ไม่ตั้งใจจะเขียนเรื่องนี้ในวันนี้
แต่หลังจากสอบตั้งแต่เช้าจนบ่ายสามคนรวดกว่า
๕ ชั่วโมง ก็เลยคิดว่าไม่เขียนไม่ได้
ในการสอบโครงร่างนั้นผมจะพิจารณาว่าหัวข้อที่จะทำวิจัยนั้นมีความหมาะสมหรือไม่
และผู้ทำวิจัยนั้นมีความชัดเจนในเรื่องที่ตัวเองจะกระทำมากเพียงใด
คำถามต่าง ๆ
ที่ถามไปนั้นเป็นเรื่องปรกติที่จะเป็นการตรวจสอบว่าผู้ทำวิจัยได้พิจารณาครอบคลุมประเด็นต่าง
ๆ อย่างกว้างขวางและมีความรู้พื้นฐานในเรื่องที่ตัวเองจะทำดีเท่าใด
ผมว่าคนที่โดนกรรมการถามหนัก
ๆ ตอนสอบโครงร่างนั้นเป็นผู้โชคดีมาก
เพราะถ้าเขาตอบไม่ได้เขาก็มีเวลาไปเตรียมตัวเพื่อตอบคำถามดังกล่าวตอนสอบวิทยานิพนธ์
แต่บ่อยครั้งที่ผมพบว่าสิ่งที่กรรมการได้เตือนไปตอนสอบโครงร่างนั้นมักจะถูกละเลย
จะด้วยเหตุผลใดก็ตามแต่
สุดท้ายก็ต้องมาเชือดกันตอนสอบวิทยานิพนธ์
๑.
๒๐
ปีที่แล้วทำได้ดีกว่านี้
ปฏิกิริยาที่เขานำเสนอคือการออกซิไดซ์
o-xylene
ไปเป็น
phthalic
anhydride ซึ่งในโรงงานนั้นปฏิกิริยานี้จะเกิดใน
multi-tubular
fixed-bed reactor ที่มีการใช้เกลือหลอมเหลว
(molten
salt) เป็นตัวระบายความร้อน
รูปร่างเครื่องปฏิกรณ์นั้นจะเป็นเสมือน
shell
and tube heat exchanger ที่วางตั้ง
โดยมีตัวเร่งปฏิกิริยาบรรจุอยู่ในส่วน
tube
และเกลือหลอมเหลวอยู่ในส่วน
shell
รูปที่
๑ การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิใน
fixed-bed
reactor ที่ใช้ผลิต
phthalic
anhydride จากการออกซิไดซ์
o-xylene
เปรียบเทียบระหว่างข้อมูลจากการวัดจริงของ
reactor
ในโรงงานกับผลการทำนายด้วยแบบจำลอง
ตอนที่ผมเห็นแบบจำลองเครื่องปฏิกรณ์ที่เขานำเสนอตอนสอบโครงร่าง
(แบบจำลอง
1
มิติ
และกลไกการเกิดปฏิกิริยาแบบง่าย
ซึ่งไม่ตรงกับความจริง)
ผมก็เตือนเขาเอาไว้แล้วว่าแบบจำลองของปฏิกิริยานี้มีคนเขาทำมากันเยอะแล้ว
และพัฒนาไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
แบบจำลองที่เขานำมาเสนอนั้นมันย้อนหลังไปร่วม
๕๐ ปีที่แล้ว สมัยที่ยังใช้
analogue
computer ในการคำนวณ
ซึ่งในยุคสมัยนั้นมันเป็นสิ่งที่ยอมรับกันได้
แต่มันไม่ใช้ในยุคสมัยนี้
และเมื่อ ๒๐
ปีที่แล้วเขาก็แก้ปัญหาแบบจำลองของเครื่องปฏิกรณ์ดังกล่าวกันได้ด้วยไมโครคอมพิวเตอร์ที่ด้อยกว่าในปัจจุบันมาก
แถมยังต้องเขียนโปรแกรมไม่
FORTRAN
ก็
C
แก้ปัญหากันเอง
ไม่มีโปรแกรมสำเร็จรูปช่วยเหมือนในปัจจุบัน
รูปที่
๑ ที่นำมาแสดงเป็นงานของนิสิตปริญญาโทรหัส
๓๙ ที่มาสอบวิทยานิพนธ์ในวันที่
๘ พฤศจิกายน ๒๕๔๒ เขาเขียนโปรแกรมภาษา
C
โดยใช้ระเบียบวิธี
Finite
difference แก้ปัญหาระบบสมการ
2
มิติ
(คิดการเปลี่ยนแปลงทั้งในแนวแกนและแนวรัศมี)
โดยใช้แบบจำลองทางจลนศาสตร์ที่มีสารต่าง
ๆ เกี่ยวข้องถึง 5
ตัว
(สารตั้งต้น
สารมัธยันต์ และผลิตภัณฑ์)
แถมมีการปรับค่าความว่องไวของตัวเร่งปฏิกิริยาอีก
ซึ่งเขาก็พบว่าสามารถสร้างแบบจำลองที่สามารถประมาณการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิในเครื่องปฏิกรณ์ของจริงได้ดี
อีกเรื่องที่เป็นปัญหาและเจอเป็นประจำคือพื้นฐานเรื่อง
"จลนศาสตร์การเกิดปฏิกิริยา"
กับ
"สมดุลเคมี"
นั้นไม่ดีพอ
ทำให้เกิดความสับสนและเข้าใจผิดได้
โดยชอบเอาเรื่องสมดุลเคมีมาใช้อธิบายผลของอุณหภูมิต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี
เรื่องนี้ผมได้เคยเล่าไว้แล้วใน
memoir
ปีที่
๓ ฉบับที่ ๒๔๐ วันศุกร์ที่
๗ มกราคม ๒๕๕๔ เรื่อง "อุณหภูมิ อัตราการเกิดปฏิกิริยา สมดุลเคมี"
เรื่องนี้ได้เตือนเอาไว้ตั้งแต่ตอนสอบโครงร่างวิทยานิพนธ์แล้ว
อาจารย์ที่ปรึกษาเขาก็ได้เตือนเอาไว้แล้วถึงพฤติกรรมที่มันไม่น่าจะถูกต้องของผลการคำนวณ
แต่เขาก็ไม่เชื่อ
จนกระทั่งมาถูกต้อนเข้ามุมในห้องสอบ
๒.
เอา
Level
controller คุมอัตราการไหลของแก๊ส
รูปจาก
ASPEN
ในวิทยานิพนธ์ของเขานั้นบอกว่าผลิตภัณฑ์ไอยอดหอกลั่นประกอบด้วย
HI
H2O และ
H2
ไอดังกล่าวถูกควบแน่นในเครื่องควบแน่นตัวที่หนึ่งด้วยน้ำหล่อเย็น
ได้ผลิตภัณฑ์เป็นของเหลวทั้งหมด
(เพราะมันออกทางด้านล่าง)
ของเหลวที่ได้แบ่งเป็นสองส่วน
ส่วนหนึ่งส่งกลับเข้าหอกลั่นในฐานะ
reflux
และส่วนที่เหลือใช้
level
controller
คุมการป้อนเข้าเครื่องควบแน่นตัวที่สองเพื่อแยกออกเป็นผลิตภัณฑ์
H2
ที่เป็นแก๊สและ
H2O
ที่เป็นของเหลว
อ่านย่อหน้าบนแล้วรู้สึกว่ามันมีอะไรแปลก
ๆ ไหม
level
controller ใช้คุมระดับ
"ของเหลว"
ในการควบแน่นผลิตภัณฑ์ที่เป็นไอยอดหอกลั่นนั้นแก๊สไฮโดรเจนจะไม่ควบแน่นออกมา
จะยังคงเป็นแก๊สอยู่
ดังนั้นสิ่งที่เขาเขียนในแบบจำลองว่าเอาของเหลวจากเครื่องควบแน่นตัวที่หนึ่งไปลดอุณหภูมิอีกด้วยเครื่องควบแน่นตัวที่สองนั้น
จะเกิดการแยกออกเป็นแก๊สไฮโดรเจนและน้ำที่เป็นของเหลวจึงเป็นสิ่งที่ผิด
(แต่
ASPEN
มันดันคำนวณให้ได้)
ประเด็นตรงนี้มีกรรมการซักถามว่าแผนผังกระบวนการที่เขานำมาแสดงกับแผนผังที่ใช้ในการคำนวณจริงนั้นมันเหมือนกันหรือไม่
ก็ปรากฏว่าเขาไม่สามารถแสดงได้
เลยมีการขอให้วาดรูปให้ดู
ก็ได้แผนยังออกมาดังรูปที่
๒ ลองพิจารณาตรงสาย reflux
ดูเอาเองก็แล้วกัน
รูปที่
๒ รูปที่เขาเขียนตอบคำถามกรรมการว่า
reflux
อะไรกลับเข้าหอกลั่น
ดูตรงสายไอที่เป็นผลิตภัณฑ์ยอดหอนะว่ามันแยกออกไปทางไหนบ้าง
๓.
คล้ายไม่ได้แปลว่าเหมือนหรือใช้แทนกันได้
เรื่องนี้เจอประจำกับพวกทำ
modelling
แล้วไม่ยอมเขียนสมการขึ้นมาเองจากดุลมวลสารดุลพลังงาน
แต่ใช้การไปค้นบทความดูว่ามีใครทำอะไรที่มัน
"คล้าย"
กับที่คิดจะทำไหม
แล้วก็ลอกเอามาเลย
กว่าจะมาเป็นรูปสมการอนุพันธ์ได้นั้นมันต้องผ่านการตั้ง
control
volume แล้วทำดุลมวลสาร
ดุลพลังงาน เติมข้อสมมุติเท่าที่จำเป็น
และควรมีเหตุผลรองรับด้วยว่าการเติมข้อสมมุติแต่ละข้อนั้นทำไปด้วยเหตุผลใด
ดังนั้นการที่จะตอบว่าทำไมถึงเลือกสมการหน้าตาอย่างนี้มาใช้
มันต้องแสดงให้เห็นว่าที่มาที่ไปและเหตุผลรองรับมันเป็นอย่างไร
ไม่ใช่ใช้การอ้างเอาว่ามีคนอื่นเขาเคยใช้สมการหน้าตาอย่างนี้
แล้วมันคล้าย ๆ กับงานที่ศึกษา
ก็เลยหยิบมาใช้เลย
โดยไม่ศึกษาว่าสมการที่หยิบมานั้นมันมีที่มาที่ไปอย่างไร
ถ้าเป็นนิสิตป.ตรี
ตอบก็ยังพอให้อภัยได้
แต่นี่เป็นนิสิตป.เอก
อีกอย่างที่เจอประจำเวลาที่สอบนิสิตกลุ่มนี้ก็คือ
เขาจะพูดแต่ระบบควบคุมที่เขาออกแบบ
โดยไม่ศึกษาว่าระบบที่เขาจะควบคุมนั้น
"แท้จริงแล้ว"
มันมีที่มาที่ไปอย่างไร
มันมีปัญหาอะไรบ้าง
เป็นจริงอย่างที่เขาอ้างไหม
และเคยมีการทำการแก้ไขอะไรไปบ้าง
เพราะหลายครั้งการแก้ปัญหามันทำได้โดยไม่ต้องใช้การควบคุมที่ซับซ้อน
และการที่ไม่สามารถอธิบายให้กรรมการสอบเห็นได้ว่าได้ศึกษาระบบดังกล่าวมาเป็นอย่างดี
ทำให้กรรมการสอบเห็นว่ายังไม่เข้าใจเรื่องที่จะทำการศึกษาเลย
แล้วดันจะมาออกแบบระบบควบคุมมันอีก
วันนี้หลังการสอบ
กรรมการท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า
หลายครั้งที่บอกนิสิตในที่ปรึกษาให้ไปศึกษาอะไรบ้าง
บางครั้งถึงขนาดจัดเตรียมการไปเยี่ยมชมโรงงานเพื่อให้เห็นภาพงานที่ทำ
พอถึงเวลานิสิตบอกว่าเขาไม่ต้องการสิ่งที่อาจารย์เตรียมให้
พวกนี้พอเห็นโลงศพแล้วจึงค่อยนึกได้ว่าไม่ควรปฏิเสธความปราถนาดีตอนนั้นของอาจารย์เลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น