หมายเหตุ
:
เนื้อหาในบทความชุดนี้อิงจากมาตราฐาน
API 2000 7th
Edition, March 2014. Reaffirmed, April 2020
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นพื้นฐานในการทำความเข้าใจ
ดังนั้นถ้าจะนำไปใช้งานจริงควรต้องตรวจสอบกับมาตรฐานฉบับล่าสุดที่ใช้ในช่วงเวลานั้นก่อน
ต่อไปขอเริ่มหัวข้อ
A.3.3
ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ
(รูปที่
๑)
หัวข้อ
A.3.3.1
กล่าวว่าควรนำเอาการเปลี่ยนแปลงปริมาตรที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิมาร่วมพิจารณา
ในการกำหนดความสามารถในการระบายในสภาวะปรกติ
แหล่งหลักของการเปลี่ยนแปลงปริมาตรเหล่านี้มีดังนี้
-
การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอากาศ
ที่ส่งผลให้เกิดการถ่ายเทความร้อนกับส่วนที่เป็นไอ
-
การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของของเหลวภายใน
ที่ส่งผลให้เกิดการถ่ายเทความร้อนกับส่วนที่เป็นไอ
ตรงนี้ขอขยายความเพิ่มเติม
ความจุความร้อนของแก๊สหรือไอนั้นต่ำกว่าของเหลวมาก
ด้วยปริมาณความร้อนที่ให้เท่ากัน
ไอจะมีอุณหภูมิเพิ่มมากกว่าของเหลว
และปริมาณไอหรือแก๊สก็เพิ่มตามอุณหภูมิด้วย
ตัวอย่างเช่นถ้ามีถังที่มีของเหลงบรรจุอยู่และตั้งตากแดด
ถ้าเราเอามือไปแตะผนังโลหะของถัง
จะพบว่าผิวโลหะส่วนที่อยู่ใต้ระดับของเหลวนั้นจะเย็นกว่าผิวโลหะส่วนที่อยู่เหนือระดับผิวของเหลว
การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอากาศจึงส่งผลต่อส่วนที่เป็นไอมากกว่า
ส่วนการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของเหลวอาจเกิดจากการป้อนของเหลวที่มีอุณหภูมิแตกต่างไปจากของเหลวที่บรรจุอยู่ก่อนหน้าในถัง
ในกรณีที่ป้อนของเหลวที่ร้อนกว่าเข้าไป
ความร้อนจากของเหลวใหม่ที่ป้อนเข้าไปนอกจากจะทำให้ส่วนที่เป็นไอมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นแล้ว
ก็ยังทำให้การระเหยของของเหลวที่บรรจุอยู่นั้นเพิ่มขึ้นด้วย
หัวข้อ
A.3.3.2 กล่าวว่า
สำหรับของเหลวทีเป็นผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมทั่วไป
การถ่ายเทความร้อนให้กับส่วนที่เป็นไอนั้นไม่ได้รับการคาดหวังว่าจะก่อให้เกิดการควบแน่นของส่วนที่เป็นไอ
โดยเฉพาะอยางยิ่งเมื่อปริมาตรที่ว่างของส่วนที่เป็นไอนั้นมีแก๊สที่ไม่ควบแน่นอยู่ในปริมาณที่มีนัยสำคัญ
การไม่มีการควบแน่นของไอในระหว่างการเย็นตัวลงเป็นข้อสมมุติที่สำคัญในการประยุกต์การใช้งานแนวปฏิบัติในภาคผนวกนี้
รูปที่ ๑
เริ่มต้นหัวข้อ A.3.3
ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ
หัวข้อ
A.3.3.3 (รูปที่
๒)
ในหลายกรณีด้วยกัน
การเย็นตัวลงอย่างรวดเร็วที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมกระทันหันถือว่าเป็นกรณีควบคุมสำหรับการถ่ายเทความร้อนไปยังปริมาตรที่ว่างที่เป็นไอภายในถัง
อัตราการเปลี่ยนแปลงปริมาตรจะมีค่ามากที่สุดที่ปริมาตรที่ว่างที่เป็นไอภายในถังมีค่ามากที่สุด
และเป็นขณะที่อุณหภูมิการทำงานมีค่าสูงสุด
ดังนั้นในการคำนวณจะพิจารณาว่าถังนั้นเป็นถังเปล่าและมีอุณหภูมิที่ค่าอุณหภูมิการทำงานสูงสุด
ในย่อหน้านี้กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศแวดล้อมกระทันหัน
จากอากาศเย็นเปลี่ยนเป็นร้อนจัดกระทันหันมันไม่มีการเกิด
แต่จากอากาศร้อนจัดเปลี่ยนเป็นเย็นกระทันหันนั้นมันเกิดได้
เช่นในวันที่ถังตากแดดมาทั้งวัน
พอตอนเย็นก็มีพายุฝนเข้ามา
น้ำฝนที่ตกลงมาก็ทำให้ปริมาตรที่ว่างที่เป็นไอภายในถังมีอุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็ว
ดังนั้นการหดตัวจะมีค่ามากที่สุดก็ต่อเมื่อถังนั้นเป็นถังเปล่า
และอยู่ที่ค่าอุณหภูมิการทำงานสูงสุด
ในการออกแบบจึงให้ใช้เงื่อนไขนี้ในการคำนวณ
เป็นที่ยอมรับกันว่าในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา
ถังเก็บสามารถเย็นตัวลงอย่างรวดเร็วเมื่อเกิดพายุฝนกระทันหันในวันที่อากาศร้อนและแดดจ้า
ในการเกิดสภาวะสุญญากาศนั้นพบว่าส่วนหลังคาสามารถมีอุณหภูมิลดต่ำลงจากเดิมได้ถึง
33ºC
(หรือ 60ºF)
และส่วนผนังลำตัวสามารถเย็นตัวลงจากเดิมได้ถึง
17ºC
(หรือ 30ºF)
(หน่วยอุณหภูมิเคลวิน
K และแรงคิน
ºR
คือหน่วยอุณหภูมิสัมบูรณ์
โดยช่วง 1
K = 1ºC และ
1ºR
= 1ºF)
การถ่ายเทความร้อนจากที่ว่างส่วนที่เป็นไอไปยังพื้นผิวที่เย็นตัวลง
(คือส่วนหลังคาและผนังลำตัว)
ซึ่งถือได้ว่าเป็นพื้นผิวที่มีอุณหภูมิคงที่เนื่องจากสามารถคาดการณ์ได้ว่าน้ำฝนที่ตกลงมานั้นให้การหล่อเย็นที่เพียงพอบนพื้นผิวด้านนอกของถัง
อาจพิจารณาได้ว่าการถ่ายเทความร้อนจากที่ว่างส่วนที่เป็นไอมีรูปแบบเป็นการพาความร้อนแบบอิสระ
สัมประสิทธิ์การถ่ายเทความร้อนเป็นตัวแปรที่สำคัญในการคำนวณ
แต่ก็เป็นการยากที่จะทำนายค่าสัมประสิทธิ์การถ่ายเทความร้อนนี้ได้อย่างแม่นยำและถูกต้อง
เนื่องจากการเลือกค่าสหสัมพันธ์ที่ใช้ในการระบุค่าสัมประสิทธิ์การถ่ายเทความร้อนนั้นขึ้นอยู่อย่างมากกับ
ชนิดของไหล,
รูปแบบทางกายภาพ
และคราบต่าง ๆ บนผนังที่เกี่ยวข้อง
การหาการเย็นตัวลงของที่ว่างส่วนที่เป็นไออาจอิงจากอัตราการถ่ายเทความร้อนสูงสุดหรืออัตราการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิสูงสุด
ด้วยความไม่แน่นอนที่เป็นธรรมชาติของค่าสัมประสิทธิ์การถ่ายเทความร้อนนี้
จึงไม่คาดว่าด้วยการใช้เงื่อนไขขอบเขตทั้งสองจะนำไปสู่ความไม่แน่นอนที่ไม่สามารถยอมรับได้เพิ่มเติมเข้ามา
รูปที่ ๒
เริ่มหัวข้อ A.3.3.3
(ยังมีต่อ)
อาจใช้ค่าอัตราการถ่ายเทความร้อนสูงสุด
63
W/m2
(20 Btu/h.ft2)
เป็นเงื่อนไขค่าขอบเขต
อาจใช้ค่าอัตราการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิสูงสุด
56 K/h (100ºR/h)
เป็นเงื่อนไขค่าขอบเขต
(เย็นตัวลง)
อัตราการเปลี่ยนแปลงปริมาตร
(V dot)
อันเป็นผลจากผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ
สามารถคำนวณได้โดยใช้สมการ
A.1, A.2 และ
A.3 (รูปที่
๓) โดยที่
V
dot คืออัตราการเปลี่ยนแปลงปริมาตรในหน่วย
m3/s
(ft3/hr)
n คือจำนวนโมลเริ่มต้นในปริมาตรส่วนที่เป็นที่ว่างภายในถังในหน่วย
kmol (lbmol)
(กิโลโมลหรือปอนด์โมล)
Rg คือค่าคงที่ของแก๊สสัมบูรณ์ซึ่งมีค่า
8.3145
kPa.m3/kgmol.K
(1545 ft.lbf/ºR.lbmol)
ในระบบ
SI
หน่วยของมวลคือกิโลกรัม
kg
และหน่วยของแรงคือนิวตัน
N
ในระบบอังกฤษ
หน่วยของมวลคือ pound
mass (lbm) หน่วยของแรงคือ
pound force (lbf)
รูปที่ ๓
หัวข้อ A.3.3.3
(ต่อ)
T คืออุณหภูมิในหน่วย
ºC (หรือ
ºF)
คือเวลาในหน่วยวินาที
(ชั่วโมง)
T0 คืออุณหภูมิเริ่มต้น
ซึ่งสมมุติให้มีค่า 48.9
ºC (หรือ 120
ºF)
∆T คือผลต่างอุณหภูมิสูงสุด
คำนวณได้จาก T0
- Tw
Tw คืออุณหภูมิของผนัง
ซึ่งสมมุติให้มีค่า 15.6
ºC (หรือ 60
ºF)
h คือค่าสัมประสิทธิการถ่ายเทความร้อนในหน่วย
W/m2.K
(Btu/h.ft2.ºR)
Aexp คือพื้นที่ผิวถ่ายเทความร้อน
m2
(ft2)
(คือเฉพาะส่วนที่อยู่เหนือผิวของเหลว
และต้องคำนึงถึงส่วนหลังคาด้วย)
Cp คือค่าความจุความร้อนโดยโมลที่ความดันคงที่ในหน่วย
J/kgmol.K
(Btu.lbmol.ºR)
Vtk คือปริมาตรของถังเก็บ
m3
(ft3)
รูปที่ ๔
หัวข้อ A.3.3.3
(ต่อ)
ต่อไปเป็นรูปที่
๔ สำหรับถังที่มีขนาดเล็กกว่า
3,180
m3
(20,000 bbl)
ค่าความสามารถในการระบายที่ต้องมีอันเป็นผลจากการหดตัวเนื่องจากอุณหภูมิที่ลดต่ำลง
ถูกจำกัดด้วยอัตราการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิสูงสุดที่
56
K/h (100 ºR/h) ของปริมาตรที่ว่างส่วนที่เป็นไอ
ด้วยการใช้ค่าอุณหภูมิเริ่มต้น
48.9
ºC (120 ºF) จะได้ค่าความสามารถในการระบายมีค่าประมาณเท่ากับ
0.169
Nm3
ของอากาศต่อลูกบาศก์เมตร
(มาจาก
1
SCFH ของอากาศต่อบาร์เรล)
ของปริมาตรถังเปล่า
สำหรับถังที่มีปริมาตรเท่ากับหรือใหญ่กว่า
3,180
m3
(20,000 bbl)
ค่าความสามารถในการระบายอันเป็นผลจากการหดตัวที่เกิดจากอุณหภูมิที่ลดต่ำลงถูกจำกัดด้วยอัตราการถ่ายเทความร้อน
(h∆T)
ที่ 63
W/m2
(20 But/h.ft2)
อัตราการระบายที่แสดงในตาราง
A.3
และ A.4
(รูปที่ ๕ และ
๖)
สำหรับถังที่มีปริมาตรมากกว่า
3180
m3
(20,000 bbl)
ถูกระบุโดยเริ่มจากการคำนวณอัตราการระบายสำหรับถังที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่ได้แสดงไว้
อัตราการระบายสำหรับถังขนาด
30,000
m3
(180,000 bbl) ได้มาจากการสมมุติค่า
พื้นที่ผิว 4,324
m2
(45,000 ft2),
อัตราการถ่ายเทความร้อน
63
W/m2
(20 Btu/h.ft2),
อุณหภูมิเริ่มต้น
48.9
ºC (120 ºF),
และใช้ค่าคุณสมบัติของอากาศที่ความดันบรรยากาศเป็นตัวแทนแก๊สที่อยู่ในปริมาตรที่ว่างส่วนที่เป็นไอ
ค่าความสามารถในการระบายที่คำนวณได้มีค่าประมาณเท่ากับ
0.61
m3/h
ของอากาศต่อตารางเมตร
(มาจาก
2
ft3/h
ของอากาศต่อตารางฟุต)
ของพื้นที่ผิวที่มีการถ่ายเทความร้อน
สำหรับถังที่มีขนาดใหญ่ที่สุดนั้น
ค่าความสามารถในการระบายนี้จะเทียบเท่ากับอัตราการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของปริมาตรที่ว่างส่วนที่เป็นไอที่
28
K/h (50 ºR/h) อัตราการระบายของถังที่มีความจุระหว่าง
3,180
m2
(20,000 bbl) และ 30,000
m2
(180,000 bbl)
จะประมาณโดยอิงจากค่าอัตราการระบายที่กำหนดโดยขนาดถังทั้งสองนี้
สำหรับถังที่มีขนาดใหญ่มากที่มีปริมาตรสูงเกินกว่า
30,000
m2
(180,000 bbl)
คาดวาอัตราการถ่ายเทความร้อนจะมีความซับซ้อนมากกว่าการประมาณอย่างง่ายที่แสดงไว้ในภาคผนวกนี้
ดังนั้นผู้ใช้ควรอ้างอิงไปยังเนื้อหาหลักของมาตรฐานนี้สำหรับเป็นแนวทางที่เหมาะสม
สภาพแวดล้อมของอากาศภายนอกที่นำมาใช้ในการคำนวณค่าที่แสดงในตารางข้างต้น
จะสมมุติให้เป็นที่สภาวะมาตรฐานคือที่
15.6 ºC และ
101.3 kPa (60 ºF และ
14.7 psia)
รูปที่
๕ ตาราง A.3
(คำอธิบายเพิ่มเติมอยู่ตอนท้าย)
ตารางนี้ใช้หน่วย
SI
รูปที่
๖ ตาราง A.4
(คำอธิบายเพิ่มเติมอยู่ตอนท้าย)
ตารางนี้ใช้หน่วยอังกฤษ
คำอธิบายในตาราง
A.3
a
การประมาณค่าในช่วงทำได้สำหรับถังที่มีความจุอยู่ในช่วงระหว่างค่าที่แสดงไว้
ภาคผนวกนี้ไม่ครอบคลุมถังที่มีความจุสูงเกินกว่า
30,000
m2
แนวปฏิบัติในภาคอุตสาหกรรมคือการใช้ปริมาตรของเหลวสูงสุด
(ปริมาตรที่ไม่รวมส่วนหลังคาถัง)
ในการกำหนดอัตราการระบายอากาศเข้า/ออก
ค่าต่าง ๆ
ในแต่ละหลักไม่ได้มาจากการเปลี่ยนหน่วยจากค่าในตาราง
A.4
แต่เป็นค่าที่ถูกเลือกให้ใกล้เคียงกับปริมาตรที่แสดงไว้ในตาราง
A.4
แต่ค่าอัตราการระบายจะอิงจากการคำนวณโดยตรงโดยใช้ค่าปริมาตรที่เลือกมา
คือหน่วยที่ใช้ในสหรัฐอเมริกามาแต่เดิมหรือหน่วยระบบอังกฤษ
แต่พอจะปรับตัวเลขต่าง ๆ
ที่เป็นเลขลงตัวในระบบอังกฤษให้เป็นเลขในระบบเมตริกที่เท่ากัน
ทำให้เลขในระบบเมตริกนั้นมีจุดทศนิยมปรากฏขึ้น
(ที่เห็นชัดคือค่าอุณหภูมิ)
แต่ในส่วนของปริมาตรถัง
เมื่อเปลี่ยนตัวเลขที่เป็นเลขลงตัวในระบบอังกฤษมาเป็นค่าในระบบเมตริก
เลขในระบบเมตริกที่ได้มันจะมีจุดทศนิยมเกิดขึ้น
จึงมีการปรับตัวเลขปริมาตรให้เป็นเลขกลม
ๆ (คือเลขลงตัวที่ลงท้ายด้วยศูนย์)
ที่ใกล้เคียงกับค่าในระบบอังกฤษ
จากนั้นจึงใช้ตัวเลขกลม ๆ
ที่ได้จากการปรับนั้นไปทำการคำนวณค่าความสามารถในการระบายที่ต้องมี
b
ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับฐานที่ใช้ในการคำนวณเหล่านี้อิงจากหัวข้อ
A.3.3
c
สำหรับของเหลวที่มีค่าจุดวาบไฟ
37.8C
หรือสูงกว่า
อัตราการระบายออกที่ต้องมีกำหนดให้เท่ากับ
60%
ของค่าอัตราการระบายเข้าที่ต้องมี
ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับฐานที่ใช้ในการคำนวณเหล่านี้อิงจากหัวข้อ
A.3.3
d
สำหรับของเหลวที่มีค่าจุดวาบไฟต่ำกว่า
37.8C
อัตราการระบายออกที่ต้องมีกำหนดให้เท่ากับค่าอัตราการระบายเข้าที่ต้องมี
เพื่อยอมให้มีการระเหยกลายเป็นไอที่ผิวหน้าของเหลว
และสำหรับไอภายในถังที่มีค่าความหนาแน่นจำเพาะที่สูงกว่า
ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับฐานที่ใช้ในการคำนวณเหล่านี้อิงจากหัวข้อ
A.3.3
คำอธิบายในตาราง
A.4
นั้นเหมือนกับของตาราง
A.3
ต่างกันเพียงแค่ใช้หน่วยระบบอังกฤษ
ต่อไปเป็นหัวข้อ
A.3.3.4 (รูปที่
๗)
สำหรับการถ่ายเทความร้อนจากสภาพแวดล้อมภายนอกที่ส่งผลให้เกิดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิในปริมาตรส่วนที่เป็นไอ
อัตราการขยายตัวนี้คาดว่าจะต่ำกว่าอัตราการหดตัวมาก
เนื่องจากการให้ความร้อนจากสภาพอากาสภายนอกนั้นไม่ได้เกิดขั้นอย่างรวดเร็ว
ในกรณีเหล่านี้การเพิ่มอุณหภูมิของปริมาตรที่ว่างส่วนที่เป็นไอที่เกิดจากอุณหภูมิของเหลวนั้นจะให้ผลกระทบที่สูงกว่า
อย่างไรก็ตามสิ่งนี้จำเป็นสำหรับถังที่มีของเหลวเติมเต็มบางส่วน
(ทำให้มันมีปริมาตรที่ว่างส่วนที่เป็นไอเยอะ)
นอกจากนี้อุณหภูมิของเหลวที่เพิ่มสูงขึ้นยังส่งผลให้ของเหลวนั้นระเหยกลายเป็นไอได้บางส่วนถ้าของเหลวนั้นเป็นของเหลวที่ระเหยได้ง่าย
ในกรณีของของเหลวที่ไม่ได้ระเหยง่าย
อาจประมาณให้อัตราการขยายตัวโดยปริมาตรมีค่าเท่ากับ
60%
ของอัตราการหดตัวโดยปริมาตรที่เกิดจากการถ่ายเทความร้อนจากสภาพแวดล้อมภายนอก
และให้มีค่าประมาณ 100%
ของอัตราการหดตัวโดยปริมาตรในกรณีของของเหลวที่ระเหยได้ง่าย
ในการตั้งเกณฑ์ที่กล่าวมาข้างต้นนั้น
เป็นที่รับรู้ว่าความต้องการสำหรับการระบายออกนั้นใช้เกณฑ์ที่ค่อนข้างอนุรักษ์นิยม
อย่างไรก็ตามสำหรับผู้ที่เป็นอนุรักษ์นิยมบางรายจะเชื่อว่าควรต้องนำเอาทั้งสภาพอากาศและผลิตภัณฑ์ที่ผิดปรกติเข้ามาร่วมการพิจารณา
โดยเฉพาะพวกที่สามารถให้ไอระเหยที่สูงกว่าน้ำมันแก๊สโซลีน
นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายสำหรับอุปกรณ์ระบายที่ใหญ่ขี้นนั้นมีค่าน้อยมากเมื่อเทียบกับราคาทั้งหมดของถังเก็บ
แนวความคิดแบบอนุรักษ์นิยมนี้ยังเพิ่มขอบเขตความปลอดภัยถ้าอัตราการไหลเข้าของของเหลวนั้นสูงกว่าค่าที่ออกแบบเอาไว้ไม่มาก
สำหรับตอนนี้ก็คงจบเพียงแค่นี้
รูปที่
๗ หัวข้อ A.3.3.4