกว่ากัน
ถ้า ring
activating group แรงกว่า
ผลิตภัณฑ์ที่ได้ก็ยังคงมีความว่องไวในการทำปฏิกิริยาที่สูง
(แม้ว่าจะน้อยกว่า
phenol
ก็ตาม)
แต่ถ้า
ring
deactivating group แรงกว่า
การแทนที่อีกครั้งก็จะเกิดได้ยากขึ้น
สำหรับบันทึกช่วยเตือนความจำฉบับนี้
ก็คงจะขอจบลงเพียงแค่นี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น