วันพุธที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

การวินิจฉัยการเข้าข่ายสินค้าที่ใช้ได้สองทาง ตัวอย่างที่ ๑ ตัวเก็บประจุ (Capacitor) MO Memoir : Wednesday 12 May 2564

จากการที่ได้ไปอบรมการวินิจฉัยว่าสินค้าใดเข้าข่ายสินค้าเมื่อช่วงปลายเดือนกรกฎาคมต่อต้นเดือนสิงหาคม ๒๕๖๒ แม้ว่าบางเรื่องที่ได้ไปอบรมมานั้นจะได้เขียนลง blog ไปบ้างแล้วและได้นำไปรวมไว้ใน รวมบทความชุดที่ ๒๕ สินค้าที่ใช้ได้สองทาง (Dual-Use Items : DUI) เนื่องในโอกาสที่ในเร็ว ๆ นี้อาจต้องไปบรรยายเพื่อถ่ายทอดความรู้ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย ก็เลยคิดว่าถึงเวลาที่จะนำบางเรื่องที่ได้ไปอบรมมานั้นมาเขียนลงรายละเอียดเป็นเรื่อง ๆ ไป โดยจะขอเริ่มจากตัวอย่างการวินิจฉัยการเข้าข่ายสินค้าที่ใช้ได้สองทาง โดยตัวแรกที่ยกมาคือ "ตัวเก็บประจุ" แต่ก่อนอื่น ลองตอบคำถามในรูปที่ ๑ ดูก่อนไหมครับ

รูปที่ ๑ ถ้าได้ยินหรือได้เห็นคำว่า "Condenser" ขึ้นมาลอย ๆ คุณจะนึกถึงอะไร

ปัญหาหนึ่งที่มีโอกาสเจอสูงในการวินิจฉัยสินค้าคือการที่สินค้าตัวนั้นมีหลายชื่อเรียก และชื่อที่ปรากฏในเอกสารนั้นอาจไม่ตรงกับชื่อที่ปรากฏใน EU List ดังนั้นเมื่อต้องการวินิจฉัยสินค้าตัวใดแล้วไม่พบว่ามันปรากฏใน EU List นั้น ก็ต้องพยายามหาดูด้วยว่าชื่อที่เราเห็นนั้นมันเป็นอีกชื่อหนึ่งของสินค้าที่ปรากฏใน EU List หรือเปล่า อย่างเช่นคำ "Condenser" นั้นใน EU List จะหมายถึงเครื่องควบแน่นไอให้กลายเป็นของเหลว แต่ในทางอิเล็กทรอนิกส์นั้นมันหมายถึง "ตัวเก็บประจุ" ซึ่งใน EU List ใช้คำว่า "Capacitor"

เรื่องในวันนี้เคยเขียนไว้ครั้งหนึ่งแล้วใน Memoir วันพฤหัสบดีที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๒ เรื่อง "สินค้าที่ใช้ได้สองทาง (Dual-Use Items :DUI) ตอนที่ ๕" ซึ่งตอนนั้นเป็นการนำเอาภาพสไลด์ที่ได้มาจากการฝึกอบรมมาแปะเอาไว้ให้อ่านเอาเองโดยไม่ได้อธิบายอะไรโดยละเอียด มาวันนี้ก็ถือว่าเอาเรื่องเก่ามาเล่าใหม่โดยเพิ่มรายละเอียดเข้าไปก็แล้วกัน

ปัญหาแรกที่อาจประสบในการวินิจฉัยการเข้าข่ายสินค้าก็คือการใช้ชื่อเรียกที่แตกต่างไปจากที่ปรากฏใน EU List (จะโดยด้วยความเคยชินหรือด้วยความตั้งใจก็ตาม) ที่ได้กล่าวมาข้างต้น

ปัญหาข้อที่สองที่อาจประสบก็คือ ภาพรวมของสินค้านั้นดูแล้วไม่น่าเข้าข่าย แต่เมื่อพิจารณาโดยละเอียดแล้วพบว่าสินค้านั้นประกอบด้วยชิ้นส่วนย่อย ๆ หลายชิ้น (ที่อาจเหมือนกันหรือแตกต่างกัน) ที่นำมาต่อพ่วงเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้คุณลักษณะรวมสุดท้ายที่ต้องการ ตัวอย่างเช่นแบตเตอรี่ที่ใช้กับรถยนต์นั้นจะใช้ชนิดไฟ 12 V แต่สำหรับรถบรรทุกนั้นต้องการใช้ไฟ 24 V แทนที่ผู้ผลิตแบตเตอรี่จะผลิตแบตเตอรี่ตัวใหญ่ขนาด 24 V (ปริมาณกระแสที่แบตเตอรี่จ่ายได้แปรผันตามขนาดแบตเตอรี่) เขาก็ผลิตเพียงแค่แบตเตอรี่ตัวใหญ่ขนาด 12 V (แค่นี้ก็น้ำหนักมากแล้ว) เวลาใช้งานผู้ใช้ก็ต้องใช้ 2 ตัวมาต่ออนุกรมกันเพื่อให้ได้ไฟ 24 V ที่ต้องการ

ในกรณีของตัวเก็บประจุก็เช่นกัน ในกรณีที่เราต้องการค่าความจุที่สูง เราอาจทำได้ด้วยการใช้ตัวเก็บประจุขนาดใหญ่ขึ้น หรือใช้หลายตัวมาต่อขนาน/อนุกรมเข้าด้วยกัน ดังเช่นในกรณีของตัวอย่างในรูปที่ ๒ ข้างล่าง ที่ชุดตัวเก็บประจุนั้นประกอบด้วยตัวเก็บประจุขนาดเล็ก 3 ตัวต่อขนานกัน และบรรจุอยู่ในกล่องโลหะที่เมื่อมองจากภายนอกแล้วจะดูเหมือนว่าเป็นเพียงแค่ตัวเก็บประจุตัวใหญ่เพียงตัวเดียว (power bank ที่ใช้กับโทรศัพท์มือถือบางแบบก็เป็นแบบนี้นะ คือไม่ใช่ถ่านชาร์จได้ก้อนใหญ่เพียงก้อนเดียว แต่ประกอบด้วยถ่ายชาร์จได้ก้อนเล็กหลายก้อนต่อกันอยู่) คุณลักษณะรวมของสินค้าคือรับแรงดันไฟฟ้าได้ 1500 V มีค่าความจุไฟฟ้า (capacitance) 300 uF (ไมโครฟารัด) และค่าการเหนี่ยนำภายใน (inductance) 100 nH (นาโนเฮนรี่) โดยที่ตัวเก็บประจุตัวเล็กที่นำมาประกอบนั้นแต่ละตัวรับแรงดันไฟฟ้าได้ 1500 V มีค่าความจุไฟฟ้า 100 uF และค่าการเหนี่ยนำภายใน 40 nH (หมายเหตุ : ในรูปที่ ๒ ให้ข้อมูลไว้ว่าค่าการเหนี่ยวนำของสายไฟฟ้ายาว 1 เมตรอยู่ที่ประมาณ 100 - 200 nH)

 

รูปที่ ๒ ตัวเก็บประจุนี้ประกอบด้วยตัวเก็บประจุขนาดเล็ก 3 ตัวต่ออนุกรมกัน

ตัวเก็บประจุที่เป็นสินค้าควบคุมต้องมีคุณสมบัติตามที่ปรากฏในหมวด 3A001 Electronic items as folllows หัวข้อ e. High energy devices as follows ข้อย่อยที่ 2. High energy storage capacitor as folllows ซึ่งในรูปที่ ๓ นั้นเขียนรวมว่าเป็นหัวข้อ 3A001.e.2 ซึ่งในหัวข้อนี้ยังแยกออกเป็นอีก 2 หัวข้อย่อย a. และ b. ดังรายละเอียดที่แสดงในรูปที่ ๓

ทั้งหัวข้อย่อย a. และ b. นั้นข้อแรกกล่าวว่าใช้งานกับความต่างศักย์ได้เท่ากับหรือมากกว่า 5 kV (5000 V) แต่เนื่องจากตัวเก็บประจุตัวนี้ใช้กับความต่างศักย์สูงเพียงแค่ 1500 V ดังนั้นจึงไม่เข้าข่ายเป็นสินค้าควบคุมตามหัวข้อ 3A001.e.2

แต่เนื่องจากในหัวข้อ 3A001.e นั้นมีหมายเหตุระบุไว้ว่า SEE ALSO 3A201.a. and the Military Goods Controls ดังนั้นแม้ว่าเมื่อตรวจสอบตามเกณฑ์หัวข้อ 3A001.e และไม่เข้าเกณฑ์ ก็ต้องไปตรวจตามเกณฑ์ข้อ 3A201.a. อีก

 

รูปที่ ๓ รายละเอียดหัวข้อ 3A001.e.2 ซึ่งพบว่าตัวเก็บประจุตัวนี้ไม่เข้าเกณฑ์สินค้าควบคุมตามข้อนี้

หัวข้อ 3A201.a (3A201 คือ Electronic components, other than those specified in 3A001 และหัวข้อย่อย a. คือ Capacitors having either of the following sets of characteristics ที่แยกออกเป็นหัวข้อย่อย 1. และ 2.) เป็นอีกหัวข้อหนึ่งที่กำหนดรายละเอียดของตัวเก็บประจุที่เป็นสินค้าควบคุมคือโดยมีรายละเอียดแสดงในรูปที่ ๔

ในหัวข้อย่อย 1. นั้นเกณฑ์ข้อแรก (a.) คือใช้กับความต่างศักย์ที่สูงกว่า 1.4 kV (ในยุโรปหลายประเทศนั้นจะใช้เครื่องหมาย comma "," แทนการใช้จุดทศนิยม ดังนั้นตัวเลข 1,4 kV ก็คือ 1.4 kV นั่นเอง) ซึ่งก็พบว่าตัวเก็บประจุตัวนี้เข้าเกณฑ์เพราะใช้กับความต่างศักย์ที่สูงถึง 1.5 kV

เกณฑ์ข้อที่สอง (b.) คือเก็บพลังงานได้มากกว่า 10 J (Joule) สำหรับตัวเก็บประจุนั้นพลังงานที่ตัวเก็บประจุเก็บได้คำนวณได้จากสมการ E = (CV2)/2 เมื่อ E คือพลังงาน (J), C คือค่า capacitance (F - Farad) และ V คือความต่างศักย์ (V - Volt) ดังนั้นพลังงานที่ตัวเก็บประจุตัวนี้เก็บได้คือ E = 0.5 x (300 x 10-6) x (1500)2 = 337.5 J ซึ่งมากกว่า 10 J ดังนั้นถือว่าตัวเก็บประจุตัวนี้มีคุณสมบัติเป็นไปตามเกณฑ์

เกณฑ์ข้อที่สาม (c.) คือสามารถเก็บประจุได้มากกว่า 0.5 uF ซึ่งก็พบว่าตัวเก็บประจุตัวนี้เข้าเกณฑ์ข้อนี้อีกเพราะสามารถเก็บประจุได้สูงถึง 300 uF

เกณฑ์ข้อที่สี่ (d.) คือค่าความเหนี่ยวนำเมื่อต่ออนุกรมมีค่าต่ำกว่า 50 nH แต่เนื่องจากค่าการเหนี่ยวนำของตัวเก็บประจุตัวนี้สูงถึง 50 nH จึงถือได้ว่าไม่เข้าเกณฑ์

 

รูปที่ ๔ รายละเอียดหัวข้อ 3A201.a (ในแบบญี่ปุ่นนั้น เครื่องหมาย O คือถูกต้องหรือตรง เครื่องหมาย X คือผิดหรือไม่ตรง)

และเมื่อพิจารณาหัวข้อย่อย 2. ก็พบว่าตัวเก็บประจุตัวนี้แม้ว่าจะเข้าเกณฑ์ข้อ a. (คือใช้กับความต่างศักย์สูงกว่า 750 V) และมีค่าความจุผ่านเกณฑ์ข้อ b. คือมากกว่า 0.25 uF) แต่ก็ไม่ผ่านเกณฑ์ข้อ c. คือต้องมีค่าความเหนี่ยวนำเมื่อต่ออนุกรมมีค่าต่ำกว่า 10 nH แต่ตัวเก็บประจุตัวนี้มีค่าสูงถึง 100 nH

ด้วยการพิจารณาโดยใช้เกณฑ์ที่กล่าวมาข้างต้นจะพบว่าตัวเก็บประจุตัวนี้ไม่เป็นสินค้าควบคุมไม่ว่าจะเป็นหมวด 3A001.e หรือ 3A201.a

แต่ใน GENERAL NOTES TO ANNEX I ข้อ 2. กล่าวไว้ว่า "วัตถุประสงค์ของการควบคุมที่อยู่ใน Annex นี้ไม่ควรที่จะสามารถหลีกเลี่ยง (ผมขอแปลคำ defeat เป็นแบบนี้ก็แล้วกัน) ได้ด้วยการส่งออกสินค้าที่ไม่เป็นสินค้าควบคุม (รวมทั้งตัวโรงงาน) ที่มีชิ้นส่วนควบคุมเป็นส่วนประกอบจำนวนหนึ่งชิ้นหรือมากกว่า โดยที่ชิ้นส่วนควบคุมนั้นเป็นชิ้นส่วนหลักของสินค้านั้น และสามารถถอดออกหรือนำไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่นได้ หมายเหตุ : ในการพิจารณาว่าชิ้นส่วนควบคุมนั้นเป็นชิ้นส่วนหลักหรือไม่ จำเป็นต้องชั่งน้ำหนักปัจจัยต่าง ๆ ได้แก่ ปริมาณ, มูลค่า และเทคโนโลยีองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้อง และสภาพการณ์แวดล้อมพิเศษ ที่อาจทำให้มีการสั่งซื้อสินค้านั้นที่มีชิ้นส่วนควบคุมนั้นเป็นชิ้นส่วนประกอบหลัก" (รูปที่ ๕)

ในตัวอย่างนี้ตัวเก็บประจุนั้นประกอบด้วยตัวเก็บประจุขนาดเล็ก 3 ตัวต่อขนานกัน ซึ่งถือได้ว่าตัวเก็บประจุขนาดเล็ก 3 ตัวนั้นเป็นองค์ประกอบหลัก และเป็นมูลค่าหลักของสินค้านั้น ดังนั้นจึงจำเป็นต้องพิจารณาตัวเก็บประจุขนาดเล็กนั้นประกอบด้วย

 


รูปที่ ๕ รายละเอียดข้อ 2. ของ GENERAL NOTES TO ANNEX I

รูปที่ ๖ เป็นผลการพิจารณาตัวเก็บประจุตัวเล็ก 3 ตัวที่ประกอบเข้าด้วยกันเป็นตัวเก็บประจุขนาดใหญ่ 1 ตัว ซึ่งก็พบว่าตัวเก็บประจุตัวเล็กแต่ละตัวนั้นเป็นสินค้าควบคุมตามเกณฑ์ข้อ 3A201.a.1

แต่ในข้อ 2. ของ GENERAL NOTES TO ANNEX I ยังมีการกล่าวต่อด้วยว่า "สามารถถอดออกหรือนำไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่นได้" ซึ่งตรงนี้ก็ต้องมาพิจารณาดูด้วยว่าหลังจากที่นำเอาตัวเก็บประจุตัวเล็ก 3 ตัวมาประกอบเป็นตัวเก็บประจุตัวใหญ่ 1 ตัว การถอดแยกชิ้นส่วนกลับมาเป็นตัวเก็บประจุตัวเล็ก 3 ตัว หรือการดัดแปลงเช่นการเปลี่ยนสายไฟภายในเพื่อให้ค่าการเหนี่ยวนำ (inductance) นั้นมีค่าไม่เกิน 50 nH นั้นทำได้หรือไม่ ซึ่งการที่จะตรวจสอบประเด็นนี้ได้จำเป็นที่ต้องรู้รายละเอียดโครงสร้างของตัวเก็บประจุ (ในกรณีที่ผู้ตรวจสอบนั้นไม่ได้เป็นผู้ผลิตตัวเก็บประจุ) และในกรณีที่ผู้ผลิตกับผู้ตรวจสอบนั้นมีความเห็นไม่ตรงกัน กล่าวคือผู้ผลิตนั้นอาจเห็นว่าการพยายามแยกชิ้นส่วนออกมาเป็นตัวเก็บประจุตัวเล็ก 3 ตัวหรือการดัดแปลงเพื่อให้มีค่าการเหนี่ยวนำไม่เกิน 50 nH นั้นไม่สามารถกระทำได้ แต่ตัวผู้ตรวจสอบเกรงว่าอาจกระทำได้ (ซึ่งตัวผู้ตรวจสอบเองก็อาจไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำได้อย่างไร เพียงแค่สงสัยแค่นั้นเอง) ซึ่งถ้ามีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้น จะหาข้อยุติดได้อย่างไร ตรงนี้คงต้องฝากเป็นประเด็นคำถามเอาไว้

การต่อตัวเก็บประจุนั้น ถ้าต้องการให้เก็บประจุได้มากขึ้นก็จะนำเอาตัวเก็บประจุมาต่อขนานกัน (อย่างในตัวอย่างนี้) แต่ถ้าต้องการให้รับความต่างศักย์ได้มากขึ้นก็ต้องนำมาต่ออนุกรมกัน (แต่ความสามารถในการเก็บประจุแต่ละตัวจะลดลง) เช่นถ้าเราเอาตัวเก็บประจุที่รับความต่างศักย์ได้ 750 V โดยที่แต่ละตัวเก็บประจุได้อย่างน้อย 10 uF สองตัวมาต่ออนุกรมกัน ตัวเก็บประจุชุดนี้ก็จะรับความต่างศักย์ได้ 1500 V แต่จะเก็บประจุรวมได้อย่างน้อย 5 uF ดังนั้นถ้านำตัวเก็บประจุนี้จำนวน 4 ตัวมาต่ออนุกรม 2 ชุด ฃุดละ 2 ตัว แล้วค่อยนำเอาชุดที่ต่ออนุกรมนั้นมาต่อขนานกัน ก็จะได้ตัวเก็บประจุรวมที่

รับความต่างศักย์ได้ 1500 V ซึ่งผ่านเกณฑ์ข้อ 3A201.a.1.a

เก็บประจุได้อย่างน้อย 10 uF ซึ่งผ่านเกณฑ์ข้อ 3A201.a.1.c) และ

เก็บกักพลังงานได้ = 0.5 x (10 x 10-6) x (1500)2 = 11.25 J ซึ่งผ่านเกณฑ์ข้อ 3A201.a.1.b)

 

รูปที่ ๖ การพิจารณาตัวเก็บประจุตัวเล็ก 3 ตัวที่ประกอบเข้าด้วยกันเป็นตัวเก็บประจุขนาดใหญ่ 1 ตัว โดยพบว่าเป็นไปตามเกณฑ์ข้อ 3A201.a.1

ส่วนชุดตัวเก็บประจุนี้จะเป็นสินค้าควบคุมหรือไม่ก็คงขึ้นอยู่กับว่าตัวเก็บประจุตัวเล็กที่นำมาต่อนั้นมีค่าการเหนี่ยวนำต่ำกว่า 10 nH (เกณฑ์ข้อ 3A201.a.2.c) และสามารถถอดแยกแต่ละตัวออกมาได้หรือไม่ และรูปแบบการต่อนั้นทำให้ค่าการเหนี่ยวนำรวมไม่เกิน 50 nH ด้วยหรือไม่ ซึ่งจุดนี้แสดงว่าเกณฑ์ในข้อ 3A201.a.2 มีไว้เพื่อป้องกันไม่ให้มีการนำเอาตัวเก็บประจุขนาดเล็ก (ที่มีค่าการเหนี่ยวนำต่ำ) มาต่ออนุกรมและ/หรือขนานกัน เพื่อให้ได้ตัวเก็บประจุรวมสามารถรองรับค่าความศักย์ที่ต้องการและมีความสามารถในการเก็บประจุตามต้องการ

ตัวอย่างที่ ๑ นี้แสดงให้เห็นปัญหาเรื่องการที่ต้องวินิจฉัยว่าชิ้นส่วนย่อยที่เป็นองค์ประกอบของสินค้าหลัก (ที่คุณลักษณะรวมของตัวสินค้าหลักไม่เข้าเกณฑ์เป็นสินค้าควบคุม) เป็นสินค้าควบคุมหรือไม่ ซึ่งจำเป็นต้องรู้ถึงคุณลักษณะของชิ้นส่วนย่อยที่นำมาประกอบ และวิธีการประกอบเข้าด้วยกัน ซึ่งตรงจุดนี้ผู้ที่ผลิตสินค้านั้นจะเป็นผู้ที่รู้ดีที่สุด

สำหรับตัวอย่างที่ ๑ นี้คงต้องขอจบเพียงแค่นี้

วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

สถานีรถไฟวัดงิ้วราย MO Memoir : Friday 7 May 2564

ดูเหมือนว่าในแนวเส้นทางรถไฟสายใต้จากตลิ่งชันถึงนครชัยศรีคงมีบางช่วงที่มีต้นงิ้วขึ้นเยอะ เพราะเห็นมีสถานีที่มีชื่อเกี่ยวพันกับต้นงิ้วสองสถานี สถานีแรกคือบ้านฉิมพลีที่ตอนนี้กลายเป็นอดีตไปแล้ว เหลือเพียงแค่ขานขลาให้ดูเล่น ส่วนสถานีที่สองคือวัดงิ้วราย ที่เคยเป็นชุมทางการเดินทางที่สำคัญในอดีต และก็ไม่แน่ว่าเมื่อตัวเมืองมีการขยายออกมาทางด้านตะวันตก สถานีนี้อาจกลับมามีบทบาทใหม่ก็ได้ ในฐานะเป็นคลังสินค้าเชื่อมต่อทางรถยนต์กับรถไฟ

ในยุคก่อนที่จะมีรถไฟ การเดินทางระหว่างกรุงเทพ-สุพรรณบุรีก็คงต้องเป็นทางเรือ ถ้าเดินทางจากกรุงเทพก็ต้องล่องขึ้นไปตามลำน้ำเจ้าพระยาจนถึงอยุธยาแล้วค่อยเลี้ยวเข้าคลองไปสุพรรณบุรี แต่การมีเส้นทางรถไฟสายใต้ก็ช่วยย่นระยะเวลาเดินทางด้วยการเปิดเส้นทางใหม่ จากสุพรรณบุรีพอมาถึงตลาดลำพญาก็เลือกเอาได้ว่าจะไปทางไหน จะแยกเข้าคลองนราภิรมณ์แล้วมาโผล่ที่ศาลายา หรือจะล่องตามแม่น้ำต่อมาจนถึงวัดงิ้วรายแล้วมาเปลี่ยนขึ้นรถไฟที่นี่ แต่เมื่อถนนมีการขยายตัวพร้อมกับการเดินทางด้วยรถยนต์ที่มีมากขึ้น ชุมชนที่เคยเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างทางน้ำกับรถไฟที่เคยมีชีวิตชีวา ก็ค่อย ๆ เงียบสงบลง จนบางชุมชนก็เลือนหายไป

เมื่อช่วงกลางเดือนมีนาพอมีเวลาว่าง ก็เลยถือโอกาสไปเก็บภาพสถานีรถไฟสุดท้ายก่อนจะข้ามแม่น้ำท่าจีน แม้ว่าทางรถไฟช่วงนี้จะเป็นทางคู่แล้ว แต่สถานีนี้ก็ยังมีรางหลีกให้จอดพักรถ (รถสินค้าติดเวลาชั่วโมงเร่งด่วนของกรุงเทพ เลยต้องจอดรอพักที่นี่ก่อน ข้อมูลนี้ได้มาจากเจ้าหน้าที่สถานีเพราะถามเขาว่าทำไมมีรถสินค้ามาจอดรอ แล้วเขาบอกว่าอย่างนั้น)

รูปที่ ๑ ภาพจากแผนที่ทหารที่จัดทำในปีพ.ศ. ๒๕๐๑ (คือใช้ข้อมูลเก่ากว่านั้น) สถานีวัดงิ้วรายอยู่มุมขวาบนที่ขีดเส้นใต้สีเขียว

บ้านที่อยู่ริมแม่น้ำก็มีการเปลี่ยนแปลง มีบางหลังทำเป็นร้านอาหารริมแม่น้ำ ใครจะไปต้องจอดรถไว้ที่บริเวณสถานีรถไฟ แล้วก็ต้องเดินเท้าเข้าไป กะว่าพ้นช่วงนี้เมื่อใด คงจะหาโอกาสแวะไปที่นั่นสักครั้ง สำหรับวันนี้ก็เช่นเคย ถือว่าเป็นการเล่าเรื่องด้วยรูปก็แล้วกัน

รูปที่ ๒ แผนที่จัดทำโดยกองทัพอังกฤษในอินเดียช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ (พ.ศ. ๒๔๘๘) แสดงให้เห็นว่าเส้นทางการเดินทางทางน้ำจากสุพรรณบุรีลงมากรุงเทพ เมื่อมาถึงบริเวณที่เป็นตลาดลำพญาก็จะมีทางแยก คือจะเข้าทางคลองนาราภิรมณ์แล้วมาโผล่ที่ศาลายาเพื่อขึ้นรถไฟ หรือจะล่องต่อลงมาตามแม่น้ำท่าจีนมาที่วัดงิ้วรายแล้วเปลี่ยนขึ้นรถไฟที่นี่ เส้นทางแม่น้ำท่าจีนจะได้เปรียบหน่อยตรงที่เป็นเส้นทางเรือสินค้าที่ไปออกสมุทรสาครได้

รูปที่ ๓ ป้ายชื่อสถานีที่ตัวอาคารสถานี

รูปที่ ๔ ตัวอาคารสถานี ขนาดของตัวอาคารก็แสดงให้เห็นว่าเดิมทีในเส้นทางนี้สถานีนี้ก็เป็นสถานีใหญ่แห่งหนึ่งเหมือนกัน

รูปที่ ๕ ภาพใกล้เข้าไปอีกนิด

รูปที่ ๖ ตารางเวลารถไฟที่จอดที่สถานี

รูปที่ ๗ บรรยากาศบริเวณสำหรับนั่งรอรถไฟ

รูปที่ ๘ ตัวสถานีมองไปยังทิศตะวันออก (มาจากสถานีคลองมหาสวัสดิ์)

รูปที่ ๙ เหล็กรางเก่าที่นำเอามาทำเสาโครงหลังคาเส้นนี้มาจาก RODANGE (น่าจะเป็นของลักเซมเบิร์ก) ประทับตามปีค.ศ. ๑๙๓๘ (พ.ศ. ๒๔๘๑)

รูปที่ ๑๐ ส่วนต้นนี้มาจาก YAWATA ประเทศญี่ปุ่น ประทับปีค.ศ ๑๙๓๖ (พ.ศ. ๒๔๗๙)

รูปที่ ๑๑ เดินมาจนเกือบสุดทางด้านตะวันออก

รูปที่ ๑๒ พอมองกลับไปทางทิศตะวันตก มีรถสินค้ามาจอดติดเวลาชั่วโมงเร่งด่วนอยู่หนึ่งขบวน

รูปที่ ๑๓ อีกมุมหนึ่งของตัวอาคารสถานี้และบรรยากาศโดยรอบ

รูปที่ ๑๔ ป้ายบอกชื่อสถานีที่อยู่ข้างเคียง

รูปที่ ๑๕ เดินมาจนสุดชานชาลาด้านตะวันตก

รูปที่ ๑๖ รถไฟที่จอดรออยู่

รูปที่ ๑๗ ตัวอาคารสถานีฝั่งด้านถนน