วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

เมื่อพิจารณาในรูปของอัตราส่วน MO Memoir : Thursday 21 May 2563

"There are three kinds of lies: lies, damned lies, and statistics."
  
ข้อความข้างต้นใครจะเป็นคนเริ่มกล่าวเอาไว้ก็ไม่รู้ ประวัติของประโยคนี้ใน wikipedia ก็บอกเอาไว้ว่ามีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ ๑๙ แล้ว ถ้านับถึงปัจจุบันที่เป็นศตรวรรษที่ ๒๑ มันก็มีอายุยืนยาวมากว่าร้อยปี แถมยังคงเป็นจริงอีก
  
เดือนที่แล้ว (๒๓ เมษายน) เขียนเรื่องเกี่ยวกับ COVID-19 ไว้ในเรื่อง "เมื่อพิจารณาแยกตามช่วงอายุ" มาวันนี้อยากจะนำเสนอมุมมองอีกมุมหนึ่ง คือแทนที่จะพิจารณาเฉพาะตัวเลขรวม ก็จะลองพิจารณาในแง่ของอัตราส่วนต่อจำนวนประชากรทั้งหมดดูบ้าง โดยตัวเลขต่าง ๆ นำมาจาก https://www.worldometers.info/coronavirus/เมื่อเวลาประมาณ ๑๒.๔๕ น. ของวันนี้ ที่ต้องระบุวันเวลาด้วยก็เพราะ ตัวเลขมันเปลี่ยนตลอดเวลา

รูปที่ ๑ รายชื่อประเทศที่อยู่ใน ๑๗ อันดับแรกเรียงตามจำนวนผู้ป่วยจากมากไปน้อย

บ้านเรามักจะโดนกล่าวหาจากคนในบ้านเราด้วยกันเองและจากต่างชาติว่า ที่เห็นว่าตัวเลขผู้ป่วยน้อยเพราะตรวจน้อยใช่ไหม จริงอยู่ที่ว่าจำนวน "ผู้ป่วย" นั้นอาจทำให้ต่ำได้ด้วยการไม่ตรวจ แต่จำนวน "ผู้เสียชีวิต" นั้นยากที่จะแต่ง เพราะมันมีหลักฐานชัดเจน และช่วงเวลาที่ผ่านมา ถ้าสังเกตจากแหล่งข่าวของชาติตะวันตกเองก็เห็นได้ว่า หลายประเทศทางตะวันก็ทำการ "แต่งตัวเลข" ทั้งผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตให้ต่ำกว่าความเป็นจริง วิธีการที่เขาทำก็ไม่ยากอะไร บอกว่าถ้าอาการไม่หนักก็ไม่ต้องมาโรงพยาบาล และถึงมีอาการหนักแต่มีอายุมากแล้วก็ไม่ต้องมา เพราะโอกาสรอดต่ำ สุดท้ายก็ตายกันคาบ้านพักคนชราแบบไม่ได้รับการตรวจว่าเป็นหรือไม่ ดังนั้นยอดตายตรงนี้ก็เลยไม่ถูกนำมารวม
  
รูปที่ ๒ รายชื่อประเทศที่อยู่ในอันดับที่ ๑๗-๓๖ เรียงตามจำนวนผู้ป่วยจากมากไปน้อย

หลายประเทศที่เห็นว่ามีผู้ป่วยไม่มาก แต่ถ้าเทียบกับจำนวนประชากรในประเทศที่เขามีอยู่ก็ถือว่าเยอะนะครับ อย่างเข่นประเทศสวีเดน (อันดับที่ ๒๔ ในรูปที่ ๒) ที่มีใครต่อใครชื่นชมกันเรื่องปล่อยให้อยู่กันอย่างอิสระ ไม่ต้องมีการขังคนไว้ในบ้าน แต่จำนวนผู้ป่วยต่อประชากร ๑ บ้านคนอยู่ที่สามพันกว่า และอัตราการตายสูงถึง ๓๘๐ คนต่อประชากรหนึ่งล้านคน ในขณะที่สหรัฐอเมริกาที่เป็นประเทศที่มีจำนวนผู้เสียชีวิตมาที่สุดนั้น มีอัตราการตายเพียงแค่ ๒๘๗ คนต่อประชากรหนึ่งล้านคน เรียกว่ายังต่ำกว่าสวีเดนอยู่เยอะ
  
อันที่จริงในอเมริกาเขายังมีการแยกอัตราการตายตามสีผิวอีก ทำให้เห็นว่าคนผิวดำมีอัตราการตายที่สูงกว่าคนผิวขาวมาก จนกระทั่งอดีตประธานาธิบดีต้องออกมาโวยวายถึงเรื่องความไม่เท่าเทียมกันในสังคม
ทีนี้ลองมาดูกรณีของออสเตรเลียดูบ้าง (อันดับที่ ๕๖ ในรูปที่ ๓) มีอัตราการป่วยอยู่ในระดับเดียวกันกับสหรัฐอเมริกาคือ ๒๗๘ คนต่อประชากรหนึ่งล้านคน แต่มีอัตราการตายเพียงแค่ ๔ คนต่อประชากรหนึ่งล้านคน ซึ่งจะว่าไปแล้วอัตราการตายของออสเตรเลียก็ยังสูงกว่าของประเทศไทย (อันดับที่ ๗๒ ในรูปที่ ๓) ถึง ๕ เท่า เพราะไทยมีอัตราการตายเพียงแค่ ๐.๘ คนต่อประชากรหนึ่งล้านคนเท่านั้นเอง แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่วายมีอดีตเจ้าหน้าที่สถานฑูตออสเตรเลียประจำประเทศไทยมาวิจารณ์ระบบสาธารณสุขของไทยว่าที่เห็นว่ามีคนป่วยน้อยเพราะตรวจน้อย 
  
อีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจก็คือจากผลการจัดอันดับด้านความพร้อมของระบบสาธารณสุขของประเทศต่าง ๆ ที่เห็นว่าประเทศชาติตะวันตกนั้นอยู่ในอันดับต้น ๆ ของโลกทั้งนั้น แต่ทำไมเมื่อเกิดเหตุการณ์นี้จึงไม่สามารถรับมือได้ สิ่งที่น่าพิจารณาก็คือในเมื่อตัวบ่งชี้ที่ใช้วัดและทำนาย กับผลลัพธ์ที่เป็นจริงนั้นมันแตกต่างกัน มันมีอะไรที่ผิดผลาดตรงไหน การเก็บผลลัพธ์นั้นทำไม่ครอบคลุมหรือไม่ หรือตัวบ่งชี้ที่ใช้นั้นมีไม่ครอบคลุมหรือไม่ หรือให้ความสำคัญกับตัวบ่งชี้ที่ไม่สำคัญมากเกินไป ในขณะที่ไม่ให้ความสำคัญกับตัวบ่งชี้ที่สำคัญในความเป็นจริง หรือไม่มีการนำปัจจัยบางอย่างมาเป็นตัวบ่งชี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโอกาสในการเข้าถึงระบบสาธารณสุข เพราะจำนวนหมอต่อประชากรทั้งหมดมันไม่มีความหมาย ถ้าหากว่าในความเป็นจริงนั้นมีได้เฉพาะประชากรที่มีรายได้สูง (พอที่จะจ่ายค่าประกันสังคมได้) เท่านั้นจึงจะเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้ ดังนั้นมันอาจต้องพิจารณาจำนวนประชากรที่มีสิทธิเข้าถึงบริการทางการแพทย์ต่อจำนวนประชากรทั้งหมดแทน
  
รูปที่ ๓ รายชื่อประเทศที่อยู่ในอันดับที่ ๕๖-๗๔ เรียงตามจำนวนผู้ป่วยจากมากไปน้อย ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ ๗๒

ผมเองมีความรู้สึกว่าในขณะนี้ชาติตะวันตกหลายชาติกำลังเกิดวิกฤตด้าน "ความรู้สึกว่าตนเองเหนือกว่าผู้อื่นในทุก ๆ ด้าน" เพราะเหตุการณ์นี้ทำให้เห็นว่าประเทศที่เขามองมาตลอด (แม้ว่าจะไม่พูดออกมาโดยตรง แต่ใช้การออกข่าวหรือให้สัมภาษณ์แบบกระทบกระทั่งก็ตาม) สามารถทำได้ดีกว่าพวกเขา ดังจะเห็นได้จากว่าแม้ว่าสถานการณ์ในประเทศเขาเองนั้นย่ำแย่กว่าประเทศที่ยังไม่พัฒนา แทนที่จะตั้งสมาธิว่าจะทำอย่างไรให้ประเทศตัวเองผ่านวิกฤตไปได้ กลับเที่ยวมาออกข่าวว่าประเทศอื่นที่ดูดีกว่าประเทศเขานั้นเป็นเพราะปกปิดตัวเลขใช่ไหม และที่แย่ก็คือมีคนบ้านเราเองจำนวนหนึ่งก็เป็นไปกับเขาด้วย จะเรียกว่าเห็นฝรั่งเป็นพระเจ้าก็ได้ ท่านจะว่าอะไรก็ถูกเสมอ
  
เคยมีคนโวยวายว่าทำไม่บ้านเราไม่ตรวจเยอะ ๆ ผมก็ต้องอธิบายว่าการตรวจนี้มันไม่ง่ายเหมือนการตรวจตั้งครรภ์ที่ใครก็ได้เดินเข้าร้านขายยาแล้วซื้อชุดตรวจมาทำการตรวจเองที่บ้าน ไม่กี่นาทีก็รู้ผล เริ่มแรกบ้านเราเองมีแลปมาตรฐานเพียงแลปเดียวที่ตรวจได้ก็คือของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แลปที่อื่นจะทำการตรวจได้ก็ต้องผ่านการรับรองมาตรฐานจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ก่อน การรับรองมาตรฐานนั้นมันรวมทั้ง สถานที่ เครื่องมือ วัสดุสิ้นเปลือง และคนตรวจ และที่สำคัญก็คือคนตรวจที่ไม่สามารถจัดซื้อได้ แต่ต้องใช้การฝึกฝน ใครสอบผ่านก็มีสิทธิ์ทำงาน ใครสอบไม่ผ่านก็ไม่มีสิทธิ์ ถึงกระนั้นก็ตามก็ยังมีโอกาสที่จะเกิดผิดพลาดได้ เช่นกรณีที่เกิดที่ยะลาจำนวน ๔๐ ราย ที่สุดท้ายต้องมีการตรวจยืนยันถึง ๓ แลปเพื่อจะบอกว่าผลตรวจแลปแรกนั้นมีปัญหา ซึ่งจะว่าไปแล้วตรงนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องผิดปรกติใด ๆ มันเป็นหนึ่งในขั้นตอนการทำงานอยู่แล้วที่เมื่อเห็นผลที่ได้นั้นมันแปลก ๆ ก็ต้องตรวจสอบซ้ำ
  
อยู่บ้านได้ดูข่าวจากสำนักข่าวต่าง ๆ สิ่งหนึ่งที่เป็นประเทศไทยแตกต่างไปจากประเทศอื่นก็คือ เราใช้บุคคลากรทางการแพทย์ (แถมเป็นจิตแพทย์อีกต่างหาก) ในการขอความร่วมมือจากประชาชนในการฝ่าวิกฤตนี้ไปด้วยกัน ในขณะที่ประเทศอื่น ๆ นั้นจะเป็นนักการเมืองที่เป็นคนออกโทรทัศน์ แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่วายมีคนเอาการเมืองมายุ่ง

#เราจะผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน
#ประเทศไทยต้องชนะ

ไม่มีความคิดเห็น: