"การรั่วของน้ำมันเบนซิน
(gasoline)
กับน้ำมันเตา (fuel
oil) อันไหนอันตรายกว่ากัน"
คำถามข้างบนผมถามเป็นประจำกับนิสิตที่เรียนวิชาเกี่ยวกับความปลอดภัย
และคำตอบที่ได้ก็แตกต่างกัน
ขึ้นอยู่กับว่าผู้ตอบนั้นมีประสบการณ์อย่างไร
เวลาที่มีการพูดถึงอันตรายจากเพลิงไหม้ที่เกิดจากการรั่วไหลของเชื้อเพลิง
คนส่วนใหญ่ (หรือเกือบทั้งหมด)
มักจะดูค่าอุณหภูมิจุดวาบไฟ
(flash point)
ซึ่งเป็นอุณหภูมิต่ำสุดที่ทำให้เชื้อเพลิงนั้นสามารถระเหยกลายเป็นไอในปริมาณที่มากพอที่เมื่อผสมกับอากาศแล้วจะสามารถลุกติดไฟได้
โดยมักจะมองว่าสารยิ่งมีอุณหภูมิจุดวาบไฟที่ต่ำ
ก็ยิ่งมีอันตรายจากเพลิงไหม้สูงเมื่อเกิดการรั่วไหล
แต่ในทางปฏิบัติเช่นในโรงงานอุตสาหกรรมที่เชื้อเพลิงเหล่านั้นมีอุณหภูมิสูง
หรือมีพื้นผิวที่มีอุณหภูมิสูงอยู่ในบริเวณใกล้
ๆ (เช่นท่อไอน้ำ)
เชื้อเพลิงที่มีอุณหภูมิจุดวาบไฟที่สูง
กลับเกิดการลุกไหม้ได้ง่ายเพียงแค่มันรั่วไหลออกมาสัมผัสกับอากาศหรือพื้นผิวที่ร้อนเหล่านั้น
ทั้งนี้เป็นเพราะมันมีค่าอุณหภูมิจุดลุกติดไฟได้ด้วยตนเองหรือ
auto-ignition
temperature ที่ต่ำ
ดังนั้นแม้ว่าเชื้อเพลิงที่รั่วออกมานั้นจะเป็นของเหลวและมีอุณหภูมิที่ต่ำกว่าจุดวาบไฟของมัน
แต่เมื่อพบกับพื้นผิวที่มีอุณหภูมิสูงกว่าอุณหภูมิจุดลุกติดไฟได้ด้วยตนเองมันก็จะลุกติดไฟได้
และถ้ามันมีอุณหภูมิสูงกว่าอุณหภูมิจุดลุกติดไฟได้ด้วยตนเอง
มันก็จะลุกติดไฟทันทีเมื่อสัมผัสกับอากาศภายนอก
รูปที่ ๑
ระบบเก็บตัวอย่างที่เกิดเหตุ
น้ำมันเบนซินเป็นเชื้อเพลิงที่มีค่าอุณหภูมิจุดวาบไฟที่ต่ำกว่าน้ำมันดีเซลและน้ำมันเตา
ในขณะที่น้ำมันดีเซลและน้ำมันเตามีค่าอุณหภูมิจุดลุกติดไฟได้ด้วยตนเองต่ำกว่าเบนซินมาก
โดยเฉพาะน้ำมันเตาที่ต้องให้ความร้อนให้มีอุณหภูมิสูงพอเพื่อให้มันมีสถานะเป็นของเหลวจะได้ส่งไปตามระบบท่อด้วยการใช้ปั๊มได้
ดังนั้นเวลาที่มันรั่วไหลออกมาก็มักจะเกิดไฟลุกไหม้ทันที
ซึ่งแตกต่างจากพวกที่มีอุณหภูมิจุดลุกติดไฟได้ด้วยตนเองสูง
(เช่นน้ำมันเบนซินและแก๊สหุงต้ม)
และเรื่องที่นำมาเล่าในวันนี้ก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดจากน้ำมันเตา
เรื่องที่นำมาเล่าในวันนี้นำมาจากบทความเรื่อง
"Fire of a fuel
oil fraction during sampling at a vacuum distillation unit"
(https://www.shippai.org/fkd/en/cfen/CC1200091.html)
เป็นเหตุการณ์เกิดที่เมือง
Mie
ประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่
๒๙ กุมภาพันธ์ ค.ศ.
๑๙๙๖ (พ.ศ.
๒๕๓๙)
โดยเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างการเก็บตัวอย่างน้ำมันเตาจากหอกลั่นสุญญากาศ
หมายเหตุ
:
การกลั่นน้ำมันดิบจะใช้หอกลั่น
๒ หอ โดยหอกลั่นหอแรกจะเป็นการกลั่นที่ความดันบรรยากาศ
การกลั่นครั้งแรกนี้จะแยกเอาน้ำมันเบาต่าง
ๆ ออกไปก่อน (คร่าว
ๆ คือพวกที่มีจุดเดือดระดับดีเซลและต่ำกว่า)
จากนั้นจึงเอาน้ำมันหนักส่วนที่เหลือที่เป็นพวกโมเลกุลขนาดใหญ่ไปกลั่นแยกในหอกลั่นที่สองที่เป็นการกลั่นภายใต้สุญญากาศ
(ในความเป็นจริงคือความดันต่ำกว่าความดันบรรยากาศปรกติ)
ก็เพื่อให้น้ำมันโมเลกุลใหญ่เหล่านี้ระเหยกลายเป็นไอได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องใช้อุณหภูมิที่สูง
การกลั่นครั้งที่สองนี้จะแยกเอาน้ำมันหนักออกเป็นส่วนต่าง
ๆ เช่น น้ำมันดีเซล น้ำมันหล่อลื่น
น้ำมันเตาเกรดต่าง ๆ และยางมะตอย
ระบบเก็บตัวอย่าง
(รูปที่
๑)
ประกอบด้วยท่อขนาด 3/4
นิ้วที่แยกออกมาจากท่อหลักขนาด
6 นิ้ว
น้ำมันเตาในท่อนั้นมีอุณหภูมิ
300ºC
(อุณหภูมิสูงกว่าอุณหภูมิจุดลุกติดไฟได้ด้วยตนเอง)
และจะกลายเป็นของแข็งเมื่อเย็นตัวลง
ดังนั้นจึงต้องให้ความร้อนแก่ท่อเก็บตัวอย่าง
(sample line)
ด้วยการพันท่อไอน้ำไปรอบ
ๆ (ท่อ
steam tracer)
มีวาล์วขนาด 3/4
นิ้ว 1
ตัว (1)
ปิดกั้นท่อเก็บตัวอย่างจากท่อหลัก
และมีวาล์ว 3/4
นิ้วอีก 1
ตัว (2)
ปิดกั้นระหว่างท่อเก็บตัวอย่างกับเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อน
(4 - Sample cooler)
น้ำมันจะไหลในท่อของเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อนลงสู่จุดรองรับตัวอย่างด้านล่างที่มีวาล์ว
3/4 นิ้วอยู่อีก
1 ตัว
(5)
โดยด้านนอกของท่อน้ำมันจะสามารถให้ไอน้ำ
(3.5 kg/cm2
steam อุณหภูมิประมาณ 148ºC)
หรือน้ำ (industrial
water) ไหลเข้ามาเพื่อให้ความร้อนหรือหล่อเย็น
(เพื่อให้น้ำมันเตาในท่อไหลได้โดยมีอุณหภูมิต่ำกว่าอุณหภูมิจุดลุกติดไฟได้ด้วยตนเอง)
นอกจากนี้ระหว่างวาล์ว
(1) และ
(2)
ยังมีท่อไอน้ำต่อเข้าไป
(5)
เพื่อใช้สำหรับไล่น้ำมันที่ค้างอยู่ในท่อเก็บตัวอย่าง
เพื่อไม่ให้น้ำมันที่ค้างอยู่นั้นแข็งตัวซึ่งจะทำให้ท่อเก็บตัวอย่างอุดตัน
ในวันที่เกิดเหตุนั้นโอเปอร์เรเตอร์เข้าไปเก็บตัวอย่างน้ำมันเตา
แต่เมื่อเปิดวาล์วพบว่ามีน้ำมันไหลออกมาเพียงเล็กน้อย
จึงได้ทำการเปิดวาล์วให้มากขึ้น
(บทความใช้คำว่าอย่างไม่ระมัดระวัง)
ทันใดนั้นน้ำมันก็พุ่งออกมาทันทีจนล้นอ่างรองรับน้ำมันและลุกติดไฟทันทีเนื่องจากอุณหภูมิน้ำมันสูงกว่าอุณหภูมิจุดลุกติดไฟได้ด้วยตนเอง
ประมาณว่าน้ำมันได้รั่วไหลออกมาประมาณ
200
ลิตรก่อนที่จะดับเพลิงได้
สาเหตุที่ทำให้ท่ออุดตันเป็นเพราะในการเก็บตัวอย่างก่อนหน้านั้นไม่ได้ทำการไล่
(purging)
น้ำมันที่ค้างอยู่ในท่อออกให้หมด
เมื่อเย็นตัวลงน้ำมันที่ค้างอยู่ก็เลยอุดตันท่อ
เมื่อเปิดให้น้ำมันใหม่เข้ามา
ความร้อนจากน้ำมันใหม่ก็ทำให้น้ำมันที่แข็งตัวอยู่ในท่อละลาย
ประกอบด้วยวาล์วเก็บตัวอย่างที่เปิดกว้างอยู่เลยทำให้น้ำมันพุ่งออกมาแรง
นอกจากนี้ในการเก็บตัวอย่างยังไม่ได้ใช้
Sample cooler
ในการลดอุณหภูมิน้ำมันให้ต่ำกว่าอุณหภูมิจุดลุกติดไฟได้ด้วยตนเองก่อน
จึงทำให้น้ำมันที่รั่วออกมานั้นลุกติดไฟทันที
อันที่จริงมีเหตุการณ์หลายกรณีที่ให้คำแนะนำว่า
วาล์วเก็บตัวอย่างควรเป็นชนิดที่ต้องใช้แรงในการเปิดวาล์วต้านแรงสปริง
(ที่เรียกว่า
spring loaded หรือ
deadman spring
return) ที่เมื่อปล่อยมือแรงสปริงจะทำให้วาล์วปิด
การรั่วไหลก็จะหยุด
เรื่องเล่าในวันนี้ก็จบเพียงเท่านี้