แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ethylbenzene แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ethylbenzene แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2556

วันพุธที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2556

การน๊อคของเครื่องยนต์แก๊สโซลีน และสารเพิ่มเลขออกเทนของน้ำมัน MO Memoir : Wednesday 2 January 2556

ในการทำงานของเครื่องยนต์แก๊สโซลีน (gasoline engine) หรือที่เรามักเรียกว่าเครื่องยนต์เบนซิน) นั้น จะทำการผสมน้ำมันกับอากาศให้กลายเป็นเนื้อเดียวกันก่อน โดยน้ำมันจะต้องระเหยกลายเป็นไอผสมกับอากาศก่อนที่จะไหลเข้าสู่กระบอกสูบผ่านทางวาล์วไอดี ไอผสมระหว่างน้ำมันกับอากาศนี้เรียกว่า "ไอดี" และเมื่ออยู่ในกระบอกสูบแล้วไอดีจะถูกจุดระเบิดด้วยหัวเทียน ทำให้เกิดเปลวไฟวิ่งออกจากตำแหน่งหัวเทียนแผ่ออกไปจนทั่วปริมาตรกระบอกสูบ

สำหรับเรื่องพื้นฐานการทำงานของเครื่องยนต์แก๊สโซลีนนั้น อ่านได้จาก Memoir
ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๒๓ วันพุธที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๒ เรื่อง "เครื่องยนต์เบนซิน" และ
ปีที่ ๕ ฉบับที่ ๕๔๕ วันพฤหัสบดีที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๕๕ เรื่อง "คาร์บูเรเตอร์ (Carburator)"


รูปที่ ๑ (ซ้าย) การเผาไหม้ในกรณีที่ไม่เกิดการน๊อค (ขวา) การเผาไหม้ในกรณีที่เกิดการน๊อค

ในการจุดระเบิดปรกตินั้น จะมีหน้าคลื่นการเผาไหม้ที่เกิดจากหัวเทียนเท่านั้นที่แผ่ไปจนทั่วปริมาตรกระบอกสูบ (รูปที่ ๑ ซ้าย) แต่ในขณะที่เกิดการเผาไหม้นั้น ความดันและอุณหภูมิในกระบอกสูบจะสูงขึ้น ในช่วงเวลานี้ถ้าหากน้ำมันนั้นไม่สามารถทนต่ออุณหภูมิและความดันที่เพิ่มสูงขึ้นได้ ไอน้ำมันนั้นก็จะเกิดการจุดระเบิดขึ้นเองก่อนที่เปลวไฟที่แผ่ออกมาจากหัวเทียนจะเดินทางมาถึง (อาจเกิดขึ้นได้หลายตำแหน่ง) ทำให้เกิดหน้าคลื่นการเผาไหม้หลายหน้าคลื่นวิ่งเข้าปะทะกัน (รูปที่ ๑ ขวา) เกิดอาการที่เรียกว่า "น๊อค"
 
การป้องกันการเกิดน๊อคนั้นทำได้โดยการปรับแต่งการทำงานของเครื่องยนต์ (เช่น ปรับองศาการจุดระเบิด ปรับสัดส่วนผสมของไอดี) และ/หรือการใช้เชื้อเพลิงที่ทนต่อภาวะการเผาไหม้ในกระบอกสูบได้โดยไม่เกิดการชิงจุดระเบิดด้วยตนเอง (autoignition)
 
การวัดความสามารถของเชื้อเพลิงในการทนต่อภาวะการเผาไหม้ในกระบอกสูบได้โดยไม่เกิดการชิงจุดระเบิดด้วยตนเองของน้ำมันแก๊สโซลีน (ผมขอใช้คำนี้แทนคำว่า "น้ำมันเบนซิน" เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนกับสาร "เบนซีน") จะทำการทดสอบด้วยเครื่องยนต์ทดสอบ ส่วนหน่วยวัดความความสามารถของเชื้อเพลิงในการทนต่อภาวะการเผาไหม้ในกระบอกสูบได้โดยไม่เกิดการชิงจุดระเบิดด้วยตนเองของน้ำมันแก๊สโซลีนนั้นคือ "เลขออกเทน (Octane number)"
 
การทดสอบที่ใช้กันมากนั้นมีอยู่ ๒ การทดสอบ คือการวัดค่า Research Octane Number (ย่อว่า RON หรืออ่านว่า "รอน") และ Motor Octane Number (ย่อว่า MON หรืออ่านว่า "มอน")
 
ค่า RON นั้นวัดตามมาตรฐาน ASTM D 2699-03a Test method for research octane number of spark-ignition engine fuel ส่วนค่า MON นั้นวัดตามมาตรฐาน ASTM D 2700-03a Test method for motor octane number of spark-ignition engine fuel
 
ในการวัดค่า RON นั้นจะกระทำในเครื่องยนต์ทดสอบที่ 600 รอบต่อนาที และปรับเปลี่ยนอัตราส่วนการอัด (compression ratio - ปริมาตรกระบอกสูบเมื่อลูกสูบเคลื่อนที่ลงต่ำสุด (ปริมาตรมากที่สุด) ต่อปริมาตรกระบอกสูบเมื่อลูกสูบเคลื่อนที่ขึ้นสูงสุด (ปริมาตรน้อยที่สุด)) ส่วนการวัดค่า MON นั้นจะกระทำที่รอบเครื่องยนต์สูงกว่า (วัดที่ 900 รอบต่อนาที) และยังมีการปรับเปลี่ยนพารามิเตอร์ต่าง ๆ มากกว่า (ใกล้เคียงการทำงานจริงมากกว่า RON แต่ก็จัดว่าห่างจากการทำงานจริงของเครื่องยนต์ในปัจจุบัน) ทำให้ค่า MON ที่วัดได้นั้นมักจะต่ำกว่าค่า RON อยู่เสมอ
 
มาตรฐานที่ใช้ในการวัดนั้นกำหนดให้ n-heptane มึค่า RON และ MON เป็น 0 และ iso-octane มีค่า RON และ MON เป็น 100
 
น้ำมันที่ส่วนผสมระหว่าง n-heptane 30 vol% + iso-octane 70 vol% ก็จะมี RON = 70 และน้ำมันใด ๆ ที่มีคุณลักษณะต้านการน๊อคเทียบเท่านั้นมันตัวนี้ก็จะถือว่ามีเลขออกเทน 70 เช่นเดียวกัน 
 
น้ำมันที่ส่วนผสมระหว่าง n-heptane 70 vol% + iso-octane 30 vol% ก็จะมี RON = 30 และน้ำมันใด ๆ ที่มีคุณลักษณะต้านการน๊อคเทียบเท่านั้นมันตัวนี้ก็จะถือว่ามีเลขออกเทน 30 เช่นเดียวกัน
 
สำหรับเลขออกเทนที่สูงเกิน 100 นั้น จะใช้การเทียบจากมิลิลิตรของ tetraethyl lead ((C2H5)4Pb) ที่เติมลงไปใน iso-octane บริสุทธิ์ สำหรับค่าเลขออกเทนที่สูงกว่า 100 นั้นตามมาตรฐาน ASTM ให้คำนวณจากสมการต่อไปนี้


เมื่อ ON คือเลขออกเทน (ค่า RON) TEL คือ ml ของ tetraethyl lead ต่อ iso-octane 1 USgal (3.7854 l) ตัวอย่างเช่นน้ำมันที่ประกอบด้วย tetraethyl lead 6 ml ต่อ iso-octane 1 USgal (3.7854 l) จะมีค่า RON = 120.3
(สมการข้างบนมาจากหนังสือ Fundamentals of internal combustion engines โดย H.N. Gupta)

สมการข้างบนยังแสดงให้เห็นความสามารถของ tetraethyl lead ในการเพิ่มเลขออกเทน จะเห็นว่าถ้าใช้ tetra-ethyl lead เพียงแค่ 6 ml/3.7854 l หรือประมาณ 1.59 ml/l ก็สามารถเพิ่มค่า RON ได้ถึง 20 หน่วย ซึ่งจัดว่าใช้ในปริมาณที่ต่ำมาก
 
น้ำมันแก๊สโซลีนนั้นเป็นสารผสมของไฮโดรคาร์บอนหลายชนิด มีการพบว่าไฮโดรคาร์บอนหลายชนิดนั้นเมื่ออยู่ในรูปสารบริสุทธิ์กับรูปสารผสมนั้นแสดงเลขออกเทนที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่นสมมุติว่านำไฮโดรคาร์บอน A ที่บริสุทธิ์มาวัดค่า RON ได้ 90 แต่เมื่อนำน้ำมันผสมระหว่าง n-heptane 50% (RON = 0) + hydrocarbon A 50% (RON = 90) กลับพบว่าน้ำมันผสมที่ได้นั้นมีค่า RON เท่ากับ 60 แทนที่จะเป็น 45 นั่นแสดงว่าในน้ำมันผสมนั้น hydrocarbon A แสดงเลขออกเทน 120 ค่าเลขออกเทน 120 ของ hydrocarbon A ตัวนี้เมื่อผสมกับน้ำมันตัวอื่นเรียกว่า "Blending octane number"
 
เอทานอลก็เป็นแอลกอฮอล์ตัวหนึ่งที่มีเลขออกเทนสูง เอทานอลบริสุทธิ์นั้นมีค่า RON ประมาณ 99 แต่เมื่อผสมเข้าไปในน้ำมันกลับแสดงค่า blending octane number ประมาณ 128-135 (ตัวเลขไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับแหล่งที่มา) ตัวอย่างค่า RON และ MON ทั้ง actual และ blending octane number ของไฮโดรคาร์บอนบางชนิดแสดงไว้ในตารางที่ ๑

ตารางที่ ๑ เลขออกเทนของไฮโดรคาร์บอนบางชนิด
(จาก http://www.refiningonline.com/engelhardkb/crep/tcr4_29.htm)

ทีนี้ลองสมมุติว่าเราต้องการเตรียมน้ำมันที่มีค่า RON 120 โดยใช้ cyclopentane (RON เมื่อผสมคือ 141) ผสมกับ iso-octane พบว่าน้ำมันนั้นต้องประกอบด้วย iso-octane 500 50% + cyclopentane 50% (เลขออกเทน (0.5 x 100) + (0.5 x 141) = 120.5) หรือในน้ำมัน 1 l จะมี iso-octane 500 ml + cyclopentane 500 ml ในขณะที่ถ้าใช้ tetraethyl lead นั้นในน้ำมัน 1 l จะมี iso-octane 998.41 ml + tetraethyl lead 1.59 ml ซึ่งตรงจุดนี้คงทำให้เห็นว่าทำไมในยุคสมัยหนึ่งจึงมีการนิยมใช้ tetraethyl lead ในการเพิ่มเลขออกเทน เพราะมันใช้ในปริมาณน้อยเมื่อเทียบกับปริมาณน้ำมันทั้งหมด ถ้าเลขออกเทนยังไม่สูงพอก็เพียงแค่เติมเพิ่มลงไปอีกนิดหน่อย (เรื่องการใช้ cyclopentane เป็นสารเพิ่มเลขออกเทนในน้ำมัน ผมเคยเล่าไว้ใน Memoir ปีที่ ๕ ฉบับที่ ๕๐๕ วันเสาร์ที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๕ เรื่อง "เอา pentane ไปทำอะไรดี")

ในกรณีของเครื่องยนต์ที่ใช้คาร์บูเรเตอร์ผสม "ไอน้ำมัน" เข้ากับอากาศนั้น ปริมาณ "ไอน้ำมัน" ที่จะผสมเข้ากับอากาศจะขึ้นกับอุณหภูมิของอากาศ (ถ้าสูง น้ำมันก็ระเหยได้มาก) และอัตราการไหลของอากาศ (ถ้าไหลผ่านเร็ว จะทำให้ความดันลดต่ำลงมาก น้ำมันก็ระเหยได้มาก) ดังนั้นถ้าสารเพิ่มเลขออกเทนนั้นระเหยได้ยากที่อุณหภูมิต่ำ ก็อาจทำให้เครื่องยนต์มีปัญหาในช่วงสตาร์ทเครื่องหรือที่รอบต่ำได้
 
ส่วนเครื่องยนต์หัวฉีดนั้นจะใช้การฉีด "น้ำมันที่เป็นของเหลว" เข้าไปในอากาศที่กำลังไหลเข้ากระบอกสูบ ดังนั้นน้ำมันจะต้องระเหยกลายเป็นไอให้ทันเวลา ความเข้มข้นของไอน้ำมันในไอดีจะขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำมันที่หัวฉีดจ่ายออกมา อุณหภูมิของอากาศ และจุดเดือดของส่วนผสมต่าง ๆ ที่อยู่ในน้ำมัน ถ้าอากาศนั้นมีอุณหภูมิสูงพอและน้ำมันนั้นไม่มีพวกที่เป็นองค์ประกอบที่มีจุดเดือดสูง น้ำมันที่เป็นของเหลวที่ฉีดเข้าไปก็จะระเหยกลายเป็นไอได้หมด แต่ถ้าอากาศนั้นมีอุณหภูมิไม่สูงพอและ/หรือน้ำมันนั้นมีพวกที่เป็นองค์ประกอบที่มีจุดเดือดสูงอยู่ในปริมาณมาก องค์ประกอบที่มีจุดเดือดสูงเหล่านั้นอาจจะระเหยกลายเป็นไอได้ไม่หมด และเมื่อหลุดเข้าไปในกระบอกสูบ พวกที่เป็นของเหลวก็สามารถที่จะละลายเข้าไปในน้ำมันเครื่องที่หล่อลื่นผนังกระบอกสูบได้ ทำให้เมื่อเวลาผ่านไปนานขึ้นน้ำมันเครื่องก็จะมีความหนืดลงลดได้

(การเผาไหม้ไอดีในกระบอกสูบนั้น แม้ว่าจะมีอากาศมากเกินพอแต่ก็ไม่สามารถเผาไหม้ได้หมด เพราะเมื่อเปลวไฟเคลื่อนตัวมาถึงผนังกระบอกสูบ เปลวไฟจะสูญเสียความร้อนให้กับผนังกระบอกสูบ ทำให้เปลวไฟดับ ไอน้ำมันที่อยู่บริเวณผนังกระบอกสูบจึงไม่ถูกเผาไหม้)

ที่ผมสงสัยคือถ้ามีการนำเอาสารพวก trimethylbenzene ไปใช้เป็นสารเพิ่มเลขออกเทนให้กับน้ำมันแก๊สโซลีน จะส่งผลต่อการทำงานของเครื่องยนต์หรือไม่ โดยเฉพาะช่วงที่เครื่องยนต์ทำงานรอบต่ำ (เช่นตอนเริ่มติดเครื่อง) และ/หรือตอนที่อากาศเย็น ข้อมูลในตารางที่ ๑ แสดงให้เห็นว่าสารประกอบพวก alkyl aromatic นั้นแม้ว่าจะเป็นพวกที่มีเลขออกเทนสูง โดยเฉพาะ 1,3,5-trimethylbenzene ที่แสดงค่า RON เมื่อนำไปผสมสูงถึง 171 แต่สารกลุ่ม trimethylbenzene เหล่านี้จัดเป็นพวกที่มีจุดเดือดสูง (ประมาณ 165-175ºC) หรืออยู่ในกลุ่มพวก 10% สุดท้ายของน้ำมันเบนซินที่กฎหมายยอมให้มีได้ (ดู Memoir ปีที่ ๕ ฉบับที่ ๕๔๘ วันพฤหัสบดีที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๕ เรื่อง "กราฟอุณหภูมิการกลั่นของน้ำมันเบนซิน" ประกอบ) พวก alkyl aromatic ตั้งแต่ C10 ขึ้นไปนั้นเป็นพวกที่มีจุดเดือดสูงระดับประมาณ 170-200ºC เช่นเดียวกัน

ที่กล่าวมาใน Memoir ฉบับนี้และฉบับอื่นที่มีการอ้างถึงใน Memoir ฉบับนี้ เป็นพื้นฐานที่นำไปสู่แนวความคิดของผมเรื่องการสังเคราะห์เอทิลเบนซีน (จากเบนซีนและเอทานอล) เพื่อนำไปใช้เป็นสารเพิ่มเลขออกเทนให้กับน้ำมันแก๊สโซลีน (ที่ได้กล่าวไว้ใน Memoir ปีที่ ๕ ฉบับที่ ๕๔๔ วันอังคารที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๕ เรื่อง "เอาเบนซีนกันเอทานอลไปทำอะไรดี") เอทิลเบนซีนนั้นมีจุดเดือดเพียง 136ºC ทำให้ไม่ถูกจำกัดปริมาณด้วยข้อจำกัดเรื่องจุดเดือด (แต่ก็ยังถูกจำกัดปริมาณด้วยข้อจำกัดเรื่องปริมาณอะโรมาติกรวมที่ต้องไม่เกิน 35 vol% อยู่ดี) ซึ่งน่าจะช่วยบรรเทาปัญหาเรื่องการหาทางใช้ประโยชน์จากเบนซีนและค่าใช้จ่ายที่สูงในการผลิตเอทานอลความบริสุทธิ์สูงเพื่อนำไปผสมเป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล์ และถ้ามีการเปลี่ยน pentane ไปเป็น cyclopentane เพื่อใช้เป็นสารเพิ่มเลขออกเทนให้กับน้ำมันแก๊สโซลีน น่าจะทำให้สามารถดึงเอาอะโรมาติกพวกโทลูอีนและไซลีนไปใช้เป็นสารตั้งต้นในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีแทนได้

ที่เหลือก็ขึ้นกับคนที่ถามถามเห็นผมมาแล้วว่า เขาจะพิจารณาว่ามันคุ้มค่าหรือไม่อย่างไร เพราะเขาเป็นคนถือตัวเลขราคาต้นทุนสารต่าง ๆ และปริมาณการผลิตของสารต่าง ๆ แต่ละปีอยู่ในมือ ส่วนผมทำเพียงแค่เสนอแนวความคิดให้เขาฟังแค่นั้นเอง

วันอังคารที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เอาเบนซีนกับเอทานอลไปทำอะไรดี MO Memoir 2555 Dec 4 Tue

ถึงตอนนี้พวกคุณบางคนก็คงจะได้เห็นแล้วว่า กว่าที่ปฏิกิริยาเคมีสักปฏิกิริยาจะออกไปสู่ระดับการผลิตจริงได้นั้นมันมีปัจจัยหลัก ๆ ที่เกี่ยวข้องอยู่ด้วยกัน ๔ ปัจจัยคือ เทคนิค ความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ (ตรงนี้จะมีนโยบายของหน่วยงานเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย) ข้อกำหนดทางด้านกฎหมาย และปัจจัยด้านการเมือง (ตอนนี้คิดได้เพียงแค่ ๔ ปัจจัย)

ในวงการอุตสาหกรรมนั้นทราบกันดีว่าการผลิตเอทานอลความบริสุทธิ์สูงนั้นมีค่าใช้จ่ายที่สูง และพลังงานที่ต้องใช้ในการแยกเอทานอลออกจากน้ำเพื่อให้ได้เอทานอลความบริสุทธิ์สูงนั้นสูงกว่าพลังงานที่ได้จากการเผาไหม้เอทานอล ดังนั้นถ้าพิจารณาในเรื่องการประหยัดพลังงานแล้ว การผลิตเอทานอลความบริสุทธิ์สูงในระดับที่ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๙๙ (ตามมาตรฐานมอก. ๒๓๒๔-๒๕๔๙) เพื่อนำไปผสมกับน้ำมันเบนซินเพื่อผลิตแก๊สโซฮอล์นั้นจัดว่าเป็นการสิ้นเปลืองพลังงาน เพียงแต่พลังงานที่ใช้ในการกลั่นเอทานอลนั้นอาจเป็นพลังงานที่เป็นวัสดุเหลือทิ้งจากการเกษตรหรือจากถ่านหินนำเข้า (ลดการนำเข้าน้ำมัน แต่นำเข้าถ่านหินแทน) ซึ่งเป็นพลังงานที่ไม่สามารถนำมาใช้กับรถยนต์หรือเครื่องยนต์สันดาปภายในได้โดยตรง

ใน Memoir ปีที่ ๔ ฉบับที่ ๔๕๕ วันเสาร์ที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เรื่อง "เอาแป้งมันไปทำอะไรดี" ก็ได้กล่าวถึงการหาทางเอาแป้งมันสำปะหลังไปทำอย่างอื่นนอกเหนือจากการนำไปผลิตเอทานอล ในบันทึกฉบับนั้นได้กล่าวถึงการหาทางนำเอาผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการหมักไปทำปฏิกิริยาโดยตรงโดยที่ไม่ต้องทำการกลั่นแยกออกมาเป็นเอทานอลบริสุทธิ์ ซึ่งสิ่งหนึ่งที่อยู่ในแนวทางนั้นก็คืออาจทำการกลั่นเพื่อให้ได้เอทานอลความบริสุทธิ์สูงขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องให้มีความบริสุทธิ์สูงมาก (เช่นเพียงแค่ประมาณร้อยละ ๕๐) และนำเอทานอลที่เข้มข้นมากขึ้นนั้นไปใช้ประโยชน์เช่นใช้ทำปฏิกิริยากับสารอื่นเพื่อผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ตัวอื่น

ในส่วนของเบนซีนเองนั้นก็จัดว่าเป็นอะโรมาติกที่มีความเป็นพิษมากตัวหนึ่ง ข้อกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมในส่วนของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอล์เองก็กำหนดให้มีเบนซีนได้ไม่เกินร้อยละ ๑ โดยปริมาตร โดยยอมให้มีอะโรมาติกรวมทั้งหมดได้สูงถึงร้อยละ ๓๕ โดยปริมาตร ดังนั้นถ้านำปัจจัยเรื่องสิ่งแวดล้อมมาพิจารณา การใช้ประโยชน์จากเบนซีนนั้นควรที่จะทำการเปลี่ยนเบนซีนไปเป็นผลิตภัณฑ์อื่น (ที่ปลอดภัยกว่า) ณ โรงงานที่ทำการผลิตเบนซีนหรือโรงงานที่อยู่ข้างเคียงที่สามารถส่งเบนซีนถึงกันผ่านทางระบบท่อ ซึ่งจะเป็นการลดการรั่วไหลของเบนซีนออกสู่บรรยากาศ

Memoir ปีที่ ๕ ฉบับที่ ๕๑๖ วันพุธที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๕ เรื่อง "อะโรมาติก : การผลิต การใช้ประโยชน์ และปัญหา" ได้กล่าวถึงภาพโดยกว้างทั่วไปของการใช้ประโยชน์สารประกอบอะโรมาติก C6-C8 ที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นในโรงกลั่นน้ำมัน ว่ามีการนำเอาไปใช้ทำอะไรกันบ้าง แต่มาคราวนี้มีคำถามที่เฉพาะเจาะจงลงไปที่เบนซีนเพียงอย่างเดียว ซึ่งผมก็บอกคนที่ถามเขาไปแล้วว่าโจทย์ของเขาข้อนี้จัดว่ายาก (พอ ๆ กับคำถามที่ว่าเอา CH4 ไปทำอะไรดีนอกจากเอาไปเผาเป็นเชื้อเพลิงกับเข้ากระบวนการ steam reforming) แต่ก็จะลองเสนอแนวทางให้พิจารณาดู

. ผลิตเอทิลเบนซีนจากเบนซีนและเอทานอล

เอทิลเบนซีน (Ethyl benzene C6H5-CH2CH3) เป็นสารตั้งต้นในการผลิตสไตรีน (Styrene C6H5-CH=CH2) จากปฏิกิริยาระหว่างเบนซีนกับเอทิลีน ซึ่งเป็นกระบวนการผลิตที่ใช้กันอยู่ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีเพื่อใช้ในการผลิตสไตรีนที่ใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิตพอลิสไตรีน (Polystyrene - PS)
แต่เราก็สามารถผลิตเอทิลเบนซีนจากปฏิกิริยาระหว่างเบนซีนกับเอทานอลได้

แต่สำหรับโรงกลั่นน้ำมันที่ไม่ได้มีโรงงานผลิตสไตรีนอยู่เคียงข้าง การผลิตเอทิลเบนซีนเพื่อส่งต่อไปยังโรงงานผลิต สไตรีนที่อยู่ห่างออกไปนั้นคงไม่คุ้มค่า แต่ถ้าเป็นการผลิตเอทิลเบนซีนเพื่อใช้เป็นสารเพิ่มค่าออกเทนในน้ำมันเบนซินหรือน้ำมันแก๊สโซฮอล์ก็น่าที่จะลองพิจารณาดู เพราะจะทำให้มีการใช้เอทานอลเพิ่มขึ้น นอกจากนี้เอทิลเบนซีนยังไม่มีปัญหาเรื่องการผสมเข้ากับน้ำมันเบนซินดังเช่นที่เกิดกับเอทานอลด้วย

แต่ทั้งนี้เอทานอลที่นำมาผลิตเอทิลเบนซีนนั้นจะต้องไม่ใช่เอทานอลเกรดเดียวกับที่ใช้ผสมเพื่อผลิตเป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล์ (เอทานอลบริสุทธิ์ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๙๙) แต่ควรเป็นเอทานอลเกรดที่มีความบริสุทธิ์ที่ต่ำกว่าเพราะมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่ามาก 
 
ประโยชน์อีกอย่างที่ควรจะได้คือ เอทิลเบนซีนที่ได้จากกระการนี้จะสามารถทดแทน toluene, xylenes และ tri-methyl benzene ที่ใช้เป็นสารเพิ่มออกเทนในน้ำมันเบนซินในปัจจุบัน ทำให้สามารถดึงเอาสารประกอบเหล่านี้ไปใช้ประโยชน์ด้านอื่นที่มีมูลค่าเพิ่มมากกว่าได้ (เช่นเอาไปผลิตเป็น p-xylene แทน)





รูปที่ ๑ (บน) องค์ประกอบของน้ำมันแก๊สโซฮอล์ในปัจจุบันที่มีการใช้เอทานอลผสม 10 %vol (ล่าง) ตัวอย่างแนวทางเลือกการผลิตแก๊สโซฮอล์ E10 ที่ใช้เอทิลเบนซีน (E vol%) เข้ามาผสมแทนอะโรมาติกส่วน C7+ ในส่วนสารประกอบเมทิลอะโรมาติก (toluene, xylene และ trimethybenzene) ซึ่งจะทำให้สามารถผลักอะโรมาติกส่วน C7+ E vol% ไปใช้ในการผลิต p-xylene ได้

รูปที่ ๑ เป็นการเปรียบเทียบการผลิตแก๊สโซฮอล์ E10 ในปัจจุบัน กับแนวทางเลือกหนึ่งที่ลองคิดขึ้นมาเล่น ๆ ที่ยังคงต้องมีการผสมเอทานอล 10 %vol ในแก๊สโซฮอล์อยู่ ตามรูปแบบทางเลือกที่แสดงนั้นยังคงใช้เอทานอลเข้มข้น 99 %vol ในปริมาณเท่าเดิม และยังมีการใช้เอทานอล 50 %vol เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นจะทำให้ความต้องการการผลิตเอทานอลเพิ่มสูงขึ้น

ในอีกทางเลือกหนึ่งนั้นจะเป็นการผลิตน้ำมันเบนซินที่ไม่มีการผสมเอทานอลเข้าไปโดยตรง แต่ยังคงใช้เอทานอลอยู่โดยนำมาทำปฏิกิริยากับเบนซีนเพื่อผลิตเป็นเอทิลเบนซีนก่อน จากนั้นจึงนำเอทิลเบนซีนที่ได้มาทดแทนอะโรมาติก C7+ ซึ่งในกรณีหลังนี้โรงงานผลิตเอทานอลก็ยังเดินเครื่องอยู่ แต่จะเป็นการผลิตเอทานอลเข้มข้น 50 %vol แทน ซึ่งจะมีต้นทุนการผลิตที่ถูกกว่า (รูปที่ ๒) 
 
และที่สำคัญคือยังตอบโจทย์ความต้องการ (ของสังคม-การเมือง-นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม) ที่จะใช้ผลิตผลทางการเกษตรมาผลิตเป็นเชื้อเพลิงเหลวด้วย 
 
แต่ปัญหาที่สำคัญคือต้องเปลี่ยนภาพที่คนส่วนใหญ่เข้าใจว่า "การใช้เอทานอลเป็นเชื้อเพลิงนั้นต้องใช้ในรูปเอทานอล" มาเป็น "การนำเอทานอลไปเปลี่ยนเป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอน" ซึ่งตรงจุดนี้พัวพันไปถึงข้อกฎหมายด้วย



รูปที่ ๒ อีกแนวทางเลือกหนึ่งในการผลิตในการผลิตน้ำมันเบนซิน ที่มีการใช้เอทานอลในการผลิต

ส่วนที่ว่าจะผลิตเอทิลเบนซีนจากปฏิกิริยาระหว่างเบนซีนกับเอทานอล (50 %vol) อย่างไรให้คุ้มค่านั้น คงต้องยกกันไปคุยกันเป็นหัวข้อต่างหาก เพราะคงมีเรื่องทางเทคนิคที่ต้องพิจารณากันน่าดูอยู่เหมือนกัน
นอกจากนี้ยังมีประเด็นอื่นที่ต้องพิจารณาอีกเช่น
(ก) ต้นทุนการผลิตเอทิลเบนซีนโดยใช้เอทานอลความบริสุทธิ์ต่ำ (คิดราคาเบนซีนและเอทานอลความบริสุทธิ์ต่ำและค่าใช้จ่ายในการผลิตเอทิลเบนซีน) กับการผลิตเอทานอลความบริสุทธิ์สูง (คิดราคาเอทานอลความบริสุทธิ์สูง) นั้นแบบไหนจะคุ้มค่ามากกว่ากัน 
 
(ข) การขนส่งวัตถุดิบอีกถ้าหากโรงงานผลิตเอทานอลและโรงงานที่มีการผลิตเบนซีนนั้นอยู่คนละแหล่งกันและไม่สามารถส่งให้กันทางระบบท่อได้ ดังนั้นจำเป็นต้องใช้รถลำเลียง (เช่นรถไฟ) การขนส่งเบนซีนนั้นจะมีปัญหากับสิ่งแวดล้อมมากกว่า แต่การขนส่งเอทานอลเข้มข้น 50 %vol ก็จะสิ้นเปลืองมากกว่า เพราะจะได้เนื้อเอทานอลเพียง 50% ส่วนที่เหลืออีก 50% นั้นเป็นน้ำที่ต้องทิ้งไป แต่ถ้าผลิตเอทานอลความบริสุทธิ์สูงขึ้นก็จะมีค่าใช้จ่ายในการผลิตมากขึ้น แต่จะลดค่าใช้จ่ายในการขนส่งลง (เพราะต่อเที่ยวขนส่งจะมีเนื้อเอทานอลเพิ่มมากขึ้น)

. ผลิตฟีนอลจากเบนซีน

ผมเดาว่าแนวทางนี้ด้วยสภาพในขณะนี้คิดว่าคงยากที่จะเกิด แต่โครงการที่ยังไม่เหมาะสมในปัจจุบันก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เหมาะสมในอนาคต เพราะราคาสิ่งต่าง ๆ มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
การผลิตฟีนอล (Phenol C6H5-OH) ในปัจจุบันใช้เส้นทาง cumene ซึ่งจะได้ฟีนอลและ acetone เป็นผลิตภัณฑ์ร่วมกัน 
 
เส้นทางนี้เริ่มจาก benzene กับ propylene ไปเป็น cumene ก่อน จากนั้นจึงทำการออกซิไดซ์ cumene ให้กลายเป็นสารประกอบเปอร์ออกไซด์ ตามด้วยการทำให้สารประกอบเปอร์ออกไซด์ดังกล่าวสลายตัวเป็นฟีนอลและ acetone
แต่กระบวนการที่สะอาดกว่าในการผลิตฟีนอลก็มีอยู่ และต่างก็เป็นปฏิกิริยาในขั้นตอนเดียวโดยที่ไม่มีการเกิดผลิตภัณฑ์ข้างเคียงร่วมคือ (ก) ปฏิกิริยาระหว่างเบนซีนและไนตรัสออกไซด์ (N2O) และ (ข) ปฏิกิริยาระหว่างเบนซีนกับไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (H2O2)
ดูเหมือนว่าปฏิกิริยาระหว่างเบนซีนและไนตรัสออกไซด์นั้นมีการผลิตในเชิงพาณิชย์แล้ว และมีการจดสิทธิบัตรวิธีการเอาไว้หลากหลายฉบับด้วย แต่ปฏิกิริยาระหว่างเบนซีนกับไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์นั้นไม่แน่ใจว่าจะมีการผลิตในเชิงพาณิชย์แล้วหรือยัง เท่าที่พอจะมีเวลาค้นดูสิทธิบัตรโดยใช้ google ก็ยังหาไม่เจอ เจอแต่ปฏิกิริยาในข้อ (ก)
ในขณะนี้ดูเหมือนว่าการใช้งานหลักของฟีนอลคือนำไปผลิตเป็น bisphenol-A ซึ่งผลิตจากปฏิกิริยาระหว่างฟีนอล 2 โมเลกุลกับ acetone 1 โมเลกุล แต่ในการผลิตฟีนอลจากกระบวนการ cumene นั้นจะได้ฟีนอล 1 โมเลกุลและ acetone 1 โมเลกุล ดังนั้นจะมี acetone เหลืออยู่ ซึ่งต้องขายไปในรูปของตัวทำละลาย
แต่ถ้าใช้กระบวนการผลิตฟีนอลที่ไม่ทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ข้างเคียงร่วม (เช่นปฏิกิริยาสองปฏิกิริยาที่กล่าวมาข้างต้น) ก็สามารถใช้ฟีนอลที่ได้จากกระบวนการดังกล่าวเข้าไปเสริมฟีนอลที่ได้จากกระบวนการ cumene ก็จะทำให้สามารถเพิ่มความต้องการการใช้ acetone ให้สูงขึ้นได้

หรือไม่ก็พิจารณาการใช้ฟีนอลในการผลิตเป็นสารอื่นต่อไป โดยอาศัยคุณสมบัติของฟีนอลที่มีความว่องไวสูงกว่าวงแหวนเบนซีน ทำให้สามารถที่จะเติมหมู่อื่นเข้าไปในวงแหวนได้ง่ายขึ้น หรือไม่ก็อาศัยการทำปฏิกิริยากับหมู่ -OH ของโมเลกุลฟีนอลเองเลย ซึ่งประเด็นตรงจุดนี้คงต้องค่อย ๆ พิจารณากันต่อไป

ไม่รู้ว่า Memoir ฉบับนี้จะช่วยให้เขามีการบ้านไปส่งหรือเปล่า :)

วันพุธที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2555

อะโรมาติก : การผลิต การใช้ประโยชน์ และปัญหา MO Memoir : Wednesday 10 October 2555

เนื้อหาในเอกสารฉบับนี้เป็นการปูพื้นฐานสำหรับงานวิจัยที่จะมอบหมายให้นิสิตรหัส ๕๕ ดำเนินการ โดยจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับภาคกว้างของปัญหาก่อน จะได้มองเห็นภาพใหญ่ว่างานที่จะมอบหมายให้ทำนั้นมีความสำคัญอย่างไร และงานของแต่คนนั้นอยู่ตรงส่วนไหนของภาพใหญ่ทั้งหมด รายละเอียดแนวทางการทำงานนั้นจะไปปรากฏในบันทึก "แนวทางหัวข้อการทำวิทยานิพนธ์นิสิตรหัส ๕๕ (ตอนที่ ๑)" ซึ่งคาดว่าจะอีกไม่กี่วันจะตามหลังมา

อีกเรื่องคือเราอาจจะมี workshop เล็ก ๆ เป็นครั้งที่สอง คราวนี้จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับพื้นฐานเครื่อง GC และการอ่านผลโครมาโทแกรม โดยจะนำเอาเนื้อหาใน memoir ฉบับเก่า ๆ มาเล่าให้ฟังกัน กำหนดวันคร่าว ๆ คือพฤหัสบดีที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๕ คงใช้เวลาทั้งเช้าและบ่าย ส่วนห้องที่จะจัดจะแจ้งให้ทราบอีกที ผมประมาณว่าจะเปิดโอกาสให้คนนอกกลุ่มที่สนใจเข้าร่วมฟังด้วย รวมทั้งหมดไม่ควรจะเกิด ๒๐ คน จะพยายามจัดให้มีของว่างให้ทั้งเช้าและบ่าย (ส่วนข้าวเที่ยงขอไม่เลี้ยงนะ)

. ภาพโดยทั่วไปของการผลิตและการใช้งานอะโรมาติก

ในโรงกลั่นน้ำมันหรือโรงผลิต aromatic นั้น จะใช้กระบวนการ Platinum reforming หรือที่นิยมเรียกสั้น ๆ ว่า Platforming ในการเปลี่ยนไฮโดรคารบอนโซ่ตรงให้กลายเป็นวง aromatic กระบวนการนี้จะนำเอาไฮโดรคาร์บอนโซ่ตรงช่วง C6-C8 มาเปลี่ยนโครงสร้างให้กลายเป็นวง aromatic โดย

C6 จะกลายเป็น Benzene (C6H6)
C7 จะกลายเป็น Toluene (C6H5-CH3)
C8 จะกลายเป็น Xylene (C6H4-(CH3)2) เป็นหลัก โดยมี Ethyl benzene (C6H5-CH2CH3) ร่วมอยู่ด้วย

ผลิตภัณฑ์ที่ได้จะเรียก Reformat หรือ BTX (ย่อมาจากคำหน้าชื่อผลิตภัณฑ์หลักแต่ละตัว)


. การใช้งานเบนซีน

เบนซีนนั้นใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิต

- ไซโคลเฮกเซน (Cyclohexane - C6H12) โดยการเติมไฮโดรเจนกลับเข้าไปที่วงแหวน ไซโคลเฮกเซนใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิต caprolactam ซึ่งนำไปสู่การผลิตเส้นใยไนลอน

- เอทิลเบนซีน โดยนำเบนซีนมาทำปฏิกิริยากับเอทิลีน เส้นทางนี้เป็นเส้นทางหลักในการผลิตเอทิลเบนซีน เอทิลเบนซีนที่ได้จะถูกเปลี่ยนไปเป็น Styrene (C6H5-CH=CH2) ซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการผลิตพอลิสไตรีน (Polystyrene - PS) โรงงานที่ผลิตพอลิสไตรีนก็มักจะมีหน่วยผลิตเอทิลเบนซีนและสไตรีนของตัวเอง

- คิวมีน (Cumene - C6H5-(CH3CHCH3)) โดยนำเบนซีนไปทำปฏิกิริยากับโพรพิลีน คิวมีนนี้ใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิตฟีนอล (Phenol - C6H5-OH) โดยจะได้อะซีโทน (acetone - H3C-CO-CH3) เป็นผลิตภัณฑ์ร่วม โรงงานที่ผลิตฟีนอลก็มักจะมีหน่วยผลิตคิวมีนของตัวเองเช่นเดียวกัน

- มาเลอิกแอนไฮดราย (Maleic anhydride - C4H2O3) ซึ่งผลิตจากปฏิกิริยา gas phase partial oxidation เบนซีนโดยตรง มาเลอิกแอนไฮดรายนี้ใช้การผลิตพอลิเอสเทอร์ไม่อิ่มตัว (Unsaturated polyester - มีพันธะคู่ C=C อยู่ในโมเลกุล) แต่เส้นทางนี้กำลังถูกแทนที่ด้วยเส้นทางที่เริ่มจากไฮโดรคาร์บอน C4

ผลิตภัณฑ์จากเบนซีนสี่ตัวข้างต้นเป็นการใช้งานหลักของเบนซีนในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี นอกจากนี้ยังมีการใช้งานเบนซีนในรูปของสารเร่งออกเทนในน้ำมันแก๊สโซลีน (ขอเรียกน้ำมัน "แก๊สโซลีน" แทนน้ำมัน "เบนซิน" เนื่องจากเกรงว่าจะไปสับสนกับเบนซีนที่สะกดคล้าย ๆ กัน) แต่เนื่องจากเบนซีนจัดว่าเป็นสารก่อมะเร็ง มาตรฐานน้ำมันในปัจจุบันจึงกำหนดให้ปริมาณเบนซีนในน้ำมันแก๊สโซลีนไว้ไม่เกิน 1% (โดยน้ำหนัก) ลดลงจากเดิมที่ยอมให้มีได้ถึง 3%

สารเคมีแต่ละตัวหน้าตาเป็นอย่างไรก็เอารูปมาให้ดูแล้ว ที่เรียกไซลีนว่าเป็น ออโธ เมตา หรือพารา แทนที่จะเรียกเป็น 1,2- 1,3- หรือ 1,4- หรือชื่อสามัญนั้นก็เพราะในวงการเขาเรียกกันอย่างนี้ ไม่ได้ใช้ระบบ IUPAC

 
. การใช้งานโทลูอีน

โทลูอีนนั้นมีที่ใช้งานน้อยกว่าในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี โดยใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิต

- กรดเบนโซอิก (Benzoic acid - C6H5-COOH) ซึ่งเป็นปฏิกิริยาออกซิไดซ์หมู่ -CH3 ให้กลายเป็น -COOH

- ฟีนอล ซึ่งเป็นการออกซิไดซ์เพื่อตัดหมู่ -CH3 ให้กลายเป็น -OH แต่การผลิตฟีนอลด้วยเส้นทางนี้ต่ำกว่าเส้นทางผ่านทางคิวมีนมาก

เนื่องจากโทลูอีนมีความเป็นพิษที่ต่ำกว่าเบนซีนมาก จึงถูกนำไปใช้เป็นตัวทำละลายและสารเร่งออกเทนในน้ำมันแก๊สโซลีน (น้ำมันแก๊สโซลีนของบ้านเรายอมให้มีอะโรแมติกรวมทั้งหมดได้ถึง 35% โดยน้ำหนัก)

. การใช้งานไซลีน

ไซลีนที่ผลิตได้นั้นมีอยู่ด้วยกัน 3 ไอโซเมอร์คือ ออโธไซลีน (ortho-xylene หรือ o-xylene หรือ 1,2-dimethyl benzene) เมตาไซลีน (meta-xylene หรือ m-xylene หรือ 1,3-dimethyl benzene) และพาราไซลีน (para-xylene หรือ p-xylene หรือ 1,4-dimethyl benzene) ไซลีนที่อยู่ในรูปไซลีนผสมทั้งสามไอโซเมอร์นี้เรียกว่า mixed-xylene ใช้เป็นตัวทำละลายหรือสารเพิ่มออกเทนในน้ำมันแก๊สโซลีน แต่ก็ยังมีการแยกออกแต่ละไอโซเมอร์ออกมาเพื่อใช้เป็นสารตั้งต้นในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีดังนี้

ออโธไซลีนใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิตฟาทาลิกแอนไฮดราย (phthalic anhydride) โดยผลิตจากปฏิกิริยา gas phase partial oxidation ออโทไซลีนกับอากาศโดยตรง ส่วนใหญ่ของฟาทาลิกแอนไฮดรายที่ผลิตได้นั้นจะนำไปผลิตเป็น plasticizer สำหรับผสมกับ PVC เพื่อผลิตเป็นหนังเทียม
เมตาไซลีนไม่มีการใช้งานที่เด่นชัดในการใช้เป็นสารตั้งต้นในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี

พาราไซลีนใช้เป็นสารตั้งต้นในการกรดเทอฟาทาลิก (C6H4(COOH)2) โดยผลิตจากปฏิกิริยา liquid phase partial oxidation พาราไซลีนกับอากาศโดยตรง กรดเทอฟาทาลิกที่ได้จะนำไปผลิตเป็นพอลิเอสเทอร์โดยทำปฏิกิริยากับเอทิลีนไกลคอล (ethylene - HO-CH2-CH2-OH) หรือเอทิลีนออกไซด์ (C2H4O) จะได้พอลิเมอร์ที่เรียกว่าพอลิเอทิลีนไกลคอล (Polyethylene terephthalate) หรือที่เรียกย่อ ๆ ว่า PET ซึ่งมีทั้งเกรดเป็นเส้นใยที่นำมาทำเสื้อผ้าที่เราสวมใส่ (ที่เรียกว่าเส้นใยพอลิเอสเทอร์) และที่นำไปเป่าเป็นขวดบรรจุของเหลวต่าง ๆ

. เชื้อเพลิง ตัวทำละลาย หรือสารตั้งต้นในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี

อะโรมาติกที่กล่าวมานั้นสามารถนำไปใช้เป็น เชื้อเพลิง ตัวทำละลาย หรือสารตั้งต้นในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ก็ได้ แต่การจำหน่ายเพื่อเป็นสารตั้งต้นในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีจะได้ราคาที่ดีกว่า ในบรรดาอะโรมาติกที่กล่าวมาข้างต้นนั้น โทลูอีนและเมตาไซลีนเป็นสารที่มีความต้องการใช้งานเป็นสารตั้งต้นในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีน้อยที่สุด ด้วยเหตุนี้จึงได้มีความพยายามที่จะเปลี่ยนสารทั้งสองตัวนี้ให้กลายเป็นสารตัวอื่นที่สามารถนำไปเป็นสารตั้งต้นในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีได้

. Xylene isomerisation

กระบวนการ xylene isomerisation เป็นการเปลี่ยนเมตาไซลีนไปเป็นออโธไซลีนหรือพาราไซลีน ในกระบวนการนี้จะมีการตัดหมู่ -CH3 หมู่หนึ่งออกจากวงแหวน และนำไปเชื่อมต่อใหม่ที่อีกตำแหน่งหนึ่งของวงแหวนเดิม (ที่ไม่ใช่ตำแหน่ง meta) ก็จะทำให้ได้ออโธไซลีนหรือพาราไซลีน
แต่ถ้าหมู่ -CH3 ที่ถูกตัดออกมานั้นไปเชื่อมต่อเข้ากับไซลีนอีกโมเลกุลหนึ่ง ก็จะทำโมเลกุลไซลีนเดิมกลายเป็นโทลูอีน (เพราะเหลือ -CH3 เพียงแค่หมู่เดียว) ส่วนไซลีนอีกโมเลกุลนั้นก็จะกลายเป็น trimethylbenzene ไป


. Toluene disproportionation reaction

โทลูอีนสองโมเลกุลสามารถทำปฏิกิริยากัน โดยที่โมเลกุลหนึ่งนั้นจะถูกตัดเอาหมู่เมทิล -CH3 ออกและนำหมู่ -CH3 ที่ตัดออกมานี้ไปต่อเข้ากับโทลูอีนอีกโมเลกุลหนึ่ง ทำให้ได้ผลิตภัณฑ์คือเบนซีนและไซลีน

ไซลีนที่ได้นั้นจะประกอบด้วยไอโซเมอร์สามตัวรวมกัน ซึ่งจะนำไปเข้ากระบวนการ xylene isomerisation ต่อเพื่อเปลี่ยนเมตาไซลีนให้กลายเป็นออโธไซลีนหรือพาราไซลีนอีกที ส่วนเบนซีนที่ได้นั้นก็สามารถนำไปใช้เป็นสารตั้งต้นในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีได้ดังที่กล่าวไว้ในข้อ ๒.
ปฏิกิริยานี้เป็นปฏิกิริยาหนึ่งที่ทำให้มีการผลิตเบนซีนเพิ่มขึ้น นอกเหนือไปจากปฏิกิริยา Platforming

. ปัญหาของเบนซีน

เมื่อร่างกายของคนเราได้รับสารเคมีเข้าไป ร่างกายจะขับออกโดยการเปลี่ยนสารประกอบนั้นให้กลายเป็นสารประกอบที่ละลายน้ำได้ เพื่อที่จะได้ระบายออกผ่านทางปัสสาวะ
เนื่องจากโมเลกุลอะโรมาติกเป็นโมเลกุลไม่มีขั้ว ดังนั้นเมื่อร่างกายรับเข้าไปก็จะไปสะสมในไขมัน ในการขับโมเลกุล อะโรมาติกออกจากร่างกาย ร่างกายจะต้องทำการออกซิไดซ์โมเลกุลเหล่านี้ให้เกิดหมู่ฟังก์ชันที่มีขั้ว เพื่อที่จะได้ละลายน้ำได้ และเข้าสู่ระบบโลหิตก่อนจะไปถูกขับออกทางปัสสาวะผ่านทางไต

สารประกอบอะโรมาติกที่มีหมู่อัลคิลเกาะอยู่นั้น ร่างกายจะทำการออกซิไดซ์หมู่อัลคิลให้กลายเป็นหมู่ที่มีขั้ว (เช่นเปลี่ยนหมู่ -CH3 ให้กลายเป็น -COOH) แทนที่จะทำการออกซิไดซ์วงแหวนโดยตรง ทั้งนี้เพราะการออกซิไดซ์หมู่อัลคิลนั้นทำได้ง่ายกว่าการออกซิไดซ์วงแหวน

แต่เนื่องจากเบนซีนไม่มีหมู่อัลคิลเกาะอยู่ ดังนั้นการขับเบนซีนออกจากร่างกายจึงต้องพึ่งปฏิกิริยาการออกซิไดซ์วงแหวนโดยตรง ผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากการออกซิไดซ์วงแหวนเบนซีนนี้ถูกจัดว่าเป็นสารก่อมะเร็ง

ในอดีตนั้นเบนซีนส่วนที่เกินความต้องการของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีสามารถผลักเข้าสู่การผลิตน้ำมันแก๊สโซลีนได้ แต่ในปัจจุบันเนื่องจากมีการจำกัดปริมาณเบนซีนในน้ำมันแก๊สโซลีนให้ต่ำลงไปอีก และในบางกระบวนการนั้นก็ได้มีการใช้สารตั้งต้นตัวอื่นมาใช้แทนเบนซีน (เช่นการผลิตมาเลอิกแอนไฮดรายที่เปลี่ยนจากเบนซีนไปเป็นไฮโดรคาร์บอน C4) ทำให้การใช้งานเบนซีนนั้นถูกจำกัดมากยิ่งขึ้น และนี่คือโจทย์ที่เราได้รับมาว่าจะจัดการอย่างไรกับเบนซีนส่วนเกินนี้

หวังว่าตอนนี้พวกคุณคงจะได้เห็นภาพกว้าง ๆ ของเรื่องราวทั้งหมดแล้วว่างานที่จะมอบหมายให้ทำนั้นเกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง คอยติดตามตอนต่อไปก็แล้วกัน