“เวลาทำงาน”
ของงานแต่ละชนิดนั้นขึ้นอยู่กับว่างานนั้นเป็นงานอะไร
เวลาทำงานในส่วนสำนักงานนั้นมักจะถูกกำหนดด้วยช่วงเวลาที่สะดวกในการติดต่อกับผู้อื่น
(เช่น
กลุ่มลูกค้านั้นเป็นผู้ที่ทำงานกลางวันหรือกลางคืน)
ส่วนเวลาทำงานในภาคอุตสาหกรรมนั้นมักจะถูกกำหนดด้วยรูปแบบของกระบวนการผลิตเป็นหลัก
(เช่น
เสร็จสิ้นในเวลาไม่นาน
หรือต้องเดินเครื่องต่อเนื่องตลอด
๒๔ ชั่วโมง)
การกำหนด
“เวลาทำงาน”
รูปแบบนี้ผมว่าอาจจะเรียกได้ว่าเป็นการกำหนดโดยใช้ความต้องการทางเศรษฐกิจเป็นตัวกำหนด
แต่ถึงกระนั้นก็ตามผมก็ไม่เห็นด้วยกับแนวความคิดที่ว่าจะปรับเปลี่ยนเวลามาตรฐานประเทศให้ผิดเพี้ยนไปจากเวลาจริงที่ควรเป็น
เพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเป็นหลักสำหรับผู้ที่ทำการค้าขายระหว่างประเทศ
ซึ่งตรงนี้มันควรไปแก้ไขที่เวลาเข้า-ออกงานของแต่ละหน่วยงาน
ไม่ใช่ไปทำให้คนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง
(ที่ดูเหมือนจะเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ)
ต้องสับสนหรือได้รับความลำบากไปด้วย
แต่ก็มีงานอยู่ไม่น้อยเหมือนกันที่ต้องทำตามเวลาธรรมชาติ
ที่เห็นได้ชัดคืองานภาคการเกษตร
เช่นการปลูกพืช เลี้ยงสัตว์
การออกไปกรีดยาพาราที่ปรกติจะทำกันในช่วงเช้ามืดและเก็บน้ำยางกันตอนสว่าง
หรือการออกไปรีดนมวัวที่ทำกันในช่วงเช้า
แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีความพยายามจะใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยเพื่อบิดเบือนเวลาธรรมชาติให้รับเข้ากับสภาพสังคม
แต่ก็มักทำได้ในระดับหนึ่ง
(อาจจะดัวยความสามารถของเทคโนโลยีเอง
หรือค่าใช้จ่าย
เช่นในสามจังหวัดชายแดนใต้ที่มีปัญหาเรื่องการก่อความไม่สงบ
เคยมีการเสนอให้ใช้สารเคมีเพื่อทำให้น้ำยางไหลได้ดีในเวลากลางวัน
จะได้กรีดยางตอนกลางวันได้
ซึ่งจะทำให้การรักษาความปลอดภัยจากกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบทำได้ดีขึ้น)
ในบ้านเราเองในสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาก็ได้มีการย้ายเวลาเปิด-ปิดภาคเรียน
เพื่อให้ตรงกับของฝรั่ง
(ซึ่งมันเหมาะสมกับสภาพอากาศบ้านเขาที่จะเปิดภาคการศึกษาในฤดูกาลดังกล่าว
แต่ไม่เหมาะสมกับสภาพอากาศบ้านเรา)
ซึ่งตรงนี้ผมว่ายังดีที่สถาบันการศึกษาระดับโรงเรียนนั้นไม่ทำตามไปด้วย
(ต้องขอขอบคุณมาก)
แต่สิ่งหนึ่งที่สถาบันการศึกษายังไม่ค่อยนำมาคิดพิจารณาคือ
“เวลาเข้าเรียน” ในตอนเช้า
ตอนนี้ดูเหมือนว่า
“เวลาเข้าเรียน” สำหรับโรงเรียนต่าง
ๆ ในบ้านเราจะใช้เวลาเข้างานของผู้ใหญ่เป็นหลัก
คือให้พ่อแม่มีเวลาส่งลูกที่โรงเรียนก่อน
จากนั้นจึงค่อยไปทำงาน
(อาจเป็นเพราะสภาพสังคมของบ้านเราในขณะนี้ที่ออกไปทำงานนอกบ้านทั้งพ่อและแม่
และการแยกอยู่เป็นครอบครัวเดี่ยว)
หรือไม่ก็เพื่อลดปัญหาการจราจร
โดยให้โรงเรียนต่าง ๆ
เข้าเรียนที่เวลาแตกต่างกัน
แต่ที่เห็นก็คือจะเน้นไปที่ให้นักเรียนเข้าเรียนเช้ามากขึ้น
ปรกติตอนเช้าระหว่างที่ขับรถไปทำงานผมก็มักฟังวิทยุรายการข่าว
VOA
(Voice of America) ภาคภาษาไทยที่ถ่ายทอดทางสถานีวิทยุจุฬา
(101.5
MHz) ในช่วงระหว่างเวลา
๖.๓๐-๗.๐๐
น เป็นประจำ เมื่อวาน (จันทร์
๙ กุมภาพันธ์)
ก็ได้ยินข่าวหนึ่งที่น่าสนใจ
คือเป็นเรื่องเกี่ยวกับหนังสือที่เขียนโดยนักประสาทวิทยาที่ศึกษาการทำงานของสมองวัยรุ่น
ที่รายงานว่านาฬิกาชีวิตของวัยรุ่นนั้นแตกต่างไปจากนาฬิกาชีวิตของคนในวัยอื่น
คือทำให้วัยรุ่นมีพฤติกรรมที่จะ
"นอนดึกและตื่นสาย"
กว่าผู้ใหญ่อย่างน้อย
๒-๓
ชั่วโมง
ในตอนท้ายข่าวนั้นทางผู้ประกาศข่าวของ
VOA
ก็เล่าให้ฟังว่าหลายโรงเรียนในสหรัฐอเมริกาก็ได้มีการนำเอาความรู้นี้ไปปรับใช้
คือชั้นเรียนสำหรับวัยรุ่น
(ช่วงอายุ
๑๒-๑๗
ปี)
จะเริ่มตอนสายขึ้น
เพื่อให้วัยรุ่นมีเวลานอนพักผ่อนที่เพียงพอ
เพื่อที่การเรียนรู้จะได้ดีขึ้น
(แต่ไม่ยักบอกว่าเลื่อนเวลาเลิกเรียนออกไปด้วยหรือเปล่า)
เนื้อหาข่าวนำมาจากwww.voathai.com/content/exploring-teen-brian-tk/2634424.html
แต่สำหรับในบ้านเรานั้นดูเหมือนว่าจะทำกลับกัน
คือโรงเรียนเด็กเล็กจะเข้าสาย
(คงเป็นเพราะกว่าจะจับอาบน้ำแต่งตัว
กินข้าวเช้าเสร็จ
ก็คงต้องใช้เวลาอยู่ไม่น้อย)
แต่โรงเรียนเด็กโตจะเข้าเร็วขึ้น
(ไม่รู้ว่าเป็นเพราะต้องการให้เด็กโตเลิกเรียนเร็วขึ้นเพื่อจะได้มีเวลาเรียนพิเศษตอนเย็นมากขึ้นหรือเปล่า)
วัยรุ่นที่อยู่ในเรื่องนี้เป็นวัยรุ่นที่กำลังเรียนอยู่ในระดับโรงเรียนก่อนเข้ามหาวิทยาลัยนะ
ดังนั้นผู้ที่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยแล้วก็ยังคงไม่มีข้ออ้าง
(ที่อิงจากงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์)
ในการนอนตื่นสายแล้วมาเรียนตอนเช้าไม่ทัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น