แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ทอดไข่ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ทอดไข่ แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2560

บันทึกเรื่องที่ต้องสอนซ้ำ บันทึกความทรงจำที่ได้พบเจอ (๓) MO Memoir : Tuesday 19 December 2560


ดูออกไหมครับว่ารูปข้างบนเป็นรูปของอะไร บอกใบ้ให้นิดนึง เป็นอาหารที่ทำจากไข่ไก่ครับ :) :) :)

คนโบราณกล่าวว่า "สิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็น ไม่เท่ามือคลำ สิบมือคลำ ไม่เท่าทำเอง" ถ้าใช้อัตราส่วนตามนี้เราก็พอจะสรุปได้ว่า "ฟังพันครั้ง ไม่เท่ากับลงมือทำครั้งเดียว"
 
ตอนที่สอนวิชาเคมีอินทรีย์ ผมยกตัวอย่างคำกล่าวของผู้ใหญ่ที่ว่า "ทอดไข่เจียวให้อร่อยต้องใช้น้ำมันหมู" มาตั้งเป็นประเด็นคำถามให้นิสิตพิจารณาว่า คำกล่าวดังกล่าวมันมีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์รองรับหรือไม่ หรือเป็นความเชื่อที่บอกต่อกันมา และวิธีที่จะยืนยันได้ดีที่สุดก็เห็นจะได้แก่ ให้ลองทอดเปรียบเทียบกันระหว่างน้ำมันหมูและน้ำมันพืช ผมเลยจัดให้นิสิตทำการทดลองโดยให้ทอดไข่เจียวเปรียบเทียบระหว่างน้ำมันหมูกับน้ำมันถั่วเหลือง
 
ก่อนหน้านั้นผมเคยถามนิสิตว่ารู้หรือเปล่าว่าการทำไข่เจียวทำอย่างไร นิสิตก็ตอบว่ารู้กันทั้งนั้นครับ พอถามต่อว่าแล้วทำไข่เจียวเป็นไหม ก็เริ่มมีคนชักไม่แน่ใจ ชั่วโมงแลปนั้นนิสิตแต่ละกลุ่มมี ๔ คน ผมก็เลยกำหนดกติกาขึ้นมาว่าให้แบ่งงานกันทำเป็น ๔ ส่วน ห้ามช่วยเหลือกันและห้ามแนะนำกัน โดยให้คนที่หนึ่งเป็นคนตอกไข่ใส่ชามและใส่เครื่องปรุง (แจกไขไก่ให้ ๔ ฟองและมีน้ำปลาให้) คนที่สองทำหน้าตีไข่ จากนั้นแบ่งไข่ที่ตีแล้วออกเป็นสองส่วน ให้อีกสองคนที่เหลือแยกกันทอดคนละกระทะ ต่างคนต่างเลือกใส่น้ำมันในปริมาณที่ตัวเองคิด เลือกความร้อนของเตาทอดเอาเอง และเพื่อให้ตื่นเต้นยิ่งขึ้นก็กำหนดให้มาทดลองทอดทีละกลุ่ม กลุ่มที่ยังไม่ได้ทอดห้ามมาแอบดูว่ากลุ่มก่อนหน้านั้นทำอย่างไร การทดลองนี้ไม่ได้บังคับให้ทำ แต่ถ้าอยากลองทำก็มีข้อแม้ว่าต้องกินไข่ทอดนั้นให้หมด
 
ทุกคนที่เข้าร่วมกิจกรรมรู้ครับ ว่าการทำไข่เจียวนั้นให้ตอกไข่ใส่ชาม จากนั้นก็เหยาะน้ำปลาเติมลงไป เอาส้อมตีให้ไข่กับน้ำปลาเข้ากัน แล้วเทส่วนผสมลงกระทะที่มีน้ำมันร้อน ๆ รออยู่

แล้วผลออกมาเป็นอย่างไรหรือครับ ในแต่ละรุ่นที่ทดลองมา นิสิตแต่ละรุ่นมีราว ๆ ๘๐ คน มีคนที่ทอดไข่เจียวแล้วเรียกได้อย่างเต็มปากว่าเป็นไข่เจียวมีอย่างมากก็แค่ประมาณ ๕ คน ที่เหลือนั้นจะเรียกว่าเพียงพอแค่สำหรับการกินแก้หิวหรือกินเพื่อประทังชีวิตก็ได้ :) :) :)
 
เรื่องง่าย ๆ ที่ใคร ๆ ก็คิดว่าตัวเองนั้นรู้ว่าต้องทำอย่างไร แต่พอเอาเข้าจริงแล้วกลับทำไม่ได้ (ไม่ว่าควรจะใส่น้ำปลาเท่าไรดี ตีไข่แค่ไหนจึงจะเรียกว่าพอ และน้ำมันร้อนได้ที่หรือยัง) สิ่งนี้บ่งบอกให้เราทราบถึงอะไรบ้าง อย่างน้อยสิ่งที่เห็นก็คือ วิธีการทำที่แต่ละคนบอกว่ารู้นั้น มันเปิดช่องให้ทำแตกต่างกันได้ นั่นแสดงว่าความรู้ที่คิดว่ารู้ดีแล้วนั้นมันไม่สมบูรณ์

ผมเคยได้รับโอกาสให้ไปช่วยงานการติดตั้งเครื่องจักรให้หน่วยงานการกุศลแห่งหนึ่งที่รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีมาจากต่างประเทศ คำแนะนำหนึ่งที่ผมแนะนำเขาไปก็คือการเตรียมคู่มือการทำงาน ให้คนที่ไปรับการอบรมมานั้นมาช่วยกันเขียนคู่มือแบบที่เรียกว่าต้องเขียนให้ละเอียดชนิดที่เรียกว่าเอาคนใหม่มาทำตามคู่มือดังกล่าวต้องทำได้โดยไม่ต้องถามอะไร จะได้ไม่มีปัญหาเวลาที่คนเดิมลาออกไป แต่เอาเข้าจริง ๆ ก็กลายเป็นว่าแต่ละคนที่ไปอบรมต่างประเทศนั้นต่างมีบันทึกของตัวเอง ต่างคนต่างถือเก็บเอาไว้เอง ไม่มีการสร้างคู่มือปฏิบัติการที่สามารถ่ายทอดต่อให้คนที่มาใหม่ได้ พอคนที่ไปอบรมนั้นลาออกจากงานไป คนใหม่ที่มาทำหน้าที่ต่อก็ต้องไปเริ่มงานจากศูนย์ใหม่
 
คู่มือปฏิบัติงานที่ดีนั้นไม่ควรจะบอกแต่เพียงว่าให้ทำอย่างไร แต่ควรมีคำอธิบายในเรื่องที่สำคัญด้วยว่าไม่ควรทำอย่างไรด้วย เพราะการลัดขั้นตอนการทำงานนั้นมันอาจไม่ก่อให้เกิดความเสียหายในทันทีทันใด แต่มันสามารถทำให้อายุการใช้งานของอุปกรณ์นั้นสั้นลงได้ หรือไม่ก็เป็นการไปใช้งานในส่วน safety factor ที่ทางผู้ออกแบบเผื่อเอาไว้ ส่วนที่เป็น safety factor ที่การออกแบบเผื่อเอาไว้นี้มันไม่ควรเป็นส่วนที่นำมาใช้งานปรกติ มันควรเป็นส่วนที่จะถูกใช้งานถ้าหากการทำงานมีความผิดปรกติโดยไม่ตั้งใจ 
  
เพื่อให้เห็นภาพตรงนี้จะขอยกตัวอย่าง pressure vessel ที่ปัจจุบันจะทำการทดสอบความสามารถในการรับแรงดันแบบ hydrauic test ที่ 1.3 เท่าของ design pressure (คือความดันที่ใช้ในการออกแบบ ส่วนความดันในการใช้งานจริงหรือ operating pressure นั้นจะต่ำกว่า design pressure นี้อีก) ซึ่งpressure vessel นั้นต้องผ่านการทดสอบที่ความดันระดับนี้ก่อนจึงจะถือว่ามีความปลอดภัยในการใช้งาน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าในการทำงานตามปรกติเราสามารถที่จะนำเอา pressure vessel ตัวนี้มาใช้งานที่ความดันสูงกว่า design pressure แต่ต่ำกว่าความดันที่ใช้ทดสอบได้
 
ในตอนที่ ๑ ของเรื่องนี้ผมได้เล่าถึงรูปแบบการเขียน ที่ผมเห็นว่ามันไม่ได้มีรูปแบบที่ตายตัว มันขึ้นอยู่กับว่าผู้เขียนนั้นมีความถนัดอย่างไร และผู้ที่ต้องการให้รับรู้สิ่งที่เขียนนั้นเป็นใคร ในตอนที่ ๒ นั้นผมมองว่าเพื่อที่จะทำให้มั่นใจว่าในการทำให้ผู้ที่รับทราบข้อมูลเดียวกันนั้นมีความเข้าใจที่ตรงกัน เราอาจต้องมีการทบทวนและกำหนดนิยามต่าง ๆ ของคำที่เราใช้ในการสื่อสารให้ชัดเจน โดยได้ยกประสบการณ์ของตัวเองที่ได้ประสบมาเป็นตัวอย่าง ส่วนตอนที่ ๓ นี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับวิธีการทำงาน ที่เอาเข้าจริง ๆ แล้วบ่อยครั้งที่พบว่าคู่มือการปฏิบัติงานที่มีอยู่นั้นมันเปิดช่องให้ทำแตกต่างกันได้ อันเป็นผลจากการบันทึกวิธีการปฏิบัติงานที่ไม่ชัดเจนหรือคิดว่าครอบคลุมหมดแล้ว หรือแม้แต่พบว่าของที่มีอยู่นั้นยังไม่สมบูรณ์ แต่ก็ยังไม่ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น ผมเองสอนแลปนิสิตมากว่า ๒๐ ปี ปรับปรุงแก้ไขคู่มือปฏิบัติการมาตลอด แต่ก็ยังพบอยู่เรื่อย ๆ ว่านิสิตแต่ละรุ่นยังสามารถตีความวิธีการทำแลปให้แตกต่างไปจากสิ่งที่อยากให้นิสิตปฏิบัติ

สำหรับรูปในหน้าแรกที่เอามาให้ดูนั้น ถ้าท่านใดคิดว่ามันคือ "ไข่เจียว" ก็ขอตอบว่าไม่ใช่ครับ ที่ถูกต้องคือ "ไข่ดาว" ที่นิสิตผู้ทอดเองก็ยอมรับว่า เป็นการทอดไข่ดาวครั้งแรกในชีวิต :) :) :)

วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ทอดไข่เจียวให้อร่อยต้องใช้น้ำมันหมู MO Memoir : วันอังคารที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๑

ไขมันและน้ำมันที่เราบริโภคในแต่ละวันนั้น ต่างเป็นสารประกอบเอสเทอร์ระหว่างกลีเซอรอล (glycerol) 1 โมเลกุลกับกรดไขมัน (fatty acid) 3 โมเลกุลที่เรียกว่าไตรกลีเซอไรด์ (triglyceride) โดยกรดไขมันทั้ง 3 โมเลกุลนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นชนิดเดียวกัน โดยถ้าเป็นของแข็งที่อุณหภูมิห้องเราก็จะเรียกว่า "ไขมัน" (fat) และถ้าเป็นของเหลวที่อุณหภูมิห้องก็จะเรียกว่า "น้ำมัน" (oil) ในที่นี้จะขอเรียกรวม ๆ กันว่าน้ำมัน ตัวอย่างของโมเลกุลน้ำมันได้แสดงไว้ในรูปที่ 1 ข้างล่าง











รูปที่ 1
ตัวอย่างโมเลกุลของไตรกลีเซอไรด์ โดยกรดไขมันตัวบนสุดเป็นชนิดอิ่มตัว ตัวกลางเป็นชนิดไม่อิ่มตัว 1 ตำแหน่ง และตัวล่างสุดเป็นชนิดไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง

กรดไขมันที่ได้จากธรรมชาติจะมีจำนวนอะตอมคาร์บอนเป็นเลขคู่เสมอ และจะเป็นชนิดโซ่ตรง (linear chain) ไม่มีกิ่งก้าน และถ้ามีความไม่อิ่มตัว (ซึ่งเป็นพันธะคู่ระหว่างอะตอมคาร์บอน) ก็จะมีโครงสร้างแบบ cis เสมอ การที่น้ำมันจะเป็นของเหลวหรือของแข็งที่อุณหภูมิห้องนั้นขึ้นอยู่กับระดับความไม่อิ่มตัวของส่วนที่เป็นสายโซ่ไฮโดรคาร์บอนของกรดไขมันที่อยู่ในน้ำมัน โมเลกุลที่ไม่มีพันธะคู่ (กล่าวอีกนัยหนึ่งคือมีแต่ความอิ่มตัว) หรือมีพันธะคู่ที่มีโครงสร้างแบบ trans จะมีความตรงมากกว่า ทำให้พื้นที่ผิวสัมผัสระหว่างโมเลกุลสูง แรงดึงดูดระหว่างโมเลกุล (แรงวาลเดอวาลล์) จึงมากตามไปด้วย ทำให้น้ำมันที่มีความอิ่มตัวสูงมีจุดหลอมเหลวสูงตามไปด้วย ส่วนในกรณีของพันธะคู่แบบ cis จะทำให้โมเลกุลมีการโค้งงอ (ดูรูปที่ 2) พื้นที่ผิวสัมผัสระหว่างโมเลกุลจะน้อยกว่ากรดที่อิ่มตัวหรือมีพันธะคู่แบบ trans และถ้าในสายโซ่มีความไม่อิ่มตัวแบบ cis หลายตำแหน่ง (เช่นในกรณีของกรดไขมันที่มีความไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง) จะทำให้ขดเข้ามาตัวเองเหมือนเป็นก้อนกลม ทำให้พื้นที่ผิวสัมผัสระหว่างโมเลกุลลดลง แรงดึงดูดระหว่างโมเลกุลก็ลดลงตามไปด้วย จึงทำให้จุดหลอมเหลวของกรดไขมันที่มีความไม่อิ่มตัวสูง ต่ำกว่าของพวกกรดไขมันที่มีความอิ่มตัวสูงกว่า



















รูปที่ 2
ผลของความไม่อิ่มตัวที่มีต่อรูปร่างโมเลกุลของกรดโอเลอิก

กรดไขมันที่มีความไม่อิ่มตัวแบบ trans นั้นจะไม่พบในธรรมชาติ แต่จะพบได้ในผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากการนำเอาน้ำมันพืชมาเติมไฮโดรเจน (ปฏิกิริยา hydrogenation) เพื่อลดความไม่อิ่มตัว เพื่อเปลี่ยนน้ำมันพืชไปเป็นเนยเทียม (margarine) กรดไขมันไม่อิ่มตัวแบบ trans นั้นมีการรายงานว่าเป็นอันตรายต่อหัวใจมากกว่ากรดไขมันอิ่มตัวเสียอีก ก็เลยเกิดกระแสโฆษณาว่าอาหารที่ขายอยู่นั้นไม่มี trans fat (ก็คือกรดไขมันไม่อิ่มตัวแบบ trans นั่นเอง)

เมื่อนำน้ำมันไปประกอบอาหารที่ใช้อุณหภูมิในการประกอบอาหารสูง (เช่นในการทอด) โครงสร้างที่ว่องไวต่อการทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศมากที่สุดคือตำแหน่งพันธะคู่ (-C=C-) ของสายโซ่ไฮโดรคาร์บอน ที่อุณหภูมิสูง พันธะคู่นี้จะถูกออกซิไดซ์เป็นสารประกอบอัลดีไฮด์หรือคีโตนที่มีกลิ่น (ส่วนใหญ่จะออกมาเป็นกลิ่นไม่พึงประสงค์) ทำให้รบกวนต่อรสชาติของอาหารที่ปรุงได้ (ถ้าสงสัยว่ากลิ่นกับรสสัมพันธ์กันอย่างไร ให้นึกถึงตอนเป็นหวัดซึ่งจะทำให้จมูกรับกลิ่นได้ไม่ค่อยดี ช่วงเวลานั้นเวลากินอะไรก็มักจะรู้สึกว่าไม่ค่อยอร่อย) ซึ่งบางครั้งนอกจากจะให้กลิ่นที่ทำให้รสชาติอาหารเสียไปแล้ว สารเหล่านี้เมื่อบริโภคเข้าไปยังเป็นอันตรายต่อสุขภาพด้วย

ในประเทศไทยนั้น น้ำมันที่ใช้ในการปรุงอาหารมีทั้งที่มาจากสัตว์ (ส่วนใหญ่จะเป็นน้ำมันหมู) และที่มาจากพืช น้ำมันที่ได้มาจากไขมันสัตว์มักเป็นน้ำมันที่มีความอิ่มตัวสูง ส่วนน้ำมันที่ได้จากพืชจะขึ้นอยู่กับชนิดของพืชที่ให้น้ำมัน พืชบางชนิดจะให้น้ำมันที่มีความอิ่มตัวสูง ในขณะที่บางชนิดจะให้น้ำมันที่มีความไม่อิ่มตัวสูง ตัวอย่างสัดส่วนของกรดไขมันอิ่มตัวและไม่อิ่มตัวในน้ำมันพืชและไขมันบางชนิดแสดงไว้ในตารางที่ 1 ข้างล่าง

ตารางที่ 1 สัดส่วนของกรดไขมันอิ่มตัวและไม่อิ่มตัวในน้ำมันพืชและไขมันบางชนิด

น้ำมัน/ไขมัน

กรดไขมันอิ่มตัว

ไม่อิ่มตัว 1 ตำแหน่ง

ไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง

อุณหภูมิเกิดควัน (C)

เนย

66%

30%

4%

150

ข้าวโพด

13%

25%

62%

236

มะพร้าว

92%

6%

2%

177

เมล็ดฝ้าย

24%

26%

50%

216

มะกอก

14%

73%

11%

225

ปาล์ม

52%

38%

10%

230

ถั่ว

18%

49%

33%

231

รำข้าว

20%

47%

33%

254

งา

14%

43%

43%

177

ถั่วเหลือง

15%

24%

61%

241

ทานตะวัน

11%

20%

69%

246


แต่เดิมนั้นคนไทยบริโภคน้ำมันหมูเป็นหลัก ส่วนน้ำมันพืชเมื่อแรกเริ่มพยายามเจาะตลาดเข้ามาก็จะเน้นไปตรงที่ว่าเมื่อประกอบอาหารแล้วจะไม่มีรสหรือกลิ่น (กล่าวคือไม่ทำให้รสชาติของอาหารเสียไป) ในปัจจุบันที่กระแสของการดูแลสุขภาพมาแรง มีการโฆษณาประโยชน์ของการบริโภคน้ำมันพืชที่มีความไม่อิ่มตัวสูง ส่วนใหญ่ (หรือทั้งหมด) มักจะอ้างอิงมาจากผลงานวิจัยของต่างประเทศ (ฝรั่งเป็นหลัก) ทำให้คนไทยจำนวนไม่น้อยเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคด้วยการใช้น้ำมันพืชที่มีความไม่อิ่มตัวสูงมาใช้ในการปรุงอาหารทุกชนิดในครัวเรือน น้ำมันที่ได้ประโยชน์จากข้อมูลด้านสุขภาพนี้มากที่สุดเห็นจะเป็นน้ำมันถั่วเหลือง

แต่การบริโภคน้ำมันของฝรั่งกับของคนไทยนั้นไม่เหมือนกัน ฝรั่งบริโภคน้ำมันพืชด้วยการราดลงไปบนผักสลัดและรับประทานในรูปแบบนั้น การปรุงอาหารด้วยการทอดก็จะใช้พวกเนยหรือไขมันที่ได้จากสัตว์ หรือน้ำมันพืชที่มีความอิ่มตัวสูง (เช่นน้ำมันจากต้น rape seed) ในขณะที่อาหารไทยนั้นจะใช้น้ำมันในการประกอบอาหารแบบผัดหรือทอดที่เป็นหลัก ผลที่ตามมาคือเราเอาน้ำมันที่มีความไม่อิ่มตัวสูงมาใช้ในการประกอบอาหารทุกอย่างรวมทั้งการทอดด้วย

ปัจจุบันมีผู้ผลิตน้ำมันพืชบางรายที่จัดจำหน่ายน้ำมันพืชจากพืชหลายชนิดเริ่มให้ข้อมูลแก่ผู้บริโภคว่าน้ำมันพืชชนิดใดเหมาะแก่การประกอบอาหารเช่นใด เช่นน้ำมันปาล์มเหมาะแก่การผัดและทอด ในขณะที่น้ำมันถั่วเหลืองหรือเมล็ดดอกทานตะวันเหมาะแก่การนำไปผัด (แต่ไม่ได้กล่าวถึงการทอด ว่าแต่ว่าพวกคุณแยกออกหรือไม่ว่าการ "ผัด" กับการ "ทอด" แตกต่างกันอย่างไร) ทั้งนี้เป็นเพราะน้ำมันปาล์มมีความอิ่มตัวสูงกว่าน้ำมันถั่วเหลืองหรือจากเมล็ดดอกทานตะวัน จึงทำให้น้ำมันปาล์มทนต่อความร้อนสูงอย่างต่อเนื่องได้ดีกว่า ในขณะที่ถ้าเป็นน้ำมันพืชที่มีความไม่อิ่มตัวสูงมักจะมีคำแนะนำว่าให้ใช้ครั้งเดียวทิ้ง ห้ามนำน้ำมันที่เหลืออยู่เก็บไว้ประกอบอาหารใหม่ (เช่นเวลาทำไข่ดาว บางรายใส่น้ำมันเยอะ พอทอดไข่ดาวเสร็จก็จะตักน้ำมันเก็บเอาไว้ใช้อีก ถ้าเป็นพวกน้ำมันหมูก็สามารถทำได้ แต่ถ้าเป็นน้ำมันพืชที่มีความไม่อิ่มตัวสูงก็ไม่ควรทำ ควรทิ้งน้ำมันนั้นไปเลย)

น้ำมันพืชที่มีความไม่อิ่มตัวสูงเวลาบรรจุขวดขายก็ต้องมีการเติมสารกันบูด (antioxidant) เพื่อยับยั้งการทำปฏิกิริยากับอากาศ แต่พอเอ่ยชื่อว่าสารกันบูดก็ทำให้ผู้บริโภคส่วนหนึ่งรับไม่ได้ ทางผู้ผลิตก็เลยใช้วิธีเติมไนโตรเจนแทน (คือใช้ไนโตรเจนแทนที่อากาศในขวด ทำให้เก็บน้ำมันในขวดได้นานเพราะในขวดไม่มีออกซิเจน แต่ถ้าเปิดขวดเมื่อใด แก๊สไนโตรเจนที่บรรจุไว้แต่แรกก็จะออกมาหมดและอากาศก็จะเข้าไปแทน)

อีกเรื่องหนึ่งของน้ำมันพืชคือเรื่องสี คนส่วนใหญ่คิดว่าน้ำมันพืชที่ดีต้องมีสีอ่อน จะว่าไปแล้วสารที่ทำให้เกิดสีในน้ำมันพืชคือวิตามินที่ละลายอยู่ในน้ำมัน (พวก A หรือ E) ยิ่งมีวิตามินละลายอยู่มากก็จะทำให้น้ำมันพืชสีเข้มมากขึ้นไปด้วย แต่คนไทยกลับคิดว่าน้ำมันสีเข้มนั้นไม่ดี ทางผู้ผลิตก็เลยต้องทำการฟอกสีน้ำมันพืชหรือกล่าวตรง ๆ คือกำจัดเอาวิตามิน (ซึ่งเป็นสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย) ออกจากน้ำมันให้เหลือน้อย ๆ ก่อน จึงจะขายให้คนไทยได้

มาถึงตอนนี้แล้วไม่ทราบว่าพอจะสรุปได้เองหรือยังว่า คำกล่าวที่ว่า "ทอดไข่เจียวให้อร่อยต้องใช้น้ำมันหมู" นั้น เป็นเพียงแค่ความเชื่อที่คนเก่า ๆ บอกต่อ ๆ กันมาโดยไม่มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ใดรองรับ หรือเป็นคำกล่าวที่สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ ว่าแต่ว่าพวกคุณทำไข่เจียวเป็นหรือเปล่า

(หมายเหตุ : รูปภาพและข้อมูลในตาราง คัดลอกมาจาก www.en.wikepedia.org)