แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ประวัติศาสตร์ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ประวัติศาสตร์ แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

เขาพับผ้า (ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำ ตอนที่ ๑๔๗) MO Memoir : Saturday 25 May 2562

"เขา" ในที่นี้ไม่ได้เป็นคำสรรพนามแทนบุคคลที่สาม แต่หมายถึงภูเขา และคำว่า "พับ" ก็ไม่ได้เป็นคำกิริยา ดังนั้นคำว่า "เขาพับผ้า" ในที่นี้จึงไม่ได้หมายถึงการกำลังบอกว่า "ใครสักคน" กำลัง "พับ" ผ้าอยู่ แต่หมายถึงเส้นทางที่คดเคี้ยววกไปวนมาเหมือนผ้าที่พับทบไปทบมา

รูปที่ ๑ แผนที่ TACTICAL PILOTAGE CHART หมายเลข ONC L-10 เขาพับผ้าคือถนนเส้นที่อยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมสีเหลืองในภาพ แผนที่นี้ไม่ได้มีการระบุว่าข้อมูลภูมิประเทศอิงจากการสำรวจในปีใด บอกแต่เพียงว่าข้อมูลเกี่ยวกับการเดินอากาศนั้นเป็นข้อมูลในปีค.ศ. ๑๙๙๐ (พ.ศ. ๒๕๓๓) แต่ดูจากเส้นทางถนนที่ยังไม่ปรากฏทางหลวงสาย ๔๑ เส้นปัจจุบัน แสดงว่าข้อมูลเส้นทางถนนนั้นเป็นข้อมูลที่เก่ากว่าอย่างน้อยกว่า ๑๐ หรือ ๒๐ ปีขึ้นไป

ทิวเขานครศรีธรรมราชเป็นทิวเขาที่ทอดยาวจาก จ. นครศรีธรรมราชไปจนสุดชายแดนไทยที่ จ. สตูล ทิวเขานี้แบ่ง จ. นครศรีธรรมราชเป็นสองส่วน เป็นเส้นกั้นระหว่าง จ. ตรัง และ จ. พัทลุง และเส้นกั้นระหว่าง จ. สตูล และ จ. สงขลา ช่วงที่อยู่ระหว่างตรังและพัทลุงนั้น คนท้องถิ่นจะเรียกว่า "เทือกเขาบรรทัด"

รูปที่ ๒ บางส่วนของถนนและสะพานบนเส้นทางสายเดิม ที่ยังหลงเหลืออยู่ทางด้านซ้ายของถนนเส้นปัจจุบัน ถ่ายรูปขณะรถวิ่งจากพัทลุงไปตรัง

รูปที่ ๓ บางส่วนของถนนและสะพานบนเส้นทางสายเดิม ที่ยังหลงเหลืออยู่ทางด้านซ้ายของถนนเส้นปัจจุบัน ถ่ายรูปขณะรถวิ่งจากพัทลุงไปตรังเช่นกัน 
 
"เดินพ้นน้ำราบ ... ถนนเลี้ยวไปเลี้ยวมามากขึ้น จนเมื่อใกล้จะถึงที่ปันน้ำ ถนนเลี้ยวหักพับ ราษฏรจึงเรียกที่นี่ว่าเลี้ยวพับผ้า" พระราชนิพนธ์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช (. ) ในคราวเสด็จเมื่อพ.. ๒๔๕๒ ยืนยันที่มาของการเรียกชื่อถนน "เขาพับผ้า"  
 
ข้อความในย่อหน้าข้างต้นคัดลอกมาจากกำแพงแสดงประวัติความเป็นมาของเขาพับผ้า (รูปที่ ๔) ที่จุดพักรถอันดามันเกตเวย์บนเส้นทางเข้าพับผ้า ที่บอกให้รู้ว่าชื่อว่า "เขาพับผ้า" นี้มีการเรียกมานานแล้ว
 


รูปที่ ๔ การเดินทางข้ามเขาพับผ้าในช่วงปลายรัชกาลที่ ๕

ตอนเด็ก ๆ ที่ไปเที่ยวบ้านญาติที่พัทลุง (จำไม่ได้ว่าปีไหน แต่น่าจะเมื่อกว่า ๔๐ ปีที่แล้ว) วันหนึ่งคุณน้าจะไปทำธุระที่ตรัง (คุณน้าท่านนี้เสียไปหลายปีแล้ว) เขาชวนผมไปด้วย ผมก็เลยมีโอกาสได้ติดรถปิคอัพคุณน้าไปตรัง และนั่นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ผมได้มีโอกาสเดินทางผ่านเส้นทางเขาพับผ้า (ที่ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของถนนเพชรเกษม) ก่อนที่จะมีการปรับปรุงด้วยการวางแนวเส้นทางใหม่และขยายให้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม เพื่อลดความคดเคี้ยว เพิ่มความปลอดภัยในการเดินทาง และลดระยะเวลาการเดินทาง สิ่งที่จำได้มาจนถึงปัจจุบันคือถนนสายนี้ทิวทัศน์สวยมาก ด้านหนึ่งเป็นผาสูงขึ้นไป ในขณะที่อีกด้านหนึ่งที่ต่ำลงไปนั้นเป็นลำธารไหลอยู่เคียงข้างถนน
   
ถ้าเปรียบเทียบความคดเคี้ยวของถนนสายเขาพับผ้าในตอนนั้น กับถนนเส้นอื่นหลายเส้นในปัจจุบันที่ผมได้มีประสบการณ์เดินทางผ่าน ก็ต้องบอกตามตรงว่าความคดเคี้ยวของถนนสายเขาพับผ้านั้นไม่ได้คดเคี้ยวมากไปกว่าถนนเส้นอื่น แต่ชื่อเสียงของมันนั้นอาจเป็นเพราะความที่มันเป็นถนนเส้นหลักที่เชื่อมระหว่างภาคใต้ฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก และเป็นถนนเส้นแรก ๆ ที่ตัดขึ้น คือดำเนินการก่อสร้างและเปิดใช้ในสมัยรัชกาลที่ ๕ เพื่อให้ยานพาหนะมีล้อ (คือเกวียนในสมัยนั้น) เดินทางผ่านได้ จึงทำให้มันมีชื่อเสียงเลื่องลือ การสร้างในสมัยนั้นก็เรียกว่าใช้แรงงานคนและสัตว์เป็นหลัก แม้แต่การย่อยหินก็ต้องใช้วิธีการสุมไฟให้ร้อนแล้วเอาน้ำเย็นราด (รูปที่ ๕ และ ๖) แม้ว่าในบางช่วงเวลาโดยเฉพาะช่วงที่ประเทศไทยมีความขัดแย้งระหว่างคนภายในชาติ ถนนเส้นนี้จึงกลายเป็นเส้นที่อันตรายถ้าจะเดินทางในเวลากลางคืน เพราะอาจพบกับการปิดถนนหรือซุ่มโจมตีได้ง่าย ญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งของผมก็เคยได้รับบาดเจ็บจากการปะทะกับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์บนเส้นทางเขาพับผ้านี้ ช่วงนั้นเป็นช่วงเวลาไม่กี่วันก่อนที่แกจะต้องขึ้นมากรุงเทพเพื่อเข้าร่วมพิธีประดับยศขั้นนายพล ก็เรียกว่าได้รับการประดับยศทั้ง ๆ ที่ยังมีหัวกระสุนฝังอยู่ในแขน ประดับยศเสร็จจึงไปผ่าตัดเอาหัวกระสุนออก

รูปที่ ๕ ประวัติศาสตร์ที่บอกเล่าไว้บนกำแพงเล่าเรื่องที่อันดามันเกตเวย์ ที่เป็นเส้นทางจุดพักรถและชมวิว จะอยู่ทางด้านขวาของถนนถ้าเดินทางมาจากตรัง โดยจะถึงก่อนจุดสูงสุดของเส้นทางเล็กน้อย ภาพนี้เล่าถึงวิธีการทำให้หินก้อนใหญ่แตกเป็นก้อนเล็กลง ด้วยการใช้ไฟสุมและน้ำเย็นราด

รูปที่ ๖ ภาพประกอบคำบรรยายในรูปที่ ๔ เป็นรูปของการก่อฟืนสุมหินให้ร้อนก่อนเอาน้ำเย็นราดเพื่อให้ก้อนหินแตกออกเป็นก้อนเล็ก (จากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิกระทันหัน)
 
"ในการปรับถนนให้เรียบ พระยารัษฎาฯ ได้คิดรถบดพิเศษขึ้น โดยใช้ช้างลากก้อนหินทรงกลมขนาดใหญ่เป็นลูกกลิ้ง ใส่ดินให้ได้น้ำหนักตามต้องการ ใช้ช้าง ๑ เชือกกับควาญช้างและคนหาบหญ้าให้ช้างกิน ก็ทำงานได้โดยไม่ต้องสิ้นเปลือง"
  
ที่จุดพักรถอันดามันต์เกตเวย์จะมีรูปปั้นช้างอยู่เต็มไปหมด ทั้ง ๆ ที่ในปัจจุบันนี้ถ้าใครไปเที่ยวภาคใต้ก็มักจะไม่เห็นการเลี้ยงช้างกัน แต่การที่เขาเลือกปั้นรูปปั้นช้างเอาไว้ที่นี่ก็เป็นเพราะการเดินทางผ่านเส้นทางสายนี้ในอดีตนั้นมีทั้งการเดินเท้าและการใช้ช้างเป็นพาหะ (รูปที่ ๗) และช้างก็มีบทบาทสำคัญในการก่อสร้างเส้นทางเส้นนี้ นับตั้งแต่การบุกเบิกเส้นทางไปจนถึงการปรับสภาพพื้นผิวถนน


รูปที่ ๗ การเดินทางผ่านเส้นทางสายนี้ในอดีต ที่มีทั้งการเดินเท้าและใช้ช้างเป็นพาหนะในการเดินทาง

"เมื่อถนนเสร็จเรียบร้อย สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ เสนาบดีกระทรวงโยธาธิการ ซึ่งเสด็จตรวจราชการแหลมมลายูได้ทรงทำพิธีเปิด "ถนนแต่ช่องไปต่อแดนพัทลุง ๑๖๐ เส้น" ในวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๔๔๕"
  
จากคำบรรยายบนกำแพงเล่าเรื่องในย่อหน้าข้างต้น (รูปที่ ๘) ทำให้ทราบว่า อีกไม่กี่วันข้างหน้า ถนนเส้นนี้ก็จะเปิดใช้งานเป็นเวลานานถึง ๑๑๗ ปีแล้ว
  
รูปที่ ๘ ภาพประกอบคำบรรยายการเปิดถนนในวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๔๔๕ โดยสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ เสนาบดีกระทรวงโยธาธิการ

ฉบับนี้ถือว่าเป็นการเล่าเรื่องด้วยรูปอีกครั้ง เป็นเรื่องที่อยากเขียนมานานแล้ว แต่ไม่มีโอกาสได้แวะไปถ่ายรูปเสียที ปีนี้มีโอกาสแล้วก็เลยขอจัดหน่อย สวัสดีครับ 

วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

Marshall, Sons and Co. Portable Steam Engine No. 34746 MO Memoir : Tuesday 21 May 2562

"วัดเขียนบางแก้ว" ที่ชาวบ้านเรียกกันหรือ "วัดพระบรมธาตุเจดีย์เขียนบางแก้ว" ที่เป็นชื่อทางการ ตั้งอยู่ที่ตำบลจองถนน อำเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง (รูปที่ ๑) เป็นวัดที่สร้างขึ้นในสมัยศรีวิชัย จัดว่าเป็นวัดรุ่นเดียวกับวัดพระธาตุ (หรือวัดพระมหาธาตุวรวิหาร) จังหวัดนครศรีธรรมราช วัดเขียนบางแก้วนี้ยังเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่บรรจุอยู่ในพระมหาเจดีย์ของวัด นอกจากนี้ในตัววัดเองยังมีบ่อน้ำศักดิ์ที่ได้มีการนำน้ำไปใช้ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกที่ผ่านมาด้วย
 
ตัววัดเองยังมีอาคารที่เป็นที่เก็บรวบรวมสิ่งของเก่าที่มีผู้นำมามอบให้วัดสำหรับให้จัดแสดง วันที่ผมแวะไปเที่ยวมา (วันจันทร์ที่ ๒๐ ที่ผ่านมา) อาคารหลังนั้นไม่เปิดให้เข้าชม แต่ก็ได้เป็นเห็นวัตถุชิ้นหนึ่งที่ตั้งอยู่กลางแจ้งใกล้ ๆ กับอาคารหลังนั้น (ตำแหน่งที่ตั้งแสดงไว้ในรูปที่ ๒) และเรื่องเล่าในวันนี้ก็เป็นเรื่องของวัตถุชิ้นนั้น

รูปที่ ๑ แผนที่ตำแหน่งวัดเขียนบางแก้วจาก google map

ลักษณะของวัตถุชิ้นนั้นถ้าพอมีความรู้ทางด้านเครื่องจักรกลอยู่บ้างก็คงจะพอเดาได้ว่ามันน่าจะเป็นหม้อน้ำ (steam boiler) แต่ตอนแรกที่ผมไปถ่ายรูปมานั้นก็บอกไม่ถูกว่ามันเป็นหม้อน้ำสำหรับอะไร (แต่คิดอยู่ในใจแล้วว่าคงไม่ใช่สำหรับรถจักรไอน้ำ) จาก name plate (รูปที่ ๓) ที่ยังคงเหลืออยู่ทางด้านหลังทำให้สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมจากอินเทอร์เน็ตได้ว่ามันคือ Portable Steam Engine หมายเลข 34746 สร้างโดยบริษัท Marshall, Sons and Co. แห่งเมือง Gainborough ประเทศอังกฤษ ในปีค.ศ. ๑๙๐๑ (พ.ศ. ๒๔๔๔) หรือในช่วงรัชกาลที่ ๕ ส่วนตัวเลข "6·2" ที่อยู่ตรงกลางนั้นเดาว่าเลข 6 น่าจะเป็นเลขแรงม้า (horse power) ของเครื่องจักร และเนื่องจากตำแหน่งจุดที่เห็นคั่นระหว่างเลข 6 กับเลข 2 ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่ควรเป็นเลขทศนิยม ตอนแรกก็สงสัยว่าอาจจะบ่งบอกถึงจำนวนชิ้นส่วนอื่น เช่นจำนวนกระบอกสูบ (cylinder) ว่ามี 2 กระบอกสูบ แต่พอดูจากโครงสร้างอื่นประกอบแล้วก็คิดว่าอาจจะไม่ใช่ (รูปที่ ๔ - ๗)
  
รูปที่ ๒ แผนที่ภาพถ่ายดาวเทียมจาก google map ตรงกรอบสีเหลืองคือตำแหน่งที่ตั้งของ Marshall, Sons and Co. Portable Steam Engine No. 34746

รูปที่ ๓ แผ่น nameplate ที่ติดตั้งอยู่ทางด้านเตาไฟ ระบุว่าสร้างโดยบริษัท Marshall, Sons & Co. แห่งเมือง Gainborough ในปีค.ศ. ๑๙๐๑ (พ.ศ. ๒๔๔๔) หมายเลข ๓๔๗๔๖ ส่วนตัวเลข 6 กับ 2 ในวงกลมนั้น ตัวเลข 6 เดาว่าคงเป็นแรงม้าของเครื่อง ที่เดาเช่นนี้ก็เพราะจากการค้นทางอินเทอร์เน็ตพบว่าหม้อน้ำที่สร้างโดยบริษัทนี้ในช่วงเวลานั้นมีขนาด 5 และ 6 แรงม้า ส่วนเลข 2 นั้นไม่รู้เหมือนกันว่าหมายถึงอะไร 

รูปที่ ๔ รูปนี้เป็นรูปที่ถ่ายจากทางด้านซ้ายของ ปล่องข้างบนด้านทางด้านซ้าย (ที่เป็นด้านหน้า) คือปล่องควัน ส่วนปีกที่ตั้งขึ้นไปทางด้านข้างน่าจะเป็นที่สำหรับติดตั้งวงล้อกำลังที่เป็นตัวเปลี่ยนการเคลื่อนที่แนวเส้นของกระบอกสูบให้เป็นการเคลื่อนที่แบบหมุน จากนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าจะเอาการเคลื่อนที่แบบหมุนนี้ไปใช้หมุนอะไร

รูปที่ ๕ ภาพถ่ายจากทางด้านหน้า

ผมลองค้นหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตก็ไม่สามารถตามหารุ่นที่ผลิตในปี ๑๙๐๑ ได้ รูปของรุ่นที่ผลิตในปีก่อนหน้านั้นก็ไม่มีเค้าโครงว่าจะคล้ายกัน ส่วนรุ่นที่ผลิตในปีหลังจากนั้นดูตอนแรกก็คล้ายกัน แต่พอดูให้ละเอียดก็พบว่าแตกต่างกันอยู่ โดยเฉพาะตรงตำแหน่งที่ติดตั้งแขนที่เชื่อมต่อระหว่างด้านข้างด้านขวาของหม้อไอน้ำกับเพลาวงล้อ (รูปที่ ๖) ที่พบว่าหลายรูปในอินเทอร์เน็ตนั้นมันติดตั้งอยู่ทางด้านซ้าย แต่ตัวที่ผมไปพบมานั้นมันติดตั้งอยู่ทางด้านขวา โดยรูปที่พบว่าใกล้เคียงที่สุดคือรุ่นที่ผลิตในปีค.ศ. ๑๙๐๖ ที่บอกว่าเป็นรุ่นขนาด ๕ แรงม้า แต่เมื่อพิจารณาขนาดในรูปกับที่วัดเขียนบางแก้วแล้วก็เห็นว่าตัวที่วัดเขียนบางแก้วนั้นมีขนาดที่ใหญ่กว่า

รูปที่ ๖ ภาพถ่ายจากทางด้านขวา พึงสังเกตว่าส่วนหม้อน้ำทางด้านขวานี้มีแท่นสำหรับติดตั้งอุปกรณ์บางชนิดอยู่ (ในกรอบสี่เหลี่ยมสีเหลือง) ซึ่งทางด้านซ้ายไม่มี ตอนที่ผมเทียบรูปกับภาพที่หาได้ในอินเทอร์เน็ตก็ใช้จุดนี้เป็นจุดสังเกตว่ารุ่นไหนที่ไม่น่าจะใช่รุ่นเดียวกับตัวที่ตั้งอยู่ที่นี้ (รูปที่ ๘ และ ๙) ที่มีแท่นสำหรับติดตั้งนั้นอยู่ทางด้านซ้าย (ด้านขวาไม่มี) และฝาปิดหม้อน้ำด้านหน้านั้นเป็นแบบฝาเรียบเหมือนกัน

รูปที่ ๗ รูปนี้ถ่ายจากทางด้านหลัง เป็นด้านของเตาไฟและเป็นด้านที่มี name plate ติดตั้งอยู่ หลายรูปที่ค้นเจอทางอินเทอร์เน็ตนั้นแม้ว่าลักษณะทางด้านข้างจะคล้ายกัน แต่รูปแบบทางด้านหลัง (เช่นช่องสำหรับใส่เชื้อเพลิงและการติดตั้ง name plate) นั้นแตกต่างกัน

รูปที่ ๘ รูปที่นำมาจาก https://prestonservices.co.uk/item/marshall-portable-45393/ ที่เป็นเว็บประกาศขายเครื่องจักรเก่า รถคันนี้เขาตั้งราคาขายไว้ ๑๐,๕๐๐ ปอนด์ (ตามสภาพที่เห็น) บอกว่าเป็นเครื่องจักรที่สร้างในปีค.ศ. ๑๙๐๖ (พ.ศ. ๒๔๔๙) เป็นเครื่องขนาด ๕ แรงม้า ลูกสูบเดียว ด้านนี้เป็นด้านที่มีการติดตั้งลูกสูบ จะมองเห็นแขนที่เชื่อมต่อกับเพลาล้อกำลังและโครงสร้างแบบเดียวกับในกรอบสีเหลี่ยมสีเหลืองในรูปที่ ๖

จากรูปที่ค้นหาดูทางอินเทอร์เน็ตพบว่าหม้อไอน้ำแบบนี้จะเรียกว่าเป็นหม้อไอน้ำสารพัดประโยชน์ก็ได้ คืออาจนำไปติดตั้งระบบล้อเพื่อทำหน้าที่เป็นรถลาก tractor) อุปกรณ์ทางการเกษตรต่าง ๆ (เช่นคราดสำหรับพรวนดินหรือรถบรรทุกสิ่งของ) ดังเช่นที่แสดงในรูปที่ ๘ และ ๙ หรือนำไปใช้เพื่อหมุนเครื่องจักรต่าง ๆ เช่นใบเลื่อยสำหรับตัดไม้โดยใช้สายพานเป็นตัวส่งกำลังจากวงล้อที่อยู่ทางด้านบนของหม้อไอน้ำไปยังระบบเพลาของเครื่องจักร ส่วนที่ว่าเวลาเครื่องจักรมันทำงานนั้นมันเป็นอย่างไรก็สามารถดูได้จากคลิปนี้ https://www.youtube.com/watch?v=V099QYsvzhU ที่เป็นเครื่องจักรหมายเลข 28810 ที่บ่งบอกว่าเป็นตัวที่สร้างขึ้นก่อนหน้าไม่นานนัก จุดแตกต่างที่เห็นได้ชัดก็คือฝาด้านหลังสำหรับใส่เชื้อเพลิงที่ไม่เหมือนกันอยู่
 
รูปที่ ๑๐ เป็นภาพจาก google street view ที่จับภาพเอาไว้เมื่อเช้าวันนี้ google ระบุว่าเป็นข้อมูล ณ เดือนพฤษภาคมปีค.ศ. ๒๐๑๖ หรือเมื่อ ๓ ปีที่แล้ว จะเห็นว่าตอนนั้นบริเวณที่ตั้งหม้อน้ำในปัจจุบันเป็นเพียงแค่กรอบปูนรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าเปล่า ๆ ที่ยังไม่มีการติดตั้งอะไร แสดงว่าช่วงเวลานั้นอาจจะมีการได้รับหม้อไอน้ำตัวนี้มาแล้ว ถึงได้มีการก่อกรอบปูนนี้ขึ้น แต่ยังไม่ได้มีการนำมาติดตั้ง ที่น่าเสียดายก็คือมันไม่มีป้ายบอกให้รู้เลยว่าสิ่งที่นำมาตั้งแสดงนั้นคืออะไร มันเลยกลายเป็นเหมือนการนำเอาเศษเหล็กขึ้นสนิมมาตั้งทิ้งเอาไว้
 
สำหรับวันนี้ก็คงเป็นการเล่าเรื่องด้วยรูปเพียงแค่นี้ ที่เหลือก็คงต้องปล่อยให้ท้องถิ่นดำเนินการต่อไปว่าจะจัดการอย่างไรก็หม้อไอน้ำตัวนี้

รูปที่ ๙ นำมาจาก https://prestonservices.co.uk/item/marshall-portable-45393/ เช่นกัน แต่เป็นรูปทางด้านซ้าย

รูปที่ ๑๐ ภาพจาก google street view บอกว่าเป็นรูปเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ (May 2016) ยังเห็นเป็นกรอบปูนสี่เหลี่ยมเปล่า ๆ อยู่ ยังไม่มีการติดตั้งอะไร

วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2562

เส้นทางรถไฟที่หายไป (๓) (ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำ ตอนที่ ๑๔๖) MO Memoir : Sunday 20 January 2562

ในหลายท้องที่ของไทยที่ทั้งการทำไม้และทำเหมืองนั้น การมีเส้นทางรถไฟดูเหมือนจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดชุมชนใหม่ ๆ ขึ้นแม้ว่าเส้นทางรถไฟดังกล่าวจะถูกยกเลิกไปแล้วก็ตาม เพราะการมีเส้นทางรถไฟทำให้คนสามารถเดินทางเข้า-ออกพื้นที่ที่ยากหรือต้องใช้เวลานานในการเดินเท้าได้อย่างรวดเร็วขึ้น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดได้แก่กรณีของเส้นทางรถไฟทำไม้ของบริษัทศรีมหาราชา ที่ทำให้เกิดการบุกเบิกพื้นที่ป่าเดิมลึกเข้าไปในแผ่นดิน การเกิดชุมชนใหม่ตามจุดที่เป็นสถานีรถไฟ และการทำให้ศรีราชากลายเป็นชุมชนใหญ่จนได้รับการยกฐานะขึ้นมาเป็นอำเภอแทนบางพระ

รูปที่ ๑ แผนที่ทหาร L509 ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๑ ของบริเวณจ.สุราษฏร์ธานี

ข้อดีอย่างหนึ่งของรถไฟก็คือใช้เชื้อเพลิงได้หลากหลาย ใครมีถ่านหินก็เผาถ่านหินต้มน้ำ ใครมีไม้ฟืนก็เผาไหม้ฟืนต้มน้ำ ถึงแม้ว่าเชื้อเพลิงที่ต่างกันจะให้ความร้อนที่ไม่เท่ากัน แต่มันก็ทำให้รถไฟวิ่งได้เหมือนกัน ในกรณีของไม้ฟืนนั้นถ้าหากตามเส้นทางรถไฟนั้นมีป่าอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องขนไม้จากแหล่งอื่นไปกองไว้ตามเส้นทางที่รถไฟวิ่ง สามารถใช้การตัดไม้จากป่าในบริเวณข้างทางรถไฟมากองไว้ยังจุดพักเติมฟืนได้เลย (จะมีแปลกหน่อยก็คือรถไฟลากไม้ของบริษัทศรีมหาราชา ที่จะทำการขนเศษไม้จากโรงเลื่อยไปด้วย ให้เพียงพอสำหรับการเดินทางทั้งไปและกลับ) และหลายแห่งนั้นการขนไม้จากป่าบริเวณข้างทางรถไฟก็ใช้การสร้างเส้นทางรถไฟแตกแขนงออกไป ดังเช่นที่บ้านห้วยมุด สุราษฎร์ธานี
 
สำหรับ Memoir ฉบับนี้ก็ถือว่าเป็นการรวมสิ่งที่ได้ไปพบเห็นจากแผนที่ที่มาจากแหล่งต่าง ๆ ก็เลยขอนำมาบันทึกไว้ในที่นี้เพื่อกันลืม เพื่อว่าต่อไปในอนาคตใครอยากจะค้นคว้าลงลึกไปอีก ก็จะได้พอมีข้อมูลให้เริ่มต้นบ้าง ดังนั้นวันนี้ก็ถือว่าเป็นการเล่าเรื่องด้วยภาพก็แล้วกัน สวัสดีครับ

รูปที่ ๒ จากแผนที่ในรูปที่ ๑ บริเวณบ้านห้วยมุดปรากฏแนวเส้นทางรถไฟ (ที่คงใช้สำหรับการลำเลียงไม้ฟืนจากป่า) มายังสถานนีรถไฟ

รูปที่ ๓ แผนที่ TACTICAL PILOTAGE CHART TPC K9-C นำมาจาก http://legacy.lib.utexas.edu/maps/tpc/txu-pclmaps-oclc-22834566_k-9c.jpg แผนที่นี้เน้นเฉพาะการเดินทางทางอากาศ โดยมีการระบุในกรอบสี่เหลี่ยมทางด้านซ้ายว่าข้อมูลที่ใช้มีการยืนยันถึงวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ค.ศ. ๑๙๘๙ (พ.ศ. ๒๕๓๒) แต่ในข้อความในคอลัมน์ด้านขวาบอกว่าใช้ข้อมูล (คงเป็นภูมิประเทศ) ที่ทำการประมวลผลในเดือนเมษายน ค.ศ. ๑๙๖๙ (พ.ศ. ๒๕๑๒) เรียกว่าข้อมูลภูมิประเทศไม่ได้มีการปรับความถูกต้องตั้ง ๒๐ ปีก็ได้

รูปที่ ๔ ภาพขยายของแผนที่ในรูปที่ ๓ บริเวณสถานีรถไฟห้วยมุด ยังปรากฏแนวเส้นทางรถไฟจากสองข้างทางมายังสถานีรถไฟห้วยมุด

รูปที่ ๕ แผนที่ TACTICAL PILOTAGE CHART TPC K9-C ฉบับเดียวกับในรูปที่ ๓ แต่มาขยายเน้นบริเวณจังหวัดระนองและชุมพร ในฝั่งจ.ระนองทางด้านซ้ายยังปรากฏแนวรถไฟทำเหมือง (ในกรอบสีแดง) และในฝั่งจ.ชุมพรก็ยังปรากฏแนวเส้นทางรถไฟทำเหมืองบริเวณสถานีควนหินมุ้ย

รูปที่ ๖ แผนที่ฉบับนี้นำมาจาก https://911gfx.nexus.net/nc4707.html ขยายบริเวณจ.ชุมพร บริเวณตอนล่างจะเห็นแนวเส้นทางรถไฟทำเหมืองบริเวณสถานีควนหินมุ้ย

รูปที่ ๗ ภาพขยายของแผนที่ในรูปที่ ๖ บริเวณควนหินมุ้ย

รูปที่ ๘ แผนที่ส่วนต่อจากรูปที่ ๖ (นำมาจาก https://911gfx.nexus.net/mapnc4711.html) จะปรากฏแนวเส้นทางรถไฟทำเหมืองที่บริเวณบ้านควนหินมุ้ยทางตอนบนของแผนที่
 
รูปที่ ๙ แผนที่ส่วนขยายของรูปที่ ๘

รูปที่ ๑๐ แผนที่ TACTICAL PILOTAGE CHART TPC K9-C ฉบับเดียวกับในรูปที่ ๓ แต่มาขยายเน้นบริเวณจังหวัดนครศรีธรรมราช ปรากฏเส้นทางรถรางของกรมโลหะกิจที่ขนแร่มายัง อ.สิชล เส้นทางรถรางสายนี้เคยกล่าวไว้ครั้งหนึ่งใน Memoir ปีที่ ๕ ฉบับที่ ๕๒๖ วันอาทิตย์ที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๕ เรื่อง "ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำตอนที่ ๒๘ รถไฟหัตถรรม (เหมืองแร่-ป่าไม้ ในภาคใต้)"


รูปที่ ๑๑ แผนที่ TACTICAL PILOTAGE CHART TPC K9-C ฉบับเดียวกับในรูปที่ ๓ แต่มาขยายเน้นบริเวณจังหวัดสุราษฏร์ธานี ที่แสดงเส้นทางรถไฟสายคีรีรัฐนิคม ใน Memoir ปีที่ ๘ ฉบับที่ ๑๑๘๘ วันจันทร์ที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๙ เรื่อง "เส้นทางรถไฟที่หายไป" ในรูปที่ ๑๐ ที่ผมเขียนไว้ว่าอาจจะไม่ใช่เส้นทางรถไฟสายคีรีรัฐนิคม แต่เมื่อตรวจสอบกับแผนที่นี้แล้วพบว่าคือตำแหน่งเส้นทางรถไฟสายคีรีรัฐนิคม

วันพฤหัสบดีที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2562

อาศรมฤๅษีที่ศรีราชา (ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำ ตอนที่ ๑๔๕) MO Memoir : Thursday 3 January 2562

ในส่วนคำนำของหนังสือ "บันทึกการเดินทางสู่ลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน ประเทศสยาม" ที่นายเฮอร์เบิร์ท วาริงตัน สมิท (Herbert Warington Smyth) เขียนบันทึกไว้ในปีพ.ศ. ๒๔๓๕ ที่กรมศิลปากรจัดพิมพ์เผยแพร่นั้น ให้ประวัติของนายสมิทเอาไว้ว่า เป็นนักธรณีวิทยาชาวอังกฤษที่ได้รับการว่าจ้างจากรัฐบาลสยามให้เข้ามารับราชการในกรมราชโลหกิจและภูมิวิทยา โดยรับหน้าที่เป็นผู้ช่วยเจ้ากรม (คือนายวอลเตอร์ เดอ มุลเลอร์ (W. De Muller) ชาวเยอรมัน) ตั้งแต่พ.ศ. ๒๔๓๔ และภายหลังได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้ากรมต่อจากนายมุลเลอร์ระหว่างปีพ.ศ. ๒๔๓๘ - ๒๔๓๙

รูปที่ ๑ บันทึกของ Herbert Warington Smyth ที่ได้รับการแปลเป็นภาษาไทยและจัดพิมพ์โดยกรมศิลปากรที่ผมมีอยู่ เล่มซ้าย "บันทึกการเดินทางสู่แม่น้ำโขงตอนบน ประเทศสยาม (Notes of a journey on the upper Mekong, Siam)" พิมพ์เผยแพร่เมื่อปีพ.ศ. ๒๕๔๔ เล่มกลาง "ห้าปีในสยาม เล่ม ๑ (Five years in siam vol. 1)" พิมพ์เผยแพร่เมื่อปีพ.ศ. ๒๕๔๔ และเล่มขวา "ห้าปีในสยาม เล่ม ๒ (Five years in siam vol. 2)" พิมพ์เผยแพร่เมื่อปีพ.ศ. ๒๕๕๙

นายสมิทเป็นชาวต่างชาติผู้หนึ่งที่มีโอกาสได้เดินทางไปแบบที่อาจเรียกได้ว่าเกือบทั่วสยาม (ในบันทีกของเขาขาดก็แต่ดินแดนทางภาคตะวันตก) หนังสือ "Five years in Siam" ของเขาไม่ได้บอกเล่าแต่เรื่องทางธรณีวิทยาเพียงด้านเดียว แต่ยังประกอบไปด้วยนานาสาระที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์บ้านเมืองและชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านตามท้องถิ่นต่าง ๆ ที่เขาได้เดินทางผ่านไป นอกจากนี้ด้วยความที่เขามีความสามารถในการวาดภาพ ภาพเขียนของเขาจึงอาจถือได้ว่าเป็นการบันทึกสิ่งต่าง ๆ ที่เขาไปพบเห็น ไม่ว่าจะเป็น บุคคล สิ่งของ สถานที่ หรือสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ แม้ว่าในยุคของเขานั้นเริ่มมีการถ่ายภาพแล้วก็ตาม แต่ถ้าต้องแบกอุปกรณ์ถ่ายภาพติดตัวตลอดการเดินทางที่กินระยะเวลานานและไม่ได้เต็มไปด้วยความสะดวกสบายตลอดเส้นทาง ก็คงไม่ใช่เรื่องที่สะดวกนัก แต่ถึงกระนั้นภาพวาดของเขาก็ได้ช่วยให้เราได้เห็นภาพสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ภายนอกพระนครในยุคสมัยนั้น ที่ชาวต่างฃาติส่วนใหญ่ยังคงพำนักพักอาศัยอยู่ในเขตพระนครเป็นหลัก

รูปที่ ๒ ภาพอาศรมฤๅษีที่ศรีราชาที่ปรากฏในหน้า ๑๙๐ ของหนังสือ "ห้าปีในสยาม เล่ม ๒"

ในบันทึกของนายสมิทไม่ได้กล่าวไว้แน่ชัดว่าการเดินทางไปยังจันทบุรีและตราดนั้นเริ่มเมื่อใด แค่คงหลังจากที่ได้กลับมาถึงกรุงเทพในปีพ.ศ. ๒๔๓๗ หลังการเดินทางสำรวจชายฝั่งทะเลทั้งทางด้านตะวันออกและตะวันตกของภาคใต้ การเดินทางตามชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกนี้เป็นการเดินทางด้วยเรือ มีบันทึกกล่าวถึงสถานที่ต่าง ๆ ริมทะเล ไม่ว่าจะเป็น บางปลาสร้อย อ่างหิน (น่าจะเป็นอ่างศิลา) แหลมแท่น สีชัง ศรีราชา แหลมกระบัง (น่าจะเป็นแหลมฉบัง) เกาะคราม แสมสาร ไปเรื่อย ๆ จนถึงจันทบูรณ์ ตราด และคาบสมุทรกัมพูชา
 
ในหน้า ๑๙๐ ของหนังสือ "ห้าปีในสยาม เล่ม ๒" ฉบับที่แปลโดยกรมศิลปากรนั้น มีรูปที่ชื่อว่า "อาศรมฤษีที่ศรีราชา" โดยมีคำบรรยายที่แปลจากบันทึกของนายสมิทว่า

"เราหยุดเรือที่บางพระเพื่อรับเอาความแห้งและความอบอุ่นของแสงแดดยามเย็น และในตอนเช้าตรู่วันต่อมาเราก็ได้ออกเดินทางต่อมาตามชายฝั่งทะเลผ่านเจดีย์องค์เล็ก ๆ ที่สวยงามและวัดแห่งหนึ่งนอกเมืองศรีราชา มันเคยเป็นที่พักของฤษีชราผู้สันโดษ ซึ่งชื่อเสียงในด้านความศักดิ์สิทธิ์ของท่านนั้นขจรขจายไปไกล แต่ท่านก็ไม่ได้ดูน่าเลื่อมใสเท่าไหร่นัก เพราะว่าคงไม่มีใครที่อาศัยอยู่ที่นั่นแล้วจะสามารถเป็นอย่างอื่นไปได้นอกจากจะเป็นนักบุญ"

ดูจากคำบรรยายและรูปประกอบแล้ว สถานที่แห่งนี้ก็ควรที่จะเป็น "เกาะลอย" ที่รู้จักกันในปัจจุบัน

(หมายเหตุ : พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถานสะกดว่า ฤษี หรือ ฤๅษี ไม่ได้ใช้สระอา "า" เหมือนดังที่ปรากฏในหนังสือแปล)

วันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2561

เรียนหนังสือที่ตรัง เมื่อ ๑๐๐ ปีที่แล้ว (ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำ ตอนที่ ๑๔๓ MO Memoir : Monday 24 December 2561

"อาจารย์ซื้อกระดานชนวน ดินสอหิน ๑ แท่ง ส่วนไม้บรรทัดทำเอากับไม้ไผ่"
 
ยังจำได้ว่าตอนเด็ก ๆ เวลาคุณแม่พาไปเยี่ยมคุณตาคุณยายที่พัทลุง ก็จะไปขึ้นรถไฟชั้น ๓ ที่สถานีรถไฟธนบุรี (ที่ตอนนี้เป็นอาคารของโรงพยาบาลศิริราชไปแล้ว) ขบวนรถเร็วธนบุรี-สุไหลโกลก ออกประมาณทุ่มเศษ ตู้รถไฟชั้น ๓ ตอนนั้นเป็นอย่างไรตอนนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น (เรียกว่าอนุรักษ์ไว้ดีมาก) ถึงพัทลุงก็นั่งรถย้อนขึ้นมายังบ้านทุ่งขึงหนัง ตอนนั้นยังไม่มีการตัดถนนสายเอเชีย (เส้น AH2 ที่บางส่วนใช้แนวถนนเดิม และมีการตัดใหม่บางแนวเพื่อให้เส้นทางมันตรงขึ้น ไม่แวะเข้าตัวอำเภอหรือย่านชุมชม) เส้นทางถนนจากตัวจังหวัดไปยังอำเภอควนขนุนในขณะนั้นก็คือแนวทางหลวงสาย ๔๐๔๘ ในปัจจุบัน ผมไม่ได้ลงไปพัทลุงเป็นเวลาหลายปีแล้ว ครั้งสุดท้ายที่ลงไปจำได้ว่าสภาพเส้นทางสาย ๔๐๔๘ ในอดีตเป็นอย่างไร เวลาเกือบ ๔๐ ปีผ่านไปมันก็ยังคงเป็นเช่นนั้น คือยังเป็นถนนเล็ก ๆ ๒ ช่องทางจราจรเหมือนเดิม ส่วนตอนนี้ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง
 
ที่บ้านคุณตาจะมีเล้าไก่กับเล้าเป็ดอยู่ร่วมกัน ส่วนคอกหมูจะอยู่ห่างออกไปหน่อย คงเป็นเพราะว่ากลิ่นขี้หมูมันแรง งานสนุกสำหรับเด็ก ๆ ตอนเช้า ๆ คือการเข้าไปเก็บไข่ในเล้า เพราะต้องไปควานหาตามกองฟางว่ามันไปออกไข่ไว้ที่ไหนบ้าง อีกงานหนึ่งก็คือการอาบน้ำให้หมู ก็ไม่ได้ทำอะไรมาก นอกจากเอาสายยางฉีดน้ำใส่หมู พร้อมทั้งฉีดล้างคอกหมูไปด้วยในตัว ตกค่ำเคยช่วยคุณยายนั่งเรียงมะม่วงในถัง คือเรียงเอาไว้ตามขอบถัง ตรงกลางว่างเอาไว้ จากนั้นก็จุดธูปปักลงไป แล้วก็ปิดฝาถังเอาไว้ ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าทำไปทำไม มารู้เอาตอนโตว่าเป็นวิธีการบ่มผลไม้แบบชาวบ้าน


ตอนแรกก็ไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมต้องเก็บผลไม้ (พวกมะม่วง กล้วย) ตั้งแต่ตอนมันดิบ แล้วนำมาบ่มให้สุก ทำไมไม่ให้มันสุกคาต้นไปเลย พอตัวเองมาปลูกบ้านอยู่เอง ปลูกทั้งกล้วยและไม้ผลก็เลยเข้าใจ เพราะถ้าปล่อยไว้ให้มันสุกคาต้นเมื่อใดเป็นอันไม่ได้กิน กระรอกมันชิงกินเสียก่อน ก็เลยต้องรีบเก็บก่อนที่มันสุกจนกระรอกมากินได้
 
บ้านทุ่งขึงหนังเวลานั้น แม้ว่าจะห่างจากตัวจังหวัดเพียงแค่ ๑๐ กิโลเมตร ถูกจัดว่าเป็น "พื้นที่สีแดง" เพราะอยู่ในการแทรกซึมของคอมนิวนิสต์ ดังนั้นพอตกค่ำก็จะอยู่กันแต่ในบ้าน ถนนผ่านหน้าบ้านนั้นแทบจะไม่มีรถวิ่งผ่านเลย โทรทัศน์ก็มีให้ดูเพียงช่องเดียวคือช่อง ๑๐ หาดใหญ่ (ที่สถานีส่งอยู่ห่างไปร่วม ๑๐๐ กิโลเมตร) ดังนั้นแต่ละบ้านต้องมีเสาโทรทัศน์ที่สูง แถมยังต้องมีบูสเตอร์ช่วยเพิ่มสัญญาณให้อีก จึงจะพอดูกันได้
 
แต่สิ่งหนึ่งที่ยังประทับใจมาจนถึงทุกวันนี้ก็คือ ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่นั่นเวลานั้นมืดมาก มองขึ้นไปทีใดก็จะเห็นดวงดาวเต็มท้องฟ้าไปหมด รวมทั้งทางช้างเผือกด้วย
 
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นมีญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่เป็นคุณลุง มีตำแหน่งเป็นนายอำเภออยู่ที่ควนขนุน ท่าทางจะดุไม่ใช่เล่น คุณพ่อเคยเล่าให้ฟังว่าคุณลุงท่านนี้ทางฝ่ายผกค. (ย่อมาจากผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์) ตั้งค่าหัวเอาไว้แพงกว่าผู้ว่าราชการจังหวัดอีก (จริงเท็จอย่างไรผมก็ไม่รู้เหมือนกัน เพียงแต่ได้ยินผู้ใหญ่เขาเล่าให้ฟัง ก็เลยขอบันทึกเอาไว้เสียหน่อย) ตอนเรียนจบกลับมาทำงานใหม่ ๆ เมื่อ ๒๐ กว่าปีที่แล้ว พบกับนิสิตภาคนอกเวลาราชการคนหนึ่ง เขาเป็นคนพัทลุง เขาเห็นผมมีนามสกุลเดียวกับนายอำเภอคนนั้น ก็เลยถามผมว่าเป็นญาติกันหรือเปล่า ผมก็ตอบว่าใช่ เขาก็เล่าให้ฟังว่าตอนเด็ก ๆ นั้นตอนเรียนหนังสืออยู่โรงเรียน ถ้าเด็ก ๆ ซนกันมากคุณครูก็จะบอกว่า "เดี๋ยวจะให้นายอำเภอ ..(ชื่อคุณลุงผม).. มาจับตัวไป" เท่านั้นเด็ก ๆ ก็จะหยุดซน
 
ก่อนผมแต่งงาน ผมกับแฟนก็นำการ์ดแต่งงานไปมอบให้แกที่บ้าน (ก่อนแกจะเสียไม่นาน) ตอนนั้นแกก็ป่วยอยู่และนั่งพักผ่อนอยู่บนเตียงในห้องนอน พอออกมาแฟนก็บอกว่าคุณลุงคนนี้น่ากลัวจัง ที่แฟนผมคิดเช่นนั้นก็คงเป็นเพราะว่าขนาดนอนป่วยอยู่บนเตียงในบ้านแท้ ๆ ยังวางปืนลูกโม่เอาไว้หัวเตียงแบบแขกไปใครมาก็เห็นกันหมด

คุณตาผมท่านเสียไปด้วยอุบัติเหตุทางรถตั้งแต่ตอนผมยังเป็นเด็ก งานศพท่านก็เป็นงานใหญ่จัดที่วัดทุ่งขึงหนัง คุณแม่เล่าให้ฟังว่าตอนนั้นที่วัดยังไม่มีเมรุ คุณลุงอีกท่านที่เป็นตำรวจก็เป็นผู้ไปเช่าเมรุชั่วคราวมาทำพิธีเผาศพให้ ทำให้นึกถึงอีกงานหนึ่งที่ตอนเด็กก็ได้ไป คุณน้าท่านหนึ่งเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถเช่นกัน ดูเหมือนว่าจะเผากันกลางแจ้งในเมรุชั่วคราว พอทำพิธีเสร็จก่อนจะเผาจริงแขกต่าง ๆ ที่มางานต่างก็กลับกันเลย เพิ่งจะมาเข้าใจตอนโตว่าทำไม
 
คุณตาคุณยายผมแกส่งลูก ๆ มาเรียนหนังสือที่กรุงเทพกันเกือบทุกคน ด้วยความที่แกมีอาชีพเป็นครูแกก็เลยมีจดหมายเขียนถึงลูก ๆ ที่มาเรียนที่กรุงเทพเสมอ ไม่รู้เหมือนกันว่าเขียนถึงใครบ้าง แต่เข้าใจว่าคุณป้าที่เป็นพี่คนโตสุดเป็นคนเก็บรักษาเอาไว้อย่างดี เพราะเวลามีงานทีใด จดหมายที่คุณตาเขียนเอาไว้ที่นำมาพิมพ์ลงหนังสือแจกในงานก็จะได้มาจากแก
 
เรื่องราวที่คุณตาเขียนไว้เป็นดังเสมือนบันทึกชีวิตประจำวันของชาวบ้านธรรมดา ในรูปจดหมายถึงลูกที่เขียนเอาไว้โดยครูโรงเรียนธรรมดาคนหนึ่ง ดังนั้นมุมมองของสิ่งต่าง ๆ จึงย่อมที่จะแตกต่างไปจากบันทึกแบบทางการหรือข้าราชการผู้มีอำนาจปกครอง อย่างเช่นจดหมายฉบับหนึ่งที่นำมาให้ดูในวันนี้ นำมาจากหนังสืองานที่ระลึกงานศพของคุณยายของผม (วันเสาร์ที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๙) ซึ่งคุณป้าของผมที่เป็นลูกคนโตรวบรวมไว้และเคยนำมาจัดพิมพ์ในหนังสือที่ระลึกตอนคุณยายผมอายุ ๘๐ และ ๙๐ ปี (ในบันทึกท้ายจดหมาย "ดิฉัน" ซึ่งเป็นผู้เขียนบันทึกท้ายจดหมายนั้นคือคุณป้าของผม ท่านเสียไปก่อนคุณยายผมอีก) ที่ผมเห็นว่าจดหมายฉบับนี้น่าสนใจก็คือ การที่คุณตาท่านได้เล่าเรื่องการไปเรียนหนังสือที่จังหวัดตรังเมื่อปีพ.ศ. ๒๔๖๑ หรือเมื่อ ๑๐๐ ปีที่แล้ว (ช่วงกลางรัชกาลที่ ๖) เรื่องราวเป็นอย่างไรก็ขอให้อ่านเอาเองก็แล้วกัน


 
ในจดหมายฉบับนี้มีการกล่าวถึง "โรงเรียนเพาะปัญญา" และ "โรงเรียนวิเชียนมาต" (ในจดหมายไม่มีสระอุ) ในหน้าเว็บ http://data.bopp-obec.info/web/index_view_history.php?School_ID=1092140024&page=history ให้รายละเอียดประวัติของของโรงเรียนเพาะปัญญาเอาไว้ว่า
 
"ที่ตั้งโรงเรียนเพาะปัญญา ในพระอุปถัมภ์ฯ เป็นโรงเรียนประถมศึกษา ตั้งอยู่ริมถนนเพชรเกษม (ตรัง-พัทลุง) หมู่ที่ 5 ตำบลนาโยงใต้ อำเภอเมือง จังหวัดตรัง รหัสไปรษณีย์ 92170 มีพื้นที่ 13 ไร่ 54.4 ตารางวา มหาอำมาตย์โทพระยารัษฎานุประดิษฐ์ มหิศรภักดี (คอซิมบี้ ณ ระนอง) สมุหเทศาภิบาล มณฑลภูเก็ต เป็นผู้จัดตั้งเมื่อ พ.ศ. 2456
 
"เพาะปัญญา" เป็นนามพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ชาวตำบลนาโยงใต้ และชาวจังหวัดตรังถือเป็นมงคลนามอย่างยิ่ง เมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลปักษ์ใต้ (ครั้งที่ 2) เสด็จถึงจังหวัดตรัง ได้พระราชทานนามและทรงเปิดโรงเรียนนี้ เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2458"
 
ส่วนโรงเรียนวิเชียรมาตุนั้น ประวัติบนหน้าเว็บ http://data.bopp-obec.info/web/index_view_history.php?School_ID=1092140330&page=history ให้รายละเอียดเอาไว้ว่า
 
"โรงเรียนวิเชียรมาตุ ถือกำเนิดขึ้นจากพระราชประสงค์อันกอปรด้วยพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พันปีหลวง พระบรมราชินีนาถในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 แห่งบรมราชจักกรีวงศ์
 
เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พุทธศักราช 2455 สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พันปีหลวง เสด็จประพาสจังหวัดตรังมีพระราชปรารภว่า พื้นภูมิทำเล ตำบลทับเที่ยง อำเภอเมือง จังหวัดตรัง เหมาะสมดีควรมีสถานศึกษา จึงได้พระราชทานนามว่า “โรงเรียนวิเชียรมาตุ” ซึ่งหมายความถึงพระราชชนนีของพระปรเมนทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
 
โรงเรียนวิเชียรมาตุ ได้ดำเนินการก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 18 พฤษภาคม 2459 เสร็จเรียบร้อย
 
ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2459 และเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2459 ทางจังหวัดได้รับโรงเรียนวิเชียรมาตุเข้าในทะเบียนโรงเรียนของจังหวัดตรัง
 
ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2459 โรงเรียนวิเชียรมาตุเป็นโรงเรียนประจำจังหวัดแห่งใหม่"
 
แสดงว่าตอนที่คุณตาของผมไปเรียนหนังสือที่สองโรงเรียนนี้ โรงเรียนเหล่านี้เพิ่งจะเปิดได้ไม่กี่ปีเอง