ในเช้าวันเสาร์ที่
๑๐ กรกฎาคม ปีค.ศ.
๑๙๗๖
(พ.ศ.
๒๕๑๙)
วาล์วระบายความดัน(๑,๒)
ของถังปฏิกรณ์
(chemical
reactor) ของโรงงาน
Icmesa
Chemical Company ที่เมือง
Seveso
ประเทศอิตาลี
เปิดออก
ทำให้ของที่อยู่ในถังปฏิกรณ์กระจายออกมาครอบคลุมส่วนหนึ่งของเมืองเกิดเป็นหมอกควันขาว
จากนั้นฝนที่ตกหนักก็ได้ชะเอาหมอกควันขาวลงสู่พื้น
เมือง
Seveso
นี้ห่างจาก
Milan
ประมาณ
๑๕ ไมล์ ในเวลานั้นมีพลเมืองราว
ๆ ๑๗,๐๐๐
คน ถังปฏิกรณ์ที่เกิดปัญหาเป็นถังปฏิกรณ์ที่ใช้สำหรับผลิต
2,4,5-tricholorophenoxyacetic
acid (ใช้ในการผลิตสารกำจัดวัชพืช
-
herbicide) ประมาณว่ามีสารรั่วไหลออกมาจากถังปฏิกรณ์ประมาณ
6
ตัน
โดยมี 2,3,7,8-tetrachlorodibenzoparadioxin(๓)
หรือ
TCDD
ซึ่งเป็นสารเคมีในกลุ่มสารประกอบ
dioxin
ปนอยู่ด้วยประมาณ
1-2
กิโลกรัม(๔)
TCDD
เป็นสารพิษที่ร้ายแรงระดับต้น
ๆ ที่มนุษย์รู้จัก
เนื้อใน
Memoir
ฉบับนี้เป็นตอนต่อเนื่องจาก
memoir
ปีที่
๖ ฉบับที่ ๖๖๓ วันเสาร์ที่
๗ กันยายน พ.ศ.
๒๕๕๖
เรื่อง "Phenol,
Ether และ
Dioxin"
เอกสารที่ใช้ในการเรียบเรียง
memoir
ฉบับนี้คือ
(1)
Lees, F.P., "Loss prevention in the process industries",
Butterworths, 1980, vol 2. เรื่องนี้อยู่ใน
Appendix
2 Seveso หน้า
883-885
(2)
Kletz, T., "Learning from accidents in dustry",
Butterworths, 1988 เรื่องนี้อยู่ใน
Chapter
9 Seveso หน้า
79-82
(3)
Wilson, D.C., "Lessons from Seveso", Chemistry in Britain,
July 1982, หน้า
499-504
ดาวน์โหลดได้ที่
http://www.davidcwilson.com/Seveso.pdf
หมายเหตุ
(๑)
ในหนังสือของ
Lees
ระบายออกทาง
"safety
valve" ส่วนหนังสือของ
Kletz
กล่าวว่าระบายออกทาง
"bursting
disc" และในเอกสาร
(3)
ก็แสดงรูปที่มีการติดตั้ง
bursting
disc ไว้เหนือถังปฏิกรณ์
ทั้งนี้อาจเป็นเพราะหนังสือของ
Lees
ฉบับดังกล่าวตีพิมพ์หลังเกิดอุบัติเหตุไม่นาน
ผู้เขียนเองกล่าวไว้ว่าตอนที่เขียนเรื่องเหตุการณ์นี้ยังไม่มีรายงานการสอบสวนที่เป็นทางการพิมพ์เผยแพร่
อาศัยข้อมูลที่ได้มาจาก
"technical
literature" และรายงานข่าว
ซึ่งในบางกรณีไม่สามารถตรวจสอบความถูกต้องได้
แต่ถ้าเป็นฉบับพิมพ์ครั้งล่าสุดจะมีข้อมูลที่สมบูรณ์กว่ามาก
(๒)
safety valve นั้น
เมื่อความดันลดลงก็วาล์วก็จะปิด
การรั่วไหลก็จะหยุด แต่
bursting
disc นั้นจะไม่สามารถปิดได้
bursting
disc นั้นจะใช้สำหรับการระบายความดันที่มีการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
(เช่นการระเบิด)
ซึ่งในกรณีเช่นนี้
safety
valve จะไม่สามารถระบายความดันได้ทันเวลา
(๓)
หนังสือของ
Less
ใช้ชื่อ
"2,3,7,8-tetrachlorodibenzoparadioxin"
ส่วนหนังสือของ
Kletz
ใช้ชื่อ
"2,3,7,8-tetrachlorodibenzodioxin"
(๔)
ในหนังสือของ
Lees
ประมาณตัวเลขปริมาณ
dioxin
ที่รั่วไหลออกมาที่
2
kg ส่วนหนังสือของ
Kletz
ให้ตัวเลข
1
kg
โรงงานดังกล่าวทำการผลิต
2,4,5-trichlorophenol
จากปฏิกิริยาระหว่าง
1,2,4,5-tetrachlorobenzene
และNaOH
ในภาวะที่มี
ethylene
glycol และ
xylene
ร่วมด้วย
เครื่องปฏิกรณ์ที่ใช้เป็นถังปั่นกวนชนิด
batch
แผนผังของระบบแสดงไว้ในรูปที่
๑
ในกระบวนการผลิตนั้นจะบรรจุสารตั้งต้นเข้าไปในถังปฏิกรณ์
และให้ความร้อนจนมีอุณหภูมิ
150ºC
จนพบว่าไม่มีน้ำเกิดขึ้น
จากนั้นจึงค่อย ๆ
เพิ่มอุณหภูมิให้สูงขึ้นอย่างช้า
ๆ จนถึง 170ºC
เพื่อกำจัด
xylene
จากนั้นจึงกำจัด
ethylene
glycol ด้วยการใช้สุญญากาศ
ต่อมาในปีค.ศ.
๑๙๗๑
(พ.ศ.
๒๕๑๔)
ก็มีการปรับเปลี่ยนวิธีการใหม่จากการกำจัดตัวทำละลายทั้งหมดเป็นการกำจัดออกเพียง
50%
ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการสลายตัวของ
sodium
2-hydroxyethoxide (เกิดจากปฏิกิริยาระหว่าง
NaOH
กับ
ethylene
glycol) ดังสมการ
ปฏิกิริยาการเกิด NaOH
+ HO-CH2-CH2-OH →
NaO-CH2-CH2-OH
ปฏิกิริยาการสลายตัว NaO-CH2-CH2-OH
→
NaO2C-CH2-OH + H2 + ความร้อน
รูปที่
๑ แผนผังถังปฏิกรณ์ที่เกิดปัญหา
(จาก
ref.
3) TCB คือ
trichlorophenol
ปฏิกิริยาการสลายตัวที่เป็นปฏิกิริยาคายความร้อนนั้นประมาณว่าจะเริ่มเกิดที่อุณหภูมิ
230ºC
และถ้าปล่อยให้สูงถึง
410ºC
ก็จะไม่สามารถควบคุมได้
ตัวถังปฏิกรณ์นั้นติดตั้ง
bursting
disc โดยกำหนดให้แตกออกที่
3.8
atm 230ºC
นี้ก็เป็นอุณหภูมิที่ทำให้
2,4,5-trichlorophenol
สองโมเลกุลเริ่มรวมกันเป็น
TCDD
ได้เช่นเดียวกัน
หลังจากการกำจัด
ethylene
glycol แล้วก็จะทำการหยุดปฏิกิริยาด้วยการเติมน้ำเย็นในปริมาณมาก
เพื่อลดอุณหภูมิสารผสมในระบบให้เหลือประมาณ
50ºC
ซึ่งที่อุณหภูมินี้จะสามารถปล่อยให้สารอยู่ในถังปฏิกรณ์ได้เป็นเวลานาน
ตามกฎหมายของประเทศอิตาลี
(ในเวลาที่เกิดเหตุนั้น)
กำหนดให้โรงงานต้องหยุดเดินเครื่องในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์
แม้ว่ากระบวนการผลิตจะยังค้างอยู่ก็ตาม
ในวันที่เกิดเหตุนั้นพนักงานปฏิบัติการจำเป็นต้องหยุดเดินถังปฏิกรณ์
(ตามกฎหมาย)
ในช่วงขั้นตอนการ
shut
down ระบบ
ซึ่งการหยุดเดินเครื่องในช่วงจังหวะการทำงานนี้ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ทำให้ไม่มีการระบายเอาสารที่อยู่ในถังปฏิกรณ์ออกมา
(แสดงว่าการ
shut
down ที่สมบูรณ์จะต้องกระทำจนนำเอาสารที่อยู่ในถังปฏิกรณ์
(ผลิตภัณฑ์)
ออก)
ในขณะที่ทำการหยุดเดินเครื่องนั้นเพิ่งจะกำจัดตัวทำละลายได้เพียง
15%
เท่านั้นเอง
อุณหภูมิในถังปฏิกรณ์ในขณะนั้นอยู่ที่
158ºC
ซึ่งต่ำกว่าอุณหภูมิ
230ºC
ที่เชื่อกันในขณะนั้นว่าเป็นอุณหภูมิที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาคายความร้อนที่ไม่ต้องการได้
(ต่อมาภายหลังมีการสงสัยกันว่าอุณหภูมิต่ำเพียงแค่
180ºC
ก็สามารถทำให้ปฏิกิริยาคายความร้อนที่ไม่ต้องการคือการสลายตัวของ
sodium
2-hydroxyethoxideได้)
ถังปฏิกรณ์ได้รับความร้อนผ่านทางท่อไอน้ำที่ล้อมรอบอยู่ทางผนังด้านนอก
(ดูรูปที่
๒ ข้างล่าง)
ไอน้ำนี้ได้มาจากไอน้ำด้านขาออกของกังหันไอน้ำจากหน่วยผลิตอีกหน่วยหนึ่ง
ในระหว่างช่วงวันทำงานนั้นอุณหภูมิไอน้ำที่ระบายออกมาจะมีอุณหภูมิประมาณ
190ºC
แต่ในวันที่เกิดเหตุนั้นเนื่องจากกังหันไอน้ำมีภาระงาน
(load)
ที่ลดลง
เนื่องจากโรงงานอยู่ระหว่างการหยุดเดินเครื่องในช่วงสุดสัปดาห์
ทำให้อุณหภูมิไอน้ำที่ส่งมายังถังปฏิกรณ์สูงขึ้นเป็น
300ºC
เนื้อโลหะบริเวณใต้ผิวของเหลว
(ก)
จะมีอุณหภูมิที่จุดเดือดของของเหลว
(ประมาณ
160ºC)
ในขณะที่เนื้อโลหะส่วนที่อยู่เหนือผิวของเหลว
(ข)
จะมีอุณหภูมิประมาณอุณหภูมิไอน้ำ
(ประมาณ
300ºC)
บริเวณระดับผิวบนของของเหลว
อุณหภูมิจะอยู่ระหว่าง
160-300ºC
ซึ่งมากพอที่จะทำให้เกิดปฏิกิริยาคายความร้อนที่ไม่ต้องการได้ในบริเวณนี้
คาดการณ์กันว่าปฏิกิริยาคายความร้อน
(ที่ไม่ต้องการให้เกิดนั้น)
เริ่มเกิดขึ้นบริเวณผิวบนของของเหลว
(ค)
ความร้อนที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาจึงค่อย
ๆ สะสมในระบบ ทำให้อุณหภูมิระบบสูงขึ้น
ซึ่งเป็นการเร่งให้ปฏิกิริยาเกิดเร็วขึ้นไปอีก
ดังนั้นหลังจากที่ทำการหยุดเดินเครื่องไปประมาณ
๗ ชั่วโมง rupture
disc ก็เกิดการฉีกขาด
และปล่อยให้สารที่อยู่ในถังปฏิกรณ์รั่วไหลออกสู่บรรยากาศ
การรั่วไหลของ
TCDD
ที่
Seveso
นั้นไม่ได้เป็นการรั่วไหลครั้งแรก
ก่อนหน้านี้ก็มีการรั่วไหลมาหลายครั้งแล้ว
เพียงแต่เกิดในบริเวณจำกัด
ภายในอาคาร จะมีกรณีของ
Seveso
ที่มีการรั่วไหลในปริมาณมากออกนอกอาคารและแพร่กระจายเข้าไปในแหล่งชุมชน
ใน ref.
1 ให้ตัวอย่างการรั่วไหลของ
TCDD
ที่เคยเกิดก่อนหน้า
Seveso
ไว้
๓ ตัวอย่างและมาตรการการจัดการไว้ดังนี้
ปีค.ศ.
๑๙๕๓
(พ.ศ.
๒๔๙๗)
เกิดการรั่วไหลที่บริษัท
BASF
ที่เมือง
Ludwigshafen
ประเทศเยอรมัน
ปริมาณ TCDD
ที่รั่วไหลนั้นต่ำกว่าที่เกิดที่
Seveso
มาก
มีคน ๕ คนได้รับพิษจาก TCDD
ได้มีหลายมาตรการในความพยายามที่จะกำจัด
TCDD
ที่ปนเปื้อนอยูในอาคาร
รวมทั้งการใช้สารชะล้าง
การใช้ไฟเผาพื้นผิว
การกำจัดวัสดุฉนวนความร้อน
ฯลฯ แต่ก็ไม่สามารถกำจัดได้
ท้ายสุดต้องทำลายอาคารทั้งอาคาร
ปีค.ศ.
๑๙๖๓
(พ.ศ.
๒๕๐๖)
เกิดการรั่วไหลที่บริษัท
Philips
Ltd. ที่เมือง
Duphar
ประเทศเนเธอร์แลนด์
ประมาณว่ามี TCDD
รั่วออกมาระหว่าง
0.03-0.2
kg มีเจ้าหน้าที่ประมาณ
๕๐ มีส่วนในการทำความสะอาด
ซึ่งต่อมีในบรรดาผู้ที่เข้าทำความสะอาดเสียชีวิตไป
๔ ราย และอีกจำนวนไม่น้อยมีอาการทางผิวหนังจากการได้รับผลกระทบ
อาคารดังกล่าวถูกปิดผนึกไว้เป็นเวลาสิบปีก่อนที่จะทำการรื้อ
ด้วยการรื้ออิฐทีละก้อนจากทางด้านในอาคาร
จากนั้นนำเศษทรากที่รื้อออกมานั้นไปหล่อคอนกรีตทับ
และนำไปทิ้งในมหาสมุทรแอตแลนติก
ปีค.ศ.
๑๙๖๘
(พ.ศ.
๒๕๑๑)
เกิดการรั่วไหลที่บริษัท
Coalite
Chemical Co. Ltd. ที่เมือง
Bolsover
ประเทศอังกฤษ
เหตุการณ์ครั้งนี้คล้ายคลึงกับที่เกิดที่
Seveso
คือปฏิกิริยาสังเคราะห์
trichlorophenol
เกิดการเร่งตัวเองจนไม่สามารถควบคุมได้
ทำให้ถังปฏิกรณ์ระเบิดออก
และนักเคมีผู้ดูแลการสังเคราะห์ดังกล่าวเสียชีวิต
โรงงานดังกล่าวถูกปิดเป็นเวลา
๒ สัปดาห์ก่อนที่จะเปิดดำเนินการใหม่
แต่ใน ๗ เดือนให้หลังพบว่ามีผู้แสดงอาการได้รับสาร
TCDD
ถึง
๗๙ ราย
ทำให้ต้องทำการรื้อโรงงานดังกล่าวและนำชิ้นส่วนไปฝังในหลุมลึก
(ไม่มีการระบุว่าเป็นหลุมแบบไหน)
Prof.
Kletz (ref. 2) ได้กล่าวไว้ว่าเหตุการณ์ที่
Seveso
คงจะไม่เกิดถ้าหากผู้มีอำนาจไม่ทำการผ่านกฎหมายที่ทำให้ผู้ปฏิบัติงานนั้นไม่มีอิสระในการทำให้กระบวนการผลิตเสร็จสิ้นก่อนเริ่มวันหยุดสุดสัปดาห์
และในกระบวนการผลิตแบบ
batch
นั้นไม่ควรที่จะมีการค้างการผลิตไว้กลางคัน
(กล่าวคือควรทำให้เสร็จสิ้นไปจนจบแล้วค่อยหยุดเดินเครื่อง)
นอกจากนี้ถ้ามีการศึกษา
Hazop
(Hazard and operability study)
ก็อาจป้องกันการเกิดอุบัติเหตุดังกล่าวได้
โดยการเลือกใช้ตัวกลางให้ความร้อนที่ไม่สามารถทำให้ระบบร้อนจนมีอุณหภูมิสูงจนทำให้เกิดปฏิกิริยาที่ไม่สามารถควบคุมได้
(เช่นใช้ไอน้ำที่อุณหภูมิไม่เกิน
180ºC
ในการให้ความร้อนแก่ระบบ)
และที่สำคัญคือควรมีการติดตั้งระบบดักจับสารที่จะรั่วไหลออกมาจากถังปฏิกรณ์
(โรงงานที่เกิดเหตุไม่มีอุปกรณ์ดังกล่าวสักระบบ)
แต่จะว่าไปแม้ว่ามีการติดตั้งอุปกรณ์ดักจับ
ก็อาจไม่สามารถป้องกันอันตรายจากสารเคมีที่รั่วออกจากระบบได้
ถ้าหากไม่มีการดูแลรักษาให้อุปกรณ์ดังกล่าวพร้อมทำงานตลอดเวลา
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการรั่วไหลของ
methy
isocyanate จากโรงงานบริษัท
Union
Carbide ที่เมือง
Bhopal
ประเทศอินเดียในวันที่
๓ ธันวาคมปีค.ศ.
๑๙๘๔
(พ.ศ.
๒๕๒๗)
ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายพันคน
ผู้บาดเจ็บและพิการอีกนับแสนราย
แม้ว่าโรงงานดังกล่าวจะมีการติดตั้งทั้งระบบทำความเย็น
(เพื่อป้องกันไม่ให้อุณหภูมิถังปฏิกรณ์สูงเกินไป)
หอชะล้าง
(scrubber
เพื่อทำหน้าที่ชะล้างไอที่รั่วไหลออกมา)
และระบบ
flare
(ที่ทำหน้าที่เผาแก๊สที่รั่วไหลออกมา)
แต่เมื่อถึงเวลาเกิดเหตุกลับพบว่าระบบทั้ง
๓ ไม่สามารถใช้งานได้ทั้ง
๓ ระบบ
ผลที่ตามมาคือหายนะที่ทำให้มีผู้ได้รับผลกระทบมากที่สุดในประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมเคมี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น