วันที่ ๑๑
เดือนเมษายน ปีค.ศ.
๑๙๘๖ (พ.ศ.
๒๕๒๙)
มีการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่
FBI ของสหรัฐจำนวน
๘ นาย กับคนร้ายปล้นธนาคารจำนวน
๒ คน ผลการยิงปะทะปรากฏว่าคนร้ายทั้ง
๒ คนเสียชีวิต
ในขณะที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่นั้นก็เสียชีวิต
๒ นายและบาดเจ็บอีก ๕ นาย
รายละเอียดเรื่องนี้สามารถอ่านได้ใน
wikipedia เรื่อง
"1986 FBI Miami
shootout"
(https://en.wikipedia.org/wiki/1986_FBI_Miami_shootout)
งานนี้เป็นการดวลกันระหว่างปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติ
(Ruger Mini-14)
ของคนร้าย
และปืนพกประจำกายของเจ้าหน้าที่
FBI
รูปที่ ๑
ชาวพื้นเมืองฟิลิปปินส์ผู้นี้ถูกทหารสหรัฐที่เป็นผู้ปกครองเมืองขึ้นยิงด้วยกระสุนขนาดคาลิเบอร์
.38 ถึง
๔ นัดในระยะใกล้ในระหว่างการต่อสู้ประชิดตัว
แต่ไม่สามารถหยุดได้
จนกระทั่งถูกตีด้วยพานท้ายปืนยาวที่หน้าผาก
(ที่มาของรูปปรากฏอยู่ทางด้านบนของรูปแล้ว
https://www.ammoland.com/2016/07/history-45-acp-cartridge/#axzz6T9p58YF9)
หลังเหตุการณ์นี้พบว่า
คนร้ายแม้ว่าจะถูกเจ้าหน้าที่ยิงโดนหลายนัด
แต่ยังสามารถยิงโต้ตอบกับเจ้าหน้าที่ได้จนทำให้เจ้าหน้าที่เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายนาย
ทำให้เกิดคำถามสำคัญคำถามหนึ่งขึ้นมาก็คืออาวุธที่หน่วยงานจัดให้เป็นอาวุธประจำกายเจ้าหน้าที่นั้น
มีอำนาจหยุดยั้งคนร้ายเพียงพอหรือไม่
และถ้าไม่เพียงพอ
(ซึ่งเหตุการณ์นี้ก็แสดงให้เห็นเช่นนี้)
เจ้าหน้าที่ควรได้รับการติดอาวุธอะไร
คำถามเหล่านี้ได้นำไปสู่การออกแบบกระสุนชนิดใหม่คือ
.40 S&W
แต่ก่อนอื่นเรามาลองทำความเข้าใจบางเรื่องกันก่อนดีกว่า
คำว่า
"หยุด"
ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าต้องตาย
แต่หมายความว่า "ไม่สามารถตอบโต้ได้"
ภาษาอังกฤษก็จะใช้คำว่า
stopping power
อย่างเช่นนักมวย
อาจถูกชกเข้าที่ลำตัวอย่างแรงหลายครั้ง
แต่ก็ยังปล่อยหมัดสวนได้
แต่ถ้าโดนจัง ๆ ที่ปลายคางเพียงหมัดเดียว
ก็ลงไปนอนกองกับพื้นเวทีได้ทันที
ในการยิงต่อสู้นั้น
จะสอนกันให้ยิงใส่ส่วนที่เป็นเป้าที่ใหญ่ที่สุด
และมีการเคลื่อนไหวน้อยสุด
ซึ่งก็คือส่วนลำตัว
ดังนั้นกระสุนชนิดใดที่มีความสามารถในการหยุดการตอบโต้ของฝ่ายตรงข้าม
ก็จะประเมินกันที่เมื่อฝ่ายตรงข้ามถูกยิงเข้าบริเวณส่วนลำตัว
โดยไม่จำเป็นต้องโดนหัวใจ
(เพราะถ้าโดนหัวใจ
ไม่ว่ากระสุนเล็กหรือใหญ่
มันก็ตายคาทีทันที)
และในที่นี้จะจำกัดเฉพาะปืนพก
กระสุนจะหยุดคนได้ดีแค่ไหน
ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะสามารถ่ายเทโมเมนตัม
(ผลคูณระหว่างมวลกับความเร็ว)
ให้กับคนได้มากแค่ไหน
กระสุนที่มีพลังงานสูง
แต่เจาะผ่านเป้าหมายไปอย่างรวดเร็ว
จนไม่สามารถถ่ายเทโมเมนตัมให้กับเป้าหมายได้มากพอ
ก็จะไม่สามารถหยุดยั้งเป้าหมายได้
ดังนั้นในทางทฤษฎี
กระสุนที่ยิงเข้าตัวคน
และหยุดอยู่ในตัวคน
ก็จะสามารถถ่ายเทโมเมนตัมให้กับเป้าหมายได้หมด
แต่ในขณะเดียวกัน
หัวกระสุนก็ต้องมีพลังงานมากพอที่จะยิงทะลุที่กำบังที่บังขวางเป้าหมายอยู่
หัวกระสุนที่มีหนักเท่ากันและมีพลังงานเท่ากัน
หัวกระสุนที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเล็กกว่า
จะมีอำนาจเจาะทะลุทะลวงสูงกว่าหัวกระสุนที่มีพื้นที่หน้าตัดใหญ่กว่า
(หรือมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่กว่านั่นเอง)
กระสุนที่มีพลังงานสูง
เมื่อยิงออกจากปืนก็จะมีแรงกระทำต่อผู้ยิงที่สูงตามไปด้วย
(ที่เรียกว่าปืนจะสะบัดหรือมีแรง
recoil มากขึ้นก็ได้)
ทำให้ยากต่อการควบคุมปืน
ผลที่ตามมาก็คือผู้ยิงบางคนอาจจะขยาดไม่อยากยิงปืนนั้น
ไม่อยากที่จะฝึกซ้อม
และจะเสียเวลาในการยิงซ้ำนัดที่สอง
ซึ่งจำเป็นในกรณีที่นัดแรกไม่เข้าเป้าหมาย
หรือเปลี่ยนเป้าหมาย
หรือซ้ำเป้าหมายเดิม
ปืนที่มีน้ำหนักมากจะมีแรงสบัดน้อยกว่าปืนที่เบากว่า
แต่ก็พกพายากกว่า
ขนาดของกระสุนปืนมักจะอิงจากขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของลำกล้อง
ที่เรียกว่า "คาลิเบอร์
(calibre)"
ซึ่งมีทั้งหน่วยนิ้วและมิลลิเมตร
ในกรณีของหน่วยนิ้วนั้น
จะบอกด้วยจุดทศนิยม
(ไม่มีเลขศูนย์นำ)
และตัวเลขต่อท้าย
ถ้าเป็นหน่วยมิลลิเมตรก็จะบอกขนาดเป็นมิลลิเมตร
ตัวอย่างเช่นกระสุนขนาด
.22, .220, .222 และ
.223
ต่างเป็นกระสุนขนาดคาลิเบอร์เดียวกันคือ
.22 นิ้ว
แต่ตัวเลขตัวที่สามที่ต่อท้ายก็มันทำเพื่อทำให้รู้ว่าเป็นกระสุนต่างชนิดกัน
อย่างเช่นกระสุนขนาด .222
และ .223
เรมิงตัน
ก็เป็นกระสุนที่ใช้หัวกระสุนแบบเดียวกันได้
เพียงแต่กระสุน .223
มีปลอกกระสุนที่ยาวกว่า
กระสุนขนาด 5.56
mm หรือ 5.6
mm ก็เป็นกระสุนขนาดคาลิเบอร์เดียวกัน
และเทียบเท่ากับขนาด .22
ในหน่วยนิ้ว
แปดสิบปีก่อนเหตุการณ์ที่ไมอามี
ก็มีเหตุการณ์ทำนองเดียวกันในฟิลิปินส์
ซึ่งเป็นช่วงที่ฟิลิปินส์ยังคงเป็นเมืองขึ้นของอเมริกา
(และแน่นอนว่าชาวพื้นเมืองจำนวนมากต้องเสียชีวิตจากการต่อสู้เพื่อเป็นอิสระจากการปกครองของอเมริกา)
กล่าวคือในระหว่างการต่อสู้ประชิดตัว
ชาวพื้นเมืองรายหนึ่งถูกยิงด้วยปืนพกประจำกายมาตรฐานของทหารถึง
๔ นัด แต่ไม่สามารถหยุดยั้งการตอบโต้ได้
จนกระทั่งชาวพื้นเมืองผู้นั้นโดนฟาดด้วยพานท้ายปืนเข้าที่หน้าผาก
(รูปที่
๑)
การออกแบบอาวุธปืนให้สามารถยิงกระสุนที่มีพลังงานสูงได้
ขึ้นอยู่กับการพัฒนาโลหะให้สามารถรับแรงที่สูงได้ด้วย
ซึ่งในยุคสมัยนั้นยังมีข้อจำกัดทางด้านนี้อยู่
หลังเหตุการณ์ที่ฟิลิปปินส์ในครั้งนั้น
ทางกองทัพสหรัฐก็ได้ทำการศึกษาหาว่ากระสุนที่มีความสามารถสูงในการหยุดยั้งคู่ต่อสู้ควรมีคุณสมบัติอย่างไร
ซึ่งนำมาสู่การทดลองที่เรียกว่า
Thompson–LaGarde
Tests (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
https://en.wikipedia.org/wiki/Thompson-LaGarde_Tests)
ซึ่งมีทั้งการทดลองด้วยการยิงสัตว์และดูปฏิกิริยาที่เกิด
และการทดลองยิงศพคน
เพื่อดูว่ากระสุนสามารถถ่ายเทพลังงานให้กับเป้าหมายได้แค่ไหน
ยุคสมัยนั้นยังไม่มีเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ตรวจวัดความเร็วของหัวกระสุน
การหาความเร็วของหัวกระสุนจะใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า
ballistic pendulum
ที่ใช้การยิงกระสุนเข้าสู่เป้าหมายที่แขวนไว้ให้ลอยอย่างอิสระ
เมื่อกระสุนฝังเข้าไปในเป้าหมาย
(กระสุนต้องไม่ทะลุเป้าหมาย)
พลังงานจลน์ของหัวกระสุนจะถูกถ่ายเทให้กับเป้าหมาย
ทำให้เป้าหมายเกิดการเคลื่อนที่ถอยหลังพร้อมกับลอยตัวสูงขึ้น
(พลังงานจลน์เปลี่ยนเป็นพลังงานศักย์)
จากน้ำหนักของ (เป้าหมาย
+ หัวกระสุน)
และระยะที่ยกตัวลอยขึ้น
ก็จะทำให้สามารถคำนวณหาพลังงานจลน์ก่อนเกิดการเคลื่อนที่ได้
ซึ่งจะคำนวณกลับไปเป็นความเร็วของหัวกระสุนที่เข้ามากระทบได้
ตรงนี้คงพอมองภาพบ้างแล้วนะครับ
ว่าเวลาทดสอบกับศพน่าจะเป็นอย่างไร
ผลการทดสอบนี้นำมาซึ่งกระสุนขนาด
.45 ACP
หรือที่บ้านเราเรียก
11 มม.
ช่วงต้นปีค.ศ.
๑๙๙๑ (พ.ศ.
๒๕๓๔)
มีการทดลองหนึ่งที่ยังเป็นที่ถกเถียงกันในปัจจุบัน
หรือแม้แต่มีข้อสงสัยว่ามีการทดลองจริงหรือไม่
เนื่องจากไม่มีการเปิดเผยสถานที่ทำการทดลอง
ผู้ให้ทุน และผู้ที่ทำการทดลอง
เพราะเป็นการทดลองที่สำหรับผู้รักสัตว์แล้วก็ต้องถือว่าโหดไม่น้อย
การทดลองนี้มีชื่อว่า
"Strasbourg
Tests" (รูปที่ ๒)
ซึ่งเป็นการทดลองยิงสัตว์ทดลองด้วยกระสุนชนิดต่าง
ๆ
แล้ววัดดูว่ากระสุนชนิดใดสามารถทำให้สัตว์ทดลองหมดสภาพที่จะตอบโต้ได้เร็วที่สุด
และที่สำคัญก็คือถ้าสัตว์ทดลองชนิดนั้นมีสรีระร่างกายใกล้เคียงกับมนุษย์
ผลการทดลองนี้ก็น่าจะเทียบเคียงกับการยิงคนจริงได้
และสัตว์ที่ถูกนำมาใช้เป็นเป้าทดสอบก็คือ
"French
Alpine Goat"
เหตุผลที่สัตว์ชนิดนี้ถูกเลือกก็เพราะ
มันมีขนาดใกล้เคียงกับผู้ใหญ่โตเต็มวัย
มีขนาดของหน้าอก (ก็ขนาดของปอด)
ใกล้เคียงกับผู้ใหญ่โตเต็มวัย
ความแข็งแรงของกระดูกซี่โครงใกล้เคียงกับของมนุษย์
และขนตามร่างกายของมันก็สามารถจำลองเสื้อผ้าที่คนสวมใส่อยู่ได้
มีการติดตั้งอุปกรณ์วัดต่าง
ๆ (เช่นอัตราการเต้นหัวใจ
คลื่นสมอง)
เข้ากับตัวสัตว์ก่อนทำการทดลอง
ในรายงานการทดลองของ Phase
1 นั้น มีการยิงแพะดังกล่าวไปถึง
๖๑๑ ตัว (ส่วน
Phase 2
มีการทดลองอย่างไรหรือไม่นั้น
ไม่เห็นข้อมูล)
รูปที่
๓ เป็นตัวอย่างผลการทดลองที่ได้จากการใช้กระสุนขนาดที่บ้านเราเรียกว่า
9 มม.
พารา
ซึ่งกระสุนปืนพกชนิดหนึ่งที่เป็นที่นิยมใช้กันมากทั้งในทางพลเรือนและทางทหาร
รูปที่ ๒
บทเกริ่นนำของรายงานของการทดลองที่รู้จักกันในชื่อ
Strasbourg Tests
รูปที่ ๓
ตัวอย่างผลการทดสอบด้วยกระสุนขนาด
9 mm Para ชนิดต่าง
ๆ (คือรูปแบบหัวกระสุนและพลังง่าน)
AIT คือเวลา (วินาที)
ที่ทำให้สัตว์ทดลองหมดสติ
Strasbourg
tests เป็นการทดลองหนึ่งที่คงยากที่จะมีการทำซ้ำอีกในอนาคต
ซึ่งคณะผู้ทำการทดลองก็คงจะทราบเรื่องนี้ดี
การทดลองดังกล่าวจึงถูกปกปิดเป็นความลับ
และเพื่อให้ผลการทดลองนั้นสามารถใช้อ้างอิงได้
การออกแบบวิธีการทดลองและการเลือกตัวอย่างทดสอบจึงมีความสำคัญ
เพราะถ้าพลาดไปแล้ว
โอกาสที่จะกลับมาทำการทดลองแก้ไขก็คงไม่มีอีกแล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น