อย่างแรกเลยก็ต้องขอแสดงความยินดีกับสมาชิกกลุ่มทั้งสองรายที่ผ่านการสอบปกป้องวิทยานิพนธ์ไปเมื่อวันจันทร์และอังคารที่ผ่านมา
ที่เหลือก็คงเป็นเพียงแค่การแก้เล่มแล้วส่งเท่านั้นเอง
ตอนที่ผมเรียนโทที่อังกฤษนั้น
มหาวิทยาลัยที่ผมเรียน
แม้ว่าจะมีการทำวิทยานิพนธ์
มีการทำเล่มปกแข็งส่ง
แต่ไม่มีการสอบวิทยานิพนธ์แบบสอบปากเปล่า
เขาเรียนโทกันปีเดียว
ทั้งเรียนวิชาและทำวิทยานิพนธ์ไปพร้อมกัน
ในขณะที่บางภาควิชาในมหาวิทยาลัยเดียวกันแท้
ๆ เปิดภาคเรียนมาก็เรียนกันอย่างเดียว
ไปทำวิทยานิพนธ์กันอย่างเดียวช่วงประมาณ
๓ เดือนสุดท้ายแล้วก็ส่งเลย
หัวข้อวิทยานิพนธ์ก็เป็นหัวข้อที่อาจารย์เข้ามีอยู่แล้ว
แล้วเราก็เข้าไปเลือกสมัครทำ
พอผ่านเข้าเรียนปริญญาเอกก็ไม่มีวิชาเรียน
เรียกว่าทำวิจัยกันอย่างเดียว
แล้วก็มีการสอบหัวข้อ
โดยหลัก ๆ ของการสอบหัวข้อก็คือ
เราต้องนำเสนอให้ผู้ฟังเห็นว่าสิ่งที่เราคิดจะทำนั้นมันน่าสนใจตรงไหน
และเรามีแนวทางจะทำอย่างไร
ไม่ได้มีการกำหนดรายละเอียดไว้อย่างเฉพาะเจาะจง
เรียกว่าให้การค้นพบมันนำพาไปเองว่า
จากสิ่งที่เราค้นพบนั้นเราควรทำอะไรต่อไป
พออาจารย์ที่ปรึกษาเขาเห็นว่าเรามีผลงานมากพอที่จะสอบวิทยานิพนธ์ได้แล้ว
เขาก็จะให้เราเริ่มเขียน
สิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งที่เขาบอกผมก็คือ
ผมไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับเขา
เพราะเขาไม่ได้เป็นคนให้ผมผ่านหรือไม่ผ่าน
กรรมการสอบต่างหากที่จะให้ผมสอบผ่านหรือไม่ผ่าน
เพราะในการสอบนั้นอาจารย์ที่ปรึกษาไม่มีสิทธิให้คะแนนสอบ
บาง College
นั้นไม่ให้อาจารย์ที่ปรึกษาอยู่ในห้องสอบด้วยซ้ำ
เรียกว่าจัดห้องสอบแยกให้ต่างหาก
มีเฉพาะผู้เข้าสอบและกรรมการอีก
๒ ท่าน เป็นอาจารย์ของสถาบัน
๑ ท่านและจากภายนอกสถาบันอีก
๑ ท่านเท่านั้น แต่ใน College
ที่ผมเรียนนั้นอาจารย์ที่ปรึกษาสามารถเข้าฟังการสอบได้
ถ้า "ผู้เข้ารับการสอบ"
นั้นอนุญาต
การที่เขาทำเช่นนี้ก็คือเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เรียนนั้นมีสิทธิแสดงความคิดเห็นได้เต็มที่
โดยไม่ต้องกังวลว่าจะเป็นที่ขัดใจอาจารย์ที่ปรึกษา
รูปแบบการเขียนก็ไม่มีหลักเกณฑ์ตายตัว
มีกฎง่าย ๆ อยู่เพียงว่า
ใครก็ตามที่มาอ่านที่หลังแล้วต้องรู้เรื่อง
ไม่ควรมีคำถามอะไรที่ตกค้าง
เพราะวิทยานิพนธ์คือสิ่งที่จะค้างอยู่ในห้องสมุด
ตัวผู้เขียนไม่รู้ว่าไปอยู่ไหนแล้ว
ถ้าหากเขียนไม่ชัดเจนก็จะทำให้คนที่มาอ่านทีหลังนั้นสับสนได้
และที่สำคัญก็คือกรรมการสอบเขาอ่านอย่างละเอียด
เรียกว่าถ้าใครสามารถเขียนได้แบบกรรมการสอบไม่มีข้อสงสัยใด
ๆ ก็เรียกว่าสอบผ่านสบาย
ซึ่งน้อยคนนักจะทำได้
สมัยผมเรียนก็เคยได้ยินเพียงรายเดียวจากผู้เข้าสอบที่
College
อื่น
ที่พอเริ่มสอบกรรมการสอบก็บอกโดยไม่ต้องมีการซักถามอะไรเลยว่าสิ่งที่เขาเขียนนั้นเขาเขียนไว้ดีมาก
จนกรรมการสอบไม่มีคำถามอะไรจะถาม
เรียกว่าให้ผ่านแล้วก็ได้
วันนั้นถือว่าเป็นการมาคุยกันเล่น
ๆ เท่านั้น แต่สำหรับที่ภาควิชาเรานั้น
ทำงานมาปีนี้เป็นปีที่ ๒๕
แล้ว เคยพบแค่รายเดียวเท่านั้น
เป็นนิสิตจากอินโดนีเซียที่มาเรียนปริญญาโทที่ภาคเรา
การสอบวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกที่อังกฤษนั้นไม่มีการนำเสนอ
กรรมการจะอ่านเล่มจนหมดก่อน
จากนั้นจึงค่อยนัดวัดสอบ
การต้องรอ ๒ ถึง ๓
เดือนหลังส่งเล่มก่อนได้สอบก็ถือว่าเป็นเรื่องปรกติ
พอเริ่มการสอบเขาก็ซักถามกันทันที
ผมทำทั้งการทดลองและ simulation
คำถามที่น่าจะยากที่สุดเห็นจะได้แก่คำถามเกี่ยวกับเรื่อง
simulation
ที่ผมนำเสนอการนำเทคนิค
moving
finite element มาใช้ในการแก้ปัญหา
กรรมการสอบที่เป็นกรรมการจากภายนอกเขาบอกผมว่า
เขาไม่มีความรู้เรื่องนี้
ช่วยอธิบายเป็น "ภาษาง่าย
ๆ"
ให้เขาเข้าใจได้ไหม
การที่จะอธิบายอะไรสักอย่างเป็น
"ภาษาง่าย
ๆ"
ให้คนอื่นเข้าใจได้
คุณจะต้องมีความเข้าใจเรื่องนั้นดี
และต้องสามารถหาตัวอย่างประกอบที่ผู้ฟังสามารถมองเห็นภาพได้ด้วย
การสอบปกป้องวิทยานิพนธ์
วันจันทร์ที่ ๒๔ มิถุนายน
๒๕๖๒ เวลา ๑๖.๐๐
-
๑๘.๐๐
น
ในการสอบปากเปล่า
(ที่สามารถเขียนกระดานช่วยอธิบายได้)
สองชั่วโมงของผมนั้น
เนื้อหาที่โดนซักมากที่สุดคือ
"วิธีการทำการทดลอง"
(รวมทั้ง
simulation
ด้วย)
เพราะถ้าวิธีการไม่ถูกต้องเหมาะสม
ผลการทดลองก็ไม่ควรค่าแก่การพิจารณาใด
ๆ แล้ว แต่ในภาควิชาเราที่เข้าสอบเป็นประจำ
หรือในที่ประชุมวิชาการต่าง
ๆ นั้นกลับพบว่าเราไปให้ความสำคัญมากกับผลการทดลองและข้อสรุปที่ได้
โดยไม่ได้สนใจตรวจสอบว่าผลการทดลองนั้นมันถูกต้องหรือไม่
และบางกลุ่มวิจัยก็มีปัญหาเรื่องวิธีการทดลอง
(รวมทั้งวิธีการวิเคราะห์ตัวอย่าง)
เป็นประจำ
จนผมเลือกที่จะไม่ขอเป็นกรรมการสอบนิสิตกลุ่มนั้น
เพราะรู้เบื้องหลังรายละเอียดการได้มาซึ่งผลการทดลองเหล่านั้นมากเกินไป
แม้แต่งาน simulation
ก็ยังสามารถจับได้ว่ามีการแต่งขั้นตอนการคำนวณ
ด้วยการให้โปรแกรมหยุดการคำนวณก่อนที่จะลู่เข้าหาคำตอบของสมการ
เพื่อให้ตัวเลขที่ได้จากการคำนวณออกมาตรงกับข้อมูลดิบที่เขามี
แม้แต่วิธีการวิเคราะห์ตัวอย่างนั้น
แม้ว่าเราจะไม่ได้ทำการวิเคราะห์เอง
แต่เราก็ต้องรู้ว่าการเตรียมตัวอย่างและรายละเอียดการวิเคราะห์นั้นเป็นอย่างไร
เพราะในหลายเครื่องมือแล้ว
มันไม่ได้มีวิธีเตรียมตัวอย่างเพียงวิธีเดียวที่ใช้ได้กับทุกตัวอย่าง
แต่มันต้องปรับเปลี่ยนไปตามตัวอย่างที่จะทำการวิเคราะห์
หรือแม้แต่ตัวอย่างเดียวกัน
ถ้าใช้วิธีเตรียมที่แตกต่างกัน
ก็ให้ผลที่แตกต่างได้
อย่างเช่นการใช้เทคนิคการดูดซับไพริดีนร่วมกับ
FT-IR
ในการจำแนกประเภทของกรดบนพื้นผิวของแข็ง
ความเป็นกรดบนพื้นผิวของแข็งนั้นมี
๒ ประเภทคือ Brönsted
(หมู่ไฮดรอกซิล
-OH)
หรือ
Lewis
(ไอออนบวกของโลหะ)
ถ้าตัวอย่างนั้นสัมผัสกับความชื้นในอากาศจนอิ่มตัว
พื้นผิวก็จะมีหมู่ -OH
มาก
(หมู่นี้เกาะกับไอออนบวกของโลหะ)
การให้ความร้อนแก่ตัวอย่างก่อนทำการให้ตัวอย่างดูดซับไพริดีนสามารถทำให้หมู่
-OH
สองหมู่หลอมรวมกันกลายเป็นโมเลกุล
H2O
ระเหยออกไป
และเปิดไอออนบวก (กรดแบบ
Lewis)
สองไอออนขึ้นแทน
เรียกว่ากรด Brönsted
หายไป
๒ โดยได้กรด Lewis
มาแทนสอง
ส่วนที่ว่าหมู่ -OH
จะหายไปมากน้อยเท่าใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าใช้อุณหภูมิสูงแค่ไหนในการเตรียมตัวอย่างก่อนการดูดซับไพริดีน
ถ้าใช้อุณหภูมิสูงมากเป็นเวลานาน
มันก็จะหายไปมาก
ในเรื่องนี้ผมถึงบอกว่าอยากให้ผลการทดลองออกมาอย่างไรก็จัดให้ได้
ถ้าไม่อยากให้มีกรด Brönsted
เลยก็ใช้อุณหภูมิสูงในการเตรียมตัวอย่าง
แต่ถ้าอยากเห็นกรด Brönsted
เยอะ
ๆ ก็ให้ตัวอย่างจับความชื้นจนอิ่มตัวและใช้อุณหภูมิต่ำในการเตรียม
และด้วยการวัดที่กระทำในสุญญากาศ
(โดยผลที่ได้นั้นขึ้นอยู่กับวิธีเตรียม)
จึงทำให้ผลที่ได้นั้นไม่สามารถเป็นตัวแทนสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในระหว่างการทำปฏิกิริยาได้เสมอไป
โดยเฉพาะในกรณีของเราที่ในแก๊สมีไอน้ำที่ความเข้มข้นสูง
ที่ปริมาณหมู่ -OH
บนพื้นผิวนั้นจะอยู่ในสภาพสมดุลกับความชื้นในแก๊ส
ซึ่งเป็นสภาวะที่แตกต่างไปจากที่ใช้ในการวิเคราะห์
วิทยานิพนธ์นั้นมันน่าเชื่อถือแค่ไหนนั้น
มันต้องคุยกันเป็นชั่วโมง
และวิธีการที่ได้มาซึ่งข้อสรุปนั้นต้องได้รับการตรวจสอบโดยละเอียด
พวกคุณจบไปแล้วถ้าคิดจะนำงานวิจัยใครไปใช้
ควรที่จะต้องตรวจสอบผลของเขาด้วยว่าสามารถทำซ้ำได้
และวิธีการที่ใช้ในการวิเคราะห์นั้นถูกต้อง
เพราะวิธีการวิเคราะห์ที่ผิดมันก็ให้ผลการวิเคราะห์ที่ผิด
(ที่ทำซ้ำได้)
ไม่ใช่ฟังเพียงแค่ข้อสรุปที่เขานำเสนอในเวลาเพียงแค่ไม่กี่นาที
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพสังคมปัจจุบันที่เน้นการสื่อสารด้วยการทำ
infographic
หรือสไลด์เพียงแค่ไม่กี่ภาพที่พยายามดึงดูดให้ผู้รับสื่อนั้นเห็นด้วยกับสิ่งที่นำเสนอโดยต้องไม่คิดเป็นอย่างอื่น
ถ้าคุณต้องการรับใครสักคนไปทำงานในตำแหน่งพนักงานขาย
พวกนั้นเหมาะ
แต่ถ้าคุณต้องอยู่ในฐานะผู้จ่ายเงินเพื่อจะซื้อสิ่งที่เขานำเสนอ
สิ่งสำคัญที่พวกคุณต้องมีคือ
"ฟังอย่างไรไม่ให้ถูกหลอก"
Memoir
ฉบับนี้คงเป็นฉบับปิดท้ายชุดบทความ
"แนวทางหัวข้อการทำวิทยานิพนธ์นิสิตรหัส
๖๐"
และสิ่งสุดท้ายที่ขอฝากไว้ให้พวกคุณที่ผ่านการสอบแล้วก็คือ
รูปถ่ายที่ถ่ายเอาไว้เมื่อวันสอบและเมื่อ
๑๘ เดือนที่แล้ว
เพื่อให้พวกคุณพิจารณาเองว่า
สิ่งที่พวกคุณบอกกับผมเอาไว้ว่า
"กาลเวลาทำอะไรหนูไม่ได้หรอก
แต่การเรียนปริญญาโทนี่ซิ"
มันเป็นจริงแค่ไหน
วันพฤหัสบดีที่
๗ ธันวาคม ๒๕๖๐
ระหว่างเข้าฟังการสอบปกป้องวิทยานิพนธ์ของนิสิตรุ่นพี่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น