แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ บางพระ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ บางพระ แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

สถานีรถไฟบางพระ MO Memoir : Sunday 21 February 2564

วันพุธที่แล้วเพิ่งจะได้เลนส์ตัวใหม่ 18-105 mm มาใช้แทนเลนส์คิท 18-55 mm ตัวเดิมที่มากับกล้อง ก็เลยถือโอกาสเอาไปทดลองดูหน่อยว่าถ่ายออกมาแล้วจะเป็นอย่างไร และสถานที่ที่เลือกก็คือสถานีรถไฟบางพระ

เส้นทางตั้งแต่ฉะเชิงเทรามาถึงศรีราชาก็เป็นทางคู่ตลอด แต่เห็นตั้งแต่สถานีพานทอง ชลบุรี และบางพระ ต่างมีรางหลีกรางจอดถึง ๔ ราง (คือเพิ่มมาอีก ๒ นอกเหนือจากเส้นวิ่งไปกลับ) ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนออกแบบวางแผนนั้นมีการคาดการณ์ว่าจะมีความถี่ในการเดินรถกันมากขนาดไหน ทั้ง ๆ ที่สายนี้ในแต่ละวันก็มีรถโดยสารเพียงแค่ขบวนเดียวที่วิ่งไป ๑ เที่ยวกลับ ๑ เที่ยวแค่นั้นเอง นอกนั้นก็เป็นขบวนรถสินค้า

บางพระเดิมก็เป็นอำเภอหนึ่ง แต่การทำป่าไม้ที่ศรีราชาทำให้ศรีราชากลายเป็นเมืองขนาดใหญ่และกลายเป็นอำเภอแทน ส่วนบางพระก็ถูกลดระดับลงไปเป็นตำบลขึ้นกับอำเภอศรีราชา แต่สิ่งหนึ่งที่บางพระมีก็คืออ่างเก็บน้ำที่ทำหน้าที่เป็นแหล่งน้ำจืดให้กับย่านตัวอำเภอเมืองและศรีราชา และก่อนที่จะมีอ่างเก็บน้ำก็ยังมีบ่อน้ำพุร้อนอีก ที่ตอนนี้จมอยู่ใต้อ่าง แต่อาจเห็นปล่องได้ถ้าปีไหนน้ำในอ่างแห้งมาก ส่วนรอบอ่างตอนเย็น ๆ ก็ยังพอเห็นคนไปปั่นจักรยานกันบ้าง จนเทศบาลลงทุนทำทางเฉพาะสำหรับจักรยานแยกจากถนนหลักไว้บางช่วง

อีกจุดหนึ่งที่พักหลังนี้เห็นใครต่อใครหลายคนเขาไปกันก็คือเขาฉลาก ผมเคยขับรถขึ้นไปถ่ายรูปบนนั้น แต่พักหลักจะมีกลุ่มนักวิ่งนักเดินบ้างไปใช้เป็นสถานที่ฝึกซ้อม ส่วนตัวผมเองนั้นมักจะพาครอบครัวไปเที่ยวเวลาที่เขามีงานเกษตรบางพระเพื่อไปหาซื้อต้นไม้และของกิน

หลังจากตลาดสดที่สามแยกบางพระถูกรื้อทิ้งไป ก็ไม่ได้แวะไปซื้ออะไรอีก รู้แต่ว่าพวกของทะเลที่ตลาดนี้จะถูกกว่าที่หนองมน

สำหรับวันนี้ก็ถือว่าเป็นการบันทึกสถานที่ธรรมดาแห่งหนึ่งที่ไม่มีอะไรให้สำหรับคนชอบเช็คอินก็แล้วกัน

รูปที่ ๑ ที่ตั้งสถานีรถไฟบางพระในกรอบสีเหลี่ยมสีเหลืองใหญ่ ส่วนกรอบสีเหลี่ยมสีเหลืองบนคือจุดข้ามทางรถไฟ 

รูปที่ ๒ จอดรถแล้วเดินเข้าสถานี ก็มีเจ้าถิ่นนอนเล่นอยู่หลายตัว เขาแค่ยกหัวขึ้นมาดูว่าใครเดินมา แล้วก็นอนต่อ ตัวอาคารสถานีจะอยู่ทางด้านฝั่งตะวันตกของราง

รูปที่ ๓ จากตัวอาคารสถานีมองไปทางทิศใต้ ที่เห็นอยู่ไกล ๆ คือเขาฉลาก

รูปที่ ๔ มีป้ายต้อนรับด้วย แต่สถานีนี้แปลกอยู่อย่างคือเอากระถางต้นไม้ไปวางบังหน้าป้ายที่บอกว่าสถานีถัดไปคือสถานีอะไร (ด้านซ้ายในรูป)

 
รูปที่ ๕ เดินมาจนสุดชานชาลาด้านทิศใต้ฝั่งตะวันตก มองไปยังเส้นทางที่มุ่งไปสถานีเขาพระบาทและศรีราชา
 
รูปที่ ๖ ลองเลนส์ใหม่หน่อย ซูมเต็มที่ไปที่ 105 mm (ถ้าจะเทียบเท่า full frame ก็ต้องคูณด้วย 1.5) รางหลักที่รถไฟวิ่งประจำคือสองรางด้านซ้ายของรูป เห็นได้จากผิวรางถูกล้อรถขัดผิวจนมันวาว
 
รูปที่ ๗ ตัวอาคารสถานี ถ่ายจากชานชาลาฝั่งตะวันออก
 
รูปที่ ๘ ฝั่งตะวันออกด้านตรงข้ามสถานีมีป้ายบ้านสวนคุ้มกบาลอยู่

รูปที่ ๙ เดินมาจนสุดชานชาลาฝั่งตะวันออกด้านทิศเหนือ มองไปยังเส้นทางที่มาจากสถานีชลบุรี

รูปที่ ๑๐ จากชานชาลาด้านทิศเหนือฝั่งตะวันตก มองย้อนกลับลงไป

รูปที่ ๑๑ มีเก้าอี้นั่งที่ทำจากหมอนรองราง ทั้งแบบไม้ (ตัวบน) และคอนกรีตผสมเหล็ก (ตัวล่าง) แต่ตอนนี้เห็นใช้กันแต่แบบคอนกรีตล้วน ๆ 

 
รูปที่ ๑๒ "เครื่องตกราง" รางจอดนี้ยังคงเป็นหมอนไม้อยู่เลย
 
รูปที่ ๑๓ อีกมุมหนึ่งของเครื่องตกราง
 
รูปที่ ๑๔ จุดข้ามทางรถไฟที่อยู่ในกรอบสีเหลี่ยมสีเหลืองเล็กในรูปที่ ๑

วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2563

น้ำลด เขื่อนผุด (ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำ ตอนที่ ๑๕๒) MO Memoir : Friday 27 March 2563

ปรกติการสร้างเขื่อนกักเก็บน้ำก็จะทำให้เกิดพื้นที่น้ำท่วมเหนือเขื่อน ทำให้สิ่งก่อสร้างหลายต่อหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นถนนหนทาง สะพาน อาคารต่าง ๆ จมอยู่ใต้น้ำ แต่ไม่รู้ว่าที่บางพระเนี่ยจะเป็นกรณีพิเศษหรือเปล่า เพราะสิ่งที่ต้องจมอยู่ใต้น้ำหลังเขื่อนสร้างเสร็จก็คือ "เขื่อนบางพระ" เอง
  
ทางด้านตะวันตกของตำบลบางพระเป็นที่ราบ มีบ่อน้ำพุร้อน มีลำน้ำธรรมชาติหลายสายไหลลงมารวมกัน กลายกลายเป็นคลองบางพระก่อนไหลลงสู่ทะเล บริเวณดังกล่าวมีภูเขาลูกเล็ก ๆ วางตัวเรียงกันอยู่ ในแผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกา กำหนดเขตหวงห้ามที่ดิน ตำบลบางพระ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ๒๔๙๗ ระบุชื่อภูเขาเหล่านั้นที่เรียงตัวจากเหนือลงมาใต้ว่า เขาปู่เจ้า เขาไหล เขาซากขมิ้น และเขาฉลาก การทำแนวเขื่อนขวางกันพื้นที่ราบระหว่างเขาเหล่านี้ก็เลยทำให้เกิดเป็นอ่างเก็บน้ำบางพระ
  
รูปที่ ๑ แนวสันเขื่อนเก่าที่โผล่พ้นน้ำอยู่ทางด้านซ้ายมือ

ผลจากการสร้างเขื่อนขึ้นมาทำให้สถานที่เที่ยวแห่งหนึ่งของบางพระหายไป คือบ่อน้ำพุร้อน แต่ตอนนั้นก็ยังมีการต่อท่อน้ำร้อนออกมาให้ใช้กันอยู่ได้ แต่ต่อมาไม่นานก็มีการขยายสันเขื่อนเพื่อให้กักเก็บน้ำได้มากขึ้น แนวสันเขื่อนเดิมก็เลยจมอยู่ใต้น้ำไป และยังทำให้บ่อน้ำพุร้อนต้องลงไปอยู่ใต้น้ำ ถ้าเอ่ยถึงบ่อน้ำพุร้อนนี้ คนที่มีอายุประมาณ ๖๐ ปีขึ้นไปก็ยังพอจำความกันได้อยู่
  
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา หลบร้อนในบ้านด้วยการออกไปซื้ออาหารแห้งมาตุน ก็เลยถือโอกาสโฉบไปที่อ่างเก็บน้ำด้วยเพราะอยู่ใกล้ ๆ กัน เลยถือโอกาสถ่ายรูปบันทึกไว้เล่าสู่กันฟัง เผื่อมีคนไปเห็นและสงสัยว่าคันดินที่เห็นคืออะไร
  
รูปที่ ๒ มุมเดียวกับรูปที่ ๑ แต่ซูมเข้าไปใกล้ ๆ หน่อย
  
รูปที่ ๓ แผนที่แนบท้าย พระราชบัญญัติโอนที่ดินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ในท้องที่ตำบลบางพระ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ให้แก่ราษฎร พ.ศ. ๒๕๐๓ ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเล่ม ๗๗ ตอนที่ ๑๐๐ หน้า ๑๐๑๒ - ๑๐๑๔ วันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๐๓ ในแผนที่นี้บริเวณดังกล่าวยังไม่ปรากฏมีเขื่อนกั้นลำน้ำ  
  
รูปที่ ๔ แผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกา กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ๒๕๑๓ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ฉบับพิเศษ หน้า ๒๒ - ๒๔ เล่ม ๘๗ ตอนที่ ๑๑๘ วันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๑๓ แผนที่นี้แสดงแนวเขตอ่างเก็บน้ำบางพระเดิม ก่อนที่จะทำการเสริมสันเขื่อนเพื่อเพิ่มความจุเขื่อน
  
รูปที่ ๕ ภาพจากฝั่งตรงข้ามกับรูปที่ ๑ และ ๒
  
รูปที่ ๖ ปล่องของบ่อน้ำพุร้อนที่จมไปใต้น้ำด้วย แต่จะโผล่ให้เห็นช่วที่น้ำในเขื่อนน้อย

วันเสาร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2561

แวะริมทางรถไฟภาคตะวันออก (๑) ชลบุรี-แสนสุข-บางพระ-เขาพระบาท MO Memoir : Saturday 15 September 2561

ว่าจะนำเอารูปสถานีรถไฟต่าง ๆ มาเขียนเป็นบันทึกการเดินทางว่าเคยผ่านไปที่ไหนมาบ้าง ถือว่าเป็นการเก็บภาพบรรยากาศก่อนที่จะมีรถไฟความเร็วสูงวิ่งผ่านแถวนี้ก็แล้วกัน ถึงตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าสถานีต่าง ๆ ที่นำรูปมาบันทึกไว้ในที่นี้จะมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
 
รถไฟภาคตะวันออกจากฉะเชิงเทรามายังแหลมฉบัง สัตหีบ และมาบตาพุด จะใช้ขนสินค้าเป็นหลัก ช่วงหนึ่งก็เคยเห็นมีรถไฟโดยสารสายหัวลำโพง-พลูตาหลวง (อยู่แถว ๆ สัตหีบ กม. ๑๐) ที่ออกจากกรุงเทพเช้า ถึงพลูตาหลวงเที่ยง พอบ่ายก็ออกจากพลูตาหลวงเพื่อวิ่งเข้ากรุงเทพ รถไฟขบวนนี้เคยขึ้นอยู่เหมือนกันเมื่อกว่า ๒๐ ปีที่แล้ว ตอนนั้นต้องไปช่วยสอนหนังสือที่เทคโนลาดกระบังอยู่หลายปี ปีที่สอนเช้าก็เคยได้อาศัยขบวนนี้นั่งไปลาดกระบัง ปีที่สอนบ่ายก็เคยได้อาศัยขบวนนี้นนั่งเข้ากรุงเทพ แต่ตอนหลังนี้ดูเหมือนว่าจะเลิกวิ่งไปแล้ว ทำให้ทางรถไฟสายนี้เหลือแต่รถสินค้าวิ่งเป็นหลักเพียงอย่างเดียว
 
จุดเด่นของเส้นทางสายนี้น่าจะอยู่ตรงที่ปลายทางด้านทิศใต้นั้นบรรจบกับท่าเรือที่สำคัญ ๓ ท่าด้วยกัน คือแหลมฉบัง สัตหีบ และมาบตาพุด และเป็นเส้นทางที่ต่อตรงไปยังภาคอีกสานโดยไม่ต้องวิ่งอ้อมเข้าภาคกลางก่อน ทำให้สามารถขนสินค้าระหว่างทางเรือทางภาคตะวันออกกับพรมแดนติดประเทศลาวที่หนองคายได้สะดวก และคงเป็นด้วยเหตุนี้จึงทำให้ประเทศจีนสนใจที่จะมีทางรถไฟเชื่อมจีนตอนใต้กับท่าเรือน้ำลึกในประเทศไทย เพราะเส้นทางทางทะเลจากมหาสมุทรอินเดียไปยังจีนนั้นต่างต้องผ่านประเทศที่มีปัญหาข้อพิพาททางทะเลกับจีนทั้งสิ้น ดังนั้นเส้นทางรถไฟนี้จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง

รูปที่ ๑ ป้ายชื่อสถานีรถไฟชลบุรี ถ่ายไว้เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๕
 
Memoir วันนี้ก็คงไม่มีสาระอะไรเช่นเดิม ถือว่าเป็นบันทึกความทรงจำส่วนตัวว่าเคยผ่านไปที่ไหนมาบ้าง กะว่าพอออกบันทึกนี้อีกตอนก็จะทำเป็นรวมเล่ม "รถไฟ ปู๊น ปู๊น" เล่มที่ ๒ ดังนั้นวันนี้ถือว่าเป็นการดูรูปเล่น ๆ ก็แล้วกันครับ :) :) :)

รูปที่ ๒ ป้ายบอกชื่อสถานีถัดไป ภาพนี้ถ่ายไว้เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๕ เช่นกัน สถานีชลบุรีอยู่บนถนนเส้นเลี่ยงตัวเมืองชลบุรี ถ้ามาจากแยกไปบ้านบึงจะมีแยกออกซ้ายมือก่อนถึงแยกต่างระดับไปมอเตอร์เวย์และบรรจบสุขุมวิท

รูปที่ ๓ บรรยากาศตัวชานชาลาสถานี เมื่อมองย้อนไปทางทิศทางที่มาจาก อ.พานทอง ภาพนี้ถ่ายไว้เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๕

รูปที่ ๔ ถ่ายไว้เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๕ รูปนี้เป็นการมองไปยังเส้นทางที่มุ่งหน้าไปยังสถานีบางพระ

รูปที่ ๕ รูปประแจสับราง ถ่ายไว้เล่น ๆ ไม่มีอะไร รางรถไฟสายนี้จะดูหนักแน่นหน่อย คงเป็นเพราะเอาไว้บรรทุกสินค้าหนัก ถ่ายไว้เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๕ เช่นกัน

รูปที่ ๖ สถานี (ถ้าเรียกเป็นทางการหน่อยก็คงต้องเรียกว่าป้ายหยุดรถ) แสนสุข รูปนี้ถ่ายเอาไว้เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๐ หรือเมื่อ ๑๑ ปีที่แล้ว

รูปที่ ๗ ป้ายสถานนีรถไฟแสนสุข ถ่ายไว้เมื่อวันอังคารที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ภาพนี้มองไปยังเส้นทางที่มาจากชลบุรี สถานีนี้อยู่ในซอยแยกจากถนนสุขุมวิท ถ้ามุ่งหน้ามาจากแยกขวาเข้าอ่างศิลา ก่อนถึงแยกถนนข้าวหลาม จะมีซอยห้วยกะปิ ๑๗ ที่ถ้าเลี้ยวเข้าไปจนเจอทางรถไฟ ก็จะเป็นตัวสถานีอยู่ทางขวามือ

รูปที่ ๘ ป้ายสถานนีรถไฟแสนสุข ถ่ายไว้เมื่อวันอังคารที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ภาพนี้มองไปยังเส้นทางที่ไปยังสถานีบางพระ ที่เห็นอาคารหลังคาแดง ๆ คือจุดถนนข้ามทางรถไฟ ซอยนี้ใช้เป็นทางลัดไปออกมอเตอร์เวย์ได้ แต่ตอนนี้มีถนนข้าวหลามแล้วคงก็เลยไปใช้ถนนเส้นนั้นกันมากกว่า

รูปที่ ๙ จุดข้ามทางรถไฟของถนนเลียบทางรถไฟ ช่วงระหว่างสถานีรถไฟบางพระกับทางหลวงสาย ๓๑๔๔ รูปนี้ถ่ายเอาไว้เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ ระหว่างพาลูกขับรถผจญภัยในถนนเส้นรอง มาเจอจังหวะที่เครื่องกั้นอัตโนมัติปิดกั้นพอดี

รูปที่ ๑๐ ลงจากรถไปถ่ายรูปเล่นหน่อย ถนนช่วงนี้ต่ำกว่าทางรถไฟอยู่มากเหมือนกัน และดูเหมือนไม่ค่อยมีใครใช้ ก็เลยมีการราดยางเพียงแค่พื้นราบ จุดช่วงปีนขึ้นมายังรางรถไฟและข้ามไปยังฝั่งตรงข้ามก็เป็นลูกรังอยู่ ตอนนี้ไม่รู้ว่าสภาพปัจจุบันเป็นอย่างไรบ้าง (ถ่ายเอาไว้เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๕)

รูปที่ ๑๑ ถ่ายรถตัวเองเสร็จรถไฟก็มาพอดี เป็นขบวนรถสินค้า (ถ่ายเอาไว้เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๕)

รูปที่ ๑๒ สถานีรถไฟบางพระ เมื่อมองไปยังเส้นที่มาจากชลบุรี เสียดายที่ภาพมันมัวไปหน่อย (ถ่ายไว้เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๒)

รูปที่ ๑๓ สถานีรถไฟบางพระ เมื่อมองไปยังเส้นทางที่มุ่งหน้าไปยังศรีราชา (ถ่ายไว้เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๒) สถานีนี้อยู่แถว ๆ ด้านหลังมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลภาคตะวันออก

รูปที่ ๑๔ ถ้ดจากบางพระมาไม่ไกลก็เป็นสถานีเขาพระบาท รูปนี้มองไปยังเส้นทางที่มาจากตัวตลาดบางพระ เป็นสถานีที่อยู่ริมถนนสุขุมวิท ถ้ามาจากบางแสนพอผ่านแยกไฟแดงที่ตัวตลาดมาได้หน่อย จะมีแยกซ้ายที่เป็นถนนรอบอ่างเก็บน้ำ เลยแยกนี้มาหน่อยก็จะเป็นสถานีเขาพระบาทนี้ (ถ่ายไว้เมื่อวันศุกร์ที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๗) 

รูปที่ ๑๕ รูปนี้ถ่ายไว้เมื่อวันศุกร์ที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๗ เช่นกัน เป็นภาพที่มองไปยังเส้นมุ่งไปยังศรีราชา ทางด้ายซ้ายของภาพจะเป็นถนนสุขุมวิท ช่วงนั้นไปช่วยงานก่อสร้างโรงงานแถว ๆ นั้นก็เลยมีโอกาสแวะไปถ่ายรูปที่นี้

วันพฤหัสบดีที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2561

เที่ยวบ่อน้ำร้อนที่บางพระ (ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงตำ ตอนที่ ๑๓๘) MO Memoir : Tuesday 31 July 2561

"บ่อน้ำร้อนอยู่เหนืออำเภอศรีราชาขึ้นมาประมาณ ๓ กิโลเมตร มีทางแยกจากถนนสุขุมวิทย์เข้าไปอีกประมาณ ๓ กิโลเมตร ถ้าท่านไปพักที่ศรีราชาแล้ว สามารถจะเดินไปเที่ยวบ่อน้ำร้อนได้ เพราะระยะทางไม่ไกลเกินไปนัก ภูมิประเทศในบริเวณบ่อน้ำร้อนสวยงามน่าชมยิ่ง คือมีภูเขาทั้งสามด้าน บนภูเขาในบริเวณนี้โดยมากมักจะถูกชาวบ้านถากถางทำเป็นไร่ปลูกมันสัมปหลัง และกล้วยเต็มไปหมด ทางทิศใต้และทิศตะวันออกของบ่อน้ำร้อน ก็เต็มไปด้วยไร่สัปรดและสวนเงาะ ถ้าไปเที่ยวในฤดูที่เงาะออกผลแล้ว จะพบลูกเงาะสีเหลืองบ้าง สีแดงบ้าง ห้อยเป็นพวงระย้าเต็มต้นไปหมด บางต้นเตี้ยพอเขย่งเก็บถึงก็มี และถ้าหากว่าท่านอยากจะรับประทาน จะขอเขารับประทานสักอิ่นหนึ่งก็คงจะได้ เจ้าของสวนคงจะไม่หวงห้ามท่านเลย"


รูปที่ ๑ ปีพ.ศ. ๒๕๕๘ เป็นปีที่แล้งจัดปีหนึ่ง จนน้ำในอ่างเก็บน้ำบางพระลดต่ำลงจนปากปล่องบ่อน้ำพุร้อนโผล่จากใต้น้ำ

"ส่วนบ่อน้ำร้อนนั้นเป็นน้ำพุที่ไหลมาจากภูเขาซึ่งอยู่ในบริเวณใกล้ ๆ นั้น ที่เกิดความร้อนขึ้นก็เพราะน้ำไหลผ่านปฐพีที่มีความร้อนสูง แล้วก็พุขึ้นมาบนผิวดิน น้ำที่พุมานั้นมีความร้อนสูงกว่าความร้อนในร่างกายคน คือร้อนเกินกว่า ๓๗ องศาเซ็นติเกรด และมีกัมมะถันเจือปนอยู่ด้วย มีผู้ทำบ่อซิเมนต์กั้นขังน้ำไว้และทำที่อาบน้ำไว้ข้าง ๆ บ่อน้ำพุนี้มีมาแต่ครั้งรัชกาลที่ ๖ แต่เนื่องจากบ่อและที่อาบน้ำแต่เดิมเป็นของล้าสมัยและชำรุดทรุดโทรมลง ท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี จึงสั่งให้กรมโยธาเทศบาลจัดสร้างบ่อน้ำและที่อาบน้ำขึ้นใหม่อย่างทันสมัย เมื่อ พ.. ๒๔๙๖ ... "
 
ข้อความข้างต้นนำมาจากหนังสือ "ทัศนาสารไทย จังหวัดชลบุรี" ฉบับของสำนักวัฒนธรรมทางศิลปกรรม สภาวัฒนธรรมแห่งชาติ (น่าจะจัดทำในปีพ.ศ. ๒๔๙๙) ผมพิมพ์ตามตัวสะกดและเว้นวรรคตามที่หนังสือพิมพ์ไว้ ไม่ได้ทำการแก้ไขอะไร หนังสือนี้บรรยายสภาพทั่วไปของบ่อน้ำร้อนในสมัยนั้น ที่ปัจจุบันจมอยู่ใต้ผืนน้ำของอ่างเก็บน้ำบางพระ


รูปที่ ๒ แผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกา จัดทำในปีพ.ศ. ๒๔๙๗ แสดงตำแหน่งของบ่อน้ำร้อนก่อนมีการสร้างเขื่อน

"ต่อจากพุน้ำร้อนไปทางทิศตะวันออกประมาณสัก ๑๐๐ เมตร มีพุอีกพุหนึ่งแต่น้ำไม่ร้อนเหมือนอย่างพุแรก กลับเย็นดีเหมือนอย่างเช่นน้ำในห้วยหนองคลองบึง ปลาต่าง ๆ สามารถจะแหวกว่ายอยู่ในบ่อน้ำพุนี้ได้อย่างสบาย ..."
 
ข้อมูลนี้ทำให้ทราบว่า บริเวณดังกล่าวมีพุน้ำอยู่สองแห่ง แห่งหนึ่งเป็นน้ำร้อน อีกแห่งหนึ่งนั้นเย็นกว่า

รูปที่ ๓ ภาพบริเวณบ่อน้ำร้อน จากหนังสือทัศนาสารไทย จังหวัดชลบุรี รูปนี้น่าเป็นภาพก่อนการก่อสร้างเขื่อนกักเก็บน้ำ (ที่กลายเป็นอ่างเก็บน้ำบางพระในปัจจุบัน) แต่น่าจะหลังจากที่ได้ทำการปรับปรุงในปี พ.ศ. ๒๔๙๖ แล้ว เพราะเมื่อเทียบกับภาพที่ปรากฏในคลิปภาพยนต์ที่ระบุว่าบันทึกไว้ในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ นั้น อาคารในรูปนี้ดูใหม่กว่า

"ต่อมารัฐบาลได้พิจารณาถึงประโยชน์ในอันที่จะกักกันน้ำจืดไว้สำหรับให้ชาวเมืองชลบุรีได้อาศัยบริโภค เพราะปรากฏว่าในฤดูแล้วจังหวัดชลบุรีขาดแคลนน้ำจืดสำหรับบริโภคอย่างยิ่ง เมื่อกรมชลประทานได้ตรวจดูภูมิประเทศของจังหวัดนี้หมดแล้วเห็นว่าไม่มีที่ไหนเหมาะกว่าพื้นแผ่นดินในบริเวณบ่อน้ำร้อน เนื่องจากเป็นที่ราบภายในหุบเขา สามารถจะกักกันน้ำไว้ดีกว่าแห่งอื่น จึงได้สร้างเขื่อนคอนกรีตกั้นเทือกเขาที่ต่อกัน ทำเป็นอ่างเก็บน้ำ และสำเร็จเมื่อต้นปี พ.. ๒๔๙๙ อ่างนี้สามารถเก็บน้ำไว้ได้หลายล้านลูกบาตรเมตร"
...
"เมื่อได้สร้างอ่างเก็บน้ำขึ้นแล้ว น้ำได้ท่วมบ่อน้ำร้อนนี้หมด ไม่สามารถจะใช่บ่อน้ำพุของเดิมได้ ทางการจึงได้รื้อที่อาบน้ำร้อนไปสร้างใหม่นอกเขื่อนกั้นน้ำ ซึ่งอยู่ห่างจากที่เดิมปริมาณ ๓ กิโลเมตร แล้วทำการสร้างท่อไขน้ำจากบ่อเดิมเข้าไปยังที่อาบน้ำใหม่นี้ ส่วนบ่อเดิมนั้นได้ทำเสาซิเมนต์ทาสีขาวตั้งไว้เป็นเครื่องหมาย
น้ำร้อนซึ่งไหลตามท่อจากพุเดิมไปยังที่ใหม่นี้ ไม่ร้อนจัดเหมือนอย่างเดิม คงอุ่นนิด ๆ พอให้รู้สึกว่าผิดกว่าน้ำเย็นธรรมดาเล็กน้อยเท่านั้น ..."
 
เสาซิเมนต์สีขาวต้นนั้นก็น่าจะเป็นเสาซิเมนต์ที่โผล่พ้นน้ำครั้งสุดท้ายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ (รูปที่ ๑) ที่เป็นปีที่แล้งจัดปีหนึ่งจนระดับน้ำในอ่างเก็บน้ำลดต่ำลงมาก ส่วนตำแหน่งบ่อน้ำใหม่ที่สร้างขึ้น ในหนังสือสยามานุสรณ์ (ตอนท้ายของเรื่อง) ระบุไว้ว่าห่างจากที่เดิมประมาณ ๕๐๐ เมตร ต่างไปจากตัวเลข ๓ กิโลเมตรที่หนังสือทัศนาสารกล่าวเอาไว้
 
การสร้างเขื่อนกั้นลำน้ำเพื่อให้เกิดอ่างเก็บน้ำบางพระมีการสร้างสองครั้ง ที่หนังสือกล่าวเอาไว้คือการสร้างครั้งแรก เขื่อนนี้ยังพอเห็นได้เวลาที่ระดับน้ำในอ่างลดต่ำลง ต่อมาได้มีการสร้างเขื่อนดินท้ายเขื่อนคอนกรีตเดิมในปี พ.ศ. ๒๕๑๔ เพื่อเพิ่มความจุของอ่างเก็บน้ำ ผลจากการสร้างเขื่อนครั้งที่สองนี้ทำให้ที่อาบน้ำร้อนใหม่นั้นหายไป


รูปที่ ๔ แผนที่แสดงเขตสุขาภิบาลบางพระปี พ.ศ. ๒๕๐๖ หลังมีการสร้างเขื่อนกักเก็บน้ำ ทำให้บ่อน้ำร้อนเดิมจมอยู่ใต้น้ำ เลยต้องมีการต่อท่อออกมายังตำแหน่งใหม่ในกรอบสี่เหลี่ยมสีแดงในภาพ ถ้าเทียบตำแหน่งกับแผนที่ในรูปที่ ๒ จะเห็นว่า บ่อน้ำร้อนเดิมนั้นอยู่ทางทิศตะวันออกของเขาซากขมิ้น แต่บ่อน้ำร้อนใหม่นั้นอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเขาซากขมิ้น (เขาที่อยู่มุมล่างขวาของแผนที่อยู่ข้างเครื่องหมายบอกทิศ)

รูปที่ ๕ ป้ายบอกทางแยกไปยังบ่อน้ำร้อน

รูปที่ ๖ เส้นทางไปยังบ่อน้ำพุร้อน

รูปที่ ๗ โรงอาบน้ำ


รูปที่ ๘ บรรยากาศการอาบน้ำ
 
รูปที่ ๕ - ๘ นำมาจากคลิปวิดิโอที่ผู้เผยแพร่ทาง YouTube เรื่อง "บางละมุง-ศรีราชา-ชลบุรี ปี 2495" โดยผู้โพสที่ใช้ชื่อ "ชุมทางหนังไทยในอดีต" ในคลิปดังกล่าวมีทั้งภาพการเดินทางซึ่งมีทั้ง การข้ามแม่น้ำบางปะกงโดยใช้สะพานเทพหัสดิน การเข้าไปยังบ่อน้ำร้อนบางพระ รถไฟลากไม้ศรีราชา ฯลฯ แต่น่าเสียดายที่คลิปวิดิโอดังกล่าวถูกนำออกไปนานแล้วและไม่รู้เหมือนกันว่าจะได้เห็นอีกทีเมื่อไร


รูปที่ ๙ หนังสือ "สยามานุสรณ์" และ "ทัศนาสารไทย"

บันทึกเกี่ยวกับบ่อน้ำร้อนที่บางพระนี้พบในหนังสืออีกเล่มคือ "สยามานุสรณ์" (รูปที่ ๙) ในหน้า ๖๒๐ - ๖๒๒ แต่เสียดายที่ภาพที่ปรากฏในหนังสือเล่มนี้ไม่ชัดเจน หนังสือเล่มนี้ที่ยืมมาจากห้องสมุดไม่มีการระบุปีที่พิมพ์ รู้แต่ว่าห้องสมุดได้รับมาในปี พ.ศ. ๒๕๒๖ มีการระบุไว้ที่ท้ายเล่มว่า "พิมพ์ที่สัตยการพิมพ์ 889/1 ถนนอรุณอัมรินทร์ บางกอกน้อย กรุงเทพ ฯ นายประสงค์ ตระการสัตยกุล ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา โทร. 4665251, 4655312" โดยได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับบ่อน้ำร้อนนี้ไว้ว่า
 
"อ่างเก็บน้ำร้อน จะมีอ่างเก็บน้ำเป็นลักษณะบ่อน้ำธรรมชาติเกิดขึ้นเอง 3 บ่ออยู่ใกล้เคียง บ่อแรกเป็นบ่อน้ำร้อน มีความร้อนถึง 100 องศาฟาเรนไฮต์ อีกบ่อเป็นบ่อน้ำอุ่น และอีกบ่อเป็นบ่อน้ำเย็น
บ่อน้ำร้อนเป็นน้ำพุ ที่เกิดจากใต้ดินไหลผ่านแร่ธาตุบางชนิด เช่นแร่กำมะถัน จะมีผู้ไปเที่ยวและอาบน้ำร้อนกันเสมอ เพราะเชื่อว่าเมื่ออาบน้ำร้อนแล้วจะรักษาโรคผิวหนัง และอาการปวดเมื่อยตามตัวให้หายไปได้
ปัจจุบันมีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ปิดบังบ่อน้ำร้อน ทางราชการได้ต่อท่อให้น้ำในอ่างไหลเป็นน้ำประปาไปใช้ในตัวเมือง และได้ต่อท่อจากพุน้ำร้อนเดิมให้พุ่งขึ้นอีกทางหนึ่ง ห่างจากที่เดิมประมาณ 500 เมตร สถานที่ใหม่นี้ทำเป็นอ่างกลมใหญ่ มีรูปพญานาคพ่นน้ำร้อนลงในอ่างตลอดเวลา แล้วต่อให้ไหลเข้าห้องน้ำทำเป็นที่อาบน้ำร้อนภายในห้อง การไหลของน้ำใช้แรงดันของน้ำพุ โดยไม่ต้องอาศัยเครื่องจักรกลใด ๆ"