วันจันทร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2556

บวบ ณ บ้านบางพลัด MO Memoir : Monday 2 September 2556

บ้านผมนั้นอยู่สุดซอย ซอยนี้กว้างเพียงแค่รถเก๋งสองคันสวนทางกันได้ บ้านหลังเก่านั้นอยู่ตรงข้ามกับบ้านหลังนี้ ตอนเด็ก ๆ ก็เตะบอลเล่นบ้าง ตีแบดเล่นบ้าง พอลูกบอลหรือลูกแบดลอยไปตกในบ้านหลังนี้ก็ต้องปีนเข้าไปเก็บเป็นประจำ (กลางวันเจ้าของบ้านเขาไม่อยู่ เขาไปเปิดร้านค้าอยู่ริมถนนใหญ่) พอเขาจะย้ายออกไปทางคุณพ่อคุณแม่ของผมก็ไปซื้อต่อมา นั่นก็กว่า ๒๐ ปีที่แล้ว
 
ส่วนมะม่วงที่อยู่หน้าบ้านนั้นเจ้าของเดิมเขาปลูกเอาไว้ ถ้านับอายุถึงปัจจุบันก็หย่อน ๔๐ ปีไม่เท่าไร ผ่านเหตุการณ์น้ำท่วมกรุงเทพมาหลายครั้ง แต่ก็ยังคงมีผลให้เก็บกินเป็นประจำ ที่เก็บกินได้ก็เฉพาะพวกที่อยู่ต่ำ ๆ พอจะสอยถึง พวกที่อยู่สูงกว่านั้นต้องใช้บันไดพาดปีนแล้วสอยต่อ ตอนหลังก็ขี้เกียจเก็บ (ประเภทสอยมะม่วงมีแถมรังมดแดง) ก็เลยปล่อยให้เป็นอาหารกระรอกกับกระแตที่วิ่งเล่นกันอยู่ทั่วไปหมด ทั้งบนต้นไม้ ขอบรั้ว และหลังคาบ้าน
 
ด้วยความที่มันเป็นไม้ใหญ่อายุมาก โคนต้นจึงร่มรื่นตลอดเวลา มีแต่แสงแดดที่ส่องลอดช่องระหว่างใบเท่านั้นที่ส่องถึงพื้น ก็เลยใช้เป็นที่ผูกชิงช้าให้ลูกนั่งเล่น ชิงช้าที่ทำขึ้นก็ไม่มีอะไรซับซ้อน ใช้เชือกไนลอนที่ยาวประมาณ ๑๐ เมตร เอาตรงกลางไปพันไว้กับง่ามกิ่งที่อยู่เหนือพื้นสัก ๔-๔ เมตร ส่วนปลายเชือกข้างล่างก็เอามาผู้กับท่อนไม้ฉำฉา (เก็บมาจากเศษไม้ที่เขาทิ้งจากการรื้อลังอุปกรณ์ที่เขาส่งมายังที่ทำงาน) กลายเป็นชิงช้าแบบง่ายที่คนนั่งต้องคอยเกาะเชือกเอาไว้ ชิงช้าที่มีระยะแกว่งขนาด ๔ เมตรนี้มันสนุกกว่าชิงช้าตามสนามเด็กเล่นที่มีระยะแกว่งไม่ถึง ๒ เมตรมาก ทำชิงช้าเสร็จก็เป็นหน้าที่ของผู้เป็นพ่อต้องเล่นก่อน ก็คือทดสอบความแข็งแรงนั่นแหละว่าเชือกคงไม่ขาดและกิ่งคงไม่หัก จากนั้นจึงค่อยให้ลูกเล่นได้
 
นับตั้งแต่ผูกเชือกเส้นดังกล่าว มันก็อยู่ตรงนั้นมาเกือบ ๑๕ ปีแล้ว


รูปที่ ๑ (บน) ต้นมะม่วงกับชิงช้าและแปลงบวบ (ล่าง) ดอกบวบที่กำลังจะกลายเป็นผล
 
เมื่อต้นฤดูร้อนที่ผ่านมามีลมพัดแรงบ่อยครั้ง ต้นไม้ที่บ้านกิ่งหักไปหลายต้น แต่ต้นมะม่วงต้นนี้ก็ยังคงอยู่ แต่มาวันหนึ่งรู้สึกว่าต้นมันเอียงไปเล็กน้อย ดูที่โคนต้นก็เห็นดินด้านหนึ่งมันนูนขึ้นมา ก็เลยคิดว่าถึงเวลาที่ต้องทำการตัดแต่งกิ่งขนานใหญ่ ทางคุณแม่ก็ติดต่อคนรับจ้างตัดต้นไม้เขามาดำเนินการให้ แต่เขาก็บอกให้รอไปก่อน เอาไว้ให้เข้าใกล้หน้าฝนแล้วค่อยตัด มันจะได้แตกกิ่งออกไปได้ ดังนั้นช่วงก่อนถึงหน้าฝนก็เลยเป็นหน้าที่ของผมที่ต้องตัดเล็มกิ่งเล็กออกไปก่อน เพื่อไม่ให้มันต้านลมมากเกินไป
 
พอเขามาตัดเล็มกิ่งใหญ่ออก หน้าบ้านก็สว่างจ้าเลย แดดส่องดีในตอนบ่าย พื้นดินที่แดดส่องแทบไม่ถึงขนาดหญ้ามาเลย์ยังขึ้นไม่ได้ก็ได้รับแดดแรง ๆ สักที เห็นที่มันว่าง ๆ อยู่ภรรยาก็เลยคิดอยากจะปลูกผักสวนครัว แต่ด้วยความขี้เกียจของพ่อบ้าน แทนที่จะขุดดินเป็นร่องให้ปลูกผัก ก็ใช้วิธีขุดดินเป็นขอบกำแพงแทน จากนั้นก็ใช้ดินสำเร็จรูปที่เขาขายเป็นถุงเทลงไป ก็ได้แปลงผักเล็ก ๆ แปลงหนึ่ง จากนั้นภรรยากับลูกก็เอาเมล็ดพันธ์ผักมาฝังไปทั่วแปลงนั้น ผมก็ไม่รู้ว่าเขาฝังอะไรไปบ้าง เพิ่งจะมารู้ตอนที่มันโตเป็นต้นแล้วก็คือมีถั่วเขียวกับบวบ

บวบเป็นไม้เลี้อยล้มลุก พอมันงอกก็ต้องหาหลักให้มันเกาะ ไม้ที่ใช้ทำหลักก็ใช้ไม้ไผ่ที่ตัดมาจากต้นไผ่ที่ปลูกเอาไว้ในบ้าน กับท่อพีวีซีที่เหลือจากการสร้างบ้าน ปลูกเอาไว้ไม่นานมันก็เลี้อยขึ้นเต็มซุ้มที่ทำเอาไว้ (ผมไม่ได้เป็นคนทำซุ้ม แต่คุณแม่ผมเป็นคนทำให้) พร้อมกับออกดอกเต็มไปหมด ช่วงนี้มันก็ทยอยออกผลกันน่าดู ทั้งลูกเล็กและลูกใหญ่ ก็เลยคิดว่าได้เวลาที่ต้องถ่ายรูปเก็บเอาไว้ก่อนที่มันจะเหี่ยวแห้งตาย (ตามอายุของมัน)



รูปที่ ๒ (บน) ผลบวบที่ยังเล็กอยู่ (ล่าง) ลูกที่โตขึ้นมาหน่อย

ที่เขียนเรื่องนี้ก็เพื่อเป็นการบันทึกความทรงจำให้ลูก ๆ และเพื่อให้เด็กกรุงเทพได้รู้จักต้นไม้และรูปร่างหน้าตาของผลบ้าง เวลาประชุมผู้ปกครองที่โรงเรียนทีไรคุณครูก็มักจะบอกถึงเด็กที่อยู่แต่ในคอนโด บ้านกลางเมืองในหมู่บ้านที่ปลูกบ้านจนเต็มพื้นที่จนแทบไม่มีที่ให้ปลูกต้นไม้ หรือไม่ก็ปลูกแต่ไม้ประดับ เด็กที่ไม่รู้จักว่าผลมะพร้าว ลูกขนุน หรือทุเรียน มีหน้าตาอย่างไร รูปที่เอาลง blog ก็เลือกใช้รูปขนาดใหญ่หน่อยเผื่อจะมีเด็กต้องการรูปไปทำรายงาน ในโรงเรียนเองก็เน้นแต่ปลูกพวกไม้ดอกไม้ประดับ



รูปที่ ๓ (บนและล่าง) ต้นบวบที่เลี้อยอยู่บนซุ้ม

เดือนที่แล้วเขียนแต่เรื่องวิชาการติด ๆ กันร่วมสิบตอน เริ่มต้นเดือนใหม่ก็ขอประเดิมด้วยเรื่องเบา ๆ ที่หาสาระไม่ค่อยได้ก็แล้วกัน

ไม่มีความคิดเห็น: