การใช้ไนโตรเจน
(หรือแก๊สเฉื่อยตัวอื่นเช่นคาร์บอนไดออกไซด์
ในบางกรณี)
ในการป้องกันไม่ให้อากาศเข้ามาผสมกับไอเชื้อเพลิงที่อยู่ในระบบ
(ที่อาจเป็น
pressure vessel,
storate tank, ระบบท่อ ฯลฯ)
เป็นวิธีการมาตรฐานที่ใช้กันทั่วไปในอุตสาหกรรมเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการระเบิด
(ที่เรียกว่า
blanketing)
แต่การทำเช่นนี้ก็มีข้อพีงระวังคืออันตรายจากการขาดอากาศหายใจในกรณีที่ต้องทำการซ่อมบำรุงอุปกรณ์ที่มีแก๊สเฉื่อยเหล่านี้อยู่ภายใน
ซึ่งมีรายงานออกมาให้เห็นอยู่เสมอ
ไฮโดรเจนซัลไฟล์
(H2S)
เป็นแก๊สที่มีความเป็นพิษตัวหนึ่ง
ที่ทำให้ผู้สูดดมเข้าไปนั้นเสียชีวิตได้แม้ว่าในบริเวณนั้นจะมีออกซิเจนมากเพียงพอต่อการหายใจก็ตาม
แก๊สนี้เป็นแก๊สที่สามารถติดไฟได้
แต่โดยทั่วไปเราจะไม่เห็นอุบัติเหตุการระเบิดหรือเพลิงไหม้ที่เกิดจากแก๊สชนิดนี้
เพราะมักเป็นแก๊สที่มีความเข้มข้นต่ำที่ปนเปื้อนหรือเกิดขึ้นในระบบ
ในสภาวะที่ไม่มีออกซิเจน
ไฮโดรเจนซัลไฟล์สามารถทำปฏิกิริยากับสนิมเหล็ก
โดยอะตอม S
ของ H2S
จะเข้าไปแทนที่อะตอม
O ของสนิมเหล็ก
เกิดเป็นสารประกอบ Iron
(ii) sulphide (FeS) หรือ Iron
(III) sulphide (Fe2S3) ได้
แต่ที่อุณหภูมิสูงเกิน 20ºC
นั้น Fe2S3
จะสลายตัวกลายเป็น FeS
และธาตุกำมะถัน (S)
สารประกอบระหว่างเหล็กกับกำมะถันที่สำคัญอีกตัวหนึ่งคือแร่ไพไรต์
(Pyrite FeS2)
ที่เป็นแหล่งแร่กำมะถันที่สำคัญตัวหนึ่ง
ความแตกต่างที่สำคัญตัวหนึ่งระหว่าง
FeS และ
FeS2 คือ
ในขณะที่ FeS2
มีความเสถียรเมื่อต้องสัมผัสกับอากาศ
แต่ FeS
จะสลายตัวกลายเป็น FeO
และ SO2
และที่สำคัญคือปฏิกิริยาการสลายตัวนี้คายความร้อนมากเสียด้วย
รูปที่ ๑
คำเตือนเมื่อต้องเปิดระบบที่อาจมี
FeS
เกิดสะสมอยู่ภายใน
เพราะอากาศที่เข้าไปข้างในจะไปทำให้
FeS สลายตัว
คายความร้อนออกมามากจนกระทั่งสามารถลุกติดไฟหรือทำให้ไอเชื้อเพลิง
(ที่อาจเกิดขึ้นจากความร้อนที่ปฏิกิริยาการสลายตัวของ
FeS คายออกมา)
เกิดระเบิดขึ้นได้
(จาก
ICI Safety
Newsletter ฉบับที่ ๑๔๗ เดือนพฤษภาคม
ปีค.ศ.
๑๙๘๑)
ปัญหาจะเกิดขึ้นเมื่อมีการสะสมของ
FeS จำนวนมากในระบบ
และ FeS
ที่สะสมนี้เจอกับอากาศที่ไหลเข้าไปในระบบ
ถ้าหากในระบบนั้นมีไอสารเชื้อเพลิงอยู่ที่ระดับความเข้มข้นที่เหมาะสม
ความร้อนสูงที่เกิดจากการสลายตัวของ
FeS
ก็จะทำให้ไอสารเชื้อเพลิงนั้นระเบิดได้
แต่ถ้าในระบบนั้นมีอากาศร่วมอยู่ตั้งแต่ต้น
FeS
ที่เกิดขึ้นก็จะถูกทำลายไปเรื่อย
ๆ ตลอดเวลา
โอกาสที่จะเกิดการสะสมเป็นปริมาณมากในระบบจึงไม่มี
เรื่องที่นำมาเล่าในวันนี้เป็นอุบัติเหตุเพลิงไหม้
๒ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่น
โดยมีสาเหตุเกิดจากการสลายตัวของ
FeS
ทั้งสองเรื่องนำมาจาก
http://shippai.org/fkd/en
ซึ่งเป็นเว็บของ
Association for the
study of failure
เรื่องที่
๑ ไฟไหม้ในถังเก็บยางมะตอย
การทำให้ถังเก็บน้ำมันปลอดภัยก่อนที่จะเข้าไปปฏิบัติงานข้างในนั้นเริ่มด้วยการถ่ายเอาน้ำมันในถังนั้นออกก่อน
จากนั้นก็ใช้การฉีดไอน้ำเพื่อไล่ไอน้ำมันที่ตกค้างอยู่ในถังออก
นอกจากนี้ความร้อนจากไอน้ำยังช่วยทำให้น้ำมันหนักที่มีจุดเดือดสูง
ที่อาจเกาะติดอยู่บนผนังหรือส่วนต่าง
ๆ ภายในถังระเหยออกไปด้วย
จากนั้นจึงตามด้วยการป้อนไนโตรเจนเพื่อรักษาความดันในถังเมื่อไอน้ำควบแน่น
แล้วจึงแทนที่ไนโตรเจนด้วยอากาศ
รูปที่ ๒
เหตุการณ์เพลิงไหม้ถังเก็บยางมะตอย
ณ โรงกลั่นแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น
เมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ.
๒๕๓๕
แต่ถ้าเป็นกรณีของน้ำมันหนักเช่นน้ำมันเตา
(Fuel oil)
หรือยางมะตอย (Asphalt)
ความร้อนจากไอน้ำไม่เพียงพอที่จะทำให้น้ำมันหนักพวกนี้
(ที่อาจเป็นของแข็งที่อุณหภูมิห้องด้วยซ้ำ)
ระเหยออกไป
การกำจัดหรือลดปริมาณน้ำมันหนักที่ตกค้างอยู่ทำได้ด้วยการเพิ่มขั้นตอนการล้างด้วยน้ำมันเบา
เพื่อเอาน้ำมันเบาเข้าไปละลายน้ำมันหนักที่ตกค้างอยู่ออก
ในเหตุการณ์ในรูปที่ ๒
ที่เป็นถังเก็บยางมะตอยความจุ
2000 m3
ใช้ gas
oil เข้าไปไหลหมุนเวียนอยู่นานถึง
๓ วัน (gas
oil นี้เป็นน้ำมันที่มีจุดเดือดในช่วงปลายของน้ำทมันดีเซลหรือหนักกว่า
มีจุดวาบไฟที่สูงกว่าอุณหภูมิห้อง
ทำให้การเก็บก็ไม่จำเป็นต้องมีการใช้
nitrogen blanketing
เพราะมันไม่ค่อยระเหย)
หลังเสร็จสิ้นการล้างด้วย
gas oil และถ่ายเอา
gas oil ออก
ก็ทำการเปิด manhole
และ vent
รวม ๓ จุดเพื่อให้อากาศไหลเข้าถัง
(น่าจะเป็นด้วยวิธี
natural convection)
๑๒ ชั่วโมงผ่านไปหลังการถ่ายเอา
gas oil
ออกพบกลุ่มควันออกมาจาก
manhole และ
vent
ที่เปิดอยู่และหน้าแปลน
ใช้เวลากว่า ๒
ชั่วโมงจึงสามารถทำให้เพลิงสงบได้
(รูปที่
๒)
สาเหตุที่ทำให้เกิดเพลิงไหม้คาดว่าเกิดจาก
FeS
ที่เกิดจากการสลายตัวของ
Fe2S3
ที่เกิดจากปฏิกิริยาระหว่างH2S
และสนิมเหล็กดังสมการ
2FeO(OH)
+ 3H2S -----> Fe2S3 + 4H2O
ปฏิกิริยาดังกล่าวเกิดขึ้นที่ผิวด้านในของถัง
(ที่ผนังและหลังคา)
ดังนั้นเมื่ออากาศเข้าไปข้างใน
FeS
(ที่เกิดจากการสลายตัวของ
Fe2S3
ที่มีสะสมอยู่มาก)
ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนและคายความร้อนออกมา
ความร้อนที่คายออกมานั้นมากพอที่จะทำให้
gas oil
ที่ตกค้างอยู่ระเหยและลุกติดไฟได้
เรื่องที่
๒
ไฟไหม้ในถังบำบัดน้ำเสียของโรงกลั่นน้ำมัน
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับ
"ถังบำบัดน้ำเสีย"
(รูปที่ ๓ และ ๔)
ในการซ่อมบำรุงถังบำบัดน้ำเสีย
หลังจากที่ระบายน้ำเสียออกไปแล้วก็ทำการเปิด
manhole
ที่หลังคาถังทิ้งไว้
จากนั้นจึงทำการเปิดฝาที่อยู่ที่
manhole
ด้านข้างเพื่อตรวจสอบระดับตะกอนที่ตกค้างอยู่ในถัง
หลังจากตรวจเสร็จแล้วก็ทำการปิดฝาไว้
แต่ไม่ได้ปิดแน่นให้สนิทเหมือนเดิม
เมื่อเวลาผ่านไปมีเสียงแก๊สพุ่งออกมาเกิดขึ้นและตามด้วยเปลวไฟที่ตามหลังมาเพียงแค่ไม่กี่วินาที
รูปที่ ๓ เหตุการณ์เพลิงไหม้ถังบำบัดน้ำเสีย ณ โรงกลั่นแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ ๑๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๘
สาเหตุที่ทำให้เกิดเพลิงลุกไหม้เกิดจากอากาศที่ไหลเข้าถังด้วย
natural convection
(เข้าทางฝาปิด manhole
ด้านข้างที่ปิดไม่สนิท
และออกทาง manhole
ด้านบนที่เปิดอยู่)
อากาศที่ไหลเข้าไปทำให้
iron sulphide
ที่สะสมอยู่ในถังสลายตัว
คายความร้อนออก และไปทำให้แก๊ส
H2S
ลุกติดไฟตามมา
(เพิ่งจะเห็นกรณีนี้เป็นกรณีแรกที่เป็นเพลิงไหม้โดยมี
H2S
เป็นเชื้อเพลิง)
รูปที่ ๔
แผนผังของถังบำบัดน้ำเสียที่เกิดเหตุเพลิงไหม้
เนื้อหาถัดจากนี้ไม่เกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุ
แต่เห็นแผนผังในรูปที่ ๔
มันน่าสนใจดี
โดยเฉพาะตรงส่วนวิธีควบคุมความดันในถังไม่ให้สูงเกิน
ก็เลยจะขออธิบายเพิ่มเพื่อให้ผู้ที่กำลังศึกษาอยู่หรือไม่มีประสบการณ์มีความรู้เพิ่มขึ้น
ความดันในถังถูกรักษาไว้ด้วยการป้อนแก๊สไนโตรเจนเข้าถัง
(ท่อที่อยู่ทางด้านซ้ายบน)
และมีการปล่อยให้แก๊สไหลออกตลอดเวลาทางท่อ
(๑)
เส้นทางปรกติที่แก๊สไหลออกคือท่อ
(๒)
แต่ถ้าเมื่อใดก็ตามที่ความดันในถังสูงเกิน
200 mmH2O
แก๊สก็จะรั่วออกทางปลายท่อ
(๓)
ที่จุ่มอยู่ใต้ผิวน้ำลึก
200 mm ใน
D-6654 H2S
gas seal drum และออกสู่ระบบ
flare
พึงสังเกตว่าระดับน้ำใน
D-6654
นี้ใช้การสร้างกำแพงกั้นภายใน
ให้น้ำไหลล้นลงอีกฝั่งหนึ่ง
เพื่อรักษาระดับให้คงที่
ถังนี้ยังมีระบบระบายความดันสำรองอีกระบบหนึ่งที่มีการทำงานคล้ายกับที่
D-6654 H2S
gas seal drum คือมีท่อที่จุ่มอยู่ในน้ำลึก
1400 mm (๔)
กล่าวเมื่อความดันในถังสูงเกิน
200 mmH2O
และแก๊สเริ่มไหลระบายออกสู่ระบบ
flare ที่
D-6654
แต่ความดันในระบบยังเพิ่มสูงขึ้นไปอีก
และเมื่อความดันในถังเพิ่มสูงถึง
1400 mmH2O
แก๊สก็จะเอาชนะความดันต้านของน้ำได้และระบายออกสู่บรรยากาศทางท่อ
(๕)
U-loop คว่ำ (๖)
เป็นตัวทำหน้าที่รักษาระดับน้ำให้คงที่ที่ระดับ
1400 mm
ด้วยการยอมให้น้ำที่ไหลเข้ามากเกินนั้นล้นออกมา
ส่วนตัว U-loop
คว่ำ (๗)
ที่ติดตั้งอยู่ ณ
ตำแหน่งสูงสุดของ U-loop
คว่ำ (๖)
นั้นทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้เกิดปรากฏการณ์กาลักน้ำ
(syphon)
ระบบแบบนี้ถ้าใช้งานในภูมิภาคที่อากาศหนาวจัดจนน้ำเป็นน้ำแข็งได้
ก็ต้องมีระบบให้ความร้อนแก่น้ำที่อยู่ข้างในด้วย
(เช่นอุ่นให้ร้อนด้วยไอน้ำ)
เพราะถ้าน้ำกลายเป็นน้ำแข็งเมื่อใด
ตัว vessel
จะไม่ได้รับการป้องกันจากความดันสูงเกิน
ส่วนรูปที่
๕ ข้างล่างนั้นได้มาจาก
WorkSafe Bulletin
ที่มีการกล่าวถึงอุบัติเหตุ
๓ เหตุการณ์ที่เกิดจากการสลายตัวของ
FeS
แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดมากนัก
มีเพียงแค่ที่จับภาพมาให้ดูแค่นั้นเอง
รูปที่ ๕
เพลิงไหม้และการระเบิดที่เกิดจากการสลายตัวของ
FeS
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น