วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2558

พังเพราะข้องอเพียงตัวเดียว MO Memoir : Saturday 15 August 2558

ลักษณะทั่วไปของวาล์วระบายความดัน (safety valve หรือ relief valve) จะมีทางให้ของไหลไหลเข้าในแนวดิ่งขึ้นบนจากทางด้านล่าง และไหลออกทางด้านข้างในแนวนอนซึ่งเป็นทิศทางตั้งฉากกับทิศทางการไหลเข้า ถ้าของไหลนั้นเป็นของไหลที่มีความปลอดภัย ไม่เป็นพิษ ก็มักจะปล่อยออกสู่บรรยากาศโดยตรง (เช่น อากาศ ไอน้ำ) สิ่งที่ทำก็เพียงแค่ต่อท่อทางออกนั้นให้หันไปยังทิศทางที่ปลอดภัย ไม่ใช่พ่นใส่ผู้ปฏิบัติงานที่อาจอยู่ในบริเวณรอบข้างได้

แต่ทั้งนี้ควรต้องคำถึงถึงแรงที่จะกระทำต่อระบบท่อเมื่อวาล์วระบายความดันทำงานด้วย

รูปที่ ๑ (ซ้าย) ระบบก่อนการดัดแปลง (ขวา) หลังการติดข้องอเพิ่มเข้าไป (ไม่ได้วาดตามสัดส่วนที่เป็นจริง)

กรณีตัวอย่างที่ยกมาในวันนี้เป็นบทความเกี่ยวกับอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับวาล์วระบายความดันของระบบไอน้ำระบบหนึ่ง (จากวารสาร Loss Prevention Bulletin vol. 31 ค.ศ. 1980 (พ.ศ. ๒๕๒๓) หน้า ๒๕) อันที่จริงภาษาอังกฤษของบทความต้นฉบับก็เขียนแบบให้อ่านได้ง่าย ไม่ได้ใช้ภาษาที่มันซับซ้อนอะไร เพียงแต่ศัพท์ที่ปรากฏนั้นบางตัวมันเป็นศัพท์ทางเทคนิค คนไม่เคยเจอก็คงจะอ่านไม่รู้เรื่องว่าเขาพูดถึงอะไรอยู่ ในที่นี้ก็เลยขอนำมาเขียนสรุปใหม่เป็นภาษาไทยและเพิ่มคำอธิบายเพิ่มเติมเข้าไป
  
ถังความดัน (pressure vessel) ส่วนใหญ่นั้นจะขึ้นรูปด้วยการนำเอาโลหะแผ่น (ส่วนใหญ่ก็คือเหล็ก) มาม้วนให้เป็นวงเพื่อใช้เป็นส่วนลำตัว ส่วนฝาปิดหัว-ท้าย (หรือบน-ล่าง) ก็มักจะใช้การปั๊มแผ่นเหล็กให้มีความโค้งตามต้องการ โดยให้มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเท่ากับส่วนลำตัวเพื่อที่จะได้ประกบกันได้พอดีกับส่วนลำตัว ส่วนฝาและลำตัวต้องมีการเจาะรูตรงไหนบ้างก็ทำกันซะให้เรียบร้อย แล้วก็ต่อเป็นท่อสั้น ๆ ยื่นออกมาจากรูที่เจาะเอาไว้ (ท่อนี้เรียกว่า branch) แล้วติดตั้งหน้าแปลนเข้ากับปลายท่อนี้เพื่อไว้เชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์ต่าง ๆ (เช่นต่อเข้ากับท่อไหลเข้า-ออก blind flange ติดตั้งใบพัดกวน ฯลฯ) ทำการเชื่อมติดตั้งชิ้นส่วนสำหรับอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ (เช่น ห่วงสำหรับยกเพื่อการติดตั้ง ห่วงสำหรับยึดราวบันได ฯลฯ)
 
เนื่องจากรอยเชื่อมนั้นเป็นจุดอ่อนของเนื้อโลหะ เพราะโลหะที่ร้อนจัดและเย็นตัวลงอย่างรวดเร็วจะมีองค์ประกอบที่แตกต่างไปจากโลหะเดิมก่อนได้รับความร้อน ในกรณีของเหล็กนั้นบริเวณรอยเชื่อมนั้นจะมีแตกหักได้ง่ายกว่าเนื้อโลหะส่วนอื่น ดังนั้นเพื่อให้ได้ความแข็งแรงของเนื้อโลหะตรงรอยเชื่อมกลับคืนมา จึงจำเป็นต้องนำเอาถังความดันทั้งใบไปทำการปรับสภาพด้วยความร้อน (ที่เรียกว่า heat treatment) ด้วยการนำไปอบให้ความร้อนที่อุณหภูมิที่เหมาะสมนานเป็นระยะเวลาที่เหมาะสม แล้วค่อย ๆ ทำให้เย็นตัวลงอย่างช้า ๆ 
  
ถังความดันที่ผ่านการทำ heat treatment แล้วจะห้ามทำการเชื่อมโลหะเข้ากับส่วนใด ๆ ของเนื้อโลหะที่เกี่ยวข้องกับการรับความดันภายในถัง (เช่น ห้ามทำการเชื่อมโลหะโดยตรงกับ ส่วนลำตัว ส่วนฝาปิดหัว-ท้าย ส่วนท่อ branch) แต่ส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องนั้น (เช่น ขาตั้ง หูสำหรับใช้ในการยกติดตั้ง) ยังพอสามารถทำการเชื่อมโลหะได้ (ถ้าจำเป็น แต่ปรกติก็ไม่ทำกัน)

เวลาที่ของไหลพุ่งออกทางปลายท่อเปิดนั้น จะมีแรงกระทำต่อตัวท่อในทิศทางตรงข้ามกับทิศทางการพุ่งของของไหลนั้น (ทำนองเดียวกับเวลาที่เราเปิดน้ำแรง ๆ ให้ไหลผ่านสายยาง แล้วปลายสายยางจะสะบัดไปมา) ในกรณีของวาล์วระบายความดันที่ท่อด้านขาออกนั้นต่อเข้ากับระบบท่ออื่น (เช่นท่อของระบบเผาแก๊สทิ้ง (flare syste)) ปัญหาเรื่องนี้มักจะไม่ค่อยคำนึงถึง เพราะปลายทั้งสองข้างของท่อขาออกนั้นมันถูกยึดตรึงเอาไว้ แต่ถ้าเป็นการปล่อยออกสู่บรรยากาศก็ควรต้องคำนึงถึงปัญหานี้ด้วย เพราะแรงดันที่เกิดขึ้นระหว่างที่ของไหลพุ่งออกทางปลายท่อนั้น ทำให้เกิดโมเมนต์ดัดกับระบบท่อ ถ้าระบบท่อมีความแข็งแรงไม่เพียงพอ ท่อนั้นก็จะเสียหายเนื่องจากถูกดัดโค้งได้

ลองดูกรณีตัวอย่างในรูปที่ ๑ ถังความดันของระบบไอน้ำระบบหนึ่งที่มีความดันภายใน 27 barg ท่อ branch สำหรับติดตั้งวาล์วระบายความดันนั้นมีขนาด 3" ส่วนท่อด้านขาออกของวาล์วระบายความดันมีขนาด 4" เดิมทีนั้นท่อด้านขาออกนั้นเป็นเพียงท่อต่อตรงชี้ขึ้นทางด้านบนสูงขึ้นไป 3 เมตร เวลาที่ไอน้ำฉีดพ่นออกมา (เช่นเมื่อความดันในระบบสูงเกินไป หรือเมื่อมีการทดสอบการทำงานของวาล์วระบายความดัน) จะเกิดแรงกระทำ F ดันท่อลงด้านล่าง ดังนั้นโมเมนต์บิดที่เกิดขึ้นคือผลคูณระหว่างแรงกระทำ F กับระยะ L1 ซึ่งจะว่าไปแล้วระยะ L1 ก็ไม่ได้มากเท่าใดนัก (รูปที่ ๑ ซ้าย)
  
แต่ไอน้ำที่ฉีดพ่นออกมาเมื่อเจอกับอากาศที่เย็นกว่าก็จะควบแน่นเป็นหยดน้ำตกลงล่าง และบริเวณที่หยดน้ำตกลงมานั้นก็เป็นบริเวณทางเดิน จึงก่อให้เกิดความรำคาญ ทางโรงงานจึงทำการดัดแปลงระบบท่อดังกล่าวด้วยการติดตั้งข้องอ 90 องศาเพื่อให้ไอน้ำนั้นฉีดพ่นไปในทิศทางอื่นที่จะทำให้ไอน้ำที่ควบแน่นเป็นหยดน้ำนั้นไม่ทำให้เกิดปัญหา (รูปที่ ๑ ขวา) โดยในการติดตั้งนั้นก็มีการคำนึงถึงโมเมนต์บิดที่จะเกิดขึ้น ซึ่งในกรณีนี้จะเท่ากับผลคูณระหว่างแรง F กับระยะ L2 ที่ยาวถึง 3 เมตร โดยทำการติดตั้งเหล็กฉาก (เชื่อมเข้ากับโครงสร้าง) ทางด้านของท่อที่ตรงข้ามกับทิศทางการฉีดพุ่งเพื่อรับแรงกระทำดังกล่าว
  
แต่พอวาล์วระบายความดันทำงานปรากฏว่าเหล็กฉากดังกล่าวไม่สามารถทนต่อแรงกระทำได้ เหล็กชิ้นดังกล่าวหลุดออกจากโครงสร้าง โมเมนต์บิดที่เกิดขึ้นตรงท่อ branch ขนาด 3" ที่เป็นที่ติดตั้งวาล์วระบายความดันนั้นทำให้ท่อ 3" ดังกล่าวถูกดัดโค้ง ผลที่ตามมาก็คือต้องทำการซ่อมแซมท่อ 3" ดังกล่าวและส่งถังความดันดังกล่าวไปทำ heat treatment ใหม่ (คงเป็นเพราะต้องมีการตัดเอาท่อ 3" ตัวเก่าออก และติดตั้งตัวใหม่เข้าไป ซึ่งในงานนี้ต้องมีการตัดท่อเก่าและเชื่อมท่อใหม่เข้ากับลำตัวถัง
  
ที่เล่ามานั้นเป็นกรณีของอุบัติเหตุที่มีการบันทึกเอาไว้เมื่อ ๓๕ ปีที่แล้ว (แสดงว่าอุบัติเหตุที่แท้จริงเกิดขึ้นก่อนนั้นอีก) แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่มีโอกาสได้เกิด ขึ้นอยู่กับว่าเราได้เรียนรู้ความผิดพลาดของการออกแบบในอดีตหรือเปล่า
  
รูปที่ ๒ ตัวอย่างระบบท่อระบายของวาล์วระบายความดัน (ในกรอบสี่เหลี่ยมสีเหลือง) ของระบบไอน้ำแห่งหนึ่ง (ในภาพยังติดตั้งไม่เสร็จสิ้น)

รูปที่ ๒ ข้างบนเป็นรูปที่ถ่ายจากสถานที่จริงแห่งหนึ่งที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง มีการติดตั้งวาล์วระบายความดัน (ในกรอบสี่เหลี่ยมสีเหลือง) เข้ากับท่อ header ที่รับไอน้ำจาก boiler ก่อนจะแยกจ่ายไปยังหน่วยต่าง ๆ ของโรงงาน เนื่องจากท่อ header นั้นติดตั้งไว้ต่ำเพื่อให้พนักงานทำการเปิด-ปิดวาล์วได้สะดวก จึงจำเป็นต้องต่อท่อด้านขาออกของวาล์วระบายความดันยกสูงขึ้นไป (จะได้ไม่เกะกะทางเดินด้านล่าง) และหักฉากออกไปทางด้านนอกอาคาร ท่อแบบนี้ต้องคำนึงถึงแรงบิดที่จะเกิดขึ้นตรงท่อ branch ของท่อ header ที่ใช้ติดตั้งวาล์วระบายความดันเมื่อการวาล์วระบายความดันทำงานด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2558

น้ำลด บ่อน้ำร้อนผุด (ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำ ตอนที่ ๙๕) MO Memoir : Thursday 13 August 2558

ผมได้ยินเรื่องบ่อน้ำร้อนนี้เป็นครั้งแรกจากภรรยาผม ที่รับฟังเรื่องดังกล่าวมาจากพี่ชายคนโตของเขาอีกที ว่าตรงอ่างเก็บน้ำบางพระนั้น ก่อนที่จะมีการสร้างอ่างเก็บน้ำเคยมีบ่อน้ำพุร้อนมาก่อน แต่ต้องจมอยู่ใต้น้ำเมื่อมีการสร้างอ่างเก็บน้ำ
  
มาเห็นหลักฐานการมีอยู่ของบ่อน้ำพุร้อนดังกล่าวเมื่อทำการค้นหาแผนที่เส้นทางรถไฟเล็กลากไม้จากศรีราชา พบว่ามีการระบุตำแหน่งที่ตั้งของบ่อน้ำพุร้อนดังกล่าวไว้ในแผนที่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นแผนที่ท้ายประกาศหรือพระราชกฤษฎีกาที่มีการประกาศในราชกิจจานุกเบกษา หรือแม้แต่ในแผนที่ทางทหารที่ต่างชาติทำเอาไว้
  
เมื่อเดือนที่แล้วมีข่าวว่าระดับน้ำในอ่างเก็บน้ำบางพระลดต่ำลงมาก จนปล่องบ่อน้ำพุร้อนผุดขึ้นมาให้เห็นได้อย่างชัดเจน (ไทยรัฐออนไลน์ วันอาทิตย์ที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๘ http://www.thairath.co.th/content/512748) ในเนื้อข่าวนั้นบอกว่า "บริเวณบ่อน้ำร้อนได้ถูกสร้างเป็นอ่างเก็บน้ำ จึงได้มีการสร้างกระโจมครอบบ่อน้ำร้อนไว้ และต่อท่อน้ำร้อนออกมาหน้าเขื่อน จนต่อมา ก็ได้มีการขยายอ่างเก็บน้ำให้ใหญ่ขึ้นจนทำให้บ่อน้ำพุร้อนถูกน้ำท่วมจนมองไม่เห็น"
  
เมื่อวันพุธที่ ๑๒ สิงหาคมที่ผ่านมา ได้มีโอกาสแวะไปแถวนั้น ก็เลยถือโอกาสขับรถไปถ่ายรูปปล่องบ่อน้ำพุร้อนดูซะหน่อย ใช้ทางเข้าด้านวัดเขาฉลาก ขับมาถึงสำนักงานชลประทานที่ ๙ เลี้ยวซ้ายเข้าไปข้างในหน่อยก็จะมีมุมที่มองเห็นปล่องของบ่อน้ำพุร้อนนั้นได้ชัด
  
รูปที่ ๑ ปากปล่องของบ่อน้ำพุร้อนที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมาก
  
รูปที่ ๒ ซูมเข้าไปใกล้ ๆ หน่อย จะเห็นคนลอยเรือเข้าไปเพื่อเยี่ยมชมหรือตกปลาก็ไม่รู้เหมือนกัน
  
รูปที่ ๓ แผนที่ท้ายประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง จัดตั้งสุขาภิบาลบางพระ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ประกาศในราชกิจจานุกเบกษา เล่มที่ ๘๐ ตอนที่ ๒๖ วันที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๖ หน้า ๖๙๕-๖๙๖ ปรากฏที่ตั้งบ่อน้ำพุร้อน
  
รูปที่ ๔ แผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกา กำหนดเขตหวงห้ามที่ดิน ตำบลบางพระ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ๒๔๙๗ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๗๑ ตอนที่ ๗๑ วันที่ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๗ หน้า ๑๖๐๗-๑๖๐๙ แผนที่นี้เป็นแผนที่ก่อนที่จะมีการสร้างอ่างเก็บน้ำ

ตำแหน่งที่ตั้งบ่อน้ำพุร้อนในรูปที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๐๖) และรูปที่ ๔ (พ.ศ. ๒๔๙๗) มีความแตกต่างกันอยู่ โดยตำแหน่งที่ตั้งในรูปที่ ๓ ที่เป็นหลังการสร้างอ่างเก็บน้ำแล้วนั้น บ่อน้ำพุร้อนอยู่ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเขาซากขมิ้น และอยู่ทางด้านตะวันตกของแนวเขื่อนกั้นน้ำ ในขณะที่ตำแหน่งที่ปรากฏในรูปที่ ๔ ที่เป็นก่อนการสร้างอ่างเก็บน้ำนั้น บ่อน้ำพุร้อนอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของเขาซากขมิ้น แสดงว่าตำแหน่งบ่อน้ำพุร้อนในรูปที่ ๓ เป็นบ่อที่เกิดจากการต่อท่อน้ำร้อนออกมาหน้าเขื่อนตามที่ข่าวดังกล่าวรายงาน

รูปที่ ๕ แผนที่จากหนังสือ The Railway Atlas of Thailand, Laos and Cambodia โดย B.R. Whyte สำนักพิมพ์ Whits Lotus ปีค.ศ. 2010 ในแผนที่ดังกล่าวปรากฏทั้งบ่อน้ำร้อนและบ่อน้ำเย็น คำบรรยายภาพบอกว่าแผนที่นี้เป็นสมัยปีค.ศ. 1929-30 (พ.ศ. 2472-2473) พิมพ์ค.ศ. 1941 (พ.ศ. 2484)

ภาพบรรยากาศของบ่อน้ำร้อนในปีพ.ศ. ๒๔๙๕ นั้นเคยมีผู้นำมาเผยแพร่ทาง YouTube ในชื่อ "ชุมทางหนังไทยในอดีต บางละมุง-ศรีราชา-ชลบุรี 2495" ที่จำได้คือมีภาพทางเข้าบ่อน้ำร้อนและการอาบน้ำร้อนบริเวณรอบบ่อน้ำร้อนนั้น น่าเสียดายที่วิดิทัศน์ชุดดังกล่าวถูกนำออกไปแล้ว ไม่ทราบเหมือนกันว่าเมื่อใดจะได้เห็นอีก ก็ได้แต่หวังว่าท่านผู้เป็นเจ้าของคงจะมีการนำมาเผยแพร่อีกครั้ง เพื่อให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้ความเป็นมาของท้องถิ่นดังกล่าวโดยไม่ปล่อยให้หายสาบสูญไป
  
รูปที่ ๖ แผนที่จัดทำขึ้นโดยกองทัพอังกฤษ คาดว่าจัดทำในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ พิมพ์เผยแพร่ในปีค.ศ. ๑๙๔๕ (พ.ศ. ๒๔๘๘) ในกรอบสี่เหลี่ยมสีน้ำเงินเขียนไว้ว่า "Nam Phu (Spring)" หรือ "น้ำพุ" นั่นเอง แต่กลับระบุตำแหน่งไว้อยู่ด้านฝั่งเหนือของคลองบางพระ และอยู่เหนือกว่าเขตตำบลบางพระอีก ในขณะที่ตำแหน่งที่ตั้งของบ่อน้ำพุร้อนในรูปที่ ๔ และ ๕ นั้นระบุตำแหน่งบ่อน้ำพุร้อนอยู่ทางด้านฝั่งใต้ของคลองบางพระ และอยู่ต่ำกว่าเขตตำบลบางพระ ในรูปนี้ยังปรากฏเส้นทางรถไฟที่ขนไม้ไปยังท่าเรือที่เกาะลอย ศรีราชา ทางมุมล่างซ้ายของรูปด้วย