เมื่อวันอังคารที่แล้ว
(๑๑
เมษา)
ระหว่างการสอบปริญญานิพนธ์
บังเอิญผมได้ไปเป็นกรรมการสอบของนิสิตกลุ่มหนึ่งที่ศึกษาเรื่องตัวเร่งปฏิกิริยา
CO2
Hydrogenation
โดยนิสิตกลุ่มดังกล่าวต้องการเตรียมตัวเร่งปฏิกิริยาที่ประกอบด้วยโลหะ
Ni
20% หรือ
Co
20% หรือ
Ni
10% + Co 10% โดยใช้
Avicel
PH-101 เป็น
support
ตัวเร่งปฏิกิริยาดังกล่าวเตรียมโดยใช้วิธี
Incipient
wetness impregnation โดยใช้สารละลายของเกลือ
Co(NO3)2.6H2O
หรือ
Ni(NO3)2.6H2O
หยดลงไปบน
Avicel
PH-101 ที่ใช้เป็น
support
จากนั้นจึงนำไปอบแห้งที่อุณหภูมิ
100ºC
นาน
1
คืน
ก่อนนำไปเผาในบรรยากาศไนโตรเจนที่อุณหภูมิ
200ºC
นาน
4
ชั่วโมง
ตัวเร่งปฏิกิริยาที่ได้ถูกนำไปวิเคราะห์ด้วยเทคนิคหลายอย่าง
เช่น
วัดปริมาณโลหะด้วยเทคนิค
Scanning
electron microscope - Energy dispersive x-ray spectroscopy (SEM-EDX)
การวัดพื้นที่ผิว
BET
ด้วยการดูดซับแก๊สไนโตรเจน
ในการวิเคราะห์นี้มีการไล่แก๊สอื่นออกโดยใช้แก๊สผสมระหว่าง
He
กับ
N2
ไหลผ่านตัวอย่างที่อุณหภูมิ
220ºC
เป็นเวลานาน
1
ชั่วโมง
ก่อนจะเริ่มการดูดซับ
การวัดการกระจายตัวของโลหะด้วยการดูดซับ
CO
โดยในการวิเคราะห์นี้ต้องทำการรีดิวซ์โลหะออกไซด์ให้กลายเป็นโลหะก่อนโดยการผ่านแก๊ส
H2
ที่อุณหภูมิ
220ºC
เป็นเวลานาน
5
ชั่วโมง
การวัดด้วยเทคนิค
Thermogravimetric
analysis (TGA) ด้วยการเผาในบรรยากาศแก๊ส
N2
จนถึงอุณหภูมิ
200ºC
และคงไว้ที่
200ºC
เป็นระยะเวลาหนึ่ง
(อันที่จริงวิธีการทดลองของเขาไม่ได้บอกว่ามีการคงอุณหภูมิที่
200ºC
แต่จากผลการทดลองที่นำมาแสดงบ่งบอกว่ามีการคงเอาไว้ที่อุณหภูมิดังกล่าว)
ตารางที่
๑
ผลการวัดปริมาณโลหะในตัวเร่งปฏิกิริยาหลังการเตรียมและพื้นที่ผิว
ตัวเร่งปฏิกิริยา
|
ปริมาณ
Ni
(wt%)
|
ปริมาณ
Co
(wt%)
|
พื้นที่ผิว
BET
(m2/g) (๑)
|
Avicel
PH-101
|
-
|
-
|
7.6/8.1
|
20%Ni/Avicel
PH-101
|
32.2
|
-
|
2.8/13.6
|
20%Co/Avicel
PH-101
|
-
|
35
|
49/48.7
|
10%Co +
10%Ni/Avicel PH-101
|
21.3
|
21.4
|
22/20.5
|
(๑)
พื้นที่ผิว
BET
คำนวณมาจากเส้น
adsorption
isotherm/desorption isotherm ในกรณีของ 20%Ni/Avicel PH-101 จะเห็นว่าค่าที่คำนวณจาก desorption isotherm จะได้พื้นที่ที่แตกต่างไปจากค่าที่คำนวณได้จาก adsorption isotherm มาก ในขณะที่ตัวอย่างอื่นนั้นค่าที่คำนวณได้จาก desorption isotherm ใกล้เคียงกับค่าที่คำนวณได้จาก desorption isotherm ซึ่งแสดงว่าเส้น desorption isotherm ของ 20%Ni/Avicel PH-101 น่าจะมีปัญหา
ข้อมูลที่ผมนำมาสรุปในตารางที่
๑ นั้นทำให้เกิดคำถามสำคัญขึ้น
๒ คำถามในระหว่างการนำเสนอคือ
๑.
ทำไมปริมาณโลหะที่วัดได้จึงแตกต่างจากที่ต้องการไปมาก
และสูงกว่าที่ต้องการมากด้วย
๒.
ทำไมพื้นที่ผิว
BET
ของตัวเร่งปฏิกิริยาจึงเพิ่มสูงขึ้นกว่าของตัวรองรับมาก
ทั้ง ๆ
ที่โดยปรกติแล้วเมื่อนำตัวรองรับไปเตรียมตัวเร่งปฏิกิริยา
ซึ่งในกระบวนการเตรียมนั้นต้องมีการเผาตัวรองรับ
ซึ่งเป็นเรื่องปรกติที่เราจะเห็นพื้นที่ผิวของตัวเร่งปฏิกิริยาที่ได้นั้นต่ำกว่าพื้นที่ผิวของตัวรองรับ
คำตอบของคำถามข้อแรกนั้นนิสิตตอบว่าเป็นเพราะ
SEM-EDX
เป็นการวัดพื้นผิว
และเนื่องจากโลหะเกาะอยู่บนพื้นผิว
จึงทำให้เห็นปริมาณโลหะมากกว่าที่เติมเข้าไปจริง
ส่วนข้อที่สองนั้น
ผู้นำเสนอไม่สามารถให้คำตอบได้
ผมนั่งฟังการซักถามของคนอื่นอยู่นานจนใกล้หมดเวลานำเสนอ
เหลือเวลาอยู่นิดหน่อยในช่วงท้ายของการนำเสนอผมก็เลยบอกเขาไปว่า
ผมเชื่อว่าตัวเลขที่คุณเอามาแสดงนั้น
(ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ผิวที่เพิ่มขึ้นหรือการเห็นปริมาณโลหะที่เพิ่มขึ้น)
เป็นตัวเลขที่ถูกต้องและมีคำอธิบาย
แต่มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิด
ความหมายของคำว่า
"ถูกต้อง"
ในย่อหน้าข้างบนผมหมายถึง
จากวิธีการทดลองของเขา
เมื่อทำการวัด SEM-EDX
จะเห็นปริมาณโลหะสูงมากกว่าที่เติมเข้าไป
และเมื่อวัดพื้นที่ผิว BET
จะเห็นพื้นที่ผิวของตัวเร่งปฏิกิริยาเพิ่มสูงขึ้น
ผมไม่ได้หมายความว่าค่าตัวเลขที่เขานำมาแสดงนั้นเป็นค่าที่ถูกต้องโดยไม่มีความคลาดเคลื่อน
คำอธิบายคำตอบทั้งสองข้อนั้นมีอยู่ในตำราแล้ว
ถ้าหากนิสิตผู้ทำวิจัยมี
"พื้นฐาน"
ด้าน
"เคมีวิเคราะห์"
และ
"เคมีอินทรีย์"
เพียงพอที่จะประยุกต์ใช้งานได้ก็จะรู้เลยว่าคำอธิบายนั้นคืออะไร
ไม่ต้องไปค้นหาคำตอบจาก
paper
ให้เสียเวลา
แต่จะว่าไปก็ต้องเห็นใจพวกเขาตรงที่แม้ว่าจะเคยเรียนวิชาทั้งสองมาแล้ว
แต่เนื่องจากสองวิชานี้มันดูไม่เป็นวิชาวิศว
ทางหลักสูตรก็เลยมักจะไม่ให้ความสำคัญ
และด้วยเวลาสอนที่จำกัด
ผู้เรียนก็เลยได้เรียนเนื้อหาเพียงผิวเผินเท่านั้น
แถมปีหน้าก็จะไม่มีการสอนวิชาทั้งสองอีกแล้ว
ทั้ง ๆ
ที่จะว่าไปแล้วงานวิจัยในภาควิชาเรากว่าครึ่งนั้นใช้พื้นฐานสองวิชานี้เป็นหลัก
รูปที่
๑ โครงสร้างของ Avicel
PH-101 ที่ประกอบด้วยโมเลกุลน้ำตาล
glucose
(กรอบสีเขียว)
เชื่อมต่อเข้าด้วยกันด้วยพันธะ beta-1,4-glycosidic
linkage (เลข
1
และ
4
หมายถึงตำแหน่งอะตอม
C
ที่มีการเชื่อมต่อ
(ดูตัวเลขสีน้ำเงิน)
คือเกิดจากหมู่
-OH
ที่เกาะอยู่ที่อะตอม
C
ตัวที่
1
ของโมเลกุลหนึ่งเชื่อมต่อเข้ากับหมู่
-OH
ที่เกาะที่ตำแหน่งอะตอม
C
ตัวที่
4
ของอีกโมเลกุลหนึ่งโดยการหลอมรวมเข้าด้วยกันและคาย
H2O
ออกมาด้วย
กลายเป็นพันธะ glycosidic
(ก็เหมือนอีเทอร์
R-O-R
นั่นแหละ)
แต่พันธะ
-OH
ที่ตำแหน่ง
C
ตัวที่
1
นั้นอาจอยู่เหนือหรือใต้วงโครงสร้างโมเลกุล
จึงทำให้มีพันธะ glycosidic
ได้สองแบบ
ถ้าอยู่ข้างใต้ก็จะเป็นการเชื่อมต่อแบบ alpha
ซึ่งสายโซ่พอลิเมอร์ที่ได้ก็คือแป้ง
(เอนไซม์ในร่างกายคนเราย่อยสลายได้)
แต่ถ้าอยู่ข้างบน
(เช่นตรงลูกศรสีแดงชี้ในรูป)
ก็จะเป็นการเชื่อมต่อแบบ beta
สายโซ่ที่ได้จะกลายเป็น
cellulose
(เอนไซม์ในร่างกายคนเราย่อยสลายไม่ได้
เมื่อรับประทานเข้าไปจะถูกขับออกเป็นกากอาหาร)
Avicel
PH-101 เป็นจุลผลึกเซลลูโลส
(microcrystalline
cellulose) ชนิดหนึ่ง
ซึ่งมีการใช้งานกันในอุตสาหกรรมยา
โดยใช้เป็นตัวช่วยในการขึ้นรูปเม็ดยา
เตรียมได้จากสารประกอบที่มีปริมาณเซลลูโลสสูง
(เช่นเส้นใยฝ้าย)
โครงสร้างโมเลกุลของ
Avicel
PH-101 ก็คือโครงสร้างของเซลลูโลสนั่นเอง
ผมได้นำมาแสดงไว้ในรูปที่
๑ แล้ว
กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนชนิดส่องกราด
(Scanning
electron microscope - SEM)
นั้นใช้ลำอิเล็กตรอนพลังงานสูงระดมยิงไปที่พื้นผิววัตถุที่ต้องการส่องดู
จากนั้นจึงตรวจวัดลำอิเล็กตรอนที่สะท้อนออกมา
ซึ่งเหมือนกับการที่เรามองเห็นวัตถุต่าง
ๆ ด้วยการที่มีแสงส่องไปกระทบวัตถุนั้น
และแสงที่กระทบวัตถุนั้นสะท้อนมาเข้าดวงตาของเรา
แต่เนื่องจากลำอิเล็กตรอนมีพลังงานสูง
จึงสามารถซึมลึกเข้าไปในเนื้อวัตถุนั้นได้ในระดับหนึ่ง
(ระดับไมโครเมตร)
และอิเล็กตรอนพลังงานสูงนี้ส่วนหนึ่งจะเข้าชนกับอะตอมที่เป็นองค์ประกอบของวัตถุนั้น
ทำให้อะตอมเหล่านั้นเกิดการเปล่งรังสีเอ็กซ์ออกมา
และเนื่องจากรังสีเอ็กซ์ที่เปล่งออกมานั้นเป็นลักษณะเฉพาะตัวของธาตุแต่ละธาตุ
จึงทำให้เราสามารถระบุได้ว่าพื้นที่ของวัตถุที่เราส่องดูอยู่นั้นประกอบด้วยธาตุอะไรบ้างด้วยการวัดและวิเคราะห์รังสีเอ็กซ์ที่เปล่งออกมา
ถ้าวัตถุที่เราส่องดูนั้นมีขนาดใหญ่
(เป็นมิลลิเมตรหรือใหญ่กว่า)
ความลึกระดับไมโครเมตรก็จัดได้ว่าเป็นการวัดที่พื้นผิววัตถุนั้น
องค์ประกอบทางเคมีที่วัดได้จะเป็น
"Surface
composition" แต่ถ้าวัตถุที่ส่องดูนั้นมีขนาดเล็ก
(เช่นเป็นผงอนุภาคละเอียดที่มีขนาดในระดับไมครอน)
องค์ประกอบทางเคมีที่วัดได้จะเป็น
"Bulk
composition"
ในกรณีของงานดังกล่าวผมได้สอบถามผู้ทำการทดลองว่าตัวอย่างที่เขาวัด
SEM-EDX
นั้นมีลักษณะเช่นไร
เขาตอบว่ามันเป็นผงละเอียด
ดังนั้นผมจึงคิดว่าตัวเลขที่เขาได้นั้นเป็นค่า
"Bulk
composition" ไม่ใช่
"Surface
composition"
อย่างที่เขาคิดและนำมาอธิบายว่านี่เป็นเหตุผลว่าทำไมจึงเห็นปริมาณโลหะเพิ่มสูงกว่าที่เติมเข้าไป
เหตุผลที่ว่าทำไมจึงเห็นปริมาณโลหะสูงมากกว่าที่เติมเข้าไปและทำไมพื้นที่ผิวหลังการเผาจึงเพิ่มสูงขึ้นนั้นมันเป็นเหตุผลอื่น
โดยปรกติสำหรับคนที่เคยทำการเผา
support
ของตัวเร่งปฏิกิริยาที่มักเป็นสารประกอบออกไซด์อนินทรีย์
(อาจเป็นโลหะออกไซด์หรือซีโอไลต์ก็ได้)
แล้วนำไปวัดพื้นที่ผิวนั้นจะพบว่า
การเผา support
ถ้าใช้อุณหภูมิที่สูงเพียงพอและ/หรือนานพอจะทำให้พื้นที่ผิวของ
support
นั้นลดลง
ทั้งนี้เนื่องจากเกิดการหลอมรวมตัวของอนุภาคของ
support
ซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องปรกติ
นั่นเห็นสาเหตุที่ว่าทำไมนิสิตกลุ่มนั้นจึงโดนกรรมการถามคำถามว่าทำไมเมื่อเผาตัวเร่งปฏิกิริยาแล้วจึงได้พื้นที่ผิว
"เพิ่มขึ้น"
Avicel
PH-101 นั้นเป็นสารประกอบอินทรีย์
สารประกอบอินทรีย์นั้นเมื่อได้รับความร้อนก็จะ
"สลายตัว"
ได้
และถ้ามีออกซิเจนอยู่ด้วยก็จะเกิดการ
"เผาไหม้"
ได้
และวิธีการเช่นนี้ก็เป็นวิธีการที่ใช้กันทั่วไปในการผลิตถ่านกัมมันต์
(activated
carbon) ด้วยการเผาวัสดุอินทรีย์
เช่น กะลามะพร้อม ซังข้าวโพด
เปลือกผลปาล์มน้ำมัน ฯลฯ
ในภาวะที่มีอากาศจำกัดหรือไม่มีอากาศด้วยเวลาที่พอเหมาะ
โดยอาจมีการปรับสภาพวัสดุอินทรีย์ด้วยการผสมสารบางชนิดเข้าไปก่อน
ในกระบวนการสลายตัวระหว่างการเผานั้น
สารอินทรีย์จะสลายตัวโดยเริ่มจากการสูญเสียโมเลกุลส่วนหนึ่งออกมาในรูปของน้ำ
(H2O)
น้ำที่ออกมานี้เป็นน้ำที่เกิดจากการสลายตัวของหมู่ที่มีออกซิเจนเป็นองค์ประกอบ
เช่นหมู่ -OH
และตามด้วยการสลายตัวที่คายสารประกอบคาร์บอนโมเลกุลเล็กออกมา
ผลที่ได้คือน้ำหนักของสารอินทรีย์นั้นจะ
"ลดลง"
แต่พื้นที่ผิวจะ
"เพิ่มขึ้น"
เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง
และถ้าเผาในที่ที่ไม่มีออกซิเจนและใช้อุณหภูมิและเวลาที่มากพอก็จะได้แกรไฟต์
สิ่งที่เกิดขึ้นในระหว่างที่นิสิตกลุ่มนี้ทำการเผา
Avicel
PH-101 ที่ผ่านการทำ
incipient
wetness impregnation คือ
หมู่ NO3
ของเกลือ
Co
หรือ
Ni
ที่เติมเข้าไปจะสลายตัวกลายเป็นแก๊ส
โดยที่ Co
และ
Ni
ยังคงค้างอยู่เหมือนเดิมโดยไมท่ระเหยออกมาเป็นแก๊ส
และตัว Avicel
PH-101 จะเกิดการสลายตัวดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น
ดังนั้นน้ำหนักของ
support
หลังการเผาจึงลดลง
แต่น้ำหนักของ Co
และ
Ni
ที่เติมเข้าไปยังคงเดิม
ดังนั้นเมื่อคิดเป็น %
ของน้ำหนักโลหะต่อน้ำหนักตัวเร่งปฏิกิริยาทั้งหมดจึงทำให้เห็นสัดส่วนของ
Co
และ
Ni
เพิ่มสูงขึ้น
ตัวเร่งปฏิกิริยาที่เตรียมในงานนี้ยังมีปัญหาอีกเรื่องหนึ่งคือตัวเร่งปฏิกิริยาที่เตรียมได้นั้นยังมีโครงสร้างที่
"ไม่นิ่ง"
กล่าวคืออุณหภูมิที่ใช้ในการเผาซึ่งทำการเผาที่
200ºC
นั้นต่ำกว่าอุณหภูมิที่ตัวเร่งปฏิกิริยาต้องเผชิญในการวิเคราะห์และการใช้งาน
และเวลาที่ใช้นั้นอาจจะไม่เพียงพอ
เพราะเมื่อเอาตัวเร่งปฏิกิริยาที่ได้นั้นไปทำการวิเคราะห์หรือทำการทดลอง
ตัวเร่งปฏิกิริยากลับต้องเจออุณหภูมิที่สูงกว่าคือ
220ºC
ดังนั้นในระหว่างกระบวนการวัดหรือการทดลอง
ตัว Avicel
PH-101 ที่ใช้เป็น
support
จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงต่อไปอีก
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกที่ผู้ทำการทดลองจะพบว่าค่า
conversion
ที่ได้นั้นมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
แม้ว่าจะทำการทดลองไป ๕
ชั่วโมงระบบก็ยังไม่เข้า
steady
state
นั่นคือสาเหตุที่ผมบอกเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่า
ความหมายว่า "ถูกต้อง"
นั้นผมหมายความว่าตัวเลขที่เขาได้นั้นมันถูกต้องในแง่ที่ว่ามันควรมีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางเช่นนั้น
แต่ไม่ได้หมายความว่า
"ค่าตัวเลข"
นั้นถูกต้อง
เมื่อสองปีที่แล้วใน
Memoir
ปีที่
๒ ฉบับที่ ๑๔๑ วันศุกร์ที่
๒ เมษายน ๒๕๕๓ เรื่อง
"สำคัญสุดคือวิธีการ"
นั้นผมได้กล่าวถึงความสำคัญของ
"วิธีการทดลอง"
เอาไว้
กล่าวคือถ้าวิธีการทดลองไม่ถูกต้อง
ก็ไม่ต้องไปเสียเวลาอ่านผลการทดลอง
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา
ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับนักวิจัย
(ดอกเตอร์)
ท่านหนึ่งที่รับหน้าที่เป็นมือปืนรับจ้างทำวิจัยให้กับดอกเตอร์คนหนึ่งของบริษัทใหญ่บริษัทหนึ่งอยู่
ผมก็บอกว่าปัจจุบันมักจะประเมินตัวคนตรงที่เขา
"มีอะไรมานำเสนอ"
โดยที่ไม่สนใจว่าสิ่งที่นำมาเสนอนั้นมาได้อย่างไร
และสนใจแต่เพียงว่าสิ่งที่นำมานำเสนอนั้นมัน
"ดูดี"
หรือไม่โดยไม่ได้สนใจที่จะตรวจสอบความถูกต้อง
ทั้งนี้อาจเป็นเพราะผู้ที่ทำการประเมินไม่ได้เป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในวงการนั้น ซึ่งเขาก็เห็นด้วย
คำว่า
"เชี่ยวชาญ"
ในที่นี้ผมหมายถึงผู้ที่มี
"ประสบการณ์ตรง"
ในงานนั้น
ๆ กล่าวคือได้มีการสัมผัสจริง
ไม่ใช่ได้จากการฟังการบอกเล่าของคนอื่น
ดังนั้นถ้าในอนาคตข้างหน้าพวกคุณมีโอกาสต้องทำหน้าที่คัดเลือกคนเข้าร่วมทำงานด้วยก็ขอให้ระวังตัวให้ดี
เพราะในปัจจุบันจะเน้นกันที่การนำเสนอเพื่อให้ตัวเองดูดี
ทั้ง ๆ
ที่ในความเป็นจริงนั้นเขาอาจจะทำอะไรไม่เป็นเลยหรือไม่เคยทำอะไรเลย
เพียงแค่ซ้อมการแสดงมาดีและจำข้อมูลที่อ่านมาได้ขึ้นใจเท่านั้นเอง
และตอบคำถามแบบใช้คำยาก ๆ
ที่คิดว่าผู้ฟังคงจะไม่รู้เรื่องและจะไม่กล้าถาม
เพราะคิดว่าถ้าผู้ฟังถามจะเป็นการแสดงว่าผู้ฟังท่านนั้นไม่รู้เรื่องอะไร