แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ถนนเพชรเกษม แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ถนนเพชรเกษม แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

เขาพับผ้า (ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำ ตอนที่ ๑๔๗) MO Memoir : Saturday 25 May 2562

"เขา" ในที่นี้ไม่ได้เป็นคำสรรพนามแทนบุคคลที่สาม แต่หมายถึงภูเขา และคำว่า "พับ" ก็ไม่ได้เป็นคำกิริยา ดังนั้นคำว่า "เขาพับผ้า" ในที่นี้จึงไม่ได้หมายถึงการกำลังบอกว่า "ใครสักคน" กำลัง "พับ" ผ้าอยู่ แต่หมายถึงเส้นทางที่คดเคี้ยววกไปวนมาเหมือนผ้าที่พับทบไปทบมา

รูปที่ ๑ แผนที่ TACTICAL PILOTAGE CHART หมายเลข ONC L-10 เขาพับผ้าคือถนนเส้นที่อยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมสีเหลืองในภาพ แผนที่นี้ไม่ได้มีการระบุว่าข้อมูลภูมิประเทศอิงจากการสำรวจในปีใด บอกแต่เพียงว่าข้อมูลเกี่ยวกับการเดินอากาศนั้นเป็นข้อมูลในปีค.ศ. ๑๙๙๐ (พ.ศ. ๒๕๓๓) แต่ดูจากเส้นทางถนนที่ยังไม่ปรากฏทางหลวงสาย ๔๑ เส้นปัจจุบัน แสดงว่าข้อมูลเส้นทางถนนนั้นเป็นข้อมูลที่เก่ากว่าอย่างน้อยกว่า ๑๐ หรือ ๒๐ ปีขึ้นไป

ทิวเขานครศรีธรรมราชเป็นทิวเขาที่ทอดยาวจาก จ. นครศรีธรรมราชไปจนสุดชายแดนไทยที่ จ. สตูล ทิวเขานี้แบ่ง จ. นครศรีธรรมราชเป็นสองส่วน เป็นเส้นกั้นระหว่าง จ. ตรัง และ จ. พัทลุง และเส้นกั้นระหว่าง จ. สตูล และ จ. สงขลา ช่วงที่อยู่ระหว่างตรังและพัทลุงนั้น คนท้องถิ่นจะเรียกว่า "เทือกเขาบรรทัด"

รูปที่ ๒ บางส่วนของถนนและสะพานบนเส้นทางสายเดิม ที่ยังหลงเหลืออยู่ทางด้านซ้ายของถนนเส้นปัจจุบัน ถ่ายรูปขณะรถวิ่งจากพัทลุงไปตรัง

รูปที่ ๓ บางส่วนของถนนและสะพานบนเส้นทางสายเดิม ที่ยังหลงเหลืออยู่ทางด้านซ้ายของถนนเส้นปัจจุบัน ถ่ายรูปขณะรถวิ่งจากพัทลุงไปตรังเช่นกัน 
 
"เดินพ้นน้ำราบ ... ถนนเลี้ยวไปเลี้ยวมามากขึ้น จนเมื่อใกล้จะถึงที่ปันน้ำ ถนนเลี้ยวหักพับ ราษฏรจึงเรียกที่นี่ว่าเลี้ยวพับผ้า" พระราชนิพนธ์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช (. ) ในคราวเสด็จเมื่อพ.. ๒๔๕๒ ยืนยันที่มาของการเรียกชื่อถนน "เขาพับผ้า"  
 
ข้อความในย่อหน้าข้างต้นคัดลอกมาจากกำแพงแสดงประวัติความเป็นมาของเขาพับผ้า (รูปที่ ๔) ที่จุดพักรถอันดามันเกตเวย์บนเส้นทางเข้าพับผ้า ที่บอกให้รู้ว่าชื่อว่า "เขาพับผ้า" นี้มีการเรียกมานานแล้ว
 


รูปที่ ๔ การเดินทางข้ามเขาพับผ้าในช่วงปลายรัชกาลที่ ๕

ตอนเด็ก ๆ ที่ไปเที่ยวบ้านญาติที่พัทลุง (จำไม่ได้ว่าปีไหน แต่น่าจะเมื่อกว่า ๔๐ ปีที่แล้ว) วันหนึ่งคุณน้าจะไปทำธุระที่ตรัง (คุณน้าท่านนี้เสียไปหลายปีแล้ว) เขาชวนผมไปด้วย ผมก็เลยมีโอกาสได้ติดรถปิคอัพคุณน้าไปตรัง และนั่นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ผมได้มีโอกาสเดินทางผ่านเส้นทางเขาพับผ้า (ที่ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของถนนเพชรเกษม) ก่อนที่จะมีการปรับปรุงด้วยการวางแนวเส้นทางใหม่และขยายให้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม เพื่อลดความคดเคี้ยว เพิ่มความปลอดภัยในการเดินทาง และลดระยะเวลาการเดินทาง สิ่งที่จำได้มาจนถึงปัจจุบันคือถนนสายนี้ทิวทัศน์สวยมาก ด้านหนึ่งเป็นผาสูงขึ้นไป ในขณะที่อีกด้านหนึ่งที่ต่ำลงไปนั้นเป็นลำธารไหลอยู่เคียงข้างถนน
   
ถ้าเปรียบเทียบความคดเคี้ยวของถนนสายเขาพับผ้าในตอนนั้น กับถนนเส้นอื่นหลายเส้นในปัจจุบันที่ผมได้มีประสบการณ์เดินทางผ่าน ก็ต้องบอกตามตรงว่าความคดเคี้ยวของถนนสายเขาพับผ้านั้นไม่ได้คดเคี้ยวมากไปกว่าถนนเส้นอื่น แต่ชื่อเสียงของมันนั้นอาจเป็นเพราะความที่มันเป็นถนนเส้นหลักที่เชื่อมระหว่างภาคใต้ฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก และเป็นถนนเส้นแรก ๆ ที่ตัดขึ้น คือดำเนินการก่อสร้างและเปิดใช้ในสมัยรัชกาลที่ ๕ เพื่อให้ยานพาหนะมีล้อ (คือเกวียนในสมัยนั้น) เดินทางผ่านได้ จึงทำให้มันมีชื่อเสียงเลื่องลือ การสร้างในสมัยนั้นก็เรียกว่าใช้แรงงานคนและสัตว์เป็นหลัก แม้แต่การย่อยหินก็ต้องใช้วิธีการสุมไฟให้ร้อนแล้วเอาน้ำเย็นราด (รูปที่ ๕ และ ๖) แม้ว่าในบางช่วงเวลาโดยเฉพาะช่วงที่ประเทศไทยมีความขัดแย้งระหว่างคนภายในชาติ ถนนเส้นนี้จึงกลายเป็นเส้นที่อันตรายถ้าจะเดินทางในเวลากลางคืน เพราะอาจพบกับการปิดถนนหรือซุ่มโจมตีได้ง่าย ญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งของผมก็เคยได้รับบาดเจ็บจากการปะทะกับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์บนเส้นทางเขาพับผ้านี้ ช่วงนั้นเป็นช่วงเวลาไม่กี่วันก่อนที่แกจะต้องขึ้นมากรุงเทพเพื่อเข้าร่วมพิธีประดับยศขั้นนายพล ก็เรียกว่าได้รับการประดับยศทั้ง ๆ ที่ยังมีหัวกระสุนฝังอยู่ในแขน ประดับยศเสร็จจึงไปผ่าตัดเอาหัวกระสุนออก

รูปที่ ๕ ประวัติศาสตร์ที่บอกเล่าไว้บนกำแพงเล่าเรื่องที่อันดามันเกตเวย์ ที่เป็นเส้นทางจุดพักรถและชมวิว จะอยู่ทางด้านขวาของถนนถ้าเดินทางมาจากตรัง โดยจะถึงก่อนจุดสูงสุดของเส้นทางเล็กน้อย ภาพนี้เล่าถึงวิธีการทำให้หินก้อนใหญ่แตกเป็นก้อนเล็กลง ด้วยการใช้ไฟสุมและน้ำเย็นราด

รูปที่ ๖ ภาพประกอบคำบรรยายในรูปที่ ๔ เป็นรูปของการก่อฟืนสุมหินให้ร้อนก่อนเอาน้ำเย็นราดเพื่อให้ก้อนหินแตกออกเป็นก้อนเล็ก (จากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิกระทันหัน)
 
"ในการปรับถนนให้เรียบ พระยารัษฎาฯ ได้คิดรถบดพิเศษขึ้น โดยใช้ช้างลากก้อนหินทรงกลมขนาดใหญ่เป็นลูกกลิ้ง ใส่ดินให้ได้น้ำหนักตามต้องการ ใช้ช้าง ๑ เชือกกับควาญช้างและคนหาบหญ้าให้ช้างกิน ก็ทำงานได้โดยไม่ต้องสิ้นเปลือง"
  
ที่จุดพักรถอันดามันต์เกตเวย์จะมีรูปปั้นช้างอยู่เต็มไปหมด ทั้ง ๆ ที่ในปัจจุบันนี้ถ้าใครไปเที่ยวภาคใต้ก็มักจะไม่เห็นการเลี้ยงช้างกัน แต่การที่เขาเลือกปั้นรูปปั้นช้างเอาไว้ที่นี่ก็เป็นเพราะการเดินทางผ่านเส้นทางสายนี้ในอดีตนั้นมีทั้งการเดินเท้าและการใช้ช้างเป็นพาหะ (รูปที่ ๗) และช้างก็มีบทบาทสำคัญในการก่อสร้างเส้นทางเส้นนี้ นับตั้งแต่การบุกเบิกเส้นทางไปจนถึงการปรับสภาพพื้นผิวถนน


รูปที่ ๗ การเดินทางผ่านเส้นทางสายนี้ในอดีต ที่มีทั้งการเดินเท้าและใช้ช้างเป็นพาหนะในการเดินทาง

"เมื่อถนนเสร็จเรียบร้อย สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ เสนาบดีกระทรวงโยธาธิการ ซึ่งเสด็จตรวจราชการแหลมมลายูได้ทรงทำพิธีเปิด "ถนนแต่ช่องไปต่อแดนพัทลุง ๑๖๐ เส้น" ในวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๔๔๕"
  
จากคำบรรยายบนกำแพงเล่าเรื่องในย่อหน้าข้างต้น (รูปที่ ๘) ทำให้ทราบว่า อีกไม่กี่วันข้างหน้า ถนนเส้นนี้ก็จะเปิดใช้งานเป็นเวลานานถึง ๑๑๗ ปีแล้ว
  
รูปที่ ๘ ภาพประกอบคำบรรยายการเปิดถนนในวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๔๔๕ โดยสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ เสนาบดีกระทรวงโยธาธิการ

ฉบับนี้ถือว่าเป็นการเล่าเรื่องด้วยรูปอีกครั้ง เป็นเรื่องที่อยากเขียนมานานแล้ว แต่ไม่มีโอกาสได้แวะไปถ่ายรูปเสียที ปีนี้มีโอกาสแล้วก็เลยขอจัดหน่อย สวัสดีครับ 

วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

แผนที่ทางหลวงประเทศไทย ๒๔๙๙ MO Memoir : Friday 20 July 2561

" ... รถไปวิ่งตั้งต้นตี ๒ ครึ่งที่สะพานพุทธยอดฟ้า ผ่านจังหวัดที่ต้องผ่านหัวหิน ประจวบฯ ศาลเจ้าพ่อเขาช้าง จุดประทัดกันแล้วก็ผ่านชุมพรไประนอง รถหยุดที่ด่าน มานีลุกเข้าห้องน้ำแล้วก็ไปกินข้าวกลางวันกันที่ระนอง จากนั้นก็ผ่านกระเปอร์ถึงตะกั่วป่าก็ ๑๕.๐๐ น. เห็นจะได้ เลี้ยวขึ้นเขาไปบ้านดอน ก่อนถึงพุนพินยางแตกเปลี่ยนยางแล้ววิ่งเข้าบ้านดอนเวลา ๑๘.๐๐ น. พอดิบพอดี ... " (จากเรื่อง "ผีหลอกที่บ้านดอน" ในหนังสือ "ผีกระสือที่บางกระสอ" โดย สง่า อารัมภีร พิมพ์ครั้งที่สาม โดยสำนักพิมพ์ดอกหญ้า กุมภาพันธ์ ๒๕๓๙)
 
ข้อความข้างบนนั้นผู้เขียนไม่ได้ระบุว่าเป็นเหตุการณ์ในปีพ.ศ. ใด แต่เดาว่าน่าจะหลังปีพ.ศ. ๒๔๙๙ เพราะดูจากเวลาที่รถเดินทางได้นั้นทำให้คาดเดาได้ว่าถนนช่วง ระนอง-ตะกั่วป่า และช่วงข้ามเขา ตะกั่วป่า-บ้านดอน นั้นสร้างเสร็จแล้ว เพราะแผนที่ทางหลวงประเทศไทยที่นำมาให้ดูกันในวันนี้ ไม่ได้ระบุว่าเป็นแผนที่ที่จัดทำในปีพ.ศ. ใด แต่ไปปรากฏอยู่ในหนังสือ "ทัศนาสารไทย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา" ที่จัดพิมพ์ในปีพ.ศ. ๒๔๙๙ แสดงว่าตัวแผนที่นั้นต้องได้รับการจัดทำเอาไว้ในปีพ.ศ. ๒๔๙๙ หรือก่อนหน้านั้น
  
รูปที่ ๑ แผนที่ที่นำมาแสดงมาจากหนังสือ ทัศนาสารไทย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ฉบับของสำนักวัฒนธรรมทางศิลปกรรม สภาวัฒนธรรมแห่งชาติ หน้าหลังของหนังสือมีตราประทับระบุไว้ว่า (นายเฉลิม พันธุ์ภักดี ผู้พิมพ์และผู้โฆษณา เลขที่ ๒๐ โทร 20715 พ.ศ. ๒๔๙๙ (หมายเลขโทรศัพท์สะกดด้วยเลขอารบิก นอกนั้นเป็นเลขไทย) โรงพิมพ์ภักดีประเสริฐ พ.ศ. ๒๔๘๐ ถนนหลังวังบูรพา พระนคร) ส่วนฉบับของจังหวัดฃลบุรีไม่ได้รายละเอียดปีที่พิมพ์ระบุไว้ แต่คาดว่าน่าจะอยู่ในช่วงเวลาเดียวกัน

รูปที่ ๒ แผนที่ตอนบนของประเทศ

บทประพันธ์เก่า ๆ จำนวนไม่น้อย ถือได้ว่าเป็นบันทึกบรรยากาศของบ้านเราและการใช้ชีวิตประจำวันของคนไทยทั่วไปในอดีต อย่างเช่นการเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ นั้นทำได้อย่างไร ใช้เวลาเท่าใด ได้พบเจอกับอะไรบ้าง อย่างเช่นในเรื่อง "อภินิหารเจ้าพ่อกรมหลวงชุมพรฯ" ที่อยู่ในหนังสือเล่มเดียวกันนี้ สง่า อารัมภีร ได้บันทึกการเดินทางจากกรุงเทพไปยังชุมพรในช่วงปีพ.ศ. ๒๕๐๒ - ๒๕๐๓ เอาไว้ดังนี้
 
" ... ตอนแรกว่าจะไปรถไฟ แต่มนัสเขาบอกว่าไปรถ ร... ดีกว่า ทหารก็ครึ่งราคาเหมือนรถไฟ เย็น ๆ ก็ถึง ที่ประชุม ๔ คนจึงตกลงไปชุมพรด้วย ร... ด้วยความดีใจที่ได้เที่ยวไกล ๆ เรา ๔ คนจึงกินเหล้ากันจนดึกดื่น สันต์กินเสียจนเป็นไข้ พอขึ้นรถก็หลับเรื่อยไปทีเดียว รถสมัยก่อนไม่มีเบอร์ที่นั่ง เราไปช้าจึงต้องนั่งข้างหลัง รถกระแทกเสียจนสร่างเมาเชียวครับ ถนนสมัยโน้นดีแค่ถึงหัวหินเท่านั้นเอง ส่วนหัวหินไปประจวบฯ ยังเป็นลูกรัง ประจวบฯ ไปทับสะแกและบางสะพานเป็นหลานรัง คือแย่ยิ่งกว่าลูกรัง เมื่อถึงบางสะพานก็หยุดนาน ข้าวของบนหลังคาลงที่ทับสะแกเสียครึ่งหนึ่ง ลงที่บางสะพานหมดเลย คนโดยสารก็เหลือน้อยมาก .... "
" ... เรานอนไปได้จากบางสะพานถึงชุมพร เพราะรถทั้งคนมีคนโดยสารไม่ถึง ๑๐ คน ถึงชุมพรก็บ่ายโข ... "

รูปที่ ๓ แผนที่ตอนล่างของประเทศ

แผนการเชื่อมต่อเมืองต่าง ๆ ที่อยู่ห่างไกลกันด้วยการคมนาคมทางบกของไทยนั้น เดิมจะใช้เส้นทางรถไฟเป็นหลัก จากนั้นจึงค่อยใช้เส้นทางถนนแยกย่อยออกไปจากตัวสถานีรถไฟ ดังจะเห็นได้จากการพัฒนาถนนที่ปรากฏในแผนที่ กล่าวคือจะมีการพัฒนาถนนจากสถานีรถไฟหลักไปยังจังหวัดต่าง ๆ ที่ไม่มีรถไฟผ่านก่อน เช่นทางเหนือก็จะมีถนนจากแพร่ไปยังน่าน ถนนจากลำปางไปเชียงราย และถนนจากเชียงใหม่ไปยังอำเภอต่าง ๆ ของจังหวัด แต่ไม่ยักมีถนนเชื่อมระหว่าง แพร่-ลำปาง-เชียงใหม่ (รูปที่ ๔) การเดินทางไปภูเก็ตก็น่าจะเป็นนั่งรถไฟไปที่ตรังก่อน จากนั้นจึงค่อยเดินทางด้วยรถยนต์ย้อนขึ้นไปทางกระบี่ หรือไม่ก็คงลงเรือเพื่อเดินทางไปยังภูเก็ตเลย (รูปที่ ๖) ส่วนทางภาคอีสานก็ทำนองเดียวกัน เส้นทางถนนที่เชื่อมต่อระหว่างภาคกลางกับภาคอีสานก็จะเป็นทางด้านลพบุรี ชัยบาดาล ที่เชื่อมต่อไปยังชัยภูมิ (รูปที่ ๔) ซึ่งถ้าเทียบกับแผนที่ปัจจุบันก็น่าจะเป็นทางหลวงหมายเลข ๒๐๕ การที่เลือกสร้างถนนเส้นนี้ก่อนก็น่าจะเป็นเพราะเป็นช่วงที่ตัดผ่านภูเขาที่สั้นที่สุด และยังมีค่ายทหารอยู่ที่ลพบุรีด้วย ดังนั้นถ้าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นทางภาคอีสาน ก็สามารถที่จะเคลื่อนย้ายกำลังจากภาคกลางไปได้รวดเร็ว นอกเหนือไปจากเส้นทางรถไฟที่อาจถูกปิดกั้นได้ง่าย ดังที่เคยเกิดขึ้นในกรณีที่เรียกว่า "กบฎบวรเดช" ที่มีการต่อสู้กันตามทางรถไฟ โดยเฉพาะในช่วงสถานีหินลับ-ทับกวาง-ปากช่อง ที่มีการทำลายทั้งสะพานรถไฟและเส้นทาง

รูปที่ ๔ แผนที่ส่วนขยายบริเวณภาคเหนือและภาคกลาง

รูปที่ ๕ แผนที่ส่วนขยายบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

รูปที่ ๖ แผนที่ส่วนขยายบริเวณภาคใต้

รูปที่ ๗ แผนที่ส่วนขยายบริเวณภาคใต้และภาคตะวันออกตอนล่าง

รูปที่ ๘ แผนที่ส่วนขยายบริเวณภาคกลางและภาคตะวันออก

Memoir ฉบับนี้ก็ไม่มีอะไรมาก เป็นเพียงแค่เอาข้อมูลที่พบในหนังสือเล่มหนึ่งที่ยืมมาจากห้องสมุดมาบันทึกไว้ เพื่อที่จะได้ใช้ทำความเข้าใจในการอ่านหนังสือเล่มอื่น

วันอาทิตย์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ณ ที่แห่งนี้ เคยมีโรงพัก (ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำ ตอนที่ ๖๗) MO Memoir : Sunday 18 May 2557

ช่วงที่หายหน้าไปก็มีโอกาสเดินทางไปเยี่ยมเยียนบ้านเกิดของคุณแม่ที่จังหวัดพัทลุง ในช่วงที่ขับรถกลับก็มีโอกาสคุยกันถึงเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเกือบ ๔๐ ปีที่แล้ว (จำไม่ได้แน่ชัดว่าเกิดเมื่อใด แต่ถ้านับจากปัจจุบันก็เกินกว่า ๓๐ แต่ไม่ถึง ๔๐ ปีแน่)
  
แนวถนนสาย ๔๑ เดิมนั้นไม่ได้ตัดตรงเหมือนปัจจุบัน แต่จะเลี้ยวเข้าแวะตามอำเภอต่าง ๆ ระหว่างทาง เรียกว่าถนนไปถึง ชุมชนก็เจริญ ผู้ใหญ่เล่าให้ฟังกว่าชุมชนไหนอยากให้ถนนผ่านใกล้บ้านตัวเอง เพื่อที่จะได้เดินทางได้สะดวก ก็จะบริจาคที่ดินให้ตัดถนนผ่าน รัฐก็ประหยัดค่าเวนคืนที่ดิน แต่คนเดินทางไกลต้องเดินทางคดเคี้ยวไม่น้อย แต่ในยุคสมัยนั้น ถ้าจะเดินทางไกลกันจริง ๆ แล้ว ในพื้นที่ที่มีรถไฟผ่านก็มักจะใช้รถไฟมากกว่า ภาคใต้ฝั่งตะวันออกก็เช่นเดียวกัน มีการวางรถไฟวิ่งผ่าน พอจะตัดถนนลงใต้ ก็เลยตัดจากชุมพรไปทางระนอง 
 
รูปที่ ๑ ทางหลวงสาย ๔๑ จากทุ่งสงก่อนเข้าพัทลุง เส้น ๔๐๔๘ คือแนวเส้นถนนเดิมที่มุ่งเข้าตัวจังหวัด ส่วนแนวเส้นปัจจุบันเป็นแนวเส้นตัดใหม่ โดยเยื้องออกมาทางด้านตะวันตกของเส้นเดิม ตำแหน่งที่เป็นดาวแดงคือตำแหน่งที่เคยมีโรงพัก
  
แนวถนนเพชรเกษมจากชุมพรก็จะเลียบฝั่งตะวันตกไปจนถึงตรัง ก่อนวกกลับมายังฝั่งตะวันออกที่พัทลุง เส้นทางสาย ๔๐ ที่เชื่อมชุมพรกับพัทลุงนั้นสร้างกันภายหลัง แต่ก่อนใครจะใช้รถเดินทางไปยังสุราษฎร์ธานี ก็ต้องขับรถไปที่ตะกั่วป่าก่อน จากนั้นจึงค่อยตัดกลับมายังสุราษฎร์ธานี ถ้าจะไปนครศรีธรรมราช ก็ต้องเดินทางไปยังตรังก่อน จากนั้นจึงค่อยวกย้อนขึ้นมายังทุ่งสง แล้วค่อยตรงไปยังนครศรีธรรมราช ถ้าใครอยากเดินทางแบบสบาย ๆ ไปยังภูเก็ต ก็ต้องนั่งรถไฟสายใต้ไปบัตเตอร์เวิอร์ธก่อน จากนั้นจะลงเรือไปปีนังหรือย้อนกลับมายังภูเก็ตก็ตามแต่
  
ที่นี้พอคนเริ่มใช้รถเดินทางมากขึ้น จากชุมชนที่เคยดีใจว่ามีถนนเข้าถึง กลายเป็นการจราจรที่หนาแน่นจนถนนชุมชมเดิมรองรับไม่ไหว ก็เริ่มมีการพิจารณาปรับแนวถนนเดิมให้ตรงขึ้นและหลีกเลี่ยงเข้าชุมชน ตัวอย่างเช่นเส้นทางจากพัทลุงไปยังหาดใหญ่ (ที่ยกตัวอย่างเส้นนี้เพราะเคยใช้เดินทางตั้งแต่เป็นเด็ก) แต่เดิมนั้นจะต้องผ่าน อ.รัตภูมิ ก่อนเข้าหาดใหญ่ แต่พอตัดใหม่ทำให้ไม่ต้องผ่าน อ.รัตภูมิ โดยตรงไปหาดใหญ่ได้เลย 
   
ผลที่ตามมาก็คือปัจจุบันแนวถนนตัดใหม่ก็มีการขยายช่องทางเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่แนวถนนเดิมก็ยังคงอยู่ในสภาพเดิม คือยังเป็นถนนสองช่องทางจราจรรถวิ่งสวนกัน ถูกลดฐานะเป็นถนนเลข ๔ หลัก เลี้ยวคดผ่านไปตามหมู่บ้านต่าง ๆ ที่ชาวบ้านเขาบริจาคที่ดินให้ตัดถนน ทุกครั้งที่มีโอกาสเดินทางผ่านถนนเหล่านี้ที่เคยนั่งรถผ่านเมื่อ ๓๐-๔๐ ปีที่แล้ว ก็ยังได้บรรยากาศการเดินทางเหมือนเมื่อ ๓๐-๔๐ ปีก่อนนั้น
ในสมัยที่ยังมีการสู้รับกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยนั้น เส้นทางสายใต้ตั้งแต่ชุมพรลงไปเรียกได้ว่าเป็นเส้นที่อันตราย เพราะทั้งสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และพัทลุง ต่างเป็นพื้นที่สีแดง พูดให้ง่าย ๆ ให้เห็นภาพก็คือรัฐมีอำนาจในตอนกลางวัน ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์มีอำนาจในตอนกลางคืน ถ้าอยู่นอกตัวเมือง พอตกค่ำทีก็ปิดบ้านและเก็บตัวอยู่ในบ้านกันหมด
รูปที่ ๒ ถ้าขับรถตามสาย ๔๑ มุ่งหน้าไปทุ่งสงออกมาจากแยกบรรจบถนนเพชรเกษม พอเลยจุดบรรจบสาย ๔๐๔๘ (ที่อยู่ทางด้านขวา) มาเล็กน้อย ก่อนจะถึงปั๊มน้ำมันและวัดทุ่งขึงหนัง จะมีที่ว่างอยู่พื้นที่หนึ่ง เป็นที่ราชพัสดุ ตำแหน่งนี้เคยเป็นที่ตั้งของสถานีตำรวจ ก่อนที่จะถูกโจมตีและเผาทำลายด้วยผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ (ผกค.) เมื่อเกือบ ๔๐ ปีที่แล้ว และหลังจากนั้นก็ไม่เคยมีการสร้างโรงพักขึ้นทดแทนอีกเลย
  
บ้านเก่าของคุณแม่ผมที่ทุ่งขึงหนังก็อยู่ในเขตพื้นที่สีแดงเช่นเดียวกัน ตอนเด็ก ๆ ไปอยู่ที่นั่นก็ไม่ค่อยรู้เรื่องราวอะไร รู้แต่ว่าหัวค่ำเคยช่วยคุณยายเรียงมะม่วงใส่ถังก่อนที่จะบ่ม และนำไปขายในตลาดตอนเช้า เคยช่วยคุณตาอาบน้ำให้หมูในคอกพร้อมกับการล้างคอกด้วยการใช้สายยางฉีด (สนุกกันแบบเด็ก ๆ) หรือไม่ก็ไปคุ้ยฟางในเล้าเพื่อเก็บไข่ไก่และไข่เป็ด หัดปั่นจักรยานสองล้อเป็นก็ที่นั่น โทรทัศน์ตอนนั้นมีให้ดูได้เพียงแค่ช่องเดียวคือช่อง ๑๐ หาดใหญ่ (เสาส่งอยู่ห่างไปกว่า ๑๐๐ กิโลเมตร) บ้านที่อยู่ในจังหวัดรอบ ๆ จึงต้องมีเสาโทรทัศน์ที่สูงและมี Booster ช่วยขยายสัญญาณ จึงจะพอดูโทรทัศน์ได้

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ได้มีโอกาสได้เห็นและยังคงความประทับใจมาจนถึงทุกวันนี้ก็คือ ท้องฟ้าที่มืดมิดที่มองเห็นทางช้างเผือกได้ชัดเจน
รูปที่ ๓ ภาพอีกมุมหนึ่งของพื้นที่ดังกล่าว

ระหว่างจังหวัดตรังกับพัทลุงจะมีแนวภูเขาที่ทอดต่อยาวในทิศทางเหนือใต้ แนวภูเขานี้เป็นแนวเดียวที่ทอดยาวจากมาเลเซียต่อไปยังแม่ฮ่องสอนและเลยเข้าไปในพม่า แต่บริเวณที่คั่นระหว่างตรังกับพัทลุงนั้นชาวบ้านเรียกว่าเทือกเขาบรรทัด ถนนเพชรเกษมช่วงที่เชื่อมระหว่างตรังกับพัทลุงที่ต้องข้ามเขานั้นคดไปคดมามากจนขนานนามกันว่า "เขาพับผ้า" คือเขาเปรียบเสมือนผ้าที่พับทบซ้อนกันไว้หลาย ๆ ชั้น ปัจจุบันเส้น "เขาพับผ้า" นี้ก็กลายเป็นอดีตไปแล้ว แต่ถ้าเหลือบมองข้างทาง ก็ยังอาจเห็นซากถนนแนวเก่าอยู่เป็นบางช่วง บริเวณแนวเทือกเขาบรรทัดนี้เคยเป็นฐานที่มั่นสำคัญของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ที่ปฏิบัติการในเขตจังหวัดพัทลุง
  
"คอมมิวนิสต์ไม่มีหรอก" คุณน้าคนหนึ่งของผมเคยเล่าให้ผมฟัง ในระหว่างเขาขับรถพาผมชมภูมิประเทศด้านทิศตะวันตกของจังหวัดพัทลุง ชาวบ้านในพัทลุงยุคนั้นอยู่กันอย่างยากลำบาก โดยเฉพาะผู้ที่มีภูมิลำเนาค่อนไปทางเทือกเขาบรรทัด ถูกเพ่งเล็งทั้งจากทางฝ่าย ผกค. ว่าเป็นพวกเจ้าหน้าที่ และถูกเพ่งเล็งจากทางเจ้าหน้าที่ว่าเป็นผู้ให้การสนับสนุน ผกค. ที่แย่ก็คือปฏิบัติการใช้ความรุนแรงของเจ้าหน้าที่รัฐในการจัดการกับชาวบ้าน ทำให้ชาวบ้านจำนวนไม่น้อยต้องหนีไปพึ่งพรรคคอมมิวนิสต์ ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ได้มีแนวคิดทางการเมืองเช่นนั้น เพียงแต่ต้องการความปลอดภัยและแก้แค้นเจ้าหน้าที่รัฐ
 
ความโหดร้ายทารุณของเจ้าหน้าที่รัฐในจังหวัดพัทลุงในยุคนั้นมีมากแค่ไหน ลองใช้คำว่า "ถังแดง" หาใน google ดู ก็จะทราบได้เอง

บนถนนฝั่งตรงข้ามเยื้องกับบ้านของคุณตาคุณยายของผมไปไม่มาก เคยเป็นที่ตั้งของสถานีตำรวจ ไปใต้ครั้งนี้ก็ได้แวะไปหยุดยืนที่บริเวณนั้นอีกครั้ง เลยได้ถามญาติ ๆ ที่อยู่แถวนั้นเกี่ยวกับเหตุการณ์เผาโรงพัก ตอนขับรถกลับคุณแม่เล่าให้ฟังว่า (ช่วงเกิดเหตุนั้นครอบครัวผมอยู่กรุงเทพ) คืนนั้นมีกลุ่มผู้ก่อการร้ายบุกไปที่บ้านน้องชายของคุณยายก่อน มีการเจรจาอะไรกันบ้างก็ไม่รู้ชัด ดูเหมือนจะเป็นทำนองว่าจะมายิงน้องชายของคุณยาย เพราะเขาเป็นตำรวจ แต่พอไม่เจอตัวก็เลยเปลี่ยนเป็นบุกโจมตีโรงพักแทน เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำโรงพักสู้ไม่ได้ ต้องยอมวางอาวุธ ฝ่ายผู้ก่อการร้ายก็ลำเลียงเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บมาวางไว้นอกโรงพัก ก่อนเผาโรงพักทิ้งและจากไป ญาติของคุณแม่ผมท่านหนึ่งมีศักดิ์เป็นน้าของผมก็เป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ผู้บาดเจ็บในเหตุการณ์ดังกล่าวด้วย

และนับตั้งแต่คืนนั้นเป็นต้นมา สถานที่แห่งนั้นก็ไม่เคยมีการสร้างสิ่งก่อสร้างใดอีกเลย

วันพุธที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำ ตอนที่ ๒๑ ทางหลวงล่องใต้ MO Memoir : Wednesday 11 July 2555


ฉบับแรกของปีที่ ๕ นี้ออกล่าช้าไปหน่อยเพราะมัวแต่วุ่นอยู่กับปัญหาพีค NO ของ GC-2014 ECD & PDD ซึ่งตอนนี้หลังจากโทรคุยโทรศัพท์กับสาวน้อยหน้าบาน (คนใหม่) เมื่อสักชั่วโมงที่ผ่านมาก็คิดว่าปัญหาคงไม่ได้อยู่ที่เครื่อง GC แล้ว แต่น่าจะอยู่ที่ระบบ tubing ของอุปกรณ์ทดลอง (ปัญหาเดิมกลับมาใหม่อีกครั้ง)

นอกจากนี้ยังโดยไข้หวัดเล่นงานเสียอีก ติดจากลูกมาตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว จนป่านนี้ก็ยังไม่หายดี อยู่ได้ด้วยการกินยาพาราเซตามอลทีละ ๒ เม็ดทุก ๖ ชั่วโมง

วันศุกร์ที่แล้วต้องเข้าไปประชุมในห้องสำนักงานของหัวหน้าใหญ่ ห้องประชุมนี้นาน ๆ จะโดนเรียกเข้าไปที (ไม่จำเป็นไม่อยากจะเข้าไป เพราะถ้าต้องไปทีไรแสดงว่ามีเรื่องปวดหัวให้ต้องทำ) ในห้องนั้นจะมีแผนที่ทางหลวงประเทศไทยเก่า ๆ ใส่กรอบแขวนไว้ข้างฝาอยู่ฉบับหนึ่ง ผมเห็นมานานแล้ว ตอนเดินออกจากห้องนั้นทีไรก็มักจะแวะหยุดดูทุกที

แผนที่ทางหลวงเก่า ๆ นั้นผมว่ามันบอกให้เราเห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรต่อมิอะไรในประเทศของเราหลายอย่าง จากบริเวณที่เคยเป็นพื้นที่ที่ไม่มีคนอยู่หรือมีอยู่บางตา กลับกลายเป็นชุมชนใหญ่เมื่อมีถนนตัดผ่าน

การตัดถนนแต่ก่อนนั้นเข้าใจว่าจะตัดไปยังชุมชนต่าง ๆ ตอนเด็ก ๆ ไปเยี่ยมญาติทางใต้ ผู้ใหญ่ก็เล่าให้ฟังว่าแต่ก่อนพอชาวบ้านรู้ว่าจะมีโครงการตัดถนน ก็จะยกที่ตัวเองให้ เพื่อที่จะได้มีถนนผ่านแถวบ้านตัวเอง ถนนเส้นเดิมก็เลยคดไปคดมา ถนนตามแนวเดิมนั้นจะวางแนวไปบนพื้นผิวภูมิประเทศ ตรงไหนลงต่ำก็ต่ำตาม ตรงไหนขึ้นสูงก็ขึ้นสูงตาม ดังนั้นจะเห็นว่าความสูงของระดับถนนกับระดับพื้นข้างถนนนั้นจะไม่เปลี่ยนแปลงมาก

ในช่วงหลังการตัดถนนเปลี่ยนแปลงไป ใช้วิธีการวางแนวให้ตรงที่สุดเท่าที่จะตรงได้ จะหลบโค้งเมื่อจำเป็น ตรงไหนเป็นเนินดินสูงก็จะใช้วิธีตัดผ่านกลางให้มันเตี้ยลง ตรงไหนเป็นที่ต่ำก็ใช้การถมให้มันสูงขึ้น ผลออกมาก็คือใครมีบ้านที่อยู่ตรงที่เป็นเนินดินก็จะเห็นระดับพื้นดินบ้านตัวเองนั้นอยู่สูงเหนือพื้นถนนหรือไม่ก็สูงกว่าหลังคารถที่วิ่งผ่านเสียอีก แต่ถ้าใครมีบ้านอยู่ตรงที่ต่ำก็อาจจะได้เห็นว่ารถดับพื้นถนนอยู่ระดับเดียวกับหลังคาบ้านตัวเอง

ผมมีโอกาสได้ขับรถไปเที่ยวทางใต้หลายครั้ง ปรกติก็จะขับลงทางฝั่งอ่าวไทยและกลับทางฝั่งอันดามัน ตอนขับลงก็จะลงไปตามถนนเพชรเกษม (ทางหลวงสาย ๔) ถึงแยกปฐมพรที่จังหวัดชุมพร ก็ขับต่อไปตามทางหลวงสาย ๔๑ ลงไปทางสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง ซึ่งเป็นจุดที่ทางหลวงสาย ๔๑ มาบรรจบถนนเพชรเกษมใหม่ และต่อลงไปยังสงขลา พอตอนกลับก็จะออกจากจังหวัดพัทลุงไปทางจังหวัดตรังตามทางถนนเพชรเกษม จำความได้ตอนเด็ก ๆ เคยนั่งรถจากพัทลุงไปทางตรัง ตรงรอยต่อระหว่างสองจังหวัดนี้ถนนเพชรเกษมต้องข้ามเขาบรรทัด เส้นทางช่วงนี้คดเคี้ยวมากจนชาวบ้านเรียกว่าถนนช่วงนี้ว่าเป็นช่วงขึ้น "เขาพับผ้า" (มันคดเหมือนผ้าที่เขาพับทบเอาไว้) ด้านหนึ่งของถนนเป็นภูเขา อีกด้านลึกต่ำลงไปมีลำธารน้ำไหลผ่าน แต่นั่นเป็นอดีตไปแล้ว เพราะมีการตัดแนวถนนดังกล่าวใหม่ แต่ถ้าใครสังเกตดูข้างทางให้ดี ๆ ก็จะพอเห็นร่องรอยของถนนเส้นเดิมหลงเหลืออยู่ (เช่นแนวถนนหรือสะพานเก่า ถ้าไม่โดนต้นไม้ขึ้นปกคลุมจนหมดเสียก่อน)

ช่วงที่ยังให้บรรยากาศเก่า ๆ ใกล้เคียงบรรยากาศเขาพับผ้าเดิมเห็นจะเป็นทางหลวงหมายเลข ๔ ช่วงอ.ทับปุด ถึง อ.เมือง จ.พังงา ถนนเส้นดังกล่าวมีคนใช้น้อยมาก คงเพราะเป็นเส้นทางขึ้นเขาและคดเคี้ยวมาก หาช่วงที่เป็นทางตรงแทบไม่ได้เลย รถใหญ่จะผ่านไปลำบาก คนก็เลยไปใช้เส้น ๔๑๕ ที่ตัดผ่านป่าชายเลนกันมากกว่า

ขับรถมาหลายถนนแล้ว (ขาดแต่ภาคอีสาน) เส้นทางที่ชอบมากเส้นทางหนึ่งคือถนนเพชรเกษมช่วงระหว่างจังหวัดระนอง ต่อไปยัง พังงา กระบี่ และตรัง เพราะให้บรรยากาศที่ไม่ทำให้รู้สึกแห้งแล้ง มีอะไรต่อมิอะไรให้ชมตลอดสองข้างทาง ถนนไม่ตรงดิ่งเป็นทางยาวที่ทำให้ขับแล้วน่าเบื่อ แต่สำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องเมารถและพวกที่ชอบขับรถเร็วแล้ว คงจะไม่ชอบเส้นทางนี้แน่ เพราะส่วนใหญ่ยังเป็นถนนสองเลนอยู่ (แต่ตอนนี้ไม่รู้เหมือนกันว่ายังเป็นสองเลนเหมือนเดิมหรือเปล่า แต่ถ้าถูกขยายขึ้นเป็น ๔ เลนเมื่อใดจะรู้สึกเสียดายบรรยากาศสองข้างทางมาก

เคยสงสัยเหมือนกันว่าทำไปถนนเพชรเกษมถึงได้ตัดอ้อมไปมา จากกรุงเทพพอมาถึงชุมพรที่อยู่ฝั่งอ่าวไทยก็เลี้ยวขวาไปยังจังหวัดระนอง ไปวิ่งเลียบฝั่งอันดามันจนถึงจังหวัดตรัง จากนั้นจึงค่อยวกกลับมาฝั่งอ่าวไทยที่จังหวัดพัทลุงใหม่อีกครั้ง แต่พอได้เห็นแผนที่ฉบับนี้แล้ว (รูปที่ ๑) ก็คิดว่าที่คำตอบที่เคยคิดไว้น่าจะถูกต้อง

จังหวัดที่อยู่ริมด้านอ่าวไทยนั้นมี "ทางรถไฟ" วิ่งผ่านอยู่แล้ว นอกจากนี้ถ้าไม่ใช้รถไฟก็ยังใช้เรือเดินทางมายังกรุงเทพได้ แต่จังหวัดด้านทะเลอันดามันนั้นไม่มีรถไฟวิ่งผ่าน ถ้าจะมาเรือก็ต้องไปอ้อมที่สิงคโปร์ ดังนั้นจุดนี้จึงน่าจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เมื่อตัดถนนเพชรเกษมนั้นพอตัดไปถึงชุมพรก็ให้เลี้ยวไปทางจังหวัดที่อยู่ทางด้านฝั่งทะเลอันดามัน ส่วนเส้นทางจากชุมพรตรงไปยังสุราษฎ์ธานี นครศรีธรรมราช และพัทลุง ซึ่งก็คือทางหลวงสาย ๔๑ นั้นก็เก็บเอาไว้ก่อน ในแผนที่จะเห็นว่าทางหลวงสาย ๔๑ ทำเสร็จสมบูรณ์มาแค่ปากน้ำหลังสวน ชุมพร จากนั้นก็เป็นแค่จุดประ ๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าความหมายคือถนนในโครงการหรือเป็นทางลูกรัง (แต่คิดว่าน่าจะเป็นทางลูกรังมากกว่า เพราะบ้านเกิดของคุณแม่ของผมนั้นอยู่ริมถนนเส้นดังกล่าว ท่านเคยเล่าให้ฟังว่าตอนเด็ก ๆ ช่วงสงครามโลกครั้งที่สองยังได้เห็นทหารญี่ปุ่นนั่งรถผ่านถนนหน้าบ้าน)

ดังนั้นแต่ก่อนถ้าใครจะเดินทางไปสุราษฎร์ธานีหรือนครศรีธรรมราชทางรถยนต์ก็ต้องเดินทางกว่าพันกิโลเมตร เพราะต้องขับรถไปทางชุมพร ระนอง ลงไปถึงอ.ตะกั่วป่า จ.พังงา จากนั้นจึงค่อยเลี้ยวเข้าทางหลวงแผ่นดินสาย ๔๐๑ (ที่ปัจจุบันมีเขื่อนเชี่ยวหลานหรือเขื่อนรัชชประภาอยู่) ผ่านคีรีรัฐนิคม แล้วค่อยไปโผล่ที่อ.พุนพิน และเข้าตัวจังหวัดสุราษฎร์ธานีอีกที

ถ้าจะไปนครศรีธรรมราช ก็ต้องขับลงต่อไปยังจังหวัดพังงา จังหวัดกระบี่ ไปถึงอำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง จากนั้นจึงค่อย้อนขึ้นตามทางหลวงสาย ๔๐๓ ไปยังอำเภอทุ่งสง อำเภอร่อนพิบูลย์ แล้วค่อยเข้าจังหวัดนครศรีธรรมราช

นั่นเป็นอดีตที่เคยได้ยินผู้ใหญ่ท่านเล่าให้ฟัง เลยเอามาบันทึกไว้กันลืม

รูปที่ ๑ แผนที่ทางหลวงสายใต้ไม่ทราบปีพ.. รู้แต่ว่าตอนนั้นทางหลวงสาย ๔๑ จากชุมพรไปยังพัทลุงพึ่งสร้างไปได้แค่อำเภอหลังสวน ดังนั้นถ้าใครจะเดินทางโดยรถยนต์ไปยังสุราษฎร์ธานีหรือนครศรีธรรมราช ต้องนั่งรถกันร่วมพันกิโลเมตรหรือมากกว่า