ตอนที่หนีน้ำออกมานั้นก็ได้ถอด
hard
disk ออกจากคอมพิวเตอร์
เอาตัวเครื่องไปไว้บนชั้นวางของ
ส่วนตัวจอนั้นวางทิ้งไว้บนโต๊ะคอมพิวเตอร์
(เพราะคิดว่าคงไม่เป็นอะไร)
ที่ไหนได้ปรากฏว่าน้ำที่ท่วมในตัวบ้านมีระดับสูงเกิดกว่าที่คาด
โต๊ะคอมพิวเตอร์ที่ทำจากเศษไม้อัดกาวเป็นแผ่น
ๆ แล้วนำมาประกอบเข้าด้วยกัน
พอต้องแช่น้ำก็เลยเปื่อยยุ่ย
รับน้ำหนัก (ทั้งจอและสิ่งของอื่นที่ขนหนีน้ำ)
ไม่ไหว
ยุบตัวลงมา
ผลก็คือจอคอมพิวเตอร์ตกลงมานอนจะแคงแช่น้ำอยู่กว่าครึ่งตัว
พี่ชายที่เข้าไปถึงบ้านก่อน
(ตอนนั้นน้ำเพิ่งจะลดลงได้เล็กน้อย
หน้าบ้านยังอยู่ที่ระดับต้นขา)
ได้เก็บจอขึ้นมาจากน้ำ
มาวางตั้งไว้ในที่แห้ง
จากวันที่เก็บขึ้นมาจนถึงวันนี้ก็รวม
๓ สัปดาห์
ตอนที่เข้าไปทำความสะอาดบ้านก็ทำใจไว้แล้วว่าคงต้องโยนมันทิ้งไป
แล้วไปหาจอแบนมาใช้แทน
แต่ก็ไม่ได้โยนมันทิ้งสักที
จนกระทั่งเช้าวันนี้
นึกยังไงก็ไม่รู้
ลองเสี่ยงดวงเอามันมาลองเปิดดู
รูปที่
๑ คราบสกปรกที่เกาะอยู่บนตัวจอก่อนที่จะทำความสะอาด
ตอนแรกก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ก็เลยเอามันไปทดสอบนอกบ้าน
เลือกมุมวางจอกับตำแหน่งปลั๊กไฟให้มีกำแพงบ้านบังอยู่
(เผื่อมันจะระเบิดหรือเกิดไฟไหม้)
เนื่องจากปุ่มเปิด-ปิดมันเสียและค้างอยู่ในตำแหน่งเปิดอยู่แล้ว
ก็เลยไม่ต้องทำอะไรมาก
เพียงแค่เสี่ยงดวงลองเสียบปลั๊กดู
ปรากฏว่าเปิดจอติด
จากนั้นก็ลองเอาคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คมาต่อ
เพื่อดูว่ายังแสดงผลได้อยู่หรือเปล่า
ปรากฏว่ายังสามารถแสดงผลได้
(ตามรูปที่
๑)
แต่ในช่วงแรกภาพมีการกระพริบอยู่บ้างเป็นบางครั้ง
ก็เลยเปิดทิ้งไว้สักพัก
กะว่าถ้าวงจรไฟฟ้ามันทำงาน
ก็คงจะเกิดความร้อน
ซึ่งน่าจะทำให้ความชื้น
(ถ้ายังมีหลงเหลืออยู่)
ระเหยออกไปจนหมด
คืนนี้มานั่งพิมพ์
Memoir
ฉบับนี้ก็ใช้จอตัวนี้แหละ
ที่เขียนมาเล่าสู่กันฟังก็เพราะว่าตอนแรกก็ไม่ได้คาดหวังว่าจอ
CRT
ที่แช่น้ำขนาดนี้จะสามารถกลับมาใช้งานได้อีก