"When
Barbarossa begins, the world will hold its breath."
เป็นคำกล่าวของ
Adolf
Hiter ในที่ประชุม
OKW
ในวันที่
๓ กุมภาพันธ์ปีค.ศ.
๑๙๔๑
(พ.ศ.
๒๔๘๔)
ช่วงเวลานี้ของปีจัดว่าเป็นฤดูร้อนของประเทศทางซีกโลกเหนือ
โดยเฉพาะพวกที่อยู่ใกล้ขั้วโลก
เช่นยุโรป
อากาศช่วงนี้จะอบอุ่นและระยะเวลาช่วงกลางวันจะยาวนานกว่ากลางคืน
ในประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่สองในสมรภูมิยุโรปตะวันออก
ช่วงฤดูร้อนจัดเป็นช่วงที่มีการรบกันอย่างดุเดือดขนานใหญ่
และมีปฏิบัติการทางทหารขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นในวันเดียวกันคือวันที่
๒๒ มิถุนายน แต่แตกต่างกัน
๓ ปี
ปฏิบัติการ
Barbarossa
หรือ
Operation
Barbarossa
นี้จัดเป็นปฏิบัติการทางทหารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การรบของมวลมนุษย์ชาติ
มีกำลังพลเข้าร่วมรบมากที่สุด
และมีแนวรบยาวที่สุด
คือจากทะเลบอลติกทางด้านเหนือไปจนจรดทะเลดำทางด้านใต้
เมื่อกองทัพเยอรมัน ๓
กลุ่มกองทัพคือ Army
Group North, Army Group Centre และ
Army
Group South รวมกำลังกว่า
๓
ล้านนายบุกเข้าโจมตีดินแดนทางตะวันตกของรัสเซียที่มีทหารประจำการอยู่ในจำนวนพอ
ๆ กัน
ปฏิบัติการดังกล่าวนำไปสู่การรบต่อเนื่องที่มีการนองเลือดที่มีการสูญเสียชีวิตมากที่สุดในสงครามโลกครั้งที่สองเมื่อสงครามสิ้นสุด
คือจำนวนผู้เสียชีวิตในสมรภูมิด้านยุโรปตะวันออกนี้มากกว่าผู้เสียชีวิตในสมรภูมิอื่นของสงครามโลกครั้งที่สองรวมกันทั้งหมด
ในบรรดา
Army
Group ต่าง
ๆ ที่เข้าร่วมในปฏิบัติการ
Barbarossa
นั้น
Army
Group Centre จัดว่าเป็นกองกำลังที่มีแสนยานุภาพมากที่สุด
และได้รับมอบหมายหน้าที่ให้เป็นผู้เข้าตีกรุงมอสโคว์
แต่ไม่สำเร็จ ในช่วงฤดูร้อนของปีค.ศ.
๑๙๔๒
นั้นกองทัพเยอรมันได้หันไปทุ่มเทให้กับแนวรบด้านทิศใต้
คือการบุกเข้ายูเครนเพื่อเข้าครอบครองพื้นที่การเกษตรและแหล่งถ่านหินในยูเครน
และแหล่งน้ำมันในคอเคซัส
การบุกในปีนี้ซึ่งนำไปสู่การสู้รบที่เมือง
Stalingrad
ก่อนที่จะถูกตีโต้กลับในเดือนพฤศจิกายนจนถอยร่นกลับมายังแนวเริ่มต้นในช่วงต้นปีค.ศ.
๑๙๔๓
นายพล Paulus
ผู้บังคับบัญชา
6th
Army ได้รับการเลื่อนยศจากฮิตเลอร์ให้เป็นจอมพล
พร้อมกับกล่าวว่าในประวัติศาสตร์ไม่เคยมีจอมพลเยอรมันถูกจับเป็นเชลย
นั่นหมายถึงต้องการให้จอมพล
Paulus
ฆ่าตัวตาย
(แต่เขาไม่บ้าพอที่จะทำ)
"How
many people do you think even know where Kursk is? It's a matter of
profound indifference to the world whether we hold Kursk or not."
คือความเห็นของนายพล
Guderian
ต่อปฏิบัติการ
Citadel
ปฏิบัติการ
Citadel
(หรือ
Zitadelle)
หรือ
Battle
of Kursk ซึ่งเริ่มในวันที่
๔ กรกฎาคมจัดได้ว่าเป็นการรบที่ดุเดือดที่สุดในปีค.ศ.
๑๙๔๓
การรบดังกล่าวนำไปสู่สมรภูมิการรบด้วยรถถังครั้งใหญ่ที่สุดของโลก
(และคงไม่มีโอกาสเกิดอีกแล้ว)
ในวันที่
๑๒ กรกฎาคม เมื่อรถถังและยานเกราะจากทั้งสองฝ่ายร่วม
๒,๐๐๐
คันเข้าร่วมรบในวันเดียวที่สมรภูมิเมือง
Prokhorovka
การรบครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ทางกองทัพรัสเซียไม่สามารถเพียงแต่ยันการบุกของเยอรมันในฤดูร้อนเอาไว้ได้
แต่ยังสามารถทำการตีโต้ให้กองทัพเยอรมันถอยร่นไปได้ด้วย
รูปที่
๑ ส่วนหนึ่งของหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์สงครามที่สะสมไว้
(กว่า
๕๐ เล่ม)
(แถวซ้าย)
เล่มบน
"Barbarossa
: The Russia-German Conflict 1941-45" โดย
Alan
Clark เขียนในปึ
๑๙๖๕ แต่เล่มที่ผมมีพิมพ์ในปี
๒๐๑๒
ถือเป็นการเปิดฉากตั้งแต่เริ่มบุกไปจนถึงการหยุดอยู่หน้ากรุงมอสโคว์
ส่วนเล่มล่าง "The
Retreat : Hitler's first defeat" โดย
Michael
Jones พิมพ์ในปี
๒๐๐๙ เมื่อความหนาวมาเยือนที่
-40
องศา
น้ำมันหล่อลื่นกลายเป็นของแข็ง
ทหารยามยืนแข็งตายโดยไม่รู้ตัว
กองทัพเยอรมันที่ไปถึงหน้าประตูกรุงมอสโคว์จึงต้องถอยกลับมาตั้งหลัก
(แถวกลาง)
เล่มบน
"Stalingrad"
โดย
Anthony
Beever พิมพ์ครั้งแรกปี
๑๙๙๘ แต่เล่มที่ผมมีพิมพ์ปี
๒๐๑๑ ทหารเกือบหนึ่งแสนของ
6th
Army
ที่ถูกปิดล้อมที่เมืองนี้เหลือเพียงไม่ถึงห้าพันนายที่มีชีวิตได้กลับบ้านหลังสงครามสิ้นสุด
ส่วนเล่มล่าง "The
Battle of Kursk" เขียนโดยพันเอก
David.
Glantz และ
Jonathan
House พิมพ์ปี
๑๙๙๙ ทำการวิเคราะห์สงครามรถถังครั้งใหญ่สุดของโลก
ทั้งสองเล่มนี้มีการใช้ข้อมูลที่เพิ่งจะได้รับการเปิดเผยจากทางฝั่งรัสเซียหลังจากรัสเซียเปิดประเทศ
(แถวขวา)
เล่มบน
"Hitler's
Greatest Defeat : The collapse of army group centre, June 1944"
โดย
Paul
Adair พิมพ์ปี
๑๙๙๔ ปฏิบัติการของกองทัพรัสเซียในแผนยุทธการ
"Bagration"
ในเดือนเดียวกับพันธมิตรชาติตะวันตกยกพลขึ้นบกที่ฝรั่งเศส
ทัพรัสเซียจัดการทัพเยอรมันไปกว่าสามแสนนายในขณะที่พันธมิตรตะวันตกยังหาทางออกจากหาดไม่ได้
ส่วนเล่มล่าง "Battleground
Prussia : The assault on Germany's eastern front 1944-45" โดย
Prit
Buttar พิมพ์ปี
๒๐๑๒
บรรยายโศกนาฏกรรมของชาวเยอรมันในปรัสเซียเมื่อทัพรัสเซียเป็นฝ่ายเข้ามาเหยียบดินแดนเยอรมัน
ปลายปีค.ศ.
๑๙๔๓
เป็นการถอยร่นครั้งใหญ่ของกองทัพเยอรมันในแนวรบด้านทิศใต้จากดินแดนรัสเซียมาทางตะวันตก
ต่อเนื่องมาจนช่วงต้นปีค.ศ.
๑๙๔๔
นำไปสู่การปลดจอมพล Erich
von Manstein ออกจากตำแหน่ง
ในขณะที่แนวรบด้านทิศเหนือในส่วนของ
Army
Group North และ
Army
Group Centre นั้นมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย
มิถุนายนปีค.ศ.
๑๙๔๔
ในขณะที่ชาติพันธมิตรตะวันตกชอบที่จะกล่าวถึงแต่ปฏิบัติ
Overlord
หรือการยกพลขึ้นบกในวัน
D-Day
6 มิถุนายนที่หาดนอร์มังดีประเทศฝรั่งเศส
แต่ปฏิบัติการทางทหารดังกล่าวจัดว่ามีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับสิ่งที่กองทัพรัสเซียกำลังจะกระทำต่อ
Army
Group Centre ของเยอรมันในปฏิบัติการ
Bagration
ที่เริ่มในวันที่
๒๒ มิถุนายน ในปฏิบัติการ
Bagration
นี้กองทัพรัสเซียใช้กำลังทหารกว่าสองล้านนายเข้าจัดการกับ
Army
Group Centre ผลคือ
Army
Group Centre ถูกทำลายโดยสูญเสียทหารไปกว่าสามแสนนายหรือประมาณ
๒๘ กองพลจาก ๓๔ กองพล
เป็นความเสียหายที่สูงกว่า
Stalingrand
หลายเท่า
ยังผลให้แนวรบด้านตะวันออกนี้ทัพเยอรมันต้องถอยร่นจาก
Bellorussia
(หรือ
White
russia หรือเบลลารุสในปัจจุบัน)
กลับเข้าไปในโปแลนด์
แคว้นปรัสเซียของเยอรมัน
และรัฐทางแถบทะเลบอลติก
(เอสทัวเนีย
ลิทัวเนีย และลัตเวีย)
ปฏิบัติการต่อเนื่องจากปฏิบัติการ
Bagration
คือการรบเพื่อตัดขาดปรัสเซียจากเยอรมัน
แนวรบด้านนี้จัดเป็นแนวรบแรกที่ทหารเยอรมันต้องทำการรบในดินแดนของตนเอง
การรบในดินแดนนี้ก่อให้เกิดการอพยพของประชาชนเยอรมันจำนวนมากจากปรัสเซียไปยังเยอรมัน
ในช่วงท้ายของสงคราม
ทหารเยอรมันทำการรบเพื่อหน่วงเวลาให้ทางกองทัพเรืออพยพประชาชนออกไปให้ได้มากที่สุด
อาจจัดได้ว่าเป็นสมรภูมิแหล่งสุดท้ายที่ทหารเยอรมันยอมวางอาวุธ
และเมื่อสงครามสิ้นสุดก็ได้มีการอพยพชาวเยอรมันที่ยังคงหลงเหลืออยู่ให้ออกไปจากดินแดนดังกล่าวจนหมด
๒๒
มิถุนายนปีนี้เป็นวันครบรอบ
๗๒ ปีของปฏิบัติการ Barbarossa
ที่ได้เปลี่ยนโฉมยุโรปไปตลอดกาล
และครบรอบ ๖๙ ปีของปฏิบัติการ
Bagration
ที่กองทัพรัสเซียทำการล้างแค้นกองทัพเยอรมัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น