วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2568

เมื่อ AI ให้คำตอบที่ตรงข้ามกัน MO Memoir : Friday 24 October 2568

เรื่องนี้คงเป็นตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า ด้วยข้อสงสัยเดึยวกัน แต่ถามด้วยรูปแบบคำถามที่แตกต่างกัน AI ก็สามารถใช้คำตอบที่ตรงข้ามกันได้

เมื่อผมต้องการสร้างไฟล์สำหรับการนำเสนอบนหน้าจอ (และอาจต้องมีการแปลงเป็นคลิป mp4 ด้วย) พอจะใช้โปรแกรม impress ของ OpenOffice มันก็ไม่สามารถแปลงไฟล์ .odp เป็น .mp4 ได้ (ตัวนี้เป็นของ Apache) แต่พอไปใช้ Powerpoint ที่สามารถแปลงไฟล์ .pptx ไปเป็น .mp4 ได้ ก็มีปัญหาบางอย่างที่ไม่ค่อยชอบเท่าใดนัก ก็เลยลองค้นด้วย google ว่ามีวิธีใดบ้างที่จะสามารถเปลี่ยนไฟล์ .odp ไปเป็น .mp4 ได้ และด้วยการใช้คำถาม "แปลงไฟล์ .odp เป็น mp4" ก็ได้คำตอบมาดังแสดงในรูปที่ ๑ ข้างล่าง โดยอันแรกที่ปรากฏคือข้อมูลภาพรวมโดย AI ที่บอกว่าสามารถใช้ LibreOffice (เป็น OpenOffice อีกตัวหนึ่ง)

รูปที่ ๑ เมื่อค้นว่าทำอย่างไรเพื่อจะเปลี่ยนไฟล์ .odp ไปเป็น mp4 ได้ คำตอบหนึ่งที่ AI ของ google ให้มาก็คือไปใช้ซอร์ฟแวร์ LibreOffice

พอเห็นอย่างนี้ก็เลยไปดาวน์โหลด LibreOffice เวอร์ชัน 25.8.2.2 ที่เป็นตัวล่าสุดมาติดตั้ง แล้วทำตามขั้นตอน "วิธีที่ 2" ที่แสดงในรูปที่ ๑ กลับไม่พบคำสั่ง "Create Video ..." ดังแสดงในรูปที่ ๒


รูปที่ ๒ พอทำตามข้อความในกล่องสี่เหลี่ยมสีแดงในรูปที่ ๑ กลับไม่พบคำสั่งที่มีการกล่าวถึง

ที่นี้ลองถาม google ใหม่อีกที โดยถามว่า "odp to mp4 libreoffice" ข้อมูลภาพรวม AI ที่ปรากฏขึ้นมาเป็นรายการแรกกลับบอกว่า LibreOffice ไม่สามารถทำได้โดยตรง ต้องไปใช้ซอร์แวร์ของ third party

รูปที่ ๓ ถามใหม่อีกที คราวนี้บอกทำไม่ได้

วันศุกร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2568

สารเคมีรั่วไหลจากถังปฏิกรณ์อันเป็นผลจากความดันสูงเกิน MO Memoir : Friday 17 October 2568

ในบ้านเรา ผู้ที่เรียนทางวิศวกรรมเคมีจำนวนไม่น้อย (อาจจะเป็นส่วนใหญ่ด้วยซ้ำ) และรวมทั้งอาจารย์ผู้สอนด้วย มักชอบคิดว่าวิชาเคมีที่เรียนไปนั้นแทบไม่มีการนำไปใช้งานทางปฏิบัติ

การที่มีความคิดเช่นนี้อาจเป็นเพราะว่าไม่ได้ทำการออกแบบกระบวนการผลิตโดยเริ่มจากศูนย์ คำว่าเริ่มจากศูนย์ในที่นี้คือการออกแบบโดยเริ่มจากการที่มีเพียงแค่ปฏิกิริยาเคมี "ที่ต้องการ" แล้วต้องมาทำการพิจารณาต่อว่าจะให้มันทำปฏิกิริยากันอย่างไร ปฏิกิริยาข้างเคียง "ที่ไม่ต้องการ" ที่มีสิทธิเกิดมีปฏิกิริยาใดบ้าง และถ้าเกิดปฏิกิริยาข้างเคียงที่ไม่ต้องการเหล่านั้น จะจัดการอย่างไรกับผลิตภัณฑ์ของปฏิกิริยาข้างเคียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ต้องการโดยที่สามารถดำเนินการผลิตได้อย่างปลอดภัย ซึ่งความรู้วิชาเคมีนั้นจำเป็นสำหรับการมองหาปฏิกิริยาที่ไม่ต้องการที่มีสิทธิ์เกิด และการจัดการกับผลิตภัณฑ์ของปฏิกิริยาที่ไม่ต้องการที่เกิดขึ้น

รูปที่ ๑ สารเคมีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์

เรื่องที่นำมาเล่าในวันนี้นำมาจากรายงานการสอบสวนของ Health & Safety Executive (HSE) ของประเทศอังกฤษชื่อเรื่อง "Release of chemicals from International Biosynthetics Ltd." ซึ่งเป็นรายงานสอบสวนเหตุการณ์การรั่วไหลของสารเคมีที่เกิดเมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ค.ศ. ๑๙๙๑ (พ.ศ. ๒๕๓๔) เมื่อเวลาประมาณ ๑๑.๓๐ น โดยมีสารเคมีประมาณ ๓.๕ ตันรั่วไหลออกจากถังปฏิกรณ์ เกิดเป็นไอหมอกควันแพร่ลอยไปตามลมเป็นระยะทาง ๔ กิโลเมตร ส่งผลให้มีผู้ได้รับผลกระทบประมาณ ๖๐ คน

สาเหตุที่ทำให้สารเคมีรั่วไหลเป็นเพราะความดันในถังปฏิกรณ์ที่ใช้ผลิตสารเคมีนั้นเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจนระบบระบายความดันที่มีอยู่นั้นไม่สามารถระบายได้ทัน ทำให้ท่อที่ต่อเข้าเครื่องควบแน่นไอเกิดความเสียหาย สารเคมีที่บรรจุอยู่ในถังปฏิกรณ์จึงรั่วไหลออกมา

ถังปฏิกรณ์ที่เกิดเหตุนั้น (ดูรูปที่ ๒ ประกอบ) เป็นชนิดถังปั่นกวน (stirred tank ขนาด 6.3 m3) สามารถให้ความร้อนด้วยน้ำร้อนผ่านทางผนัง (ที่เรียกว่า jacket) หรือระบายความร้อนด้วยน้ำหล่อเย็นหรือ brine water (อุณหภูมิประมาณ -10ºC) ไอระเหยของสารเคมีในถังจะลอยเข้าสู่เครื่องควบแน่นด้านบนที่วางตั้งในแนวดิ่ง (vertical condenser) ที่จะควบแน่นให้ไอที่ระเหยนั้นเป็นของเหลวไหลกลับเข้าสู่ถังปฏิกรณ์ใหม่ การควบคุมความดันภายในถังอาศัย Pressure control valve (PCV) ที่ระบายแก๊สในถังไปยังระบบดักจับสารเคมี (scrubbing column) เพื่อกำจัดสารเคมีที่เป็นพิษออกจากแก๊ส ส่วนการป้องกันความดันสูงเกิดอาศัยวาล์วระบายความดัน Pressure relief valve (PRV) ที่ด้านทางเข้านั้นได้รับการปกป้องไว้ด้วย Bursting disc (หรือ Rupture disc) ที่ทำการระบายแก๊สออกไปยังระบบดักจับสารเคมีเช่นกัน

รูปที่ ๒ ถังปฏิกรณ์ที่เกิดเหตุ

น้ำจะแข็งตัวเป็นน้ำแข็งที่อุณหภูมิ 0ºC แต่ถ้ามีเกลือละลายอยู่ (หรือบางรายก็อาจใช้สารพวก antifreeze เช่นพวกไกลคอล (glycol) ต่าง ๆ) ก็จะทำให้จุดเยือกแข็งลดต่ำลง สามารถนำน้ำนี้มาใช้เป็นน้ำหล่อเย็นที่อุณหภูมิต่ำกว่า 0ºC ได้ น้ำนี้เรียกว่า "brine water" โดยใช้ระบบทำความเย็นลดอุณหภูมิของ brine water ให้ต่ำถึงระดับที่ต้องการแล้วจึงนำน้ำเย็นที่ได้ไปใช้เป็นสารหล่อเย็น

bursting disc หรือ rupture disc เป็นอุปกรณ์ระบายความดันที่จะฉีกขาดเมื่อความดันถึงค่าที่กำหนด อุปกรณ์ตัวนี้ระบายความดันได้รวดเร็วกว่าพวกวาล์วระบายความดัน จึงมักใช้กับระบบที่คาดว่ามีโอกาสที่จะมีความดันขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อมันทำงานแล้วจะไม่สามารถปิดตัวเอง ต้องหยุดเดินเครื่องโรงงานเพื่อเปลี่ยนตัวใหม่ แต่ก็มีการนำมาใช้งานร่วมกับวาล์วระบายความดัน เพื่อป้องกันตัววาล์วจากสารเคมีที่มีฤทธิ์กัดกร่อนสูงหรือก่อให้เกิดคราบของแข็งเกาะติดได้ การใช้งานเพื่อวัตถุประสงค์นี้จะติดตั้ง bursting disc ไว้ทางด้านขาเข้าของวาล์วระบายความดัน

ในช่วงเวลาที่เกิดเหตุ ถังปฏิกรณ์ดังกล่าวถูกใช้เพื่อผลิตสารมัธยันต์ (intermediate) เพื่อนำไปใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ต้องการต่อไป สารที่ใช้ในการทำปฏิกิริยาประกอบด้วย โทลูอีน (toluene C6H5-CH3) ที่ทำหน้าที่เป็นตัวทำละลาย, N,N-dimethyl aniline (DMA) ที่เป็นสารตั้งต้น (เป็นของเหลวที่อุณหภูมิห้อง) และแก๊สฟอสจีน (phosgene) ที่เป็นสารตั้งต้นอีกตัวหนึ่ง ผลิตภัณฑ์ที่ได้คือ acid chloride (รายงานการสอบสวนระบุไว้เพียงแค่นี้ แต่ดูจากปฏิกิริยาที่น่าจะเกิดแล้วคิดว่าน่าจะเป็นตัวที่แสดงไว้ในรูปที่ ๑) โดยในการทำปฏิกิริยานั้นจะทำการเติมโทลูอีนกับฟอสจีนเข้าไปในถังปฏิกรณ์ก่อน จากนั้นจึงค่อยเติม N,N-dimethyl aniline ลงไป โทลูอีนที่ใช้นั้นมีทั้งโทลูอีนใหม่ที่มาจากถังเก็บ และ recycled toluene ที่ได้มาจากการแยกเอาผลิตภัณฑ์และสารอื่นออกไป

ปฏิกิริยาที่เกิดนั้นเป็นปฏิกิริยาคายความร้อน แต่ปฏิกิริยาจะเริ่มเกิดได้เมื่อระบบมีอุณหภูมิสูงพอ ด้วยเหตุนี้ทางฝั่งด้าน jacket ของถังปฏิกรณ์จึงมีทั้งน้ำร้อนเพิ่มอุณหภูมิเพื่อกระตุ้นให้ปฏิกิริยาเกิด และน้ำหล่อเย็นเพื่อระบายความร้อนที่ปฏิกิริยาปลดปล่อยออกมา ลำดับขั้นตอนการทำงานที่ออกแบบไว้ตอนแรกมีดังนี้

(1) เปิด brine cooling (อุณหภูมิ -10ºC) เข้าด้าน jacket ของถังปฏิกรณ์

(2) เติม recycled toluene 1 ตัน เข้าถังปฏิกรณ์

(3) เติมโทลูอีนใหม่อีก 2 ตัน

(4) เติมฟอสจีน 20 กิโลกรัม

(5) เติมฟอสจีน 0.8 ตัน

(6) ป้อน DMA 1.6 ตัน และคงอุณหภูมิไว้ให้ต่ำกว่า 30ºC

(7) ให้ความร้อนจนระบบมีอุณหภูมิสูงถึง 65ºC

(8) คงอุณหภูมิไว้ที่ 65ºC เป็นเวลา 12 ชั่วโมง

(9) ถ่ายสารผสมในถังปฏิกรณ์ไปยังกระบวนการถัดไป

เนื่องจากปฏิกิริยาระหว่างฟอสจีนกับน้ำเป็นปฏิกิริยาคายความร้อน ทางบริษัทเกรงว่าถ้าในระบบมีน้ำปนเปื้อนมากเกินไปจะเกิดความร้อนสูงเกิน จึงได้ออกแบบขั้นตอนการทำงานให้มีการเติมฟอสจีนปริมาณไม่มากเข้าไปก่อนคือในขั้นตอนที่ (4) ถ้าพบว่าอุณหภูมิในระบบเพิ่มสูงเกิน 1.0ºC ก็แสดงว่ามีน้ำปนเปื้อนอยู่มาก ก็ต้องมาทำการปรับเพิ่มปริมาณฟอสจีนที่ต้องเติมในขั้นตอนที่ (5) เนื่องจากปฏิกิริยาเกิดในเฟสของเหลว อุณหภูมิที่วัดจึงต้องเป็นอุณหภูมิในเฟสของเหลว ตำแหน่งของตัววัดอุณหภูมิที่ติดตั้งในถังปฏิกรณ์จึงค่อนข้างต่ำ (ดูรูปที่ ๑) เพื่อให้มั่นใจว่ามันจะจมอยู่ในของเหลว

รายงานไม่ได้กล่าวว่าน้ำปนเปื้อนนั้นมาจากไหน แต่ดูจากลำดับการทำงานแล้วแสดงว่ามากับโทลูอีน ปรกติโทลูอีนสามารถละลายในน้ำได้ในปริมาณเล็กน้อย และน้ำปริมาณเล็กน้อยก็สามารถละลายเข้าไปในโทลูอีนได้เช่นกัน ที่มาของน้ำมีได้ตั้งแต่เกิดจากปฏิกิริยาข้างเคียง, การควบแน่นของความชื้นในอากาศ (ถ้าโทลูอีนในถังเก็บนั้นสัมผัสกับอากาศ) และจากกระบวนการกลั่นให้โทลูอีนบริสุทธิ์ (เช่นด้วยการฉีดไอน้ำเข้าไปในโทลูอีนโดยตรง เพื่อไล่องค์ประกอบที่มีจุดเดือดต่ำกว่าออกไป หรือถ้าในกรณีที่โทลูอีนเป็นสารที่มีจุดเดือดต่ำสุดในสารผสม โทลูอีนก็จะระเหยออกมากับไอน้ำที่ถูกฉีดเข้าไป)

ในการออกแบบขั้นตอนการทำงานครั้งแรกนั้น กำหนดให้ในเติมฟอสจีนในขั้นตอนที่ (4) เพียงแค่ 10 กิโลกรัม และดูว่าอุณหภูมิในระบบเพิ่มสูงเกิน 2.5ºC หรือไม่ ซึ่งเมื่อเข้าสู่การพิจารณาทบทวน ก็มีคำถามขึ้นมาว่าปริมาณฟอสจีนเพียงแค่ 10 กิโลกรัมนั้นสามารถทำให้เกิดความร้อนมากพอที่จะทำให้อุณหภูมิในระบบ (คืออุณหภูมิของโทลูอีน 3 ตัน) สูงขึ้น 2.5ºC ได้หรือไม่ ทำให้เกิดคำถามว่าจะสามารถใช้เงื่อนไขนี้เป็นตัวบอกว่าในระบบมีน้ำปนเปื้อนมากเกินไปได้หรือไม่ ด้วยเหตุนี้ทางผู้พิจารณาจึงได้มีการเสนอแนะให้พิจารณาการเพิ่มปริมาณฟอสจีนที่เติม หรือทำการปรับเปลี่ยนขั้นตอนการทำงานให้เหมาะสม ทางบริษัทจึงได้ทำการปรับเปลี่ยนขั้นตอนที่ (4) โดยให้เพิ่มปริมาณฟอสจีนเป็น 20 กิโลกรัม และปรับค่าการเพิ่มของอุณหภูมิให้ลดเหลือ 1ºC


ทางผู้พิจารณากล่าวเอาไว้กลาง ๆ ว่าให้ทบทวนว่าขั้นตอนการทดสอบที่ออกแบบไว้นั้นสามารถใช้ทดสอบได้จริง ซึ่งทางบริษัทก็ได้ทำการแก้ไขขั้นตอนการทำงาน แต่ไม่ได้ทำการทดสอบว่าขั้นตอนที่แก้ไขแล้วนั้นสามารถใช้ทดสอบได้จริงเนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงผู้ทำงาน ความเห็นเรื่องการให้ทบทวนวิธีการทำงานจึงถูกเก็บเข้าแฟ้มไว้ และผู้ที่ทำงานอยู่ในช่วงที่เกิดอุบัติเหตุก็ไม่ทราบเรื่องนี้

ประเด็นหนึ่งที่เกิดขึ้นในระหว่างการศึกษา Hazard and operability (ที่เรียกกันย่อ ๆ ว่า HAZOP) คือจะมีการเติมโทลูอีนเข้าไปในถังปฏิกรณ์น้อยเกินไป ทำให้ตัวตรวจวัดอุณหภูมินั้นไม่จมอยู่ใต้ผิวของเหลว ซึ่งถ้าเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวจะทำให้ไม่สามารถตรวจพบการเพิ่มของอุณหภูมิได้ จึงได้มีการออกแบบป้องกันด้วยการติดตั้ง flow meter เพื่อวัดปริมาณโทลูอีนใหม่ที่ป้อนเข้าถัง (เพราะโทลูอีนส่วนใหญ่มาจากทางนี้) เพื่อให้มั่นใจว่าระดับโทลูอีนในถังจะสูงเพียงพอ

แต่ก็ไม่ได้ทำการพิจารณาว่าถ้า flow meter ตัวนี้ไม่ทำงานหรือหรือให้ข้อมูลผิดพลาดแบบ positive reading (คือบอกว่ามีการไหลแต่ในความเป็นจริงไม่มี) ซึ่งประเด็นนี้ก็มีบทบาทในอุบัติเหตุที่เกิด

การผลิตเริ่มครั้งแรกในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. ๑๙๙๑ (พ.ศ. ๒๕๓๔) ซึ่งในครั้งนั้นก็เกิดปัญหาอุณหภูมิในถังปฏิกรณ์เพิ่มสูงเกิน คือเต็มค่าสูงสุดที่ตัวตรวจวัดอุณหภูมิอ่านได้ (ค่าสูงสุดที่เครื่องวัดแสดงได้คือ 130ºC แม้ว่าอุณหภูมิจริงจะสูงกว่านี้) ความดันในระบบสูงจนวาล์วระบายความดันเปิดเพื่อระบายความดัน ซึ่งในขณะนั้นเชื่อว่าเกิดจากความร้อนของปฏิกิริยาที่ระบายออกมาทั้งหมดในเวลาเพียงแค่ประมาณ 1.5 ชั่วโมงแทนที่จะเป็น 8-16 ชั่วโมง แต่การผลิตก็ได้ดำเนินต่อไปอีก 77 ครั้ง โดยในระหว่างนี้มีการพบอุณหภูมิเพิ่มขึ้นสูง 6 ครั้ง

ในการผลิตครั้งหนึ่งนั้นหน้าจอคอมพิวเตอร์แสดงว่ามีโทลูอีนไหลเข้าระบบ แต่ supervisor ในกะนั้นพบว่าในความเป็นจริงนั้นวาล์วของท่อป้อนโทลูอีนนั้นปิดอยู่ (คือในความเป็นจริงไม่มีการไหล) จึงได้ทำการแก้ไขด้วยการเปิดวาล์ว ปัญหานี้แสดงให้เห็นว่าหน้าจอการแสดงผลนั้นมีความผิดพลาด แต่ก็ไม่ได้รับการแก้ไข เนื่องจากไม่มีการรายงาน จนกระทั้งหลังเกิดการรั่วไหลจึงมีการตรวจพบว่าตัว flow meter นั้นมีปัญหา และสามารถส่งสัญญาณว่ามีการไหลไปยังคอมพิวเตอร์ควบคุมได้ทั้งที่ความจริงนั้นไม่มีการไหล

การผลิตครั้งที่ 78 ซึ่งเป็นครั้งที่เกิดเหตุนั้นเริ่มเมื่อเวลาประมาณ ๒๑.๓๐ น ของวันศุกร์ที่ ๖ ธันวาคม โดยโอเปอร์เรเตอร์ได้ดำเนินการตามขั้นตอน (1) และ (2) (เปิด brine cooling และเติม recycled toluene เข้าถังปฏิกรณ์) จากนั้นก็ปล่อยทิ้งไว้ 9 ชั่วโมงเพื่อรอให้ recycled DMA และโทลูอีนมีพร้อมใช้งาน ในช่วงเวลานี้มีความเป็นไปได้ที่น้ำที่มีปนเปื้อนอยู่ในระบบนั้นจะกลายเป็นน้ำแข็ง (brine cooling มีอุณหภูมิ -10ºC และน้ำแข็งที่เกิดขึ้นน่าจะจมลงข้างล่าง)

ช่วงเช้าวันที่ ๗ เมื่อมี recycled DMA พร้อมใช้งาน โอเปอร์เรเตอร์ก็ดำเนินการตามขั้นตอนที่ (3) ที่เป็นการเติมโทลูอีนใหม่เข้าถังปฏิกรณ์ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงก็คือหน้าจอคอมนั้นแสดงว่ามีโทลูอี่นไหลเข้าระบบ แต่ในความเป็นจริงนั้นวาล์วของท่อป้อนโทลูอีนใหม่นั้นปิดอยู่ ด้วยเหตุนี้ระดับของเหลวจึงไม่สูงขึ้น ตัวตรวจวัดอุณหภูมิจึงไม่จุ่มอยู่ใต้ผิวของเหลว

ขั้นตอนที่ (4) และ (5) นั้นเกิดขึ้นก่อนการเปลี่ยนกะ โอเปอร์เรเตอร์กะใหม่จึงดำเนินการต่อในขั้นตอนที่ (6) และ (7) (คือเติม DMA เข้าระบบและให้ความร้อน) และเมื่ออุณหภูมิในถังปฏิกรณ์เพิ่มสูงถึง 65ºC อุณหภูมิก็ยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจนเกิน 100ºC ภายในเวลา 15 นาที ในเวลาเดียวกันความดันในระบบก็เพิ่มสูงขึ้นจนวาล์วระบายความดันทำงาน แต่ก็ยังไม่สามารถระบายความดันได้ทัน ความดันยังเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องจนท่อทางเข้า vertical condenser เกิดการพัง สารที่อยู่ในถังปฏิกรณ์จึงรั่วไหลออกมา

สาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุที่การสอบสวนค้นพบมีหลายสาเหตุเช่น

- แม้ว่าฟอสจีนจะทำปฏิกิริยากับน้ำได้รวดเร็ว แต่ในกรณีของระบบ น้ำ-โทลูอี่น-ฟอสจีน นั้น ปฏิกิริยาเกิดช้ากว่ามาก แม้ว่าจะเพิ่มอุณหภูมิจนถึง 50ºC ไม่ว่าน้ำนั้นจะอยู่ในรูปของหยดน้ำแขวนลอยอยู่ในโทลูอีน หรือเป็นชั้นน้ำที่จมอยู่ข้างกล่าง และในกรณีนี้ก็มีความเป็นไปได้ที่น้ำนั้นจะกลายเป็นก้อนน้ำแข็ง ทำให้น้ำไม่ทำปฏิกิริยากับฟอสจีนหรือทำได้ยาก ดังนั้นวิธีการตรวจสอบการปนเปื้อนของน้ำด้วยการสังเกตจากอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นเมื่อป้อนฟอสจีนเข้าไปนั้น จึงไม่น่าจะใช้ได้

- การค้นพบอย่างหนึ่งก็คือ แม้ว่าฟอสจีนจะทำปฏิกิริยากับน้ำที่ปนเปื้อนอยู่กับโทลูอีนได้ช้า แต่เมื่อเติม DMA เข้าไปกลับพบว่าปฏิกิริยาเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งต่อมาภายหลังก็พบว่าน้ำที่ปนเปื้อนในปริมาณเล็กน้อยนั้นอาจทำหน้าที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาระหว่าง DMA กับฟอสจีน ทำให้เกิดการคายความร้อนอย่างรวดเร็ว

- หลังเกิดอุบัติเหตุพบว่า acid chloride ที่เป็นผลิตภัณฑ์นั้นสามารถสลายตัวได้เมื่ออุณหภูมิสูงเกินกว่า 120ºC และให้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นแก๊ส ซึ่งเป็นการเพิ่มทั้งความร้อนและความดันให้กับระบบ

ในปฏิกิริยานี้ ฟอสจีนเป็นสารอันตราย (ถูกจัดว่าเป็นอาวุธเคมี และมีการใช้ตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๑) ดังนั้นการทำปฏิกิริยาจะเกิดด้วยอัตราส่วน 1:1 โดยโมล แต่เพื่อความปลอดภัยจึงใช้ DMA ในปริมาณที่มากเกินพอเพื่อให้ฟอสจีนทำปฏิกิริยาหมด (แต่ก็ต้องมีการแยก DMA ที่เหลือจากการทำปฏิกิริยาเพื่อนำกลับมาใช้งานใหม่) ด้วยเหตุนี้เมื่อมีการรั่วไหลเกิดขึ้นจีงไม่มีฟอสจีนรั่วไหลออกมาด้วยเพราะทำปฏิกิริยาไปจนหมดแล้ว

วันจันทร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2568

ควรอ่านให้ละเอียด และตรวจสอบจากหลายแหล่ง MO Memoir : Monday 13 October 2568

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๙ ตุลาคมที่ผ่านมาเกิดเหตุการณ์เพลิงไหม้ที่ชั้น ๑๖ ของคอนโดมีเนียม ๓๘ ชั้นย่านสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า ฝั่งตรงข้ามห้างพาต้า มีผู้เสียชีวิต ๑ ราย และเมื่อวานก็เห็นมีการแชร์เนื้อหาหนึ่งทางหน้า facebook ดังแสดงในรูปที่ ๑ และในวันเดียวกันมีสำนักข่าวบางแห่งรับลูกไปเล่นต่อ ลองอ่านเนื้อหาดังกล่าวดูเองก่อนนะครับ

รูปที่ ๑ ข้อความที่เห็นแชร์มาทาง facebook

ตรงที่ขีดเส้นใต้สีแดง ตรงบรรทัดที่ ๔ บอกว่าผู้เสียชีวิตเสียชีวิตจาก "สำลักควันไฟในบนไดหนีไฟ" แต่ตรงบรรทัดล่างสุดบอกว่า "ต้องรอการสอบสวนหาสาเหตุที่แน่นอนต่อไป"

เห็นความขัดแย้งไหมครับ เริ่มต้นก็รีบบอกเลยว่าเสียชีวิตจาก "สำลักควันไฟในบนไดหนีไฟ" แต่ตอนท้ายกลับบอกว่า "ต้องรอการสอบสวนหาสาเหตุที่แน่นอนต่อไป"

เรื่องถัดมาคือเรื่องของพัดลมอัดกาศ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทางหนีไฟที่อยู่ในอาคาร ซึ่งเนื้อหาเขาบอกว่าทางหนีไฟกลายเป็น "ปล่องควันมรณะ" เนื่องจากมีคนเปิดประตูทิ้งไว้ ตรงประเด็นนี้ขอทิ้งไว้ตรงนี้ก่อน

ทีนี้ลองไปดูเนื้อหาข่าวจากช่อง ONE31 ดูบ้างที่นำมาแสดงในรูปที่ ๒ ซึ่งมาจากการให้สัมภาษณ์ของผู้อำนวยการเขตบางกอกน้อยในวันถัดจากวันที่เกิดเพลิงไหม้ เนื้อหาข่าวบอกว่าพบผู้เสียชีวิต "บริเวณทางเดินชั้น 33 เบื้องต้นสาเหตุการเสียชีวิตไม่ได้เกิดจากการสำลักควัน" แต่จะต้องมีการตรวจพิสูจน์ถึงสาเหตุการเสียชีวิตอย่างละเอียดอีกครั้ง

จะเห็นนะครับว่าบริเวณที่พบกับสาเหตุกับสาเหตุของการเสียชีวิตนั้นไม่ตรงกับเนื้อหาในรูปที่ ๑

รูปที่ ๒ เนื้อหาข่าวจากสำนักข่าวช่อง ONE31

ทีนี้ลองมาดูข่าวจากสำนักข่าว Thai PBS ที่รายงานไว้ในวันเกิดเหตุบ้าง (รูปที่ ๒) ส่วนหนึ่งของเนื้อหาข่าวบอกว่าอาสาสมัครกู้ภัย "รุดอพยพประชาชนออกจากอาคาร โดยใช้วิธีประคองเดินลงบันไดหนีไฟ" ซึ่งแสดงว่าตอนเกิดเหตุเพลิงไหม้นั้นบันไดหนีไฟยังใช้งานได้อยู่

รูปที่ ๓ เนื้อหาข่าวจากสำนักข่าว Thai PBS

ทีนี้ลองดูเนื้อหาข่าวของสำนักข่าว pptvhd36 (รูปที่ ๔) ที่รายงานไว้ในวันเกิดเหตุดูบ้าง ซึ่งบอกว่าเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการได้ให้การช่วยเหลือ "ผู้ติดค้างชั้นที่ 17 และชั้นที่ 24 อย่างปลอดภัยเป็นที่เรียบร้อย" และ "ให้การช่วยเหลือผู้ติดค้างบริเวณชั้นดาดฟ้า และบริเวณบันไดหนีไฟทั้งหมดจำนวน 12 ราย ลงมาบริเวณจุดสวนหย่อมของคอนโด ชั้นที่ 7 อย่างปลอดภัยเป็นที่เรียบร้อย" นั่นแสดงว่าในขณะที่เกิดเพลิงไหม้นั้นบันไดหนีไฟในชั้นทึ่สูงกว่าชั้นที่เกิดเพลิงไหม้ (ชั้นที่ 16) ยังใช้งานได้อยู่

พัดลมอัดอากาศเป็นสิ่งสำคัญสำหรับบันไดหนีไฟที่อยู่ในอาคาร หน้าที่ของมันคือทำให้ความดันในช่องทางหนีไฟนั้นสูงกว่าความดันภายในตัวอาคาร "เล็กน้อย" สำหรับอาคารที่สูงไม่เกิน ๒๓ เมตรนั้น (ประมาณ ๕-๖ ชั้น) มีข้อกำหนดไว้ว่าสามารถใช้ระบบอัดอากาศแบบจุดเดียวได้ (ประกาศกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ข้อกำหนดในการป้องกันอัคคีภัย เล่ม ๖ ระบบอัดอากาศเพื่อควบคุมควันไฟ มาตรฐานเลขที่ มอก. ๒๕๔๑ เล่ม ๖ - ๒๕๕๕)

ในกรณีของระบบอัดอากาศแบบเข้าหลายจุด (ใช้ได้กับอาคารทุกระดับความสูง) มีข้อกำหนดว่าตำแหน่งช่องอัดอากาศเข้าแต่ละจุดต้องห่างไม่เกิน ๓ ชั้น

แต่ไม่ว่าจะเป็นระบบอัดอากาศแบบเข้ากี่จุดนั้น ในการออกแบบก็กำหนดให้มีการคำนึงถึง "จำนวนประตูที่เปิดค้างสู่ภายนอก" ด้วย

รูปที่ ๔ เนื้อหาข่าวจากสำนักข่าว pptvhd36

ประตูหนีไฟจะออกแบบให้มีกลไกที่ดึงให้ประตูที่ถูกเปิดออกไปให้กลับมาอยู่ที่ตำแหน่งปิดเสมอ และการเปิดจะเป็นการเปิดแบบผลักออกจากตัวอาคารเข้าไปยังทางหนีไฟ ยกเว้นประตูที่เป็นทางออกด้านล่างและบนชั้นดาดฟ้าที่เป็นการเปิดออกแบบผลักออกจากช่องทางหนีไฟออกมาข้างนอก ดังนั้นในขณะที่เกิดเพลิงไหม้และระบบอัดอากาศทำงาน แรงที่ต้องใช้ในการผลักประตูให้เปิดจะเป็นผลรวมของ แรงดึงให้ประตูปิดของกลไกดึงให้ประตูปิด กับแรงดันที่เท่ากับผลคูณของความดันในตัวช่องทางหนีไฟกับพื้นที่หน้าตัดของประตู สำหรับคนที่อยู่ชั้นต่ำจะแนะนำให้หนีลงล่าง และสำหรับคนที่อยู่ชั้นใกล้ดาดฟ้าก็สามารถเลือกหนีขึ้นด้านบน

และโดยธรรมชาติของควันที่เกิดจากเพลิงไหม้ที่เป็นแก๊สร้อน มันจะลอยขึ้น ดังนั้นถ้ามันเล็ดรอดเข้าไปในช่องทางหนีไฟได้ มันก็จะมีแนวโน้มที่ลอยขึ้นบน

ในเหตุการณ์นี้ไม่เห็นว่ามีการกล่าวถึงการทำงานของระบบอัดอากาศว่าทำงานปรกติหรือใช้งานไม่ได้ มีแต่บอกว่าระบบสปริงเกอร์ไม่ทำงาน แต่ถ้าอ่านจากหลายสำนักข่าวจะเห็นว่า บันไดหนีไฟยังใช้งานได้อยู่

มาถึงจุดนี้คงเห็นความสำคัญของ "การอ่านให้ละเอียด" และ "ควรตรวจสอบจากหลายแหล่ง" แล้วนะครับ

วันพุธที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2568

Tube furnace ระเบิดจากการฉีกขาดของท่อน้ำมัน MO Memoir : Wednesday 8 October 2568

ในหนังสือ "Myths of the Chemical Industry, or 44 Things a Chemical Engineer Ought NOT to Know" ที่เขียนโดย Prof. T.A. Kletz มีเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับ Tube furnace โดยมีรูปและข้อความประกอบว่า "An elephant has a good memory ... But a furnace tube has a better one" (รูปที่ ๑) ถ้าแปลเป็นไทยก็คงออกมาทำนองว่า "ช้างมีความจำที่ดี แต่ท่อของเตาเผามีความจำที่ดีกว่า" เนื้อหาในเรื่องดังกล่าวเกี่ยวกับอายุการใช้งานของท่อโลหะที่ได้รับความร้อนสูงเกินกว่าที่ออกแบบไว้ แม้ว่าจะเป็นช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ก็ตาม

รูปที่ ๑ รูปประกอบนี้นำมาจากฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๓ ที่มีการเปลี่ยนชื่อหนังสือเป็น "Dispelling chemical engineering myths, Third Edition" เนื่องจากมีการเพิ่มเนื้อหาต่าง ๆ เพิ่มเติมเข้ามา และมีการแก้ไขภาษา โดยฉบับพิมพ์ครั้งแรก (ผมซื้อเก็บไว้แต่หายไปไหนก็ไม่รู้ เข้าใจว่าถูกยืมไปแล้วหายไปเลย) เป็นการใช้ภาษาการเรียกอุปกรณ์ต่าง ๆ แบบ British English แต่ฉบับพิมพ์ครั้งต่อมามีการปรับแก้ไขภาษาการเรียกอุปกรณ์ต่าง ๆ เป็นแบบ Ameirican English

ในหนังสือดังกล่าวได้ยกตัวอย่างว่าถ้าท่อของ tube furnace ได้รับการออกแบบมาให้ทำงานที่อุณหภูมิ 500ºC เป็นเวลา 100,000 ชั่วโมง (หรือ 11 ปี)

ถ้าถูกใช้งานที่อุณหภูมิ 506ºC อายุการใช้งานจะลดเหลือ 6 ปี

ถ้าถูกใช้งานที่อุณหภูมิ 550ºC อายุการใช้งานจะลดเหลือ 3 เดือน

ถ้าถูกใช้งานที่อุณหภูมิ 635ºC อายุการใช้งานจะลดเหลือ 20 ชั่วโมง

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือถ้ามีช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งท่อนั้นถูกใช้งานที่อุณหภูมิสูงเกินกว่าที่ออกแบบไว้ แม้ว่าหลังจากนั้นจะมีการกลับมาใช้งานงานที่อุณหภูมิเดิมหรือต่ำกว่าเดิม ความเสียหายที่เกิดขึ้นตอนที่ถูกใช้งานที่อุณหภูมิสูงเกินนั้นไม่ได้หายไปด้วย มันยังคงอยู่ ทำให้อายุการใช้งานของท่อลดลงได้มาก

ตรงนี้ขออธิบายเพิ่มเติมนิดนึง กล่าวคือการออกแบบเผื่อ (ว่าจะมีการทำงานสูงเกินภาวะปรกติ) ในเรื่องของอุณหภูมินั้นแตกต่างไปจากความดัน การเผื่อการใช้งานที่อุณหภูมิสูงเกินนั้นทำได้ด้วยการเพิ่มความหนาของวัสดุที่ใช้ทำ แต่ในเรื่องของอุณหภูมินั้นต้องเปลี่ยนแปลงชนิดวัสดุที่ใช้ทำ

เหตุการณ์ที่นำมาเล่าในวันนี้นำมาจากรายงานการสอบสวนเรื่อง "Accident Investigation Report on the Explosion and Fire at the Irving Oil Refinery, Saint John, New Brunswick" รายงานไม่ระบุประเทศแต่ค้นดูแล้วน่าจะเป็นแคนาดา โดยเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาษ ๙.๓๐ น ของวันอังคารที่ ๙ มิถุนายน ค.ศ ๑๙๙๘ (.. ๒๕๔๑) ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับท่อ (tube) ของเตาเผา (Furnace) โดยท่อดังกล่าวได้รับความร้อนสูงเกินเนื่องจากเปลวไฟนั้นพุ่งไปกระทบกับผิวท่อโดยตรง ทำให้ท่อเกิดการฉีกขาด น้ำมันความดันสูงที่อยู่ในท่อก็เลยพุ่งออกมาทำให้เกิดการระเบิดตามมา

เตาเผาดังกล่าวเป็นของหน่วย Hydrotreater - Hydrocraker โดยทำหน้าที่ให้ความร้อนแก่น้ำมันดิบก่อนเข้ากระบวนการ Hydrocracker (กำจัดสิ่งปนเปื้อนด้วยการใช้แก๊สไฮโดรเจนดึงสารเหล่านั้นออกมาในรูปสารประกอบไฮโดรเจน) และ Hydrocraker (ทำให้โมเลกุลไฮโดรคาร์บอนขนาดใหญ่ที่มีความไม่อิ่มตัวสูง (มีพันธะ C=C อยู่มาก) กลายเป็นโมเลกุลที่มีความอิ่มตัวเพิ่มขึ้นด้วยการเติมไฮโดรเจน (เปลี่ยนพันธะ C=C เป็น C-C) และแตกออกเป็นโมเลกุลเล็กลง) ปฏิกิริยานี้เกิดที่อุณหภูมิและความดันสูง น้ำมันดิบที่มีความดันสูงจะถูกแยกเป็นสองสายเท่า ๆ กันไหลผ่านเตาเผา ๒ เตา (เตาด้านทิศตะวันออกและเตามด้านทิศตะวันตก) เพื่อรับความร้อนจากเปลวไฟที่อยู่ภายในเตาเผา ก่อนจะไหลออกมารวมกันและต่อไปยังหน่วย Hydrotreater - Hydrocraker เตาเผาที่ใช้เป็นชนิด cabin type โดยท่อในเตาเผานั้นวางในแนวนอน (รูปที่ ๒) ท่อนั้นเป็นท่อขนาด 8 นิ้วทำจากโลหะสแตนเลสสตีล 347

รูปที่ ๒ การวัดวางท่อในตัว furnace โดยท่อนั้นวางในแนวนอน (แถวล่างสุดคือแถวที่ ๑ และแถวบนสุดคือแถวที่ ๘) ตัวหัวเตาที่ให้ความร้อนนั้นอยู่ที่ระดับพื้นด้านล่างทั้งทางด้านซ้ายและขวาของท่อ

ท่อที่ใช้ในเตาเผานั้นมีทั้งแบบใช้ท่อตรงและท่อที่เป็นขดเกลียว ถ้าใช้ท่อที่เป็นขดเกลียวรูปทรงเตาก็จะเป็นทรงกระบอก แต่ถ้าใช้ท่อที่เป็นท่อตรงรูปทรงเตาก็มักจะเป็นสี่เหลี่ยม ตรงนี้บางรายจะแยกออกว่า "Cabin type" จะเป็นชนิดที่วางท่อในแนวนอน ถ้าเป็น "Box type" ก็จะเป็นชนิดที่วางท่อในแนวตั้ง แต่บางรายก็จะใช้เรียกรวมกัน แต่ในรายงานฉบับท่นำมาเล่านี้จะแยกระหว่า งcabin type และ box type

ตัวท่อได้รับความร้อนจากหัวเตาที่ขนาบอยู่ทางด้านซ้ายและขวาด้านละ 22 หัวเตา ตำแหน่งติดตั้งหัวเตานั้นอยู่ที่ระดับพื้นด้านล่างของเตา โดยอยู่ในร่องอิฐทนไฟที่บังคับให้เปลวไฟที่พุ่งออกมาจากหัวเตานั้นเปลี่ยนทิศทางพุ่งขึ้นด้านบน การทำเช่นนี้เพื่อป้องกันไม่ให้เปลวไฟพุ่งไปกระทบผิวท่อโดยตรง เพราะจะทำให้บริเวณที่เปลวไฟพุ่งกระทบนั้นร้อนจัดกว่าบริเวณอื่น (โลหะเมื่อร้อน ความแข็งแรงจะลดลง ตรงไหนร้อนมากกว่าบริเวณอื่น จุดนั้นความแข็งแรงก็จะต่ำลงไปอีก)

รูปที่ ๓ มุมมองจากทางด้านบน ตัวบนคือเตาด้านทิศตะวันตก ตัวล่างคือเตาด้านทิศตะวันออก หัวเตาที่มีเปลวไฟให้ความร้อนจะอยู่ขนาบทั้งสองข้างของขดท่อที่วางอยู่ตรงกลาง แก๊สร้อนที่เกิดขึ้นจะลอยออกทางปล่องที่อยู่ทางด้านบน

เวลาประมาณ ๘.๕๐ น ของเช้าวันที่เกิดนั้น โอเปอร์เรเตอร์ของหน่วยข้างเคียงพบเห็นมีกลุ่มควันพวยพุ่งออกมาจากปล่องของเตาเผา จึงได้แจ้งไปยังหน่วยที่รับผิดชอบ และประมาณเวลาใกล้เคียงกัน โอเปอร์เรเตอร์ที่เฝ้าตรวจการทำงานของเตาเผาในห้องควบคุมพบเห็นค่าออกซิเจนส่วนเกินในแก๊สที่ระบายออกทางปล่องของเตาเผานั้นลดต่ำลง จึงได้แจ้งให้โอเปอร์เรเตอร์เข้าไปเพิ่มอัตราการไหลให้กับอากาศ ซึ่งต้องไปทำการปรับที่ตัวเตาเผา

ในทางทฤษฎีนั้น อุณหภูมิแก๊สร้อนสูงสุดที่จะได้จากการเผาเชื้อเพลิงจะเกิดที่อากาศ "พอดี" สำหรับการเผาไหม้เชื้อเพลิงได้สมบูรณ์ หรือที่ทางเคมีเรียกว่า "stoichiometric ratio" ถ้าอากาศน้อยเกินไป เชื้อเพลิงเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถดึงเอาพลังงานความร้อนของเชื้อเพลิงออกมาได้หมด อุณหภูมิแก๊สที่ได้ก็จะไม่สูงสุด ถ้าอากาศมากเกินไป ความร้อนที่ได้จากการเผาไหม้เชื้อเพลิง (ขึ้นกับปริมาณเชื้อเพลิง) จะต้องเฉลี่ยไปยังอากาศส่วนเกินเพื่อทำให้อากาศส่วนเกินนั้นมีอุณหภูมิสูงขึ้นไปด้วย ยิ่งอากาศเกินมามาก ความร้อนที่ได้เท่าเดิมก็ต้องเฉลี่ยออกไปมาก อุณหภูมิแก๊สร้อนเฉลี่ยก็จะลดลง โดยในทางปฏิบัตินั้น การเผาไหม้เชื้อเพลิงจะทำได้สมบูรณ์เมื่อมีอากาศมากเกินพอเล็กน้อย (มันมีเรื่องรูปแบบการผสมระหว่างเชื้อเพลิงกับอากาศ และระยะเวลาการเผาไหม้เข้ามายุ่ง) ในอุบัติเหตุครั้งนี้โอเปอร์เรเตอร์เข้าใจว่าที่เห็นปริมาณอากาศส่วนเกินลดต่ำลงเป็นเพราะป้อนอากาศให้ไม่พอ แต่ในความเป็นจริงน่าจะเกิดจากท่อในเตาเผาเริ่มฉีกขาด ทำให้น้ำมันในท่อรั่วออกมาลุกติดไฟ อากาศส่วนเกินก็เลยลดลง และเป็นเปลวไฟสีเหลืองเกิดขึ้นในเตาเผา

เหตุการณ์ในช่วงเวลาก่อนเกิดเหตุนั้นมีโอเปอร์เรเตอร์จากหน่วยอื่นเข้ามาร่วมงาน แต่ในขณะที่โอเปอร์เรเตอร์จากหน่วยอี่นกำลังเดินออกไปโดยมีเพียงโอเปอร์เรเตอร์หลักที่ดูแลเตาเผานั้นอยู่ในบริเวณดังกล่าวเพียงรายเดียว ก็เกิดการระเบิดขึ้น ทำให้โอเปอร์เรเตอร์หลักที่อยู่ตรงเตาเผานั้นเสียชีวิต

การตรวจสอบเตาเผาด้านตะวันออกที่เกิดการระเบิดนั้นพบว่า ท่อแถวที่สอง (นับจากด้านล่าง) หลุดจากตำแหน่งที่ควรอยู่ตรงกึ่งกลางของเตามากระแทกผนังด้านทิศตะวันออก แรงกระแทกรุนแรงถึงขึ้นทำให้ผนังเตาด้านทิศตะวันออกเกิดความเสียหาย ท่อบริเวณดังกล่าวมีรอยฉีกขาดยาว 4 ฟุต 8 นิ้วโดยอยู่ห่างจากปลายด้านทิศใต้ประมาณ 18ฟุต (นั่นแสดงว่ารอยฉีกขาดอยู่ทางทิศตะวันตก น้ำมันภายใต้ความดันสูงที่ฉีดพ่นออกมาจึงดันให้ท่อเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันออก)

การตรวจสอบเนื้อโลหะของท่อพบว่ารอยแตกเกิดจาก "การคืบ (creep)" เนื่องจากเนื้อโลหะของท่อบริเวณดังกล่าว (ตรงกับหัวเตาหมายเลข 58) ถูกเปลวไฟพุ่งกระทบโดยตรง การสอบสวนไม่สามรถระบุสาเหตุที่เป็นต้นตอได้ แต่กล่าวไว้ว่าสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุเช่น เศษอิฐทนไฟเข้าไปติดหรือไปสะสมบริเวณหัวเตา, การเปลี่ยนทิศทางของเปลวไฟหรือเปลวไฟถูกทำให้เบี่ยงทิศทาง, การสะสมของโค้ก (coke คือคราบคาร์บอน) บนรูของหัวเตา หรือการเสื่อมสภาพของอิฐทนไฟที่เป็นที่ติดตั้งหัวเตา (คือเปลวไฟที่พุ่งออกมาจากหัวเตาจะถูกอิฐทนไฟเบียงทิศทางให้พุ่งขึ้นบนแทนที่จะพุ่งเข้าหาท่อโดยตรง)

สัญญาณเตือนอุณหภูมิผิวท่อสูงเกินนั้นเดิมถูกตั้งไว้ที่ 970ºF (ประมาณ 521ºC) แต่ต่อมาได้ถูกปรับขึ้นเป็น 990ºF (ประมาณ 532ºC) จากการตรวจสอบเนื้อโลหะ (สแตนเลสสตีลเบอร์ 347) พบการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างที่จะเกิดในช่วงอุณหภูมิ 1300-1500ºF (ผิวท่อบริเวณดังกล่าวไม่มีตัวตรวจวัดอุณหภูมิติดตั้งไว้) ผู้เชี่ยวชาญประมาณไว้ว่าที่อุณหภูมิ 1300ºF อายุการใช้งานของท่อจะเหลือเพียง 1000 ชั่วโมง และที่อุณหภูมิ 1500ºF อายุการใช้งานจะเหลือเพียงแค่ 8 ชั่วโมง

"การล้า" หรือ "ความล้า" หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า "creep" นั้นเกิดเมื่อวัสดุนั้นมีแรงกระทำที่ไม่สูงถึงขึ้น yield strength (ความเค้นสูงสุดที่วัสดุรับได้ก่อนเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปร่างถาวร) แต่แรงกระทำนั้นมากพอและกระทำต่อเนื่องเป็นเวลานาน ในที่นี้แรงกระทำคือความดันภายในท่อที่พยายามดันให้ท่อบวมออก ถ้าท่อมีความแข็งแรงเพียงพอท่อก็จะไม่เกิดความเสียหายใด ๆ แต่ที่อุณหภูมิสูงขึ้น ความแข็งแรงของท่อจะลดลง (ค่า yield strength ลดต่ำลง) ในขณะที่แรงกระทำที่เกิดจากความดันภายในท่อยังคงเท่าเดิม ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไปนานพอท่อก็จะเกิดการฉีกขาดได้

รายงานต้นฉบับดาวน์โหลดได้ที่ https://ncsp.tamu.edu/reports/WHSCC/irvingreport.pdf

วันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2568

การเสียชีวิตจากแก๊สไฮโดรเจนซัลไฟด์ บนหลังคา External Floating Roof Tank MO Memoir : Friday 3 October 2568

เรื่องที่นำมาเล่าในวันนี้นำมาจากบทความเรื่อง "H2S exposure & fatality on external floating roof tank deck" เผยแพร่เมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน ค.ศ. ๒๐๒๕ บนหน้าเว็บของ "Oil Industry Safety Directorate" ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาลประเทศอินเดีย (https://www.oisd.gov.in/en-in/CaseStudies)

Floating roof tank เป็นถังเก็บของเหลวที่หลังคาถังลอยอยู่บนผิวของเหลวที่อยู่ในถัง ข้อดีของหลังคาแบบนี้คือทำให้ไม่มีที่ว่างเหนือผิวของเหลวทำให้สามารถลดการระเหยของของเหลวได้ ถังแบบนี้เหมาะสำหรับการเก็บของเหลวที่มีความดันไอสูงที่อุณหภูมิห้อง (เช่น น้ำมันเบนซิน หรือน้ำมันหนักที่มีน้ำมันเบาผสมอยู่เช่นน้ำมันดิบ) ด้วยการที่หลังคาถังเลื่อนขึ้นลงตามระดับของเหลวในถัง ตัวหลังคาจึงอยู่ต่ำกว่าขอบบนของผนังลำตัวถัง ดังนั้นเวลาฝนตกก็จะมีน้ำฝนจะสมบนหลังคาถังได้ สำหรับประเทศในเขตร้อนมักจะไม่ทำหลังคาfixed roof ครอบตัว floating roof เอาไว้เพราะสามารถระบายน้ำบนหลังคานั้นออกทางท่อระบายน้ำได้ ถังแบบนี้เรียกว่า external floating roof tank แต่สำหรับประเทศเมืองหนาวที่มีหิมะตกประจำ ก็ควรต้องทำ fixed-roof ครอบ floating roof เอาไว้ เพราะหิมะเป็นของแข็งที่ไม่สามารถไหลลงไปตามท่อระบายน้ำ ถ้าปล่อยให้มันสะสมบน floating roof น้ำหนักของมันก็อาจทำให้ floating roof นั้นจมได้ จึงต้องทำ fixed-roof (หรือ cone roof) ปิดคลุมด้านบนเอาไว้อีกที ถังแบบนี้เรียกว่า internal floating roof tank

รูปที่ ๑ ถังที่เกิดเหตุ

Slop oil หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า Slop ในวงการปิโตรเลียมหมายถึงน้ำมันที่ปนเปื้อนสารต่าง ๆ ที่ระบายออกมาจากกระบวนการต่าง ๆ น้ำมันพวกนี้มักจะถูกรวบรวมเข้าด้วยกันเพื่อที่จะส่งกลับไปกลั่นแยกใหม่ได้ และถังที่เกิดเหตุในเรื่องนี้ก็เป็นถังเก็บ Slop โดยก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุทางโรงกลั่นได้มีการหยุดเดินเครื่อง และหลายวันก่อนเกิดเรื่องก็ได้เริ่มเดินเครื่องหน่วยผลิตต่าง ๆ ซึ่งในระหว่างเริ่มเดินเครื่องก็เกิดผลิตภัณฑ์ไม่ได้มาตรฐานที่ถูกส่งไปยังถังเก็บ Slop และในหมู่น้ำมันที่ถูกมายังถังนี้ก็มี แนฟทา/น้ำมันก๊าด/น้ำมันดีเซลจากหน่วย hydrotreating หรือ hydrocracking ที่มีปริมาณ H2S หรือไฮโดรเจนซัลไฟด์ปนอยู่มาก

ในการกลั่นแยกสารเช่นการกลั่นน้ำมัน น้ำมันที่มีจุดเดือดต่ำจะกลายเป็นไอลอยขึ้นสู่ด้านบนของหอกลั่นก่อนที่จะถูกควบแน่นเป็นของเหลว ส่วนน้ำมันที่มีจุดเดือดสูงสุดก็จะเป็นของเหลวไหลออกทางก้นหอกลั่น น้ำมันที่มีจุดเดือดระหว่างนี้ก็จะควบแน่นกลายเป็นไอที่ระดับความสูงต่าง ๆ กัน ด้วยเหตุนี้จึงมีการเปรียบเทียบจุดเดือดว่าสูงหรือต่ำด้วยการใช้คำว่า "เบา (light)" หรือ "หนัก (heavy)" ดังนั้นเวลากล่าวถึงน้ำมันหนักก็จะหมายถึงน้ำมันที่ประกอบด้วยพวกที่มีมีจุดเดือดสูง น้ำมันเบาก็จะหมายถึงน้ำมันที่ประกอบด้วยพวกที่มีจุดเดือดต่ำ

น้ำมันดิบในส่วนที่เป็นน้ำมันหนักจะมีองค์ประกอบที่มีโครงสร้างโมเลกุลใหญ่ที่มีความไม่อิ่มตัว (มีพันธะคู่ C=C หรือวงแหวนอะโรมาติก) อยู่มาก นอกจากนี้ยังมีสารประกอบอินทรีย์ที่มี กำมะถัน (S), ไนโตรเจน (N) และออกซิเจน (O) ปนอยู่ด้วย โดยส่วนใหญ่จะเป็นสารประกอบกำมะถัน และจะมีมากขึ้นในส่วนของน้ำมันที่หนักขึ้น การทำให้น้ำมันโครงสร้างโมเลกุลใหญ่เหล่านี้แตกออกเป็นโมเลกุลที่เล็กลง (ระดับน้ำมันเบนซินหรือดีเซล) ด้วยการใช้ความร้อนเพียงอย่างเดียวทำได้ยาก จึงต้องลดความไม่อิ่มตัวของน้ำมันลงก่อนด้วยการเติมไฮโดรเจนเข้าไป ปฏิกิริยานี้เรียกว่า hydrocracking ที่มีการใช้ความดันที่สูง (เพื่อเพิ่มการละลายของไฮโดรเจนในน้ำมันที่เป็นของเหลว) และตัวเร่งปฏิกิริยา (เพื่อช่วยในการเติมไฮโดรเจนและทำให้โมเลกุลอิ่มตัวที่เกิดขึ้นแตกตัวออกเป็นโมเลกุลเล็กลง)

แต่เนื่องจากสารประกอบอินทรีย์ที่มี กำมะถัน, ไนโตรเจน, และออกซิเจนเป็นองค์ประกอบนั้นมีคุณสมบัติเป็นเบสลิวอิส (Lewin acid) ซึ่งมีความเป็นพิษต่อตัวเร่งปฏิกิริยาที่ใข้ในการทำให้น้ำมันแตกตัว (ตัวเร่งปฏิกิริยามีคุณสมบัติเป็นกรด) และถ้ามีปนเปื้อนอยู่ในผลิตภัณฑ์น้ำมันที่นำไปใช้เป็นเชื้อเพลิง เวลาที่สารเหล่านี้เผาไหม้ก็จะก่อให้เกิดมลพิษเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะกำมะถัน ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่ต้องกำจัดอะตอมเหล่านี้ออกจากน้ำมันก่อน การกำจัดทำได้ด้วยการใช้แก๊สไฮโดรเจนร่วมกับตัวเร่งปฏิกิริยา โดยกำมะถันจะถูกดึงออกมาในรูปไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2S) ที่ละลายอยู่ในน้ำมันได้ส่วนหนึ่ง

ที่เล่ามาสองย่อหน้าข้างบนก็เพื่อปูพื้นฐานให้ผู้ที่ไม่ได้มีพื้นฐานทางด้านนี้จะได้มองเห็นว่าไฮโดรเจนซัลไฟด์ที่เป็นตัวก่อเหตุในเรื่องนี้ มันมาได้อย่างไร

ก่อนเกิดเหตุ โรงงานได้มีการหยุดเดินเครื่องและเริ่มต้นเดินเครื่องใหม่ ในระหว่างการเริ่มเดินเครื่องนี้ก็มีผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติไม่เป็นไปตามข้อกำหนดเกิดขึ้นมาก ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ก็ถูกส่งมารวมกันที่ slop tank คืนก่อนหน้าเข้าวันเกิดเหตุมีฝนตกหนัก ทำให้สัญญาณระดับของเหลวในถังมีความแปรปรวน จึงได้มีการส่งโอเปอร์เรเตอร์คนที่หนึ่งไปตรวจสอบเพื่อดูว่ามีน้ำฝนสะสมบนหลังคา floating roof tank หรือไม่ (ก่อนหน้านี้เคยมีเหตุการณ์ที่น้ำหนักน้ำบนหลังคานั้นทำให้หลังคาเอียงตัว) ในขณะนั้นหลังคาถังอยู่ต่ำกว่าขอบบนสุดประมาณ 5 เมตร

หลังเวลาผ่านไประยะหนึ่งก็ไม่มีการติดต่อมาจากโอเปอร์เรเตอร์คนที่หนึ่ง จึงได้มีการส่งโอเปอร์เรเตอร์คนที่สองไปตรวจสอบ เมื่อไปถึงถังโอเปอร์เรเตอร์คนที่สองก็วิทยุกลับมาว่าพบโอเปอร์เรเตอร์คนที่หนึ่งหมดสตินอนอยู่บนหลังคาถังและกำลังจะลงไปช่วยนำเอาตัวโอเปอร์เรเตอร์คนที่หนึ่งออกมา โอเปอร์เรเตอร์คนที่สามที่ทำงานอยู่ใกล้เคียงก็เลยตามเข้าไปช่วยด้วย แต่เมื่อไปถึงด้านบนของถังก็พบว่าโอเปอร์เรเตอร์คนที่สองที่ลงไปก่อนหน้านั้นก็นอนหมดสติอยู่บนหลังคาถัง ก็เลยวิทยุเหตุฉุกเฉินขอความช่วยเหลือ

แม้จะนำร่างโอเปอร์เรเตอร์สองคนแรกออกมาและพยายามช่วยชีวิต แต่ทั้งสองรายก็ถูกประกาศว่าเสียชีวิตที่โรงพยาบาล

การตรวจสอบที่เกิดเหตุพบแก๊สไฮโดรเจนซัลไฟด์เข้มข้นสูงในบริเวณดังกล่าว แม้ว่าหลังจากเกิดเหตุแล้ว48 ชั่วโมงก็พบแก๊สเข้มข้นสูงถึง 40 ppm ที่ขอบด้านบนของถัง (ระดับความเข้มข้นที่ก่อให้เกิดอันตรายได้ทันทีของแก๊สนี้อยู่ที่ประมาณ 100 ppm คำว่าทันทีในที่นี้หมายถึงการหมดสติทันที) และเมื่อนำน้ำมันส่วนที่อยู่ทางด้านบนของถังมาวิเคราะห์ (เก็บตัวอย่างหลังเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว 11 วัน) ก็พบไฮโดรเจนซัลไฟด์เข้มข้นสูงถึง 890 ppm

อันตรายของแก๊สตัวนี้คือมันเป็น "Knock out gas" คือทำให้ผู้สูดหายใจเข้าไปหมดสติทันที จึงตกค้างอยู่ในที่เกิดเหตุและสูดแก๊สเข้าไปอย่างต่อเนื่องจนเสียชีวิต

วันพฤหัสบดีที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2568

การปรับค่าตัวประกอบกำลังหลอดฟลูออเรสเซนต์ MO Memoir : Thursday 2 October 2568

ตอนเด็ก ๆ เคยเห็นโคมหลอดฟลูออเรสเซนต์ที่บ้านญาติที่ต่างจังหวัดมีวัตถุทรงกระบอกอันใหญ่ ๆ (เทียบกับขนาดหลอด) ติดตั้งอยู่ ซึ่งตอนนั้นก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรเพราะที่บ้านที่กรุงเทพไม่มี มารู้เอาตอนโตขึ้นว่ามันคือตัวเก็บประจุที่เอาไว้ปรับค่าตัวประกอบกำลัง (power factor ที่ย่อว่า pf บ้าง PF บ้าง) ในยุคสมัยนั้น (ก็กว่า ๔๐ ปีที่แล้ว) เป็นยุคสมัยที่กำลังการผลิตไฟฟ้าของไทยจะเรียกว่าไม่ค่อยพอเพียงก็ได้ ตอนหัวค่ำต้องประหยัดไฟกันทั้งประเทศ ไฟถนนต้องเปิดดวงเว้นดวง สถานีโทรทัศน์ต่าง ๆ งดออกรายการช่วง ๑๘.๓๐ ถึง ๒๐.๐๐ น (เพื่อให้ทุกบ้านปิดโทรทัศน์ จะได้ประหยัดไฟ ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีเครื่องเล่นวิดิทัศน์)

ชุดหลอดฟลูออเรสเซนต์เป็นอุปกรณ์ที่มีค่าตัวประกอบกำลังต่ำตัวหนึ่ง สำหรับบ้านพักอาศัยทั่วไปที่ไม่ได้ติดตั้งหลอดชนิดนี้จำนวนมาก ค่าตัวประกอบกำลังที่ต่ำนี้ก็ไม่ได้ส่งผลต่อปริมาณกระแสไฟที่ต้องไหลเข้าบ้านมากเท่าใดนัก แต่ในอาคารพาณิชย์ที่มีการใช้หลอดฟลูออเรสเซนต์เป็นจำนวนมาก และมีการเปิดใช้งานจำนวนมากในเวลาเดียวกัน ปริมาณกระแสที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นเนื่องจากค่าตัวประกอบกำลังที่ต่ำนั้นจัดว่าสูงอยู่เหมือนกัน

วิธีการลดปริมาณกระแสที่ต้องจ่ายทำได้ด้วยการติดตั้งตัวเก็บประจุขนานเข้ากับวงจรหลอดฟลูออเรสเซนต์ ตัวเก็บประจุจะทำให้ค่าตัวประกอบกำลังเพิ่มสูงขึ้น (เฟสของความต่างศักย์และกระแสใกล้เคียงกันมากขึ้น) ตัวอย่างที่แสดงในรูปที่ ๑ ข้างล่างเป็นของโคมไฟของชั้นที่ผมทำงานอยู่ ชั้นนี้ติดตั้งโคมชนิด ๓ หลอด (บางชั้นติดตั้งโคมชนิด ๔ หลอด) ซึ่งตอนนี้โคมเหล่านี้อายุการใช้งานมันก็มากแล้ว ถ้าชั้วหลอดยังใช้ได้อยู่เขาก็เปลี่ยนเป็นหลอดแอลอีดีแทน แต่ถ้าขั้วหลอดมันเปราะหมดแล้วก็จะเปลี่ยนทั้งโคม ตัวสีส้มที่เห็นในรูปที่ ๑ ข้างล่าง (รวมทั้งในกรอบสี่เหลี่ยมด้วย) ก็คือตัวเก็บประจุที่ติดตั้งมาเพื่อปรับค่าตัวประกอบกำลังให้เข้าใกล้ 1.0

รูปที่ ๑ ตัวสีส้มที่เห็นคือตัวเก็บประจุที่ใช้สำหรับปรับค่าตัวประกอบกำลังให้กับโคมหลอดฟลูออเรสเซนต์

รูปที่ ๒ เป็นวงจรการต่อหลอดฟลูออเรสเซนต์ที่มีการติดตั้งตัวเก็บประจุ (C2) ในรูปแบบขนานกับวงจรหลอด เพื่อทำหน้าที่ปรับค่าตัวประกอบกำลังให้สูงขึ้น ตัวหลักที่ทำให้ค่าตัวประกอบกำลังของหลอดฟลูออเรสเซนต์มีค่าต่ำก็น่าจะเป็นตัวบัลลาสต์ (ballast) ที่โครงสร้างเป็นขดลวดพันอยู่บนแกนเหล็ก ส่วนตัวเก็บประจุ C1 นั้นในความเป็นจริงมันไม่มี มันเป็นค่าของตัวสตาร์ทเตอร์ (starter) ที่เขาเขียนแยกออกมาเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น เพราะตัวสตาร์ทเตอร์เองเมื่อหลอดติดแล้วตัวขั้วโลหะจะแยกออกจากกัน ทำให้มีคุณสมบัติเป็นเหมือนตัวเก็บประจุที่เก็บประจุได้นิดหน่อย

 
รูปที่ ๒ วงจรการต่อหลอดฟลูออเรสเซนต์ที่มีการติดตั้งตัวเก็บประจุ (C2) ด้วยการต่อขนานกับตัวหลอด

ด้วยการที่ได้ซื้อ micro power monitor จาก shopee มาเล่นกว่าปี มาวันนี้ก็เลยทดลองนำเครื่องดังกล่าวมาวัดค่าตัวประกอบกำลังของหลอดไฟที่มีอยู่ในบ้าน ๔ ชนิด ชนิดแรกคือหลอดไส้หรือ incandescent lamp ขนาด 40วัตต์ที่เป็นหลอดยุคเก่าและที่บ้านยังมีอยู่ ซึ่งผลออกมาก็คือตัวประกอบกำลังมีค่าเป็น 1.00

ทีนี้พอลองวัดค่าของหลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์หรือที่เราเรียกว่าหลอดตะเกียบขนาด 11 วัตต์ดูบ้าง ก็วัดค่าตัวประกอบกำลังได้ประมาณ 0.71 และพอเปลี่ยนเป็นหลอดแอลอีดีขนาด 7 วัตต์ ก็ได้ค่าตัวประกอบกำลังประมาณ 0.64

รูปที่ ๓ ค่าตัวประกอบกำลังของ (ซ้าย) หลอดฟลูออเรสเซนต์ (กลาง) หลอดแอลอีดี และ (ขวา) หลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์

หลอดสุดท้ายที่ทำการทดสอบคือโคมฟลูออเรสเซนต์ 18 วัตต์ที่ยังใช้บัลลาสต์แบบเก่าอยู่ (ที่ไม่ใช่ชนิด low loss) ก็วัดค่าตัวประกอบกำลังได้เพียงแค่ประมาณ 0.33 และกินไฟอยู่ที่ประมาณ 30 วัตต์ แสดงว่าการสูญเสียที่ตัวบัลลาสต์นั้นอยู่ที่ประมาณ 10 วัตต์ ซึ่งน่าจะเป็นเข่นนั้น เพราะชนิด low loss นั้นการสูญเสียอยู่ที่ประมาณ 5 วัตต์

นั่นแสดงว่าการเปลี่ยนจากหลอดฟลูออเรสเซนต์มาเป็นหลอดแอลอีดีนั้น แม้ว่าจะสามารถลดการสูญเสียพลังงานลงได้มากจากการที่ได้ความสว่างเท่าเดิมแต่ใช้พลังงานไฟน้อยลง แต่เราก็ยังสามารถลดการสูญเสียนี้ลงไปได้อีก (ถ้าต้องการ แต่จะคุ้มหรือเปล่าก็ไม่รู้) ด้วยการติดตั้งตัวเก็บประจุเข้าไป โคมหลอดแอลอีดี 10 วัตต์ที่นำมาใช้แทนหลอดฟลูออเรสเซนต์ 18 วัตต์ก็มีค่าตัวประกอบกำลังอยู่ที่ประมาณ 0.6

ตัวโคมสำหรับติดตามบ้านที่เห็นขายกันอยู่นั้นไม่เห็นมีการติดตั้งตัวเก็บประจุ เป็นเพียงแค่ฐานเปล่า ๆ สำหรับติดหลอด แต่ถ้าเป็นโคมสำหรับติดฝ้าเพดานในอาคารต่าง ๆ นั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีการติดตั้งตัวเก็บประจุมาให้ด้วยหรือเปล่า เพราะยังไม่มีโอกาสไปรื้อดู

การประหยัดพลังงานของโคมไฟแสงสว่างก็เห็นเปลี่ยนมาเรื่อย ๆ จากยุคของการใช้หลอดไส้มาเป็นหลอดตะเกียบ จากยุคของการใช้หลอดฟลูออเรสเซนต์แบบเดิมที่อ้วนมาเป็นขนาดปัจจุบันที่เรียกว่าหลอดผอม (หลอดกินไฟลดลง 40 วัตต์เหลือ 36 วัตต์ และจาก 20 วัตต์เหลือ 18 วัตต์) และการเปลี่ยนบัลลาสต์เป็นชนิด low loss (การสูญเสียลดลงจาก 10 วัตต์เหลือ 5 วัตต์) ถ้าเป็นอาคารที่ใช้โคมไฟจำนวนมากก็จะมีการใช้โคมที่มีการติดตั้งตัวเก็บประจุเพื่อปรับค่าตัวประกอบกำลัง จนเข้าสู่ยุคปัจจุบันที่หลอดฟลูออเรสเซนต์แบบเดิมถูกแทนที่ด้วยหลอดแอลอีดี

ภาพล่างสุดไม่เกี่ยวอะไรกับบทความนี้ เป็นบรรยากาศการสอบ (ที่ต้องไปคุมสอบ) วิชาของตัวเองเมื่อวันศุกร์ที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๘ ที่ผ่านมา ขอเอามาบันทึกไว้สักหน่อย เพราะปีการศึกษาหน้าก็คงจะไม่ต้องเข้าคุมสอบแล้ว

รูปที่ ๔ บรรยากาศการคุมสอบเมื่อบ่ายวันศุกร์ที่ ๒๖ กันยายนที่ผ่านมา