ในช่วงที่ผ่านมานั้นในบ้านเราได้นำผลิตผลทางการเกษตรได้แก่อ้อยและแป้งมันสำปะหลังไปเข้ากระบวนการหมักเพื่อผลิตเป็นสารละลายเอทานอล
จากนั้นจึงนำสารละลายเอทานอลที่ได้ไปกลั่นแยกให้ได้เอทานอลความบริสุทธิ์สูงเพื่อนำไปผลิตเป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล์
แต่ก็เป็นที่ทราบกันว่าต้นทุนแอลกอฮอล์ที่ได้จากวิธีการนี้มีราคาสูงแม้ว่าจะใช้ผลิตผลทางการเกษตรที่มีราคาถูกคือแป้งมันสำปะหลัง
เมื่อโดนบังคับให้ต้องขายเอทานอลในราคาที่ถูกกว่าการขายในรูปของแป้งมันสำปะหลังจึงทำให้หลายโรงงานไม่ประสงค์ที่จะผลิตเอทานอล
ผมก็เลยลองคิดเล่น
ๆ ว่าถ้ามีแป้งมันสำปะหลังอยู่ในมือ
จะเอาไปทำอะไรดีที่ไม่ใช่เอทานอล
ก็เลยลองคิดโครงการเล่น ๆ
ที่ยังไม่รู้ว่าจะทำได้จริงหรือเปล่า
คิดว่าถ้ามีเวลาว่างและ
(สำคัญมากคือ)
มีคนให้ทุนทำวิจัย
ผมก็อยากจะลองทำดูเหมือนกัน
๑.
จากแป้งเป็นน้ำตาลกลูโคส
โมเลกุลแป้งประกอบด้วยน้ำตาลกลูโคสหลายโมเลกุลมาต่อเข้าด้วยกันเป็นสารโซ่
ซึ่งสามารถแยกออกเป็นโมเลกุลกลูโคสเดี่ยว
ๆ ได้ด้วยปฏิกิริยา hydrolysis
เนื่องจากโมเลกุลกลูโคสประกอบด้วยหมู่ไฮดรอกซิล
(hydroxyl
-OH) ดังนั้นอาจอาศัยการทำปฏิกิริยาของหมู่
-OH
นี้กับหมู่ฟังก์ชันอื่น
ปฏิกิริยาหนึ่งของหมู่ -OH
ที่เป็นที่รู้จักกันทั่วไปคือปฏิกิริยา
Esterification
กับหมู่
carboxyl
(-COOH) ของกรดอินทรีย์กลายเป็นโครงสร้าง
ester
(R-O-CO-R') หรือทำปฏิกิริยา
dehydration
กับหมู่
-OH
ของอีกโมเลกุลหนึ่งกลายเป็นโครงสร้างอีเทอร์
R-O-R'
ตัวอย่างหนึ่งของการทำปฏิกิริยาระหว่างหมู่
-OH
ของน้ำตาลกับกรดอินทรีย์คือการเปลี่ยนน้ำตาลทราย
(ชื่อทางเคมีของน้ำตาลทรายคือซูโครส
(sucrose)
ซึ่งเกิดจากโมเลกุล
glucose
รวมกับโมเลกุล
fructose)
ให้กลายเป็นสารทดแทนไขมันที่เรียกว่า
"Olestra"
ดังรูปที่
๑
เมื่อ
H
อะตอมของหมู่
-OH
ถูกแทนที่ด้วยหมู่
-CO-R
ซึ่งเป็นหมู่ไม่มีขั้ว
จีงทำให้ Olestra
มีคุณสมบัติเป็นสารไม่มีขั้วเช่นเดียวกับไขมันหรือน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร
Olestra
จึงถูกนำมาใช้ในการปรุงอาหารเพื่อลดปริมาณไขมันในอาหาร
รูปที่
๑ (ซ้าย)
โมเลกุลน้ำตาลกลูโคส
(กลาง)
โมเลกุลน้ำตาลกลูโคสที่หมู่
-OH
บางหมู่ทำปฏิกิริยา
esterification
กับกรดไขมัน
(หมู่
R)
ทำให้ได้โมเลกุลที่มีส่วนไม่มีขั้ว
(หมู่
R
ของกรดไขมัน)
กับส่วนที่มีขั้ว
(หมู่
-OH
ที่หลงเหลืออยู่)
(ขวา)
รูปร่างโมเลกุล
Olestra
ซึ่งได้จากการนำเอาน้ำตาลซูโครส
(sucrose
ซึ่งเป็น
disaccharide
ระหว่าง
glucose
กับ
fructose)
มาทำปฏิกิริยา
esterification
กับกรดไขมันจนหมู่
-OH
ทุกหมู่ทำปฏิกิริยาหมด
(รูป
olestra
นำมาจาก
http://www.scientificpsychic.com/fitness/fattyacids1.html)
ในกรณีของกลูโคสนั้นเนื่องจากมีหมู่
-OH
อยู่มาก
จึงทำให้กลูโคสละลายน้ำได้ดีมาก
แต่ถ้าให้หมู่ -OH
ทำปฏิกิริยากับสารอื่นเช่นกรดอินทรีย์ดังแสดงในรูปข้างบนจนหมู่
-OH
หายไปหมด
จะได้สารประกอบที่มีคุณสมบัติแบบไขมัน
(ในทำนองเดียวกันกับ
Olestra)
ประเด็นที่น่าสนใจคือถ้าทำการแทนที่หมู่
-OH
เพียงส่วนหนึ่งด้วยสายโซ่ไฮโดรคาร์บอน
(อาจทำโดยใช้ปฏิกิริยา
esterification)
ก็จะทำให้ได้โมเลกุลที่มีทั้งส่วนที่มีขั้วและไม่มีขั้วอยู่ในโมเลกุลเดียวกัน
โมเลกุลที่มีโครงสร้างดังกล่าวสามารถทำหน้าที่เป็นสารลดแรงตึงผิว
(surfactant)
หรือสารช่วยในการประสานเฟสระหว่างโมเลกุลมีขั้วและโมเลกุลไม่มีขั้วได้
ซึ่งถ้าสังเคราะห์โมเลกุลดังกล่าวได้ก็คงต้องหาทางใช้ประโยชน์กันต่อไป
ปัญหาหนึ่งของการบำบัดน้ำเสียคือระยะเวลาที่แบคทีเรียต้องใช้ในการกำจัดสารอินทรีย์
ถ้าหากน้ำเสียมีสารอินทรีย์ที่แบคทีเรียกำจัดได้รวดเร็ว
ระบบบำบัดน้ำเสียก็จะทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
สาร
surfactant
ที่เราใช้กันมากในปัจจุบันคือ
linear
alkyl benzene sulfonate ที่ใช้กันในผงซักฟอก
น้ำยาล้างจาน โฟมล้างหน้า
สบู่เหลว แชมพู ฯลฯ
นั้นประกอบด้วยโครงสร้างที่เป็น
วงแหวน หมู่อัลคิล
และหมู่ฟังก์ชันที่มีกำมะถันเป็นองค์ประกอบ
โครงสร้างโมเลกุลนี้จะมีปัญหาตรงที่แบคทีเรียไม่ค่อยอยากจะย่อยสลายส่วนที่เป็นวงแหวน
(ส่วนที่เป็นโซ่ตรงไม่ค่อยมีปัญหา)
และการย่อยสลายกำมะถันยังทำให้เกิดแก๊ส
H2S
ที่มีกลิ่นไม่พึงประสงค์
สาร
surfactant
ที่ไม่มีโครงสร้างวงแหวนเบนซีนในโมเลกุล
จะมีข้อดีตรงที่แบคทีเรียสามารถย่อยสลายได้สมบูรณ์มากกว่า
และการที่ไม่มี S
เป็นองค์ประกอบในโมเลกุลทำให้ไม่เกิดแก๊ส
H2S
ในระหว่างการย่อยสลาย
ซึ่งเป็นแก๊สที่ทำให้เกิดกลิ่นเหม็น
เท่าที่จำได้งานวิจัยทำนองคล้าย
ๆ
กันนี้ดูเหมือนจะมีอาจารย์ทางสงขลานครินทร์ทำวิจัยเรื่องการเปลี่ยนน้ำมันพืชให้กลายเป็น
surfactant
เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร
คือแทนที่จะนำน้ำมันพื้นมาทำเป็นไบโอดีเซลด้วยการแยกโมเลกุลกรดไขมันออกจนหมดจนได้เป็นเมทิลเอสเทอร์กับกลีเซอรีน
ก็ทำการแยกโมเลกุลกรดไขมันออกจากโมเลกุลกลีเซอรีนเพียง
๑ หรือ ๒ โมเลกุลเท่านั้น
ตำแหน่งหมู่เอสเทอร์ที่ถูกแยกโมเลกุลกรดไขมันออกมาก็จะกลายเป็นหมู่
-OH
ที่มีขั้ว
ในขณะที่ส่วนของกรดไขมันที่ไม่ถูกแยกออกมาก็ยังคงเป็นส่วนที่ไม่มีขั้ว
ทำให้ผลิตภัณฑ์ที่ได้นั้นสามารถทำหน้าที่เป็นตัวประสานระหว่างเฟสมีขั้วและเฟสไม่มีขั้วได้
๒.
Acetone-Butanol-Ethanol
กระบวนการหมักนั้นแม้ว่าจะใช้สารอาหารเดียวกัน
แต่ถ้าเปลี่ยนชนิดเชื้อที่ใช้ในการหมักก็สามารถทำให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างกันออกไปได้
การหมักแป้งให้กลายเป็นสารผสมระหว่าง
acetone,
1-butanol และ
ethanol
เป็นที่รู้จักกันมานานตั้งแต่ต้นศตวรรษที่
๒๐ มีการพัฒนาอย่างเป็นล่ำเป็นสันในอังกฤษในช่วงสงครามโลกครั้งที่
๑ (ตอนแรกเรียก
Great
War แล้วค่อยมาเรียกเป็น
World
War I กันภายหลัง)
เพื่อผลิต
acetone
ไปใช้ในอุตสาหกรรมผลิต
cordite
ของกองทัพอังกฤษ
ดังนั้นแทนที่จะเน้นไปที่การผลิตเอทานอลก็อาจเปลี่ยนแนวทางเป็นการงผลิต
1-butanol
(H3C-CH2-CH2-CH2-OH) แทน
และหาทางใช้ประโยขน์จาก
1-butanol
ที่เป็นสารโมเลกุลใหญ่
1-butanol
เป็นแอลกอฮอล์ปฐมภูมิ
(primary
alcohol) คือพวกที่มีหมู่
-OH
อยู่ที่ปลายโซ่
การผลิตแอลกอฮอลประเภทนี้ไม่สามารถทำได้โดยการเติมน้ำไปที่พันธะคู่
C=C
ของโมเลกุลโอเลฟินส์
เพราะมันจะได้แอลกอฮอล์ทุติยภูมิ
(secondary
alcohol) เสมอ
ถ้าอยากรู้ว่าทำไปเป็นเช่นนั้นก็ลองไปอ่านเรื่อง
Markovnikov's
rule เอาเองก็แล้วกัน
ถ้าเรานำ
1-butanol
ไปดึงไฮโดรเจนออกตรงหมู่
C-OH
(หรือออกซิไดซ์แบบเบา
ๆ ไม่แรงนัก)
เราก็จะได้สารประกอบอัลดีไฮด์
butanal
(H3C-CH2-CH2-COH)
แต่ถ้าออกซิไดซ์แรงขึ้นไปอีกก็จะกลายเป็นกรดอินทรีย์
butyric
acid (H3C-CH2-CH2-COOH)
แต่ถ้าเรานำ
1-butanol
ไปทำปฏิกิริยา
dehydration
ก็จะได้
1-butene
(H3C-CH2-CH=CH2)
หรือ
dibutyl
ether (H9C4-O-C4H9)
ที่เป็นสารประกอบอีเทอร์ที่มีจุดเดือดสูงตัวหนึ่ง
(จุดเดือด
142.4ºC)
และละลายน้ำได้น้อย
ปัจจุบันมีงานวิจัยที่หาทางนำ
CH4
มาใช้ประโยชน์เป็นเชื้อเพลิงให้กับเครื่องยนต์ดีเซล
สิ่งที่ทำกันอยู่ในปัจจุบันคือใช้ระบบเชื้อเพลิงผสมระหว่าง
CH4
กับน้ำมันดีเซล
(ใช้น้ำมันดีเซลเป็นตัวจุดระเบิดแล้วค่อยป้อน
CH4
เข้าไปผสม)
หรือไม่ก็ทำการดัดแปลงเครื่องยนต์ดีเซลให้กลายเป็นเครื่องยนต์แก๊สโซลีน
อีกแนวทางหนึ่งคือทำปฏิกิริยา
oxidative
coupling ของ
CH4
ให้กลายเป็น
dimetyl
ether (H3C-O-CH3)
ซึ่งเป็นสารที่มีเลขซีเทน
(cetane
no.) ประมาณ
55
ซึ่งอยู่ในระดับน้ำมันดีเซลที่ใช้กันทั่วไป
จึงสามารถนำมาผสมกับน้ำมันดีเซลและใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลได้โดยต้องทำการดัดแปลงเครื่องยนต์ดีเซลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แต่การเปลี่ยนมีเทนเป็น
dimethyl
ether
เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลผมว่ามันคงไม่น่าจะเหมาะสมเท่าไรนักด้วยเหตุผลต่อไปนี้คือ
(ก)
พันธะ
C-H
ของมีเทนแข็งแรงมาก
แข็งแรงกว่าพันธะ C-H
หรือพันธะอื่นของสารอินทรีย์
การทำให้พันธะ C-H
ของมีเทนแตกออกได้นั้นต้องใช้พลังงานสูงมาก
ซึ่งระดับพลังงานดังกล่าวมากพอที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นสลายตัวจนหมดได้
ดังนั้นถ้าต้องการให้เหลือ
dimethyl
ether ในการทำปฏิกิริยา
ก็ต้องทำที่ค่า conversion
ต่ำมาก
หรือไม่ก็ไปทำปฏิกิริยาบนคอมพิวเตอร์
(ใส่เฉพาะปฏิกิริยาที่เกิด
dimethyl
ether และอย่าใส่ปฏิกิริยาที่ทำให้
dimetyl
ether สลายตัว
หรือปฏิกิริยาที่ทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ข้างเคียงตัวอื่น)
(ข)
dimethyl ether เป็นสารที่มีจุดเดือดต่ำ
(-24ºC)
ดังนั้นถ้าผสมเข้ากับน้ำมันดีเซลก็จะระเหยออกมาได้ง่าย
และยิ่งบ้านเราเป็นเมืองร้อนด้วยคงจะยิ่งไม่เหมาะสมมาก
แต่ที่ต่างประเทศเขาศึกษาตัวนี้ก็คงเป็นเพราะอากาศบ้านเขามันหนาว
ในฤดูหนาวอุณหภูมิติดลบหลายสิบองศาเซลเซียสต่ำกว่าจุดเดือดของ
dimethyl
เสียอีก
และอาจอาศัยข้อดีของ dimethyl
ether ตรงที่มันไม่เกิดเป็นสารประกอบ
peroxide
ได้ง่ายเหมือนอีเทอร์ตัวอื่น
จุดที่น่าสนใจคือ
dibutyl
ether มี
cetane
no. เท่ากับ
100
ซึ่งสูงกว่า
dimethyl
ether และยังมีจุดเดือดที่สูงกว่า
น่าจะใช้ประโยชน์เป็นสารเพิ่มเลขซีเทนให้กับน้ำมันดีเซลได้
โดยที่ไม่เพิ่มความดันไอของน้ำมันดีเซล
แต่ก็ต้องพึงระวังว่า
dibutyl
ether นั้นสามารถเกิดปฏิกิริยา
autoxidation
กับออกซิเจนในอากาศกลายเป็นสารประกอบเปอร์ออกไซด์ที่ไม่เสถียรและระเบิดได้ง่าย
(ถ้ามีความบริสุทธิ์สูงในปริมาณที่มากพอ)
ดังนั้นถ้าจะนำ
dibutyl
ether มาใช้ผสมเป็นสารเพิ่มเลขซีเทนในน้ำมันดีเซล
ก็ต้องพิจารณาด้วยว่าจะหาทางป้องกัน/ลดการเกิดสารประกอบเปอร์ออกไซด์ได้อย่างไรด้วย.
๓.
การนำสารละลายจากการหมักไปทำปฏิกิริยาโดยตรง
ปัญหาของการนำผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการหมักไปใช้คือผลิตภัณฑ์ที่ได้จะมีความเข้มข้นต่ำ
โดยมีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก
การแยกผลิตภัณฑ์ดังกล่าวออกมาเป็นสารบริสุทธิ์แต่ละชนิดก่อน
แล้วค่อยนำสารบริสุทธิ์ที่ได้นั้นมาเปลี่ยนเป็นสารอื่น
ซึ่งสิ้นเปลืองพลังงานในขั้นตอนการแยกมาก
ทางเลือกที่น่าจะดีกว่าคือการหาทางเปลี่ยนสารผสมที่เป็นสารละลายในน้ำนั้นให้กลายเป็นสารอื่นโดยไม่ต้องทำการแยกสารแต่ละชนิดออกมา
ปฏิกิริยาหนึ่งที่น่าจะลองพิจารณาคือปฏิกิริยาการเปลี่ยนแอลกอฮอล์ให้กลายเป็นอีเทอร์
เช่นอาจนำสารละลายที่ได้จากการหมักที่ประกอบด้วย
acetone-butanol-ethanol
ละลายอยู่และของแข็งต่าง
ๆ (สารอาหาร
เชื้อที่ใช้หมัก ฯลฯ)
ไปกรองแยกของแข็งออกก่อน
จากนั้นจึงนำสารละลายที่ได้จากการกรองไปใช้เป็นสารตั้งต้นในการทำปฏิกิริยาโดยไม่จำเป็นต้องทำการแยกสารทั้งสามชนิดออกจากกันก่อน
ในกรณีของสารผสมระหว่าง
1-butanol
กับ
ethanol
นั้น
(จากข้อ
๒.)
ถ้าทำให้เกิดปฏิกิริยา
dehydration
เพื่อผลิตอีเทอร์จะมีโอกาสได้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นอีเทอร์
3
ตัวด้วยกันคือ
dibutyl
ether, diethyl ether และ
butyl
ethyl ether
ปฏิกิริยาดังกล่าวควรดำเนินในเฟสของเหลว
(โดยใช้การเพิ่มความดันเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำเดือด)
เพราะการทำให้น้ำที่เป็นของเหลวมีอุณหภูมิสูงขึ้นนั้นใช้พลังงานน้อยกว่าการทำให้น้ำที่เป็นของเหลวกลายเป็นไอน้ำ
dibutyl
ether เป็นของเหลวที่เบากว่าน้ำและละลายน้ำได้น้อย
ดังนั้นมันควรจะแยกชั้นออกมาจากน้ำได้โดยไม่ต้องไปผ่านกระบวนการกลั่น
แต่ด้วยระบบการทำปฏิกิริยาเดียวกันนี้
ถ้าเราควบคุมอุณหภูมิให้เหมาะสมก็อาจจะทำให้
1-butanol
เปลี่ยนไปเป็น
1-butene
และ
ethanol
เปลี่ยนไปเป็น
ethylene
โดยไม่ต้องทำการแยกสารทั้งสองตัวออกจากสารละลายในน้ำ
เพราะโอเลฟินส์ที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นจะระเหยออกจากน้ำได้เองอยู่แล้ว
และระบบนี้ก็อาจจะเหมาะสมที่จะใช้ในการผลิตเอทิลีนจากสารละลายเอทานอลที่ได้จากการหมักโดยตรง
(ถ้าต้องการทำ)
โดยไม่จำเป็นต้องทำการกลั่นแยกเอทานอลออกมาเป็นสารบริสุทธิ์
หรืออาจทำเพียงแค่กลั่นเพื่อให้ได้ความเข้มข้นสูงขึ้นบ้างเท่านั้นเองก็ได้
ในขณะนี้ในกลุ่มของเราก็พอจะมีประสบการณ์ทำการทดลองในเฟสของเหลว
โดยใช้ autoclave
ที่มีการความดันเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวทำละลาย/สารตั้งต้นเดือดกลายเป็นไอ
(ปฏิกิริยา
hydroxylation)
ถ้าต้องการทำการทดลองที่อุณหภูมิ/ความดันสูงขึ้นไปอีก
ก็คงต้องมีการออกแบบเครื่องปฏิกรณ์กันใหม่
(ปัญหาของตัวปัจจุบันที่มีอยู่ไม่ได้อยู่ที่ความแข็งแรงของโลหะที่ใช้
แต่อยู่ตรงที่ระบบป้องกันการรั่วไหลของสารในระบบ
ซึ่งเราใช้ o-ring
ที่เป็นยาง
ทำให้ทำอุณหภูมิการทดลองถูกจำกัดด้วยอุณหภูมิสูงสุดที่
o-ring
ทนได้
ที่เขียนมาข้างต้นเป็นเพียงความฝันที่ยังไม่รู้ว่าจะมีโอกาสเป็นจริงหรือเปล่า
ก็ต้องคอยดูกันต่อไป :)