อาจารย์ทำให้ผมมีเรื่องเขียนลง
blog
เลยครับ
เรื่องการเขียนวิทยานิพนธ์เนี่ยผมได้รับอิทธิพลมาจากประเทศอังกฤษที่ไปเรียนมาครับ
คือที่นั่นเล่มวิทยานิพนธ์ที่ส่งให้กรรมการอ่าน
จะเข้าเล่มปกแข็งเดินตัวหนังสือสีทองเรียบร้อย
ทำไว้อย่างน้อย ๔
เล่มคือสำหรับกรรมการสอบ
๒ ท่าน อาจารย์ที่ปรึกษา ๑
ท่าน และสำหรับส่งให้กับทางมหาวิทยาลัย
เรียกว่าสอบเสร็จก็ต้องสามารถส่งเข้าไปเก็บในห้องสมุดมหาวิทยาลัยได้เลย
ดังนั้นในการเขียน
อาจารย์ที่ปรึกษาจึงย้ำความสำคัญว่า
เขียนให้คนที่อ่านแล้วนั้นต้องไม่มีข้อสงสัยข้อซักถามในงานของเรา
เพราะวิทยานิพนธ์คือสิ่งที่จะอยู่ในห้องสมุดตลอดไป
คนที่มาอ่านทีหลังถ้าเขามีข้อสงสัยเขาไม่มีทางที่จะถามเราได้เพราะเขาไม่รู้ว่าเราอยู่ที่ไหน
ถ้ามีการพิมพ์ผิดหรือแก้ไขหน้าไหน
ก็ต้องส่งเล่มนั้นไปให้ร้านที่เข้าเล่มทำการตัดหน้านั้นออกแล้วแทรกหน้าแก้ไขเข้าไป
แต่มันจะทำใด้ถ้าหากมีการแก้เพียงแค่ไม่กี่หน้า
(น่าจะไม่เกิน
๕ หน้าจาก ๒๐๐ หน้า)
ถ้ามากกว่านั้นก็ต้องรื้อออกแล้วเข้าเล่มใหม่
(แน่นอนว่าค่าใช้จ่ายสูงตามไปด้วย)
ผมเองถือว่ารูปเล่มที่ส่งให้กรรมการอ่านนั้น
บ่งบอกว่าอาจารย์ที่ปรึกษามีมาตรฐานการทำงานอย่างไร
(เพราะนิสิตต้องได้รับความเห็นชอบจากอาจารย์ที่ปรึกษาก่อนจึงจะส่งเล่มให้กรรมการได้)
และเห็นกรรมการคนอื่นเป็นอย่างไร
และมันก็ไม่ใช่หน้าที่ของกรรมการสอบที่จะต้องมาตรวจแก้ความไม่เรียบร้อยของวิทยานิพนธ์ให้กับนิสิตผู้สอบหรืออาจารย์ที่ปรึกษาของเขา
ในส่วนของผมเองผมก็จะบอกกับนิสิตของตัวเองว่าต้องเขียนให้ได้แบบกรรมการอ่านแล้วต้องยอมรับในสิ่งที่เราเขียน
ต้องไม่มีข้อสงสัยหรือการแก้ไขที่จุดใดในเล่ม
ถือว่าเป็นการให้เกียรติกรรมการที่เขายอมเสียเวลามาอ่านงานของเราเพื่อเป็นกรรมการสอบเรา
เวลาอ่านแล้วเจอสิ่งที่ผิดหรือบกพร่องตรงไหน
คือสามารถทำให้ดูดีดูเรียบร้อยกว่าเดิมได้
ก็จะทำเครื่องหมายไว้
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่านิสิตที่รับเล่มผ่านการตรวจแก้ไปแล้ว
ก็ทำการแก้ไขเฉพาะที่กรรมการท่านนั้นทำเครื่องหมายเอาไว้ก็พอ
แต่ต้องกลับไปตรวจสอบเองใหม่หมดทั้งเล่มว่ายังมีที่อื่นที่หลุดรอดไปอีกหรือเปล่า
ก็ขนาดตัวเองทำยังหลุดรอดมาได้
แล้วจะไปหวังว่าคนอื่นที่มาอ่านบ้างจะอ่านได้ละเอียดแบบไม่มีการหลุดรอดเลยได้ยังไง
ในการอ่านวิทยานิพนธ์นั้นผมแยกเป็นส่วน
ๆ ดังนี้ครับ
ส่วนแรกคือการจัดรูปแบบ
ไม่ว่าจะเป็นตัวอักษรและขนาด
รูปแบบรูปภาพและตาราง
(ความกว้างของแต่ละคอลัมน์ต้องเหมาะสมกับข้อความในคอลัมน์นั้น)
ความคงเส้นคงว่าในการเขียนและใช้ภาษา
(เช่น
หัวข้อระดับเดียวกัน
ต้องมีการย่อหน้าในระยะที่เท่ากัน
การอ้างอิงรูปภาพจะใช้คำย่อ
(Fig)
หรือคำเต็ม
(Figure)
ก็ต้องใช้ให้เหมือนกัน
ฯลฯ)
รูปแบบการเขียนเอกสารอ้างอิง
ลักษณะของภาษาที่ใช้เขียน
เป็นต้น
ส่วนที่สองคือเนื้อหาที่ไม่เกี่ยวกับงานที่เขาทำ
คือพวกบทนำและการทบทวนวรรณกรรม
คือต้องแสดงให้เห็นว่ามันเกี่ยวโยงเข้ามาหาในสิ่งที่เขาทำได้อย่างไร
ไม่ใช่ใส่ ๆ เข้ามาสักแต่ว่าเพื่อให้เล่มมันหนา
ในกรณีของานที่มีความใหม่จริง
ๆ นั้นก็ต้องแสดงให้เห็นได้ว่างานนี้ยังไม่มีใครเคยทำ
และสิ่งที่จะทำนั้นทำไปเพื่ออะไร
ในกรณีของงานที่เคยมีคนทำในลักษณะทำนองเดียวกันหรือคล้ายคลึงกันมามากแล้ว
ก็ต้องแสดงให้เห็นว่าทำไมมันยังมีช่อว่างให้ทำอีก
และการเติมเต็มช่องว่างนั้นจะให้ประโยชน์อย่างไร
สองส่วนแรกนี้บ่งให้เห็นถึงความรู้ของผู้วิจัยในงานที่ตัวเองกำลังจะทำและงานที่เคยมีคนอื่นทำไว้ก่อนหน้า
ถ้าชี้ประเด็นตรงจุดนี้ไม่ได้มันก็เหมือนกับการท่องจำสิ่งที่อาจารย์ที่ปรึกษาบอก
เพื่อไปพูดให้กรรมการฟัง
โดยที่คนพูดเองก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่ตัวเองพูดออกมา
ส่วนที่สามคือวิธีการทำทดลอง
ซึ่งส่วนนี้ผมถือว่าสำคัญสุด
เพราะถ้าวิธีการทำการทดลองมันน่าสงสัยหรือมันไม่ถูกต้อง
ผลการทดลองที่ได้นั้นก็ไม่มีค่าควรแก่การนำมาพิจารณาใด
ๆ
ส่วนที่สีคือผลการทดลองและการวิเคราะห์
ส่วนนี้มีค่าแก่การพิจารณาแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับส่วนที่สาม
(วิธีการทดลอง)
ส่วนมากที่เจอมาคือส่วนที่สามนั้นเขียนไม่ละเอียด
หรือบางสิ่งที่ไม่ได้เขียนนั้นเป็นเพราะมันเป็นเทคนิคที่ใช้กันทั่วไป
เป็นที่รู้จักกัน แต่วิธีการใช้ที่
"ถูกต้อง"
นั้นกลับไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างไร
ความผิดพลาดตรงนี้มันไปโผล่ที่ผลการทดลองที่ทำให้การวิเคราะห์
(ถ้าทำโดยละเอียดแบบไม่เข้างตนเอง)
นั้นมีปัญหา
ตัวอย่างเช่นการดุลมวลสารไม่ได้
ผลดุลมวลสารผิด เป็นต้น
เรื่องรูปแบบและเนื้อหาการเขียนนั้น
กรรมการแต่ละคนก็มีความชอบที่แตกต่างกัน
บางเรื่องกรรมการบางคนเห็นว่ามันควรจำเป็นต้องใส่
แต่กรรมการคนอื่นเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่คนในวงการเขารู้กันอยู่แล้ว
ไม่ควรใส่มันให้เล่มมันรก
การจะให้นิสิตไปแก้ไขตามความต้องการของกรรมการแต่ละคนเพื่อให้กรรมการทุกคนพึงพอใจนั้นเป็นเรื่องยาก
ประเด็นนี้อาจารย์ที่ปรึกษาควรต้องเข้ามามีบทบาทครับ
ถ้าตรงไหนเขาเห็นว่าไม่ควรต้องแก้
เขาก็ต้องชี้แจงให้เหตุผลเพื่อให้กรรมการคนอื่นเห็นชอบด้วยว่าการแก้ไขตรงจุดนี้มันไม่จำเป็น
เพราะเขาเป็นคนเห็นชอบในสิ่งที่นิสิตของเขาเขียนมาแต่แรกแล้วว่าสิ่งที่นิสิตของเขาเขียนนั้นมันสามารถใช้สอบได้แล้ว
ประเด็นตรงนี้ผมจึงมองว่าเป็นส่วนที่กรรมการสอบที่มีความเห็นแตกต่างกันนั้นต้องมาคุยกันว่าจะมีข้อยุติอย่างไร
ถ้ากรรมการให้ความเห็นขัดแย้งกันในจุดเดียวกัน
นิสิตก็ทำอะไรไม่ถูกแล้วครับ
ไม่รู้ว่าควรจะทำตามที่อาจารย์คนไหนบอกดี
ในกรณีที่เป็นเป็นคำถามอยู่ในขณะนี้ผมก็มองอย่างนี้ครับ
ในเมื่อคะแนนส่วนที่ไม่เห็นชอบนั้นมีน้อยกว่าคะแนนส่วนที่เห็นชอบ
ก็ให้คนที่เห็นชอบและไม่เห็นชอบนั้นเขาไปคุยกันเอง
ว่ารูปแบบการเขียนแบบนี้ทำไมกรรมการที่เห็นชอบจึงไปเห็นชอบได้
หรือทำไมกรรมการที่ไม่เห็นชอบจึงไม่สามารถเห็นชอบได้
การให้คะแนนการสอบของภาควิชานั้น
แยกเป็นส่วนรูปแบบการเขียนซึ่งก็คือส่วนที่หนึ่ง
และส่วนที่สอง
ตรงนี้เป็นการลงคะแนนเพื่อดูว่าวิทยานิพนธ์เล่มนี้เหมาะสำหรับใช้เป็นเล่มสอบหรือไม่
ส่วนที่สำคัญกว่าคือส่วนที่สาม
และส่วนที่สี่
เพราะเป็นตัวบอกว่าจะสอบผ่านหรือสอบตก
เพราะต่อให้ส่วนที่หนึ่งและสอง
ทำมาเรียบร้อยสมบูรณ์แบบ
แต่ส่วนที่สามและสี่มีปัญหาเรื่องความน่าเชื่อถือ
ผลสอบก็ออกมาตกได้ครับ
เว้นแต่จะมีอะไรบางอย่างเป็นการเป็นพิเศษในหมู่กรรมการ
เพื่อให้ผ่านด้วยคะแนนเสียงข้างมาก
เรื่องนี้เคยเจอมากับตัวที่กรรมการสอบคนจับได้ว่าวิธีการทดลองและผลการทดลองในประเด็นที่สำคัญของงานของเขานั้นมัน
"มั่ว"
และไม่ให้ผ่าน
(ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น)
แต่สามคนที่เหลือให้ผ่าน
งานนี้เนี่ยนิสิตผู้สอบมีบทความตีพิมพ์ไปแล้ว
๓ บทความครับ
แต่พอมาเจอกรรมการสองคนจับความผิดพลาดได้
ที่เตรียมจากจะให้คะแนนระดับดีมาก
ก็กลายเป็นเพียงแค่ผ่านแทนครับ
ผมเคยเป็นประธานกรรมการสอบของนิสิตปริญญาโทรายหนึ่ง
ที่ทำวิจัยร่วมกับสายการแพทย์
และมีอาจารย์ทางด้านนั้นมาเป็นกรรมการสอบด้วย
วิทยานิพนธ์ของเขานั้นทำได้ดีครับ
แต่ก่อนเสร็จสิ้นการสอบก็มีการบอกว่าถ้าทำเพิ่มเรื่องนั้นเรื่องนี้อีกหน่อยก็จะตีพิมพ์บทความระดับนานาชาติได้แล้ว
และจะได้ผลสอบเป็นดีมากได้
ซึ่งอาจารย์ที่ปรึกษาก็เห็นชอบด้วยครับ
แต่สิ่งที่เขาจะให้นิสิตทำเพิ่มนั้น
ผมในฐานะประธานฟังแล้วมันมากเกินไป
คือจะให้ไปทำการทดลองกับสัตว์ทดลอง
ซึ่งท้ายสุดต้องฆ่าทิ้งทุกตัวที่นำมาทำการทดลอง
ผมในฐานะประธานก็เลยบอกในที่ประชุมว่า
ที่นี่คือคณะวิศว
ขอให้พิจารณาด้วยว่าขอบเขตงานที่จะให้เขาทำเพิ่มนั้นมันใช่ขอบเขตงานวิศวหรือเปล่า
ทางคณะนี้ไม่ได้ทำการสอนและฝึกให้นิสิตทำการทดลองเช่นนั้น
ในเมื่ออาจารย์ที่ปรึกษาเขาเห็นชอบแล้วว่างานที่นิสิตส่งมาสอบนั้นเพียงพอต่อการสอบจบปริญญาโทแล้ว
(การมีบทความตีพิมพ์ระดับนานาชาติเป็นเกณฑ์จบปริญญาเอกครับ)
ก็ขอให้กรรมการให้คะแนนโดยใช้ผลงานที่เขานำเสนอ
ถ้าคิดว่าไม่เพียงพอ
ไม่ควรให้ผ่าน ก็ให้คะแนนไม่ผ่านได้เลย
แต่ต้องชี้แจงด้วยว่าทำไมถึงไม่ให้ผ่าน
และถ้าเห็นว่าให้ผ่านได้
ก็ขอให้พิจารณาด้วยว่าจะให้เพียงแค่ผ่าน
หรือดี
(ให้ดีมากไม่ได้เพราะไม่มีบทความตีพิมพ์ระดับนานาชาติ)
เวลาที่นิสิตมาปรึกษาผมเรื่องการเลือกกรรมการ
ผมจะบอกว่าให้เลือกประธานให้ดี
เพราะเขาต้องเป็นคนคุมเกมส์
คุมกติกาการสอบ
ถ้าประธานอยู่ใต้อิทธิพลของอาจารย์ที่ปรึกษาเมื่อใด
ก็เสี่ยงดวงกันเอาเองว่าจะโชคดีโชคร้าย
อย่างเช่นในกรณีข้างบน
ถ้าประธานคุมเกมส์ คุมกติกาไม่ได้
นิสิตก็แย่ แต่บางรายก็คิดว่ามันจะเป็นการดี
เพราะจะทำให้ได้คะแนนเสียงว่าสอบผ่านมาตุนเอาไว้ในมืออีก
๑ เสียงนอกเหนือจากอาจารย์ที่ปรึกษา
*******************
บ่ายวันนั้น
ประธานสอบวิทยานิพนธ์ส่งข้อความถามผมว่า
จะให้นิสิตส่งเล่มวิทยานิพนธ์มาให้ตรวจสอบใหม่ไหม
(เป็นครั้งที่สาม)
เพราะดูเหมือนว่าผมจะเป็นเสียงส่วนน้อยที่บอกว่าวิทยานิพนธ์เล่มนั้นไม่เหมาะสมที่จะส่งเข้าสอบ
ตอนเย็นผมก็ตอบกลับไปว่าเห็นข้อความแล้ว
แต่ขอเวลารวบรวมความคิดหน่อย
แล้วจะตอบกลับไปตอนดึก ๆ
หรืออย่างช้าก็เช้าวันรุ่งนี้
และข้างบนทั้งหมดก็เป็นสิ่งที่ผมตอบกลับไป
ไม่กี่วันถัดมาผมก็ได้พบปะกับประธานกรรมการสอบ
เราได้พูดคุยกัน
ผมก็บอกกับอาจารย์ท่านนั้นไปว่า
สิ่งที่น่าห่วงกว่ารูปเล่มก็คือวิธีการทดลองและผลการทดลอง
เพราะโดยความเห็นส่วนตัวแล้วถ้าไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันมาได้อย่างไร
ผลสอบก็คงยากที่จะผ่าน
แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับเสียงของกรรมการส่วนใหญ่
แล้วผมก็เล่าให้อาจารย์ผู้เป็นประธานนั้นฟังว่า
ที่เคยผ่านมานั้น
ถ้าเห็นว่าความผิดพลาดตรงนั้นมันไม่มาก
ก็จะให้รีบไปทำการทดลองซ่อมให้เสร็จก่อนสอบ
แต่ถ้าเห็นว่ามันมากเกินกว่าที่จะรับได้หรือดูแล้วเห็นว่าไม่น่าจะแก้ไขเสร็จทันก่อนสอบ
ก็จะแนะนำให้ยกเลิกการสอบไปเลย
ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับนิสิตมากกว่า
ตอนนี้ก็ได้แต่รอดูว่า
ท้ายสุดจะลงเอยอย่างไร