"พระยาอินทรมนตรีศรีจันทรกุมารเป็นคนอังกฤษ
เกิดที่เมืองปลิมัทในประเทศอังกฤษเมื่อวันที่
๒๓ สิงหาคม ค.ศ.
๑๘๖๙
นามเดิมว่า ฟรานซิส เฮนรี่ไจลส์
ในสกุลนายทหารเรือ
จะได้เล่าเรียนในชั้นเดิมอย่างไรบ้างไม่ทราบ
แต่พระยาอินทรมนตรีเคยพูดกับข้าพเจ้าเล่น
ๆ เสมอว่า
ไม่เคยได้เข้าโรงเรียนหรูหราอันใดก็ยังทำงานได้ถึงเพียงนี้
ขณะที่พูดเขาเป็นอธิบดีกรมสรรพกรและเป็นอธิบดีที่อยู่ในขั้นสูงและสามารถอย่างเยี่ยมผู้หนึ่ง"
ข้อความข้างต้นเป็นประวัติของพระยาอินทรมนตรี
ที่เขียนโดย พระวรวงศ์เธอ
พระองค์เจ้า ธานีนิวัต
กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร
ตีพิมพ์ในหนังสือ "รวบรวมบทความ
พระยาอินทรศรีจันทรกุมาร
(แอฟ.
เอช.
ไยลส์
จิลลานนท์)"
รูปที่
๑ เล่มซ้ายเป็นหนังสือ
"รวบรวมบทความ
พระยาอินทรศรีจันทรกุมาร
(แอฟ.
เอช.
ไยลส์
จิลลานนท์)"
กรมสรรพากรพิมพ์แจกในโอกาสกรมสรรพากรครบรอบ
๖๐ ปี วันที่ ๒ กันยายน พ.ศ.
๒๕๑๘
พิมพ์ที่โรงพิมพ์ห้างหุ้นส่วนจำกัด
สำนักพิมพ์สมพงษ์ ๑๔/๘
ถนนกรุงเทพ-นนทบุรี
กรุงเทพ ฯ ๘ นายสมพงษ์ ชัยเจริญ
ผู้พิมพ์โฆษณา ๒๕๑๘ โทร.
๘๕๑๘๓๖
ส่วนเล่มขวาเป็นหนังสือในชุดภูตผีปิศาจไทย
ตอน "วิญญาณที่เร่ร่อน"
โดย
เหม เวชกร ฉบับนี้เป็นฉบับพิมพ์ครั้งที่
๓ เมษายน ๒๕๔๕ โดยสำนักพิมพ์วิริยะ
หนังสือเล่มนี้พิมพ์ครั้งแรก
พ.ศ.
๒๕๐๙
โดยสำนักพิมพ์บรรณาคาร
พระยาอินทรมนตรีเป็นอธิบดีกรมสรรพากรคนแรก
โดยดำรงตำแหน่งในช่วงปีพ.ศ.
๒๔๔๐
-
พ.ศ.
๒๔๗๒
และยังได้เป็นนายกของสยามสมาคม
ได้เขียนบทความลงพิมพ์ในวารสารสยามสมาคมไว้หลายเรื่อง
และเรื่อง "About
a love philtre" ที่
อาจารย์สัญฉวี สายบัว
แปลเป็นไทยว่า "น้ำมันพราย"
ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสารสยามสมาคม
เล่มที่ ๓๐ ตอนที่ ๑ เดือนสิงหาคม
ค.ศ.
๑๙๓๗
(พ.ศ.
๒๔๘๐)
ถ้านับถึงปัจจุบันก็ผ่านมาแล้ว
๗๘ ปี
รายละเอียดเกี่ยวกับการทำน้ำมันพรายนั้นพระยาอินทรมนตรีได้เขียนไว้เป็นภาษาอังกฤษ
และแปลเป็นไทยอาจารย์ สัญฉวี
สายบัว
ท่านได้ให้รายละเอียดที่แตกต่างไปจากที่เห็นมีปรากฏในอินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน
แต่ก็ไม่ได้บอกว่าท่านได้รับทราบข้อมูลดังกล่าวมาจากแหล่งใดและได้ยินมาเมื่อใด
แต่ถ้าดูจากช่วงเวลาตั้งแต่ที่ท่านเข้ามาทำงานในประเทศไทย
(ช่วงรัชกาลที่
๕)
ก็แสดงว่าสิ่งที่ท่านได้รับทราบมานั้นและนำมาเขียนบันทึกเอาไว้ก็เป็นเรื่องเก่าที่น่าสนใจมากเรื่องหนึ่ง
ในยุคสมัยที่ความเชื่อดังกล่าวเป็นเรื่องปรกติในสังคมไทย
วิธีการทำมีรายละเอียดอย่างไรบ้าง
เชิญอ่านเอาเองในรูปภาพที่สแกนมาให้ดู
(ทั้งต้นฉบับที่เป็นภาษาอังกฤษ
และฉบับแปลเป็นไทย
ที่ผมตัดสินใจนำมาสแกนทั้งบทเพราะเห็นว่าเรื่องดังกล่าวนั้นไม่ได้มีแพร่หลายทั่วไป
และมีการจัดพิมพ์ในหนังสือที่คงจะไม่มีใครตีพิมพ์ซ้ำอีก)
"ครูเหมเขียนเรื่องผีเรื่องแรก
ชื่อเรื่อง "ผี!"
ตีพิมพ์ในหนังสือ
เพลินจิตต์
รายเดือน เล่ม ๑ ออกวันที่
๕ กรกฎาคม พ.ศ.
๒๔๗๖
และคงจะได้รับความนิยม
จึงเขียนต่อเนื่องเรื่อยมาตามวิสัยผู้ทำงานด้านนี้
ที่ไม่มีใครปฏิเสธความต้องการของผู้อ่านได้ลงคอ
ต่อมา
เมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม พ.ศ.
๒๔๗๘
เรื่อง "ผี!"
ที่ว่านั้นจึงเป็นหนึ่งในสิบ
"รวมเรื่องผีขนาดสั้นของ
เหม ทั้งเก่า-ใหม่"
ในรูปเล่มขนาดพ็อกเกตบุ๊ก
(๑๖
หน้ายกเล็ก)
ชื่อหนังสือ
ผี !!
คณะเพลินจิตต์จัดพิมพ์
หนา ๒๓๒ หน้า ราคา ๒๐ สตางค์"
ข้อความในเครื่องหมายคำพูดข้างบนคือข้อความขึ้นต้นคำนิยมเขียนโดย
จุลศักดิ์ อมรเวช (จุก
เบี้ยวสกุล)ในหน้าคำนิยมของหนังสือชุด
"ภูตผีปิศาจไทย"
วันนี้ก็เป็นวันที่
๓ สิงหาคมเช่นกัน แต่เป็นปีพ.ศ.
๒๕๕๘
ก็เรียกว่าหนังสือเรื่องรายเกี่ยวกับผีของ
เหม เวชกร
นับจากที่มีการพิมพ์รวบเล่มเป็นครั้งแรกมาจนถึงวันนี้ก็ครบรอบ
๘๐ ปีพอดี
เสน่ห์อย่างหนึ่งของนิยามเรื่องผีของ
เหม เวชกุล คือการบรรยายสภาพบ้านเมือง
ความเป็นอยู่ของคนไทย
การใช้ชีวิต และอะไรต่อมิอะไรอีกหลายอย่าง
ที่เขียนจากประสบการณ์ที่ท่านได้ไปกินอยู่หลับนอน
สัมผัสสภาพชีวิตและกลิ่นอายของท้องถิ่นยุคนั้น
เรียกว่าแม้เนื้อเรื่องจะมีแค่ตัวหนังสือ
แต่ก็มองเห็นภาพได้ชัดเจน
(ผมว่าเสน่ห์ของการอ่านตัวอักษรมันอยู่ตรงนี้ครับ
คือมันไม่ได้บังคับให้เราต้องจินตนาการถึงภาพฉากเดิม
ๆ ในแต่ละครั้งที่เราอ่านเรื่องนั้น)
และวิธีการทำน้ำมันพรายนั้น
เหม เวชกรก็ได้สอดใส่ไว้ในนิยายเรื่อง
"น้ำมันผีพราย"
อันที่จริงผมเคยเกริ่นว่าจะเขียนเรื่องการทำน้ำมันพรายเอาไว้ใน
Memoir
ปีที่
๖ ฉบับที่ ๗๒๔ วันเสาร์ที่
๔ มกราคม ๒๕๕๗ เรื่อง "ปลุกผี"
แต่เอาเข้าจริง
ๆ กว่าจะได้ลงมือเขียนก็เลยเวลามากว่าปีครึ่ง
กล่าวโดยสรุปคือ
เหม เวชกร เล่าถึงวิธีทำน้ำมันพรายเอาไว้ว่า
สัปเหร่อจะไปแอบขุดผีตามหลุม
ตัดหัวผีมาเอาไต้ลนคางผี
น้ำมันในสมองจะไหลลงมาใส่ในที่รอง
ถ้าเป็นน้ำมันผีพรายเพื่อเอามาทำเสน่ห์จะต้องใช้ผีตายโหง
จากนั้นก็เอาน้ำมันไปเข้าพิธีผสมเครื่องหอม
เช่นน้ำมันจันทน์
คือถ้าน้ำมันจันทน์หนึ่งถ้วยชา
ก็เอาน้ำมันพรายนี้ผสมลงไปสักสองสามหยดเท่านั้น
ถ้ามากนักกลิ่นเหม็นจะเกิดขึ้น
และน้ำมันมันพรายยังแบ่งออกเป็นสองอย่าง
คือชนิดหนึ่งใช้ทำเสน่ห์
ใช้น้ำมันจันทน์มากและเข้าพิธีคาถาอาคมไสยศาสตร์ครบครัน
อีกอย่างหนึ่งใช้ทำให้บ้า
ใช้น้ำเหลืองผีมาก ใช้น้ำมันหอมน้อย
และไม่ได้ลงเลขยันต์อะไรเลย
ส่วนรายละเอียดและเนื้อเรื่องทั้งหมดมีอะไรบ้างนั้น
ก็ขอเชิญไปหาอ่านกันเอาเองก็แล้วกัน
(หนังสือก็ยังพอหาซื้อได้อยู่ในงานสัปดาห์หนังสือ)
ว่าแต่ว่าเคยสังเกตไหมครับ
ว่าในเรื่องผีเก่า ๆ ของไทย
(เช่นแม่นาคพระโขนง)
พอใครตายแล้วหลังสวดเสร็จก็จะเอาศพไปฝัง
เก็บไว้ในโกดังเก็บศพ
หรือไม่ก็เก็บคาบ้านเอาไว้ก่อน
เมื่อได้เวลา (ซึ่งมักจะหลังตายไปนานแล้ว)
จึงค่อยนำมาเผา
แต่ในปัจจุบันแทบจะไม่มีการทำเช่นนั้นแล้ว
หลังเสียชีวิตพอสวดศพกันได้
๓ วันหรือ ๗ วันก็มักจะเผากันเลย
ผมเองก็เคยคิดเรื่องนี้
คิดว่าสาเหตุหนึ่งน่าจะเป็นเพราะสมัยก่อนนั้นวัด
(หรือถ้าย้อนหลังไปอีกก็คงเรียกว่าทุกวัด)
ยังไม่มีความพร้อมเรื่องเมรุเผาศพเหมือนในปัจจุบัน
จะเผาศพแต่ละทีก็ต้องสร้างเมรุขึ้นที
ที่นี้ศพที่ตายไม่นานนัก
ร่างกายยังไม่ย่อยสลาย
จะเผาได้ยาก โดยเฉพาะศพสด
ดังนั้นจะเป็นการง่ายกว่าถ้าปล่อยทิ้งให้ร่างกายย่อยสลายไปมากแล้วจนเหลือแต่กระดูกเป็นส่วนใหญ่
แล้วจึงค่อยนำเอากระดูกมาเผา
แต่ในปัจจุบันการเผาศพกระทำกันในเตาเผาแบบปิด
ใช้น้ำมันหรือแก๊สเป็นเชื้อเพลิง
การเผาศพทำได้รวดเร็ว
และอาจรวมทั้งสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป
จึงทำให้ความนิยมที่จะเก็บศพเอาไว้แล้วค่อยมาทำพิธีเผาภายหลังนั้นลดน้อยไป
เว้นแต่จะมีเหตุจำเป็นบางประการ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น