น้ำมันเบนซินจากผู้ผลิตไม่ว่ารายใดนั้น
แม้ว่าจะต้องเป็นไปตามประกาศกรมธุรกิจพลังงานเรื่องที่เกี่ยวกับ
"กำหนดลักษณะและคุณภาพน้ำมันเบนซิน"
เดียวกัน
ก็ไม่จำเป็นต้องมีรายละเอียดปลีกย่อยที่เหมือนกัน
ซึ่งส่วนที่เป็นรายละเอียดปลีกย่อยนี้ทำให้น้ำมันเบนซินที่มาจากผู้ผลิตแต่ละรายส่งผลที่แตกต่างกันต่อสมรรถนะการทำงานของเครื่องยนต์ได้
ปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อคุณภาพน้ำมันเบนซินคือเส้นกราฟอุณหภูมิการกลั่น
(distillation
curve)
ซึ่งเป็นตัวบอกว่าน้ำมันเบนซินนั้นประกอบด้วยองค์ประกอบที่มีจุดเดือดต่าง
ๆ กันนั้นในสัดส่วนเท่าใด
ซึ่งตรงนี้มันสัมพันธ์กับค่าการระเหยของสารที่ใช้เพิ่มค่าออกเทนด้วย
ส่วนที่ว่าเส้นกราฟอุณหภูมิการกลั่นนั้นคืออะไรขอยกยอดออกไปเป็นฉบับต่างหาก
แต่ก่อนอื่นเราลองมาทำความเข้าใจกันก่อนว่าอัตราการระเหยของน้ำมันเบนซินนั้นมันส่งผลอย่างไรต่อการทำงานของเครื่องยนต์
เรื่องวัฏจักรการทำงานของเครื่องยนต์เบนซินนั้นผมเคยเขียนไว้ใน
Memoir
ปีที่
๑ ฉบับที่ ๒๓ วันพุธที่ ๒๑
มกราคม ๒๕๕๒ เรื่อง
"เครื่องยนต์เบนซิน"
ส่วนในฉบับนี้จะเป็นการแนะนำให้รู้จักกับอุปกรณ์ตัวหนึ่งที่ใช้สำหรับผสมน้ำมันเบนซินเข้ากับอากาศที่มีชื่อว่า
"คาร์บูเรเตอร์
-
carburetor" ซึ่งเรื่องต่าง
ๆ
เหล่านี้มันจะเกี่ยวพันไปถึงคำการทำความเข้าใจว่าการเพิ่มออกเทนน้ำมันเบนซินด้วย
benzene,
toluene, xylenes, ethylbenzene หรือ
trimethybenzenes
นั้นจะส่งผลอย่างไรต่อการทำงานของเครื่องยนต์
วัตถุประสงค์ของ
Memoir
ฉบับนี้ก็เพื่อเป็นการปูพื้นฐานให้พวกเราที่เป็นวิศวกรเคมี
ซึ่งเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงโดยตรง
ได้เข้าใจหลักการทำงานของเครื่องยนต์ที่จะนำเอาน้ำมันเชื้อเพลิงที่พวกเราผลิตได้ไปใช้
ว่ามันมีความต้องการอย่างไรบ้าง
และส่วนผสมในน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้นั้นจะส่งผลต่อการทำงานของเครื่องยนต์อย่างไรบ้าง
รูปที่
๑ แผนผังอย่างง่ายแสดงการทำงานของคาร์บูเรเตอร์
ส่วนที่อยู่ในกรอบสีส้มคือโครงสร้างของคาร์บูเรเตอร์ซึ่งจะว่าไปแล้วหลักการทำงานของมันก็อาศัยหลักการของท่อเวนจูรี
(venturi
tube) นั่นเอง
โครงสร้างส่วนที่เป็นคอคอด
(ท่อเวนจูรี)
ของคาร์บูเรเตอร์นั้นจะมีท่อจ่ายน้ำมันโผล่เข้ามา
เมื่อลูกสูบ (ที่อยู่ในกระบอกสูบของเครื่องยนต์)
นั้นเคลื่อนที่ลง
ก็จะเกิดการดูดอากาศเข้าเครื่องยนต์ผ่านทางท่อเวนจูรี
เมื่ออากาศไหลผ่านท่อเวนจูรีที่มีพื้นที่หน้าตัดเล็กลง
อัตราการไหลของอากาศก็จะเพิ่มสูงขึ้น
ในขณะที่ความดันจะลดลง
ดังนั้นน้ำมันที่อยู่ในท่อที่ต่อเข้ามาโผล่ในท่อเวนจูรีก็จะระเหยผสมออกไปกับอากาศที่ไหลผ่าน
อากาศที่ไหลผ่านท่อเวนจูรีออกไปจึงเป็นอากาศผสมกับน้ำมันเชื้อเพลิงที่เรียกว่า
"ไอดี"
ตรงนี้ต้องทบทวนความเข้าใจหน่อยนะว่า
ของเหลวนั้นสามารถระเหยกลายไปไอได้ที่อุณหภูมิต่ำกว่าจุดเดือดของมัน
คือออกมาในรูปของไอระเหย
และจะอยู่ในภาวะที่เป็นไอได้ตราบเท่าที่ความดันไอของมันนั้นยังต่ำกว่าความดันไออิ่มตัวที่อุณหภูมินั้น
ที่อุณหภูมิเดียวกัน
ของเหลวที่มีจุดเดือดต่ำกว่าก็จะมีความดันไอสูงกว่าของเหลวที่มีจุดเดือดสูงกว่า
อัตราการระเหยของไอน้ำมันในท่อเวนจูรีนั้นจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก
ๆ ๓ ปัจจัยคือ อุณหภูมิอากาศที่ไหลผ่าน
ความเร็วอากาศที่ไหลผ่าน
และองค์ประกอบของน้ำมันเบนซิน
กล่าวคือถ้าอากาศที่ไหลผ่านมีอุณหภูมิสูง
น้ำมันก็จะระเหยได้ง่าย
ถ้าอากาศไหลผ่านด้วยอัตราเร็วที่สูง
ความดันบริเวณท่อเวนจูรีก็จะลดต่ำลงมาก
น้ำมันก็จะระเหยได้ง่าย
และถ้าน้ำมันมีองค์ประกอบที่มีจุดเดือดต่ำอยู่มาก
น้ำมันก็จะระเหยได้ง่าย
อุณหภูมิอากาศนั้นจะขึ้นอยู่กับอากาศในห้องเครื่องยนต์
(ใต้ฝากระโปรง)
ถ้าเริ่มติดเครื่องจากตอนเครื่องเย็น
อุณหภูมิอากาศก็คืออุณหภูมิอากาศรอบนอกตัวรถนั่นเอง
แต่พอเริ่มเดินเครื่องแล้ว
ความร้อนจากเครื่องยนต์จะทำให้อากาศที่อยู่รอบ
ๆ เครื่องยนต์ร้อนขึ้น
หรือบางทีก็ใช้การดึงเอาอากาศ
จากบริเวณที่อยู่ใกล้เครื่องยนต์หรือท่อไอเสียไปผสม
ทำให้อุณหภูมิอากาศที่ไหลเข้าคาร์บูเรเตอร์สูงขึ้น
พออุณหภูมิอากาศสูงขึ้น
น้ำมันก็ระเหยได้ง่ายขึ้น
ส่วนอัตราการไหลของอากาศนั้นจะขึ้นอยู่กับความเร็วรอบของเครื่องยนต์
ที่ความเร็วรอบต่ำ
ลูกสูบก็เคลื่อนที่ช้า
อัตราการไหลของอากาศก็ต่ำ
ที่ความเร็วรอบสูงขึ้น
ลูกสูบก็เคลื่อนที่เร็วขึ้น
อัตราการไหลของอากาศก็สูงขึ้น
ซึ่งก็ส่งผลให้ความดันในท่อเวนจูรีลดต่ำลงไปอีก
น้ำมันก็ระเหยได้ง่ายขึ้น
ในขณะที่เริ่มเดินเครื่องนั้น
มอเตอร์ไฟฟ้าจะทำงานโดยไปหมุนเครื่องยนต์เพื่อให้ลูกสูบเคลื่อนที่ลง
แต่เป็นการหมุนที่รอบต่ำ
ทำให้อากาศที่ไหลผ่านท่อเวนจูรีนั้นมีความเร็วต่ำ
ความดันในท่อเวนจูรีจึงลดลงไม่มาก
ประจวบกับอุณหภูมิของอากาศก็ต่ำด้วย
ดังนั้นไอดีที่ไหลเข้าเครื่องยนต์จึงมีไอน้ำมันเพียงเล็กน้อย
เพื่อที่จะช่วยให้เครื่องยนต์เริ่มเดินเครื่องได้
ก็จะมีการใช้โช้ค (choke)
ช่วย
โช้คก็คือวาล์วปีกผีเสื้อที่อยู่ทางด้านอากาศเข้าคาร์บูเรเตอร์
ในตอนสตาร์ทเครื่องนั้นวาล์วตัวนี้จะปิดขวางทางไหลอากาศเอาไว้
ทำให้อากาศไหลเข้าคาร์บูเรเตอร์ลดลง
ไอดีที่ไหลไปยังเครื่องยนต์ก็จะมีความเข้มข้นไอน้ำมันสูงขึ้น
เครื่องยนต์ก็จะสตาร์ทติดได้ง่ายขึ้น
พอสตาร์ทเครื่องยนต์ติดแล้ววาล์วตัวนี้ก็จะเปิดออก
ที่ความเร็วรอบเครื่องยนต์ต่ำนั้นพวกที่มีจุดเดือดต่ำจะระเหยได้ง่าย
ส่วนที่ความเร็วรอบสูงพวกที่มีจุดเดือดสูงจะระเหยได้ง่ายขึ้น
สิ่งที่เครื่องยนต์ต้องการคือส่วนผสมของเชื้อเพลิงที่มีค่าออกเทนคงที่
เลขออกเทนที่เราเรียกนั้นเป็นค่าเฉลี่ยของไฮโดรคาร์บอนและออกซีจีเนตต่าง
ๆ ที่มีเลขออกเทนต่ำและเลขออกเทนสูง
ดังนั้นไอระเหยของน้ำมันนั้นไม่ว่าจะเป็นที่อุณหภูมิต่ำ
(ซึ่งเป็นพวกระเหยได้ดีที่รอบเครื่องต่ำ)
หรือที่อุณหภูมิสูง
(ซึ่งระเหยได้ดีมากขึ้นที่รอบเครื่องยนต์สูง)
ควรที่จะมีเลขออกเทนคงที่
ดังนั้นสมมุติว่าเรามีน้ำมันที่มีเลขออกเทน
95
แต่าเป็นน้ำมันที่พวกที่มีจุดเดือดต่ำเป็นพวกเลขออกเทนต่ำกว่า
95
มาก
และพวกที่มีจุดเดือดสูงเป็นพวกเลขออกเทนสูงเกิน
100
ที่ความเร็วรอบต่ำไอระเหยของน้ำมันก็จะมีแต่พวกเลขออกเทนต่ำมาก
ค่าเฉลี่ยก็จะต่ำกว่า 95
ทำให้เครื่องยนต์เกิดการน๊อคที่รอบต่ำได้
แต่พอรอบเครื่องยนต์สูงขึ้น
พวกสารประกอบที่มีเลขออกเทนสูงก็จะระเหยได้มากขึ้น
ไอระเหยของน้ำมันก็จะมีเลขออกเทนสูงถึงระดับ
95
หรือมากกว่า
อาการน๊อคของเครื่องยนต์ก็จะหายไป
ช่วงราว
ๆ เกือบ ๒๐
ปีที่แล้วที่มีการนำน้ำมันไร้สารตะกั่วออกวางตลาดนั้น
น้ำมันเบนซินพิเศษ (มีสารตะกั่ว)
ที่ขายกันในท้องตลาดมีเลขออกเทนสูงถึง
97
ในขณะที่น้ำมันเบนซินพิเศษไร้สารตะกั่วมีเลขออกเทนสูงถึง
98
วันหนึ่งคุณน้าข้างบ้านผมเขาเรียกผมให้ไปฟังเสียงเครื่องยนต์รถเขาที่เพิ่งไปทดลองเติมเบนซินไร้สารตะกั่วมา
ปรากฏว่าได้ยินเสียงเครื่องยนต์น๊อคอย่างชัดเจนที่รอบเดินเบา
และในช่วงนั้นก็มีเสียงบ่นว่าพอเปลี่ยนไปใช้น้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่วแล้วปรากฏว่าเครื่องยนต์อืดขึ้น
(เร่งไม่ขึ้น)
สาเหตุตรงนี้ได้ยินภายหลังว่าเนื่องจากน้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่วที่ออกมาในช่วงแรกนั้นมีพวกอะโรมาติกที่มีจุดเดือดสูงมากเกินไป
แม้ว่าสารพวกนี้จะมีเลขออกเทนสูงแต่มันก็มีจุดเดือดที่สูงด้วย
ดังนั้นไอระเหยของน้ำมันที่รอบต่ำจึงเป็นไอระเหยที่มีสารประกอบที่มีเลขออกเทนต่ำเป็นหลัก
และการที่น้ำมันระเหยได้ยากที่ความเร็วรอบต่ำทำให้การตอบสนองของเครื่องยนต์ไม่ดี
ผู้ใช้รถจึงรู้สึกว่าเครื่องยนต์อืด
(ช่วงเร่งความเร็วนั้นเครื่องยนต์ต้องการไอดีที่มีความเข้มข้นน้ำมันสูงขึ้น
ในขณะที่เครื่องยนต์ทำงานที่รอบคงที่นั้นต้องการไอดีที่มีความเข้มข้นน้ำมันต่ำกว่า)
ปัจจุบันดูเหมือนว่ารถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่ออกมาใหม่
(ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน)
นั้นจะไปใช้ระบบหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์กันหมดแล้ว
แม้แต่มอเตอร์ไซค์เองก็เริ่มมีการใช้ระบบหัวฉีดเข้าไปแทนที่
ดังนั้นองค์ประกอบของน้ำมันที่ออกมาผสมกับอากาศจึงไม่ขึ้นอยู่กับอัตราการไหลหรืออุณหภูมิอากาศ
(ปรับแต่ปริมาณที่ฉีดออกมา)
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม
ระบบหัวฉีดก็ยังคงเป็นการฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงที่เป็นของเหลวให้เข้าไปผสมกับอากาศที่ไหลเข้ากระบอกสูบ
ซึ่งละอองน้ำมันที่ฉีดออกมาควรที่จะระเหยเป็นไอและผสมเข้ากับอากาศได้ดีก่อนที่จะไหลเข้ากระบอกสูบ
หวังว่าพวกคุณคงจะพอมองเห็นภาพการทำงานของเครื่องยนต์เบนซินบ้างแล้ว
ต่อไปพอเล่าเรื่องเส้นกราฟอุณหภูมิการกลั่นและจุดเดือดของสารเพิ่มค่าออกเทนต่าง
ๆ
จะได้เข้าใจได้ง่ายขึ้นว่าอะโรมาติกแต่ละตัวนั้นแม้ว่าจะมีเลขออกเทนที่สูงเกิน
120
แต่ก็มีสิทธิที่จะทำให้ได้น้ำมันเบนซินที่แตกต่างกันได้