ผมเขียนเรื่องนี้ก็เพื่อให้สมาชิกของกลุ่มที่จบไปแล้วได้รู้ว่าหลังจากที่เขาจบไปแล้วเกิดอะไรขึ้นในแลปบ้าง
และเพื่อให้คนที่ยังทำงานอยู่ในแลปได้รู้ว่าก่อนหน้านี้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้าง
เพื่อจะได้รู้ว่าหลังจากวันนี้ถ้ามันมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น
ซึ่งอาจกระทบกับการทำงานของพวกคุณ
คำอธิบายที่พวกคุณกำลังจะได้ยินนั้นอาจเป็นเพียงข้ออ้าง
(เนื่องจากเหตุการณ์อุทกภัยมันเอื้ออำนวย)
หรือเป็นเหตุผลเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น
และที่สำคัญคือสำหรับคนที่จบไปแล้วหรือคนที่กำลังจะจบ
เผื่อในอนาคตได้มีโอกาสจะได้ทำวิจัยร่วมกับอาจารย์ในมหาวิทยาลัย
จะได้รู้ว่าต้องเตรียมรับมือกับอะไรบ้าง
ตอนที่ผมไปสอบสัมภาษณ์เพื่อเลื่อนระดับใบประกอบวิชาชีพ
กรรมการสอบสัมภาษณ์ท่านถามผมว่าถ้าทางมหาวิทยาลัยจะทำวิจัยร่วมกับอุตสาหกรรมนั้น
ทางมหาวิทยาลัยต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง
คำตอบที่ผมให้ไปก็คือทางมหาวิทยาลัยต้องพร้อมที่จะให้ทำการ
"ตรวจสอบ"
การเขียนบทความลงตีพิมพ์นั้นเขาพิจารณากันที่
"วิธีการ"
ที่เขียนลงไปในบทความว่าได้ทำอะไรไป
และ "ผล"
ที่ได้จากการใช้วิธีการที่กล่าวอ้างนั้น
ถ้า
"ผล"
ที่ได้นั้น
"ดู"
สอดคล้องกับ
"วิธีการ"
ที่กล่าวอ้างว่าได้ใช้
และไม่มีความขัดแย้ง
ทางผู้พิจารณาก็จะไม่สามารถโต้เถียงอะไรได้
สิ่งที่เขาไม่ได้ทำการตรวจสอบคือ
"มีการทำจริง"
ตามวิธีการที่กล่าวอ้างนั้นหรือไม่
และผลที่ได้มานั้นได้มาจาก
"การทำจริง"
ตามวิธีการที่กล่าวอ้างหรือไม่
ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ว่าเรามักได้ยินได้ฟังเรื่องผลการทดลองที่
"ไม่สามารถทำซ้ำได้"
ทั้ง
ๆ ที่บทความตีพิมพ์ลงไปแล้ว
เหตุการณ์นี้รุนแรงถึงขั้นที่ว่าขนาดผู้เขียนบทความนั้นเองยังไม่ยอมที่จะแสดงให้ดูว่าผลการทดลองที่เขานำไปตีพิมพ์นั้นเขาสามารถทำซ้ำได้
เท่าที่ผ่านมานั้นสาเหตุหลักที่ผมเห็นว่าเป็นเหตุให้ผลการทดลองไม่สามารถทำซ้ำได้มีอยู่
๒ สาเหตุใหญ่คือ
(ก)
ผลการทดลองนั้นไม่ได้เกิดจากการทดลองจริง
(พูดง่าย
ๆ ก็คือมั่วผลขึ้นมาแหละ)
หรือผลการทดลองจริงเป็นอย่างหนึ่งแต่ใช้การแต่งข้อมูลให้เป็นอีกอย่างหนึ่ง
(เป็นไปตามความต้องการของอาจารย์ที่ปรึกษา)
และ
(ข)
ความไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับเครื่องมือวัดที่ใช้
ค่าที่เครื่องวัดแสดงกับค่าความเป็นจริงนั้นเป็นคนละเรื่องกัน
พอมีคนนำไปทำการทดลองซ้ำโดยใช้เครื่องมือที่ผ่านการสอบเทียบความถูกต้อง
ผลก็เลยออกมาไม่เหมือนกัน
แต่ไม่ว่าผลที่รายงานไว้ในบทความนั้นจะเป็นความจริงหรือเป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำซ้ำได้
อาจารย์เจ้าของบทความนั้นก็สามารถที่จะเอาบทความนั้นไปขอ
"ขึ้นรางวัล"
กับหน่วยงานต่าง
ๆ ได้ เพราะการจัดอันดับหรือการตบรางวัลนั้นเขาดูที่
"จำนวน"
บทความที่ตีพิมพ์
หรือดูที่ "จำนวนครั้งการกล่าวถึงโดยบุคคลอื่น"
โดยที่ไม่ได้ดูว่าการอ้างอิงนั้นเป็นการวิจารณ์ในทางบวกหรือในทางลบ
ผมเห็นอาจารย์หลายท่านมีผลงานที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้งานได้จริง
แต่ท่านเหล่านั้นก็ไม่ได้รับรางวัลหรือการเลื่อนตำแหน่งซึ่งอาศัยจำนวนบทความเป็นหลัก
ทั้งนี้เป็นเพราะการตรวจสอบความถูกต้องของผลการทดลองนั้นมันใช้เวลา
และการทำงานซ้ำ ๆ หลายต่อหลายครั้ง
ซึ่งสำหรับคนที่ทำเช่นนี้แล้วจะไม่มีเวลาไปเขียนบทความจำนวนมากในเวลาอันสั้น
เวลาที่ทางบริษัทมาทำวิจัยร่วมกับอาจารย์มหาวิทยาลัย
ทางบริษัทก็มักจะเกรงใจอาจารย์
อาจเนื่องจากเคยเป็นลูกศิษย์หรือเห็นว่าคนเป็นอาจารย์นั้นเรียนมาวุฒิสูงกว่า
หรือเป็นผู้ได้รับรางวัลจากหลายหน่วยงาน
(ซึ่งไม่ใช่หน่วยงานที่รู้เรื่องดีในสาขาวิชานั้นโดยตรง
เพียงแต่ให้รางวัลโดยดูจากจำนวนบทความ)
ก็เลยไม่ค่อยพูดจาอะไรออกมา
หรือไม่ก็ไม่พูดออกมาตรง
ๆ พอเจออาจารย์แบบซื่อบื้อหรือแกล้งทำเป็นซื่อบื้อเข้า
(ประเภทบอกว่าก็ไม่เห็นเขาพูดอะไรนี่
หรือไม่ก็ตีความคำพูดตามตัวอักษร
ไม่ได้พิจารณาจากน้ำเสียงหรือกิริยาผู้พูดหรือหัวข้อการสนทนาในขณะนั้น)
การทำวิจัยร่วมกันก็เลยมีปัญหา
ดังนั้นจึงไม่แปลกที่มักจะได้ยินเสียงบ่นหรือเสียงด่าลับหลังจากทางบริษัท
ซึ่งอาจจะผ่านทางนิสิตที่ทำวิจัยอยู่หรือกับอาจารย์อื่นที่ไม่ได้ทำวิจัยร่วมด้วย
เพราะถ้าเขาพูดอย่างนั้นในที่ประชุมก็แสดงว่าพวกเขาคงจะเหลืออดแล้วจริง
ๆ หรือไม่ก็เขาคงคิดแล้วว่าจบโครงการนี้แล้วก็เลิกคบกันดีกว่า
จากการที่เป็นผู้ที่อยู่วงนอกมาตลอดก็จะขอเล่าเรื่องที่ได้เห็นและ/หรือได้ฟังมาจากหลาย
ๆ ที่ให้พวกคุณฟังก็แล้วกัน
ส่วนที่ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริงผมไม่ขอตอบ
และเป็นงานของใครกับบริษัทไหนก็ไม่ขอตอบเช่นเดียวกัน
ขอให้ผู้อ่านแต่ละท่านใช้วิจารณาญาณของท่านในการอ่านเอาเองก็แล้วกัน
(ผมมีงานวิจัยทำร่วมกับบริษัทเพียงงานเดียว
และคนที่ทำงานอยู่ด้วยก็คงจะรู้นะว่าผมย้ำเรื่องการที่ต้องให้ทางบริษัทสามารถตรวจสอบการทำงานและความถูกต้องของผลการทดลองนั้นมากเพียงใด
และวิธีการทดลองแต่ละขั้นตอนนั้นจะต้องสามารถอธิบายได้ด้วยว่าทำไปจึงทำอย่างนั้น
แม้แต่ข้อมูลดิบที่ได้จากการวิเคราะห์ต่าง
ๆ ก็ต้องเก็บเอาไว้ให้ตรวจสอบย้อนหลังด้วย)
เรื่องแรกเป็นงานวิจัยที่กับบริษัท
ก โดยทางบริษัท ก
นั้นส่งพนักงานมาร่วมทำวิจัย
๒ คนและให้ทุนนิสิตในการทำวิจัยด้วย
ตัวพนักงานที่ส่งมานั้นคนหนึ่งเป็นคนที่จบปริญญาเอกจากจากอาจารย์ที่ร่วมทำวิจัย
ผลออกมาคือเมื่อสิ้นสุดโครงการทางบริษัทก็เก็บข้าวของต่าง
ๆ กลับไปหมดทันที
(ทิ้งตู้ควันไว้ให้ดูต่างหน้า
๑ ตู้ซึ่งเขาไม่สามารถถอดออกและขนไปได้)
และเท่าที่ทราบจนวันนี้ก็ไม่มีการติดต่อใด
ๆ กับทางบริษัทนั้นอีก
เท่าที่ได้ยินมาดูเหมือนว่าแนวทางการทำวิจัยนั้นไม่เป็นไปตามที่เคยมีการตกลงกันไว้เมื่อเริ่มวิจัย
กล่าวคือทางบริษัทนั้นต้องการเน้นไปที่การนำผลไปประยุกต์ใช้งานได้จริง
(ทำซ้ำได้)
แต่ทางอาจารย์ต้องการผลไปตีพิมพ์บทความ
(ผลที่ออกมาดูดี
แต่จะมายังไงหรือถูกต้องแค่ไหนก็ไม่สน)
เรื่องที่สองเป็นงานวิจัยที่ทำกับบริษัท
ข งานนี้คนที่ทางบริษัท ข
ส่งมาคนหนึ่งเป็นผู้ที่เรียนจบปริญญาโทกับอาจารย์ที่ร่วมทำวิจัยด้วย
บังเอิญคนที่ทางบริษัทส่งมานั้นแม้จะจบแค่ระดับปริญญาโท
แต่ความรู้พื้นฐานในเรื่องที่ทำนั้นแน่นกว่าผู้ที่เคยเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาและมีตำแหน่งวิชาการที่สูงด้วย
ซึ่งอาจารย์ดังกล่าวสนแต่ผลการทดลองที่ดูดีเอาไปตีพิมพ์บทความโดยไม่สนใจว่ามันถูกต้องหรือไม่
ในขณะที่ทางบริษัทต้องการผลการทดลองที่ถูกต้องและทำซ้ำได้
ผลออกมาก็คืออาจารย์โดนศิษย์เก่า
"จัดหนัก"
เรื่องผลการทดลองที่ทางอาจารย์ให้นิสิตนำเสนอ
งานนี้ดูเหมือนว่าพอสิ้นสุดโครงการแล้วทาง
"อาจารย์"
ไม่กล้าที่จะขอทำวิจัยร่วมกับทีมนี้อีก
เรื่องที่สามเป็นงานร่วมกับทางบริษัท
ค
ซึ่งมีการฝากฝังลูกศิษย์ที่จบปริญญาเอกและมีบทความตีพิมพ์ตั้งมากมายก่อนจบให้ไปทำงานด้วย
(มากชนิดที่เรียกว่าคนที่อยู่ในแลปในขณะที่คน
ๆ นั้นเรียนหนังสืออยู่ถามกันว่ามันมาทำแลปตอนไหน
เพราะไม่ค่อยมีใครเห็นมันมาที่แลป)
โดยอ้างว่างานที่จะทำวิจัยร่วมกับบริษัทเกี่ยวข้องกับงานที่ลูกศิษย์คนนั้นทำ
แต่พอเอาเข้าจริงปรากฏว่าผลการทดลองนั้นไม่มีใครสามารถทำซ้ำได้
แม้แต่เจ้าของผลการทดลองที่นำไปตีพิมพ์เองก็ไม่ยอมทำซ้ำ
(ดูเหมือนว่าจะมีแค่แฟนของเขาเพียงคนเดียวซึ่งเรียนตามหลังมาทำซ้ำได้)
ในระหว่างการประชุมร่วมระหว่างบริษัท
ค กับกลุ่มอาจารย์ที่ทำวิจัยร่วมนั้น
(ซึ่งต่างเป็นผู้ได้รับรางวัลนักวิจัยจากสถาบันต่าง
ๆ กันทุกคน)
ผมไม่ทราบหรอกว่าเขาคุยเรื่องอะไรกัน
ทราบแต่ว่าหลังเสร็จสิ้นการประชุม
ทางเจ้าหน้าที่ของบริษัท
(ที่ไม่ได้เรียนหนังสือกับอาจารย์ที่ทำวิจัยด้วย
หรือจบมาจากสถาบันที่อาจารย์ผู้ทำวิจัยไม่ได้สอน)
บ่นให้กับนิสิตที่มาทำวิจัยด้วยว่า
อาจารย์เหล่านั้น
"ไม่มีความรู้พื้นฐานในเรื่องที่ตนเองทำวิจัยเลย
ถามอะไรก็ตอบไม่ได้"
ผมเดาว่าเขาคงเจอแต่คำตอบว่า
"ไปค้น
paper
มา"
กล่าวคือพอถามอะไรแล้วอาจารย์ตอบไม่ได้
อาจารย์ก็โยนให้นิสิตที่ทำวิจัยนั้นไปค้นหาว่าเคยมี
paper
อธิบายไว้ว่าอย่างไร
จะได้นำมาเล่าให้ทางบริษัทฟังต่อ
แต่สิ่งที่ทางบริษัทต้องการนั้นไม่ใช่
"คนอื่นเขาบอกว่ามันเป็นอย่างนี้"
แต่เขาต้องการคำอธิบายที่
"อิงได้จากทฤษฎีต่าง
ๆ ในตำราเรียนที่ใช้กันอยู่"
ละครเรื่องนี้ยังไม่จบ
ยังมีให้ดูต่ออีก แต่เดาว่าคงจะไม่
happy
ending แน่
เพราะถึงแม้ตัวหัวหน้าทีมของทางบริษัทนั้นจะจบปริญญาเอกจากอาจารย์ที่ทำวิจัยด้วย
(จบไปกว่า
๑๐ ปีแล้ว)
แต่เขาก็แยกแยะออกระหว่างหน้าที่การงานและความสัมพันธ์ส่วนตัว
เรื่องที่สี่เป็นงานวิจัยร่วมกับบริษัท
ง ที่เป็นบริษัทในเครือเดียวกันกับบริษัท
ค โดยเป็นงานวิจัย "ในทำนองเดียว"
กันกับเรื่องที่สอง
(บริษัท
ข เป็นบริษัทที่เป็นคู่แข่ง)
แต่อาจารย์ผู้รับงานนั้นเป็นคน
"กลุ่มเดียวกัน"
อาจารย์ที่ทำวิจัยนั้นมีนิสิตที่จบปริญญาเอกไปทำงานที่บริษัทนี้สองคน
คนหนึ่งนั้นจบมาทางด้านงานวิจัยที่ทำนี้โดยตรง
ในตอนแรกนั้นดูเหมือนทางบริษัทจะส่งคนที่จบมาทางด้านนี้โดยตรงให้ไปทำงานด้วย
แต่มีการขอเปลี่ยนตัวเป็นให้ส่งคนที่จบเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลยให้มาทำวิจัยร่วมแทน
(ด้วยเหตุผลที่ผมว่ามันประหลาด
ๆ อยู่)
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่ากลัวโดน
"จัดหนัก"
เหมือนกับตอนที่ทำงานร่วมกับทางบริษัท
ข หรือเปล่า
บังเอิญทางบริษัทก็เกรงใจก็เลยยอมเปลี่ยนตัวให้
ทั้ง ๆ ที่เขาคนนั้นไม่ต้องการมาทำงานนี้เลย
(ผมคิดว่าเขาคงคิดว่าจบแล้วจะได้ไปพ้น
ๆ สักทีแต่ยังต้องกลับมาเจอหน้ากันอีก)
ซึ่งเท่าที่ได้ยินมานั้นคนที่ถูกเปลี่ยนให้มาทำหน้าที่แทนนั้นเขาก็ไม่สบายใจ
เพราะไปเรียกให้เขามาทำในเรื่องที่เขาไม่ถนัด
ทั้ง ๆ ที่ทางบริษัทก็มีคนที่เชี่ยวชาญในเรื่องนี้มากกว่าเขา
และเตรียมพร้อมที่จะทำงานนี้ด้วย
แต่ต้องถูกเขี่ยออกไป
ในเรื่องที่สี่นี้ยังมีการฝากฝังนิสิตจบใหม่ที่จบมาทางด้านนี้โดยตรงให้ไปทำงานเป็นลูกจ้างชั่วคราวกับหัวหน้าที่เจ้าหน้าที่บริษัทที่ต้องมาทำงานในเรื่องที่ตนเองไม่ถนัด
(ที่คนจบใหม่เป็นได้แค่ลูกจ้างชั่วคราวก็เพราะทางบริษัทเขาดูผลการเรียนระดับปริญญาตรีเป็นหลัก
ถ้าเกรดไม่ถึงขั้นต่ำของเขาเขาก็จะไม่รับบรรจุเป็นพนักงานประจำ)
ก็เลยมีเหตุการณ์ลูกจ้างชั่วคราวพยายามจะ
"เหยียบหัว"
หัวหน้า
(ที่บังเอิญไม่ได้จบมาโดยตรงทางด้านนี้)
กลางที่ประชุม
พอผมได้ยินว่ามีการฝากฝังใครให้ไปเป็นลูกจ้างชั่วคราว
ก็ได้แต่นึกอยู่ในใจว่าคนฝากฝังไม่รู้นิสัยคนที่ตัวเองไปฝากฝังเลยหรือไง
ส่งคนอย่างนี้ไปมันไม่เพียงแต่จะเสียชื่อคนฝากฝัง
แต่มันจะทำความเสียหายให้กับทางบริษัทด้วย
(ถ้าบริษัทเขาเป็นคนเลือกของเขาเองบริษัทเขาก็รับผิดชอบเอง
แต่นี่เป็นการเข้าไปได้แบบมีการฝากฝัง
คนฝากฝังก็ควรหลีกไม่พ้นที่ต้องมีส่วนรับผิดชอบด้วย)
และที่สำคัญคือคนฝากฝังเองก็ไม่ได้ฝากฝังคนที่มีพฤติกรรมอย่างนี้เพียงรายเดียว
ก่อนหน้านี้ก็มีมาแล้วด้วย
เท่านั้นยังไม่พอ
บังเอิญผมได้เห็นอีเมล์
(จากความผิดพลาดที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นของผู้รับอีเมล์)
ว่ามีการนำเอาตัวอย่างจากบริษัท
ข ไปให้ทางบริษัท ง (ที่เป็นคู่แข่ง)
ทำการวิเคราะห์
ทั้ง ๆ
ที่อาจารย์ท่านนั้นพยายามย้ำถึงการต้องรักษาความลับของทางบริษัท
ถึงขั้นจะให้นิสิตและอาจารย์ทุกคนในแลป
(แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีการยุ่งเกี่ยวอะไรกับงานวิจัยนั้นเลย)
ต้องมาลงชื่อในสัญญารักษาความลับกับบริษัท
(ที่ผมเห็นเงื่อนไขแล้วต้องบอกว่าเป็นสัญญาทาสตลอดชีวิต)
แต่ตัวหัวหน้าทีมเองกลับทำซะเอง
ซึ่งตอนที่มีคนนำเรื่องสัญญาการลงนามในสัญญารักษาความลับกลับทางบริษัทมาคุยกับผมนั้น
ผมก็บอกกับเขาไปว่าถ้าหากผมไปทำงานที่บริษัท
มันก็ไม่แปลกที่บริษัทจะให้ผมลงนามในสัญญารักษาความลับ
แต่ถ้าทางบริษัทมาทำงานในสถานที่ของผม
คนของทางบริษัทต่างหากที่ต้องมาลงนามในสัญญารักษาความลับกับผม
ว่าจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือนำเอาข้อมูลใด
ๆ ในหน่วยงานของผมที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยของบริษัทไปใช้
ไม่ใช่ให้ผมเป็นคนไปลงนามกับทางบริษัท
ก่อนหน้านี้เคยมีทีมอาจารย์ทีมหนึ่งเคยชวนผมเข้าร่วมทำวิจัยกับบริษัทหนึ่ง
สิ่งแรกที่ผมขอก่อนเริ่มการทำวิจัยคือรายละเอียดของสัญญารักษาความลับและแบ่งผลประโยชน์จากงานวิจัยที่ได้
ซึ่งก็ยังไม่มีการพูดคุยกันสักที
ผมเลยตัดสินใจถอนตัวไม่เข้าร่วม
ถัดมาไม่นานทราบว่าทางกลุ่มอาจารย์ผู้วิจัยได้ให้ทางบริษัทเป็นคนร่างสัญญาและส่งมาให้ตรวจสอบ
ร่างสัญญานั้นส่งมาเป็นภาษา
"อังกฤษ"
ทั้ง
ๆ ที่ทั้งสองฝ่ายต่างพูดภาษาไทย
ผมก็บอกกับผู้ที่ยังคงร่วมทำวิจัยว่าต่อให้สัญญาเขียนมาเป็นภาษาไทย
เราก็สู้เขาไม่ได้อยู่แล้ว
เพราะเราไม่ได้จบทางกฎหมาย
นี่เล่นเขียนมาเป็นภาษาอังกฤษก็ยิ่งไม่เข้าทางบริษัทอีกเหรอ
อาจารย์ที่ยังร่วมงานวิจัยอยู่ก็บอกว่าได้ทักท้วงไปแล้ว
แต่ทางโน้นเขาบอกว่าเขาทำเอกสารเป็นภาษาอังกฤษเป็นประจำ
ผมก็เลยบอกไปว่าถ้าเป็นผมนะ
ผมจะบอกให้ทางบริษัทส่งมาให้ใหม่เป็นภาษาไทย
ถ้าเจ้าหน้าที่ของเขาทำไม่ได้ก็ควรจะไล่ออกไปซะ
ผมยังได้ให้คำแนะนำเพิ่มเติมไปว่าที่ถูกต้องแล้วควรต้องให้ทางฝ่ายนิติกรของมหาวิทยาลัยเป็นผู้เจรจาเรื่องสัญญานี้
ไม่ใช่ยกให้ทางบริษัทเป็นผู้ทำเพียงฝ่ายเดียว
เพราะแน่นอนว่าสัญญาที่ร่างเพียงฝ่ายใดฝ่ายหนื่งนั้นย่อมจะต้องเอาผลประโยชน์ของผู้ที่ร่างเป็นหลัก
อีกฝ่ายหนึ่งถ้าไม่ทันเกมส์ก็มีหวังเสียเปรียบแย่
เรื่องที่ห้าเป็นงานทำวิจัยร่วมกับบริษัท
ข แต่เป็นคนละทีมงานและคนละเรื่องกับเรื่องที่สอง
งานนี้มีการส่งผลการทดลองที่ผมตรวจสอบแล้วต้องบอกว่าควรจะ
"เอาไปเผาไฟทิ้ง"
จะดีที่สุด
เพราะจะได้ไม่หลงเหลือซากให้ใครเห็นอีกต่อไป
เรียกว่าทุกขั้นตอนที่ทำการทดลองนั้นมีความผิดพลาด
ไม่ว่าจะเป็นตัวอุปกรณ์เองที่บกพร่อง
(มีการรั่วไหล)
อุปกรณ์วัดที่ไม่มีการสอบเทียบ
(นำอุปกรณ์วัดสำหรับสารตัวหนึ่งไปใช้กับสารอีกตัวหนึ่ง
แถมยังทำงานที่ภาวะการทำงานที่แตกต่างกันมากด้วย
ซึ่งความถูกต้องของอุปกรณ์วัดนั้นค่อนข้างจะว่องไวต่อการเปลี่ยนแปลงภาวะการทำงานซะด้วย)
เท่านั้นยังไม่พอ
ยังมีการให้คำอธิบายที่เป็น
"ไสยศาสตร์"
ในระหว่างการประชุมด้วย
ชนิดที่ทำเอาเจ้าหน้าที่บริษัทที่นั่งฟังอยู่ด้วยถึงกับอึ้งเลย
เพราะคงนึกไม่ถึงว่าคนที่ได้รับรางวัลต่าง
ๆ มากมาย (จากการมีบทความมากมาย)
จากหน่วยงานต่าง
ๆ
จะให้เหตุผลชนิดที่เรียกว่าคนจบเพียงแค่ปริญญาตรีก็ถึงกับงงได้ว่าพูดออกมาได้อย่างไร
และยังมีรายการที่เรียกว่าพยายามนัดให้
ทางบริษัทมาประชุมเพื่อรับฟังความก้าวหน้าให้บ่อยครั้ง
แต่มาครั้งใดกลายเป็นว่าทางอาจารย์ให้นิสิตไปทำแลปโดยที่ผลแลปทางอาจารย์ยังไม่ได้เห็นเลย
และก็ไม่รู้ว่านิสิตไปทำแลปอะไรมาบ้าง
เล่นมาซักวิธีการทำการทดลองและผลการทดลองที่ได้ต่อหน้าเจ้าหน้าที่บริษัทเลย
ด่านิสิตให้ดูต่อหน้าเจ้าหน้าที่บริษัทอีก
คำอธิบายใด ๆ
ก็ไม่มีมีแต่บอกว่าให้นิสิตไปหาคำอธิบายมาว่าทำไมจึงได้ผลแลปอย่างนั้น
รายละเอียดต่าง ๆ
ในการทำงานก็ไม่มีการบอกให้ทราบ
ชนิดที่ทางเจ้าหน้าที่บริษัทต้องย้ำว่าทางพวกเขาไม่ได้อยู่เฝ้านิสิตเวลาทำแลปนะ
เขาไม่รู้หรอกว่าทำอะไรกันลงไป
ผลที่กำลังนำเสนออยู่นี้มันเกี่ยวกับเรื่องอะไร
เรื่องนี้ผมเคยถามกับทางบริษัทว่าโดยปรกติแล้วทางบริษัทอยากให้ใครเป็นคนนำเสนอความก้าวหน้า
เจ้าหน้าที่ทางบริษัทก็ตอบมาเลี่ยง
ๆ ว่าโดยปรกติเวลาที่ทำกับมหาวิทยาลัยอื่น
ทาง "อาจารย์"
จะเป็นผู้นำเสนอผลงานเอง
โดยมีนิสิตที่เป็นผู้ช่วยทำวิจัยนั้นเป็นผู้ช่วยเหลือในการนำเสนอและจัดเตรียมเอกสารต่าง
ๆ
ผมมีโอกาสได้ทำงานวิจัยร่วมกับบริษัทแห่งหนึ่ง
ก่อนที่จะปิดโครงการผมถามเขาว่าในการนำเสนอเพื่อปิดโครงการนั้นอาจจะให้ผมเป็นผู้นำเสนอหรือให้นิสิตที่เป็นผู้ช่วยทำวิจัยนั้นเป็นผู้นำเสนอ
เพราะที่ผ่านมานั้นในระหว่างการนำเสนอรายงานความก้าวหน้าผมจะเป็นคนนำเสนอเองโดยตลอด
เพราะถือว่าเป็นหน้าที่เพราะผมเป็นผู้ที่รับค่าจ้างจากทางบริษัทโดยตรง
นิสิตที่ทำวิจัยนั้นเป็นเพียงแค่ลูกมือที่ผมนำเอาเงินที่ได้รับจากทางบริษัทไปจ้างต่อเท่านั้น
แต่ที่ถามเรื่องนี้ก็เพราะว่าเผื่อว่าทางบริษัทอยากจะทดสอบความสามารถของนิสิตที่เป็นผู้ช่วยวิจัยของผม
เผื่อในอนาคตเขาจะไปสมัครงานกับทางบริษัท
แต่ยังไงก็ตามผมต้องรับผิดชอบผลการทดลองและคำอธิบายผลการทดลองทั้งหมดอยู่แล้ว
ส่วนตัวนิสิตนั้นผมเองก็ได้ถามเขาก่อนแล้วว่าอยากจะลองนำเสนอไหม
ไม่ได้เป็นการบังคับแต่จะเปิดโอกาสให้
เพราะถ้านำเสนอได้ดี
เวลาไปสมัครงานที่บริษัทนั้นก็จะมีโอกาสมากกว่าคนอื่น
แต่ถ้านำเสนอได้ไม่ดีก็จะติดลบ
แต่ถึงอย่างไรก็ตามผมเองต้องเป็นคนรับผิดชอบผลการทดลองและคำอธิบายต่าง
ๆ อยู่แล้ว
ผมได้มีโอกาสคุยกับนิสิตปริญญาเอกคนหนึ่งหลังการสอบปกป้องวิทยานิพนธ์ของเขาเสร็จไปไม่กี่ชั่วโมง
เขามาเล่าให้ฟังเรื่องผลงานวิจัยของเขาที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ที่ได้นั้นเกิดสีที่ไม่เป็นที่ต้องการ
(คือเขาต้องการให้มันเป็นสีขาวหรือไม่มีสี
แต่นี่มันกลายเป็นสีอื่น)
ผมก็บอกเขาไปว่าดูจากสารตั้งต้นและภาวะการทำปฏิกิริยาของเขาแล้ว
คงยากที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดปฏิกิริยาข้างเคียงที่ทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ข้างเคียงที่ทำให้ผลิตภัณฑ์หลักที่ต้องการนั้นมีสี
(ที่เกิดจากสีของผลิตภัณฑ์ข้างเคียงผสมปนอยู่)
ส่วนที่ว่าเกิดสีได้อย่างไรนั้นมันก็มีอธิบายอยู่แล้วในตำราเคมีอินทรีย์เรื่อง
......
พอผมอธิบายเขาเสร็จเขาก็บอกว่าผมตอบเหมือนกับอาจารย์ต่างประเทศที่เขามาร่วมสอบเลย
(เขามาในฐานะอาจารย์ที่ปรึกษาร่วม)
กล่าวคือตอนแรกเขาไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมมันมีสี
อาจารย์ที่ปรึกษาของเขาเองก็บอกว่าให้ไปค้น
paper
มาตอบ
แต่อาจารย์ต่างประเทศผู้นั้นกลับตอบให้แทนโดยใช้ความรู้ต่าง
ๆ ที่มีเขียนอยู่ในหนังสือเคมีอินทรีย์อยู่แล้ว
หลังการถามตอบเสร็จสิ้น
ทางอาจารย์ที่ปรึกษาจะให้นิสิตผู้นั้นทำการทดลองเพิ่มเติมอีก
ทางอาจารย์ต่างประเทศก็เลยถามนิสิตผู้นั้นขึ้นมาลอย
ๆ ว่า "ผมเข้าใจถูกหรือเปล่าว่าคุณทำเพียงแค่
1
PhD ไม่ได้ทำ
3
PhD" การสั่งงานเพิ่มเติมในห้องสอบก็เลยไม่เกิดขึ้น
แต่กลับปรากฏว่าอาจารย์ที่ปรึกษาไม่ยอมลงชื่อในเอกสารการสอบว่าสอบเสร็จสิ้นแล้ว
ไปบังคับให้นิสิตเขียนคำร้องว่าวิทยานิพนธ์ยังไม่สมบูรณ์
ขอส่งเล่มล่าช้า
ซึ่งผมเห็นว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดผลการสอบที่กรรมการท่านอื่นได้ตัดสินไปแล้ว
ว่าพึงพอใจกับงานวิจัยนั้นที่นำเสนอในวันสอบและไม่ต้องมีการแก้ไขอะไรอีกแล้ว
และในภาคการศึกษาดังกล่าวก็มีนิสิตของอาจารย์ท่านนั้นทำเรื่องทำนองนี้เข้ามาหลายราย
จนกรรมการพิจารณาคำร้องตั้งข้อสงสัยในพฤติกรรมของอาจารย์คนดังกล่าว
ว่าจงใจเก็บนิสิตไว้ทำผลงานเพื่อตัวเองหรือเปล่า
โดยแกล้งดึงเรื่องให้นิสิตจบช้าเพื่อให้นิสิตทำงานเพิ่มตามที่ตนเองต้องการ
โดยไม่สนใจว่ามติผลการสอบนั้นเป็นอย่างไร
สำหรับผู้ที่คิดจะเรียนต่อปริญญาโทหรือปริญญาเอก
ถ้าจะเรียนกับอาจารย์ท่านใด
ก็สืบพฤติกรรมย้อนหลังดูกันเอาเองก็แล้วกัน
จะได้ไม่ต้องมาบ่นว่าถูกหลอกให้เข้ามารับทุน
แต่ถ้าชอบอย่างนั้นก็แล้วไป