เนื้อหาใน
Memoir
ฉบับนี้นำลง
blog
เพียงบางส่วน
เมื่อประมาณกลางเดือนธันวาคมที่ผ่านมา
ได้มีโอกาสไปเข้าร่วมประชุมวิชาการ
ณ จังหวัดเชียงใหม่
ที่มีผู้มาเข้าร่วมประชุมจากมหาวิทยาลัยต่าง
ๆ เต็มไปหมด
แต่ด้วยข้อจำกัดของเวลาทำให้เข้าฟังการบรรยายได้เฉพาะบางห้องเท่านั้น
และแม้แต่ในห้องที่เข้าฟังเอง
เมื่อเห็นการแปลผลการทดลองที่คิดว่าน่าสงสัยอยู่ก็ไม่มีโอกาสที่จะได้ทักท้วง
มาคราวนี้เลยขอเลือกเอาบางผลการทดลองมาเล่าสู่กันฟัง
เพื่อเป็นตัวอย่างข้อควรระวังในการแปลผล
๑.
การทำ
peak
fitting ของ
CO2-TPD
การทำ
CO2-TPD
(CO2 Temperature Programmed Desorption)
เริ่มจากการให้ตัวอย่างที่เป็นของแข็ง
(ปรกติก็เป็นผง)
ดูดซับแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
(CO2)
เอาไว้จนอิ่มตัวที่อุณหภูมิหนึ่ง
(มักจะเป็นอุณหภูมิห้อง)
จากนั้นก็ค่อย
ๆ เพิ่มอุณหภูมิตัวอย่างด้วยอัตราที่กำหนด
แล้วทำการตรวจวัดปริมาณ
CO2
ที่ตัวอย่างคายซับออกมาที่อุณหภูมิต่าง
ๆ กัน
เทคนิคนี้มีการนำไปใช้ในการวัดความแรงของตำแหน่งที่เป็นเบสบนพื้นผิวของแข็ง
และความสามารถในการจับ CO2
ในกรณีที่ปฏิกิริยาที่ศึกษานั้นมี
CO2
เป็นสารตั้งต้น
วิธีการทำ
CO2-TPD
ก็ใช้อุปกรณ์เดียวกันกับที่ใช้ทำ
NH3-TPD
เพียงแต่เปลี่ยนชนิดของแก๊สที่ใช้ในการดูดซับ
การวัดปริมาณ CO2
ที่ตัวอย่างคายซับออกมานั้นจะใช้ตัวตรวจวัดชนิด
Thermal
Conductivity Detector (TCD)
ตัวอย่างที่นำมาแสดงในรูปที่
๑ มีคำอธิบายว่า
“แสดงโปรไฟล์การคายซับของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
(CO2-TPD)
บนตัวเร่งปฏิกิริยาคอปเปอร์เซอร์โคเนียที่มีเฟสแตกต่างกัน
โดยโปรไฟล์ CO2-TPD
ของตัวเร่งปฏิกิริยาดังกล่าวสามารถจำแนกออกเป็นพีคย่อยๆ
ได้ 3
พีค
คือ alpha beta
และ gamma
ซึ่งเป็นตัวแทนของ weak
medium และ
strong
basic site จากรูปจะสังเกตเห็นว่า
แม้โปรไฟล์ CO2-TPD
ของตัวเร่งปฏิกิริยาทั้งสามมีลักษณะที่เหมือนกัน
แต่อุณหภูมิในการคายซับของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในแต่ละ
basic
site ของทั้ง
3
ตัวเร่งปฏิกิริยามีการเลื่อนตำแหน่งที่ไม่ตรงกัน
ซึ่งชี้ให้เห็นว่าเฟสของเซอร์โคเนียมีผลต่อความแรงของแต่ละ
basic
site บนตัวเร่งปฏิกิริยาคอปเปอร์เซอร์โคเนีย
นั่นหมายความความแข็งแรงในการยึดเหนี่ยวของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ดูดซับบนตัวเร่งปฏิกิริยาก็จะแตกต่างกันออกไป
โดยพบว่าตัวเร่งปฏิกิริยา
Cu/m-ZrO2
มีอุณหภูมิในการคายซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในแต่ละ
basic
site สูงที่สุด
ซึ่งแสดงให้ว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ดูดซับบนพื้นผิวตัวเร่งปฏิกิริยา
Cu/m-ZrO2
มีการยึดเหนี่ยวกันที่แข็งแรงมาก
ในขณะที่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ดูดซับบนพื้นผิวตัวเร่งปฏิกิริยา
Cu/t-ZrO2
มีการยึดเหนี่ยวกันที่ไม่แข็งแรงมากนัก
ซึ่งจะเห็นจากอุณหภูมิในการคายซับของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เกิดขึ้นที่อุณหภูมิต่ำ”
ผลตรงนี้ในส่วนของผมเองมีประเด็นที่ตั้งข้อสังเกตหลายประเด็น
อย่างแรกก็คือเป็นเรื่องปรกติที่พีคการคายซับ
(desorption
peak) จะเป็นพีคที่ไม่สมมาตร
อันเป็นผลเนื่องจากการแพร่ออกมาจากรูพรุนของตัวอย่าง
(ดู
Memoir
ปีที่
๖ ฉบับที่ ๗๔๔ วันศุกร์ที่
๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ เรื่อง
“ทำไมพีคจึงลากหาง”)
ดังนั้นการทำ
peak
fitting จึงควรใช้ฟังก์ชันพีค
Gaussian
ที่ไม่สมมาตร
(ดู
Memoir
ปีที่
๓ ฉบับที่ ๓๑๔ วันศุกร์ที่
๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๔ เรื่อง “GC- peak fitting ตอนที่๑ การหาพื้นที่พีคที่เหลื่อมทับ”)
ในรูปที่
๑ นั้นคณะผู้วิจัยพยายามแปลผลด้วยการใช้ฟังก์ชัน
Gaussian
ที่สมมาตรในการแยกหาตำแหน่งพีค
จะเห็นว่าการทำ peak
fitting ดังกล่าวไม่สามารถปรับเข้ากับผลการทดลองได้ดี
โดยเฉพาะตรงบริเวณที่ลูกศรสีส้มชี้ที่เห็นได้ชัดว่าผลรวมของพีคย่อย
(เส้นประนั้น)
แตกต่างไปจากผลการทดลอง
(เส้นทึบ)
อย่างเห็นได้ชัด
นอกจากนี้ตรงส่วนหน้าของพีคแรก
(ที่ประมาณ
70ºC)
ตรงลูกศรสีเขียวชี้
การทำ curve
fitting ก็ยังทำได้ไม่ดี
จะเห็นว่ารูปร่างความโค้งของเส้นข้อมูลผลการทดลองและความโค้งของพีค
Gaussian
นั้นแตกต่างกันอยู่
ทั้งนี้อาจเป็นผลการการกำหนดแนว
base
line ของข้อมูล
รูปที่
๑ CO2-TPD
profiles
๒.
อุณหภูมิและการดูดซับ
การดูดซับโมเลกุลบนพื้นผิวของแข็งนั้นเป็นปฏิกิริยาคายความร้อน
(ดู
Memoir
ปีที่
๔ ฉบับที่ ๓๗๕ วันพุธที่ ๑๔
ธันวาคม ๒๕๕๔ เรื่อง
“อุณหภูมิและการดูดซับ”)
ดังนั้นเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น
การดูดซับจะเกิดขึ้นน้อยลง
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดได้แก่สารดูดความชื้นต่าง
ๆ เมื่อสารเหล่านี้ดูดความชื้นจนอิ่มตัว
เราก็สามารถไล่ความชื้นที่มันดูดซับเอาไว้ได้ด้วยการให้ความร้อนแก่สารดูดซับเหล่านั้นที่อุณหภูมิที่สูงพอ
ความชื้นที่สารดูดซับจับเอาไว้ก็จะหลุดออกไป
รูปที่
๒ เป็นผลการทดลองการดูดซับสีย้อมชนิดหนึ่งในน้ำที่อุณหภูมิต่าง
ๆ กัน ซึ่งมีคำอธิบายว่า
“พบว่าในช่วง 2
นาทีแรก
ความสามารถในการดูดซับเกิดอย่างรวดเร็ว
มีค่า 66,700,
66,111 และ
66,407
ppm ของคองโกเรดต่อกรัมของตัวดูดซับ
ตามลําดับ
หลังจากนั้นความสามารถในการดูดซับสารละลายคองโกเรดเริ่มลดลงและเข้าสู่สมดุล
ซึ่งเกิดขึ้นในเวลาประมาณ
60
นาที
มีความสามารถในการดูดซับสารละลายคองโกเรดเท่ากับ
68,658
, 68,976 และ
69,529
ppm ของคองโกเรดต่อกรัมของตัวดูดซับ
ตามลําดับ
ความสามารถในการดูดซับสารละลายคองโกเรดเกิดขึ้นได้มากที่อุณหภูมิสูง
เนื่องจากพลังงานจลน์ของสารละลายคองโกเรดมีปริมาณมาก
ในขณะที่มีการเพิ่มอุณหภูมิจะทําให้เกิดการเคลื่อนที่ของสารละลายคองโกเรดได้มากขึ้น
พลังงานจลน์ของสารละลายคองโกเรดมีค่ามากกว่าพลังงานศักย์
จึงเกิดแรงดึงดูดระหว่างตัวดูดซับกับสารละลายคองโกเรด”
ซึ่งผลตรงนี้ขัดกับสิ่งที่ทฤษฏีทำนายไว้
ที่กล่าวไว้ในย่อหน้าข้างบน
รูปที่
๒ ผลของอุณหภูมิต่อความสามารถในการดูดซับสีคองโกเรด
(congo
red) ความเข้มข้น
700
ppm ที่เวลาต่าง
ๆ กัน
ใช้ตัวดูดซับคาร์บอนกัมมันต์ที่เตรียมจากแบคทีเรียลเซลลูโลสที่ไม่ผ่านการแช่ด้วยกรด
ปริมาณ 0.2
กรัม
เปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของสารละลายคองโกเรดเป็น
30,
45 และ
60
ºC
ปรกติของแข็งที่มีรูพรุนนั้นเมื่ออยู่ในเฟสแก๊สก็จะมีเฟสแก๊สแทรกอยู่ในรูพรุน
เมื่อเรานำไปใช้ในการดูดซับสารออกจากเฟสแก๊ส
เฟสแก๊สที่อยู่นอกรูพรุนและเฟสแก๊สที่อยู่ในรูพรุนจะมีความต่อเนื่องกัน
โมเลกุลสารที่ต้องการดูดซับจะสามารถแพร่จากเฟสแก๊สที่อยู่นอกรูพรุนเข้าไปในรูพรุนได้
และลงไปเกาะบนพื้นผิวของแข็งได้
แต่กรณีของการนำเอาของแข็งมีรูพรุน
ซึ่งเดิมอยู่ในเฟสแก๊ส
แล้วใส่ลงไปในเฟสของเหลวนั้นแตกต่างออกไป
เพราะเฟสของเหลวที่อยู่นอกรูพรุนจะไม่สามารถแพร่เข้ามาในรูพรุนได้เพราะมีเฟสแก๊สขวางกั้นอยู่
ที่อุณหภูมิต่ำพื้นที่จำนวนมากของรูพรุนถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยเฟสแก๊ส
ทำให้ไม่สามารถใช้พื้นที่เหล่านั้นในการดูดซับโมเลกุลที่อยู่ในเฟสของเหลวได้
แต่เมื่อเพิ่มอุณหภูมิให้สูงขึ้น
แก๊สจะขยายตัวแพร่ออกมาจากรูพรุนมากขึ้น
ของเหลวจะแทรกเข้าไปในรูพรุนได้ง่ายขึ้น
(ความหนืดลดลง)
พื้นที่ของรูพรุนที่ถูกปกคลุมด้วยของเหลวก็มากขึ้นตามไปด้วย
ทำให้เห็นความสามารถในการดูดซับดีขึ้นที่อุณหภูมิที่สูงขึ้น
วิธีการที่ดีกว่าและเหมาะสมกว่าในการใช้ของแข็งมีรูพรุนทำปฏิกิริยาในเฟสของเหลวคือหาทางเติมของเหลวให้เต็มรูพรุนต่าง
ๆ ก่อนที่จะเริ่มทำการทดลอง
วิธีการหนึ่งที่สามารถทำได้ก็คือการนำเอาของแข็งนั้นไปต้มในสารละลายที่ใช้ในการศึกษาก่อนที่จะใส่สารตั้งต้นลงไปในสารละลาย
๓.
การทำ
Linear
regression
การทำ
regression
เป็นการหาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระ
(x
ซึ่งอาจมีมากกว่า
๑ ตัวแปร)
กับตัวแปรตาม
(y
ซึ่งมีเพียงตัวเดียว)
การทำ
regression
แตกต่างจากการทำ
curve
fitting ตรงที่ในการทำ
curve
fitting นั้นเราหาฟังก์ชันที่
“ต้องผ่าน” จุดข้อมูลที่มีอยู่ทุกจุด
(ปรกติที่
x
ค่าหนึ่งจะมี
y
เพียงค่าเดียว)
ในขณะที่การทำ
regression
นั้นเป็นการหาฟังก์ชันที่เมื่อลากผ่านกลุ่มจุดข้อมูลที่มีอยู่
(ไม่จำเป็นต้องผ่านจุดใดจุดหนึ่งเลยก็ได้)
แล้วให้รูปเส้นกราฟกับการกระจายตัวของจุดข้อมูลนั้นออกมา
“ดูดี” ที่สุด คำว่า “ดูดี”
ในที่นี้มักหมายถึง
“ความคลาดเคลื่อน” หรือ
“error”
นั้นน้อยที่สุด
ในการทำ
regression
นั้นเราจำเป็นต้องกำหนดฟังก์ชันสำหรับการลากเส้นขึ้นมาก่อน
จากนั้นจึงค่อยหาว่าค่าพารามิเตอร์ต่าง
ๆ
ของฟังก์ชันนั้นควรมีค่าเป็นเท่าใดจึงจะให้เส้นกราฟที่ได้นั้นสอดคล้องกับรูปแบบการเปลี่ยนแปลงข้อมูล
ตัวอย่างเช่นในกรณีของการเลือกใช้สมการเส้นตรง
พารามิเตอร์ที่ต้องหาคือค่าความชันและจุดตัดแกน
x
“ความคลาดเคลื่อน”
คือระยะห่างระหว่างจุดข้อมูลกับเส้นกราฟที่ได้
ส่วนจะวัดในรูปแบบไหนก็ขึ้นอยู่กับว่าเรามั่นใจในจุดข้อมูล
x
และ
y
มากน้อยเพียงใด (ดูรูปที่ ๓ ประกอบ) ถ้าเรามั่นใจว่าค่า x
ของเราถูกต้อง
ส่วนค่า y
นั้นอาจมีความคลาดเคลื่อนได้
ระยะห่างก็จะวัดในแนวแกน
y
(ในกรณีนี้ข้อมูลมีการกระจายตัวเฉพาะในทิศทางแกนy
กล่าวคือที่
x
ค่าหนึ่งมี
y
ได้หลายค่า)
ในทางกลับกันถ้าเรามั่นใจว่าค่า
y
ของเราถูกต้อง
ส่วนค่า x
นั้นอาจมีความคลาดเคลื่อนได้
ระยะห่างก็จะวัดในแนวแกน
x
(ในกรณีนี้ข้อมูลมีการกระจายตัวในทิศทางแกน
x
กล่าวคือที่
y
ค่าหนึ่งมี
x
ได้หลายค่า)
และถ้าเราสงสัยว่าข้อมูลทั้ง
x
และ
y
มีความคลาดเคลื่อนทั้งคู่
ระยะห่างก็จะวัดในแนวที่เส้นที่ลากจากจุดนั้นไปตั้งฉากกับเส้นกราฟที่ได้
(ข้อมูลมีการกระจายตัวทั้งในทิศทางการแ
x
และแกน
y)
เมื่อกำหนดแนวที่จะทำการวัดความคลาดเคลื่อนได้แล้ว
ต่อไปก็จะเป็นขั้นตอนการหาวิธีการที่จะให้เส้นกราฟออกมา
“ดูดี” ที่สุด
ซึ่งวิธีทั่วไปที่ใช้กันก็คือแนวเส้นที่ทำให้ค่าผลรวมของระยะห่างของแต่ละจุดข้อมูลกับเส้นกราฟนั้นมีค่าน้อยที่สุด
รูปที่ ๓ การวัดระยะความคลาดเคลื่อน (ซ้าย) ถ้าความคลาดเคลื่อนมีเฉพาะในทิศทางแกน y (กลาง) ถ้าความคลาดเคลื่อนมีเฉพาะในทิศทางแกน x และ (ขวา) ถ้าความคลาดเคลื่อนมีทั้งในทิศทางแกน x และแกน y
การทำ
regression
ที่พบมากที่สุดเห็นจะได้แก่การทำ
linear
regression ที่ใช้ความสำคัญกับจุดข้อมูลทุกจุดเท่ากันหมด
แต่การทำ linear
regression
จะเหมาะสมก็ต่อเมื่อรูปแบบการกระจายตัวของข้อมูลนั้นดูแล้วมีแนวโน้มว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในแนวเส้นตรง
กล่าวคือควรมีจำนวนจุดข้อมูลที่ค่า
x
มากกว่าสองตำแหน่ง
และการกระจายตัวของข้อมูลที่แต่ละตำแหน่ง
x
นั้นไม่ควรมากเกินไป
(ถ้ามากเกินไปแสดงว่าวิธีการวัดมีปัญหา
และอาจต้องพิจารณาตัดจุดข้อมูลที่กระจายตัวหลุดออกจากกลุ่มใหญ่ออกไป)
ควรให้ความสำคัญกับข้อมูลการกระจายตัวที่เกาะกลุ่มกันมากกว่าที่หลุดกลุ่มออกไป
รูปที่ ๔ การทำ linear
regression ด้วยการทดลองใช้แบบจำลองแตกต่างกัน
3
รูปแบบ
(บทความเดียวกับรูปที่
๒)
กับจุดข้อมูล
5
ที่สองตำแหน่งตัวแปร
x
กราฟในรูปที่ ๔ มาจากความพยายามที่จะทำ
linear
regression กับข้อมูล
5
จุด
โดยใช้แบบจำลอง 3
รูปแบบ
โดยข้อมูล 4
จุดนั้นเป็นของตำแหน่ง
x
ตำแหน่งหนึ่ง
และอีก 1
จุดนั้นเป็นของตำแหน่ง
x
อีกตำแหน่งหนึ่ง
ประเด็นที่อยากจะให้ลองพิจารณาตรงนี้คือจำนวนข้อมูลที่มีนั้นเหมาะสมที่จะทำ
linear
regression หรือยัง
และถ้าตัดเข้าข้อมูลออกไป
1
จุด
(ที่วงกลมสีแดงเอาไว้ในแต่ละรูป
ซึ่งเป็นข้อมูลตัวเดียวกัน
เพียงแต่นำไปใส่ในฟังก์ชันแตกต่างกันเท่านั้นเอง)
ผลการทำ
linear
regression จะออกมาเป็นอย่างไร
(ลองพิจารณาเฉพาะแค่ความชันของเส้นที่จะได้ก่อนก็ได้)
ตอนที่
๑ ของเรื่องนี้คงต้องขอจบแค่นี้ก่อน
ไม่งั้นเนื้อหาจะยาวเกินไป
ส่วนตอนที่ ๒ จะออกมาภายในเดือนนี้
แต่ต้องขอใช้เวลาย่อยสักนิด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น