วันอังคารที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

แล้วอาจารย์คิดหรือว่า จะกลับมาให้เห็นหน้าอีก MO Memoir : Tuesday 9 July 2562

ผมเองมองว่าพฤติกรรมของใครสักคนในปัจจุบันที่ตอบสนองต่อการกระทำของผู้อื่น ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ที่เขาเคยประสบในอดีต และข้อสรุปที่เขาตั้งขึ้นจากประสบการณ์นั้น
        
ช่วงเวลานี้บนหน้า facebook ของผมในส่วนของนิสิตป.ตรี เห็นศิษย์เก่าภาควิชาหลายคนบ่นออกมาทางหน้าเฟส แม้จะไม่ชัดเจนว่าเรื่องอะไร แต่ก็เดาว่าคงเรื่องเกี่ยวกับการทำงาน ซึ่งในชีวิตการทำงานของแต่ละคนนั้นต่างก็ประสบกับทั้งเรื่องดีและเรื่องร้าย และสิ่งที่เป็นปัญหาก็คือ จะจัดการกับเรื่องร้ายนั้นอย่างไร
 

เมื่อผมเริ่มทำงานได้ไม่กี่ปี แลปวิจัยที่ร่วมกลุ่มทำอยู่นั้นก็มีขนาดใหญ่ขึ้น ได้พื้นที่ขยายใหญ่ขึ้น ความวุ่นวายก็เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย เรื่องอุปกรณ์ไม่ค่อยมีปัญหาเท่าใด เรื่องคนนี่ซิมีปัญหามากกว่า คนหลายคนมาอยู่รวมกันก็ต้องมีกติกากลางในการอยู่ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบ และพฤติกรรมการอยู่ร่วมกับผู้อื่น
    
มีอยู่ปีหนึ่งผมพบว่ามีนิสิตเอาของเข้ามากินในห้องพักแล้วไม่ทำความสะอาดให้เรียบร้อย คือทิ้งถุงใส่ของกินไว้ที่โต๊ะหรือไม่ก็ไม่เก็บจานไปล้าง ถามนิสิตในแลปก็ไม่มีใครยอมบอกว่าใครเป็นคนทำ บอกแต่เพียงว่าอาจารย์น่าจะรู้เอง (ผมจะไปรู้ได้อย่างไรก็ในเมื่อผมไม่ได้เฝ้าแลปตลอด ๒๔ ชั่วโมงและไม่ได้มีกล้องวงจรปิดจับภาพด้วย) เหตุการณ์เป็นอย่างนี้มาเรื่อย ๆ จนกระทั่งนิสิตกลุ่มนี้สำเร็จการศึกษา แล้วก็มีคนมาบอกกับผมว่าทำไมอาจารย์ไม่ลงโทษคน ๆ นั้นที่เขาเอาเปรียบเพื่อนด้วยการกินทิ้งแล้วให้เพื่อนตามเก็บ ผมก็ตอบเขากลับไปว่ามาบอกอะไรกับผมตอนนี้ว่าคนนั้นเขาเป็นใคร ก่อนหน้านี้ผมก็เคยถามแล้วแต่พวกคุณไม่บอกผมแล้วผมจะรู้ได้อย่างไร แล้วมาบ่นให้ฟังตอนนี้ทำไม ก็อยากช่วยปกป้องคนทำผิดเอง
        
ตอนที่ผมจะสอบวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกที่อังกฤษนั้น จำเป็นต้องพิมพ์เข้าเล่มให้เรียบร้อย คือเข้าเล่มปกแข็งสีน้ำเงิน ตัวหนังสือสีทอง ส่งให้กรรมการสอบ ๒ ท่านอ่าน เมื่อท่านเหล่านั้นอ่านจบแล้วก็จะนัดวันสอบ จำนวนเล่มที่ทำก็จะอยู่ประมาณ ๕ เล่ม คือให้กรรมการสอบ ๒ ท่าน ให้กับทางมหาวิทยาลัย ให้กับอาจารย์ที่ปรึกษา และเก็บเอาไว้เอง กติกาของการเขียนที่เป็นที่รู้กันก็คือ ต้องให้กรรมการสอบยอมรับในสิ่งที่เราเขียนโดยไม่ต้องมีการแก้ไข เพราะถ้าแก้ไขเมื่อใดก็ต้องส่งให้ร้านหนังสือตัดหน้าเก่าออกแล้วแทรกหน้าใหม่ ซึ่งจะทำแบบนี้ได้ถ้าหากต้องแก้ไขเพียงไม่กี่หน้า เพราะถ้ามีมากกว่านั้นก็ต้องรื้อเล่มเก่าออก และทำปกใหม่ทั้งเล่ม
             
ดังนั้นในการเขียนวิทยานิพนธ์จึงต้องทำการตรวจซ้ำแล้วซ้ำอีกหลายรอบ ไม่ว่าจะเป็นรูปเล่ม (เช่นรูปแบบรูปภาพ การจัดหน้ากระดาษ ดัชนี ฯลฯ) การสะกดคำและไวยากรณ์ เรียกว่าตอนนั้นถอยกลับไปยังพื้นฐานใหม่หมด ต้องตรวจแต่ละประโยคที่เขียนว่า ประธาน กิริยา และกรรม นั้นมีครบไหม และรูปแบบของคำกิริยานั้นสอดคล้องกับประธาน (คือประธานเป็น เอกพจน์ พหูพจน์ บุคคลที่หนึ่ง บุคคลที่สอง หรือบุคคลที่สาม) แต่ถึงตรวจกันขนาดนี้พอตอนสอบจริงกรรมการสอบก็ยังพบจุดที่พิมพ์ผิดอีก
              
พอกลับมาสอนปริญญาโท ในฐานะที่เป็นทั้งอาจารย์ที่ปรึกษาและอาจารย์ที่ปรึกษาร่วมก็ต้องตรวจความเรียบร้อยของเล่มวิทยานิพนธ์ของนิสิตก่อนส่งให้กรรมการสอบอ่าน จากงานนี้พบว่านิสิตจำนวนไม่น้อยคิดว่าวิทยานิพนธ์นั้นสักแต่ว่าให้มีปึกกระดาษส่งให้กรรมการอ่านก่อน เพราะยังไงกรรมการสอบต้องส่งมาให้แก้อยู่ดี คือกะใช้กรรมการสอบเป็นคนตรวจหาความไม่เรียบร้อย บางรายเขียนมาแบบชุ่ยมาก อ่านไม่รู้เรื่อง ตอนตรวจเล่มก็ทำได้แค่เขียนด้วยปากกาหมึกแดงไว้ที่แผ่นแรกว่า "อ่านไม่รู้เรื่อง ให้ไปเขียนมาใหม่" จะใช้เวลาในการเปลี่ยนความคิดของพวกเขาว่า ต้องกะให้เขารับในสิ่งที่เราส่ง คือต้องสิ้นสุดที่เล่มที่เราส่งโดยไม่ต้องมีการแก้ไขเพิ่มเติมหลังสอบ
  
ช่วงเวลานั้นก็มีโปรแกรม word processor ใช้กันแล้ว เป็นยุคของ Windows 3.0 และ Mircosoft word 2.0 ที่มันทำได้ทั้งการจัดหน้ากระดาษและตรวจคำผิด มีอยู่รายหนึ่งมีที่พิมพ์ผิดเต็มไปหมด จนตอนที่ผมส่งเล่มให้เขากลับไปแก้นั้นผมก็ถามเขาว่าทำไมไม่ให้โปรแกรมตรวจหาคำผิดก่อน แล้วแก้ไขก่อนพิมพ์มาให้ตรวจ เขาก็ตอบกลับมาว่า "มันเสียเวลา" ของเขา ผมก็เลยถามกลับไปว่า "แล้วเวลาของผมล่ะ คุณคิดว่ามันไม่มีค่าหรือ"
   
เวลาตรวจเจอที่ผิดแบบเดิม ๆ นั้น ก็จะเขียนเพียงแค่ว่าให้ไปแก้มา และตรวจแก้ทุกจุดด้วย คือผมเองจะไม่ตรวจแก้ที่ผิดซ้ำ ๆ ทุกจุด แต่ก็มีเหมือนกันที่จะแก้ตรงเฉพาะจุดที่กรรมการสอบทำเครื่องหมายเอาไว้เท่านั้น ถ้ามีที่ผิดเหมือนกัน ๑๐ ที่ แต่กรรมการสอบทำเครื่องหมายไว้ที่เดียว โดยบอกว่าให้ไปตรวจแก้ที่อื่นเอง เขาก็จะแก้เฉพาะตรงที่กรรมการสอบทำเครื่องหมายเท่านั้น
            
มีอยู่รายหนึ่งทำพฤติกรรมแบบนี้ตลอด ขนาดสอบผ่านแล้วเหลือแต่แก้เล่ม ก็ยังไม่ยอมแก้ ผมตรวจเห็นก็ยังไม่ยอมลงชื่อในเอกสารฉบับสุดท้ายให้ ส่งให้กลับไปแก้มาใหม่ เขาก็ทำแบบนี้อีก คือแก้เฉพาะตรงที่ทำเครื่องหมาย ตรงอื่นที่ผิดนั้นไม่ยอมตรวจแก้ ยื้อกันจนถึงวันสุดท้ายที่ต้องส่งเล่มฉบับสมบูรณ์ ไม่เช่นนั้นการสอบที่ผ่านมาก็เป็นโมษะ เขาก็มาหาผมที่ห้องทำงานกับเพื่อนอีกคนหนึ่งเพื่อให้ผมลงชื่อในเอกสารส่งเล่มวิทยานิพนธ์ ผมรับเล่มของเขามาตรวจก็พบว่ายังมีที่ผิดที่ไม่ยอมแก้ไขอีก เขาก็ตอบผมว่าขอให้ช่วยอาจารย์เซ็นให้หน่อยเพื่อให้เขาสามารถส่งเอกสารได้ก่อน แล้วเขาจะแก้ไขเล่มให้เสร็จ ผมก็ยอมลงลายมือชื่อในเอกสารฉบับนั้นให้เขา พอเขาได้รับเอกสารฉบับนั้นกลับไปถือในมือ เขาก็พูดกับผมต่อหน้าเพื่อนอีกคนหนึ่งที่มาด้วยกันว่า

"แล้วอาจารย์คิดหรือว่า จะกลับมาให้เห็นหน้าอีก"

เพื่อนเขาก็ตกใจที่ได้ยินประโยคนั้น ส่วนผมก็นิ่งเฉยไม่ได้ว่าอะไร แล้วเขาก็ขอตัวไปส่งเอกสาร

รายนี้เขาไปได้งานเป็นอาจารย์ที่สถาบันแห่งหนึ่ง พอทำงานได้พักหนึ่งทางสถาบันอนุญาตให้ลาเรียนต่อปริญญาเอกในประเทศได้ (มันเป็นช่วงหลังวิกฤตการเงินปี ๒๕๔๐ ไม่นาน) เขาก็ทำเรื่องจะมาสมัครเรียนที่แลปที่ผมทำงานอยู่อีก ผมมารู้ตอนที่มีการประชุมอาจารย์ประจำแลป มีการถามว่ามีใครสนใจรับศิษย์เก่าหรือไม่ ผมก็ถามว่าแน่ใจหรือว่าเขาจะมา เพราะเขาเคยพูดประโยคข้างต้นกับผมเอาไว้ แต่สุดท้ายเขาก็ได้ไปเรียนที่อื่น

เรื่องนี้มันเกิดเมื่อกว่า ๒๐ ปีที่แล้ว :) :) :)

ไม่มีความคิดเห็น: