ในทางโลหะวิทยา
การทำ "Surface
etching" มีวัตถุประสงค์ด้วยกันหลากหลาย
เช่นเวลาที่ต้องการส่องดู
grains หรือ
microstructure
ของเนื้อเหล็กก็ต้องทำการกำจัดชั้นฟิล์มออกไซด์ที่ผิวบนออกไปก่อนด้วยการใช้สารเคมีที่เหมาะสมละลายชั้นฟิล์มออกไซด์ที่ผิวบนออกไป
ชนิดของสารเคมีที่ใช้ขึ้นอยู่กับชนิดโลหะ
สารเคมีตัวหนึ่งที่ใช้กันในการ
etching ผิวเหล็กคือ
"Nital"
ที่เป็นสารผสมระหว่างกรดไนตริกเข้มข้น
(Nitric acid HNO3)
กับเอทานอล (Ethanol
C2H5OH) หรือเมทานอล
(Methanol CH3OH)
โดยเอทานอลจะเป็นตัวที่นิยมใช้มากกว่าเพราะมีความเป็นพิษต่ำกว่า
แต่ห้ามผสมไอโซโพรพานอล
(Isopropanol
H3C-CH(OH)-CH3)
กับกรดไนตริกเข้มข้น
หมู่
-OH
สามารถทำปฏิกิริยา
esterification
กับกรดไนตริกกลายเป็นหมู่
-ONO2
(เรียกปฏิกิริยานี้ว่า
Nitration)
โดยผลิตภัณฑ์ที่ได้จะมีความไวไฟสูงขึ้นและอาจระเบิดได้ง่ายขึ้น
การเตรียม
Nital
นั้นต้องเตรียมด้วยความระมัดระวัง
และไม่ควรเตรียมสารละลายที่มีความเข้มข้นของกรดไนตริกเข้มข้นสูงเกินกว่า
5 %wt วิธีการเตรียม
Nital
ข้างล่างคัดมาจากคู่มือปฏิบัติการของภาควิชาแห่งหนึ่ง
โดยคัดมาเพียงบางส่วน
เพื่อให้เห็นภาพเท่านั้น
1.
เตรียมภาชนะใส่น้ำ
โดยปริมาตรน้ำควรมากกว่าปริมาตรสารละลายที่เติมอย่างน้อย
2 เท่า
และภาชนะดังกล่าวต้องมีที่ว่างเหลือพอสำหรับเติมสารละลายลง
(จะใช้เมื่อจำเป็น)
2.
ตวงเอทานอล (ความบริสุทธ์สูง)
ปริมาตรที่ต้องการลงในบีกเกอร์ที่แห้งและสะอาด
3.
ตวงกรดไนตริกเข้มข้น
(67-70 %wt)
ในปริมาตรที่ต้องการในกระบอกตวง
(ที่เมื่อผสมกับเอทานอลแล้วความเข้มข้นกรดไม่ควรจะสูงเกินกว่า
5 %wt)
ห้ามเทเอทานอลลงในกรด
4.
ค่อย ๆ เทกรดไนตริกจากกระบอกตวง
"อย่างช้ามาก"
ลงในเอทานอล
พร้อมทั้งทำการกวนอย่างสม่ำเสมอตลอดเวลา
ถ้าเห็นสารละลายมีสีน้ำตาลหรือเกิดไอแก๊สสีน้ำตาล
ให้ทำการหยุดการเติมกรดทันที
ถ้าคิดว่าปลอดภัยพอก็ให้เทสารละลายที่เตรียมลงในภาชนะใส่น้ำที่เตรียมไว้
เพื่อลดความร้อนและอัตราการเกิดปฏิกิริยา
แต่ถ้าพบว่าเกิดแก๊สอย่างรุนแรง
ให้ถอยห่างออกมา
(หมายเหตุ
:
ความหนาแน่นของกรดไนตริกเข้มข้นอยู่ที่ประมาณ
1.4 g/ml
ส่วนของเอทานอลอยู่ที่ประมาณ
0.79 g/ml
ดังนั้นกรดไนตริก
5 %vol ในเอทานอล
จะมีความเข้มข้นกรดไนตริกประมาณ
9 %wt)
รูปที่ ๑
เอกสารที่นำมาเป็นต้นเรื่องของบทความในวันนี้
เรื่องที่นำมาเล่าในวันนี้นำมาจากเอกสารทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดในปีค.ศ.
๑๙๙๗ (พ.ศ.
๒๕๔๐)
หลังเหตุการณ์ดังกล่าวผ่านไปแล้ว
๑๕ ปี (แต่บทความออกในปีค.ศ.
๒๐๑๔ หรือพ.ศ.
๒๕๕๗ นะ)
เพื่อดูว่ามีการเผยแพร่สาเหตุของการระเบิดออกไปแพร่หลายมาเท่าใด
เพื่อที่จะได้ไม่มีคนทำผิดพลาดซ้ำเดิมอีก
(รูปที่
๑)
รูปที่ ๒
แผนผังห้องที่เกิดเหตุ P3
คือถังเก็บสารทำความสะอาดที่เป็นสารผสมระหว่างกรดฟอสฟอริก
(Phosphoric acid
H3PO4) กับไอโซโพรพานอลที่เกิดการระเบิด
ดังอักษรต่าง ๆ
เป็นตำแหน่งความเสียหายที่เกิด
มีทั้งเศษชิ้นส่วนปลิวออกไปในแนวตรง
(เส้นประสีแดง)
และที่ปลิวไปกระทบผนังและสะท้อนกลับ
(เส้นประสีฟ้า)
ตามแผนผัง ห้องกว้างประมาณ
15 เมตรและยาวประมาณ
20 เมตร
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่โรงงานผลิตเบียร์แห่งหนึ่งในประเทศเนเธอร์แลนด์เมื่อวันที่
๒๘ พฤศจิกายนปึค.ศ.
๑๙๙๗
โดยในโรงงานนี้มีการใช้สารเคมีทำความสะอาดหลักอยู่
2 ตัว
ตัวแรกคือกรดไนตริกที่ใช้สำหรับทำความสะอาดคราบของแข็งเช่นพวกตะกรันที่เกาะอยู่ตามภาชนะและในระบบท่อ
(คือใช้สะลายคราบตะกรันที่เกาะอยู่บนผนัง)
สาเหตุที่ใช้กรดไนตริกก็เพราะมันไม่กัดกร่อนเหล็กกล้าไร้สนิม
(ที่เราเรียกว่าสแตนเลสสตีล)
และราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับกรดฟอสฟอริก
(เหล็กกล้าไร้สนิมเป็นวัสดุหลักที่ใช้ในการขึ้นรูปอุปกรณ์ต่าง
ๆ ในอุตสาหกรรมการผลิตอาหาร
เพราะมันไม่เกิดสนิมปนเปื้อนในผลิตภัณฑ์)
สารเคมีตัวที่สองมีชื่อเรียกว่า
P3
สารนี้มีองค์ประกอบหลักเป็นกรดฟอสฟอริกโดยมีไอโซโพรพานอลเป็นส่วนผสมอยู่ประมาณ
5-15 % (รูปที่
๓)
ถังเก็บกรดไนตริกและถังเก็บ
P3
นั้นตั้งอยู่เคียงข้างกัน
(รูปที่
๒)
ถังทั้งสองมีลักษณะที่เหมือนกันโดยทำจากเหล็กกล้าไร้สนิมหนาประมาณ
5 mm
และมีความจุประมาณ 1.7
m3 ในแง่ของผู้ปฏิบัติงานจะมองสารเคมีทั้งสองเป็นเพียงแค่
"กรด"
ในห้องดังกล่าวนอกจากจะมีถัง
"กรด"
สองถังนี้แล้วยังมีถังอื่น
ๆ อีก โดยแต่ละถังจะมีท่อต่อออกมายัง
"nozzle wall
panel" ที่อยู่ทางด้านนอกของอาคาร
จุดนี้เป็นจุดสำหรับต่อสายยางและปั๊มเพื่อถ่ายของเหลวจากภาชนะเก็บ
(สารเคมีมีการสำรองเก็บไว้ในอีกที่แห่งหนึ่ง)
เข้าไปเติมถังเก็บในอาคาร
รูปที่ ๓
องค์ประกอบของสารเคมีทำความสะอาด
P3
ที่มีกรดฟอสฟอริกเป็นตัวหลัก
เมื่อสารเคมีในถังเก็บในอาคารเก็บมีระดับลดต่ำลง
โอเปอร์เรเตอร์ก็จะนำถังสารเคมีที่จะเติมมายัง
nozzle wall panel
นี้
ใช้จุ่มท่อด้านขาเข้าปั๊มส่งลงในถังสารเคมีที่จะเติม
และต่อสายยางด้านขาออกของปั๊มเข้ากับหัวต่อ
(ที่เรียกว่า
nozzle
ที่มีรูปแบบหลายรูปแบบ
เช่นอาจเป็นข้อต่อแบบสวมเร็ว
(quick couple)
หรือเป็นหน้าแปลน ฯลฯ
ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดสารเคมีและกระบวนการผลิต)
จากนั้นก็จะทำการเดินเครื่องปั๊มเพื่อถ่ายสารเคมีจากถังเติมไปยังถังเก็บในอาคาร
ในกรณีของกรดไนตริกและสารทำความสะอาด
P3 นั้น
ใช้ปั๊มลำเลียงตัวเดียวกันและใช้รูปแบบข้อต่อด้านขาออกที่เหมือนกัน
ในวันที่เกิดเหตุนั้น
ระดับกรดไนตริกในถังเก็บใกล้จะหมดถัง
ในขณะที่ระดับของสารละลายในถัง
P3 ใกล้จะเต็ม
โอเปอร์เรเตอร์จึงนำเอาภาชนะเก็บกรดไนตริกจากโกดังเก็บมายัง
nozzle wall panel
ในขณะนั้นตัวปั๊มสูบกรดถูกติดตั้งอยู่ที่หัวต่อที่
nozzle wall panel
อยู่ก่อนแล้ว
โอเปอร์เรเตอร์จึงทำเพียงแค่จุ่มท่อดูดด้านขาเข้าปั๊มลงไปในภาชนะเก็บกรดไนตริก
แล้วเริ่มเดินเครื่องปั๊ม
เนื่องจากหัวต่อสำหรับกรดไนตริกและสารทำความสะอาด
P3 เป็นแบบเดียวกัน
โอเปอร์เรเตอร์จึงไม่ได้สังเกตว่าตัวปั๊มนั้นต่ออยู่กับท่อต่อไปยังถังเก็บสารทำความสะอาด
P3
ไม่ใช่ท่อสำหรับส่งสารไปยังถังเก็บกรดไนตริก
การระเบิดเกิดขึ้นหลังเริ่มเดินเครื่องปั๊มไปได้ประมาณ
๑๐-๑๕
นาที ประมาณว่ามีการปั๊มกรดไนตริกประมาณ
100-250
ลิตรส่งไปยังถังบรรจุสารทำความสะอาด
P3
โดยก่อนที่จะเกิดการระเบิดเล็กน้อย
โอเปอร์เรเตอร์รายหนึ่งเดินผ่านบริเวณดังกล่าวในระยะใกล้
แต่ไม่สังเกตุเห็นสิ่งผิดปรกติใดเกิดขึ้น
(ข้อมูลตรงนี้มีความสำคัญในการพิจารณาว่าการระเบิดนั้นเกิดจากสาเหตุใด)
หลังการระเบิดได้เกิดกลุ่มหมอกควันสีเหลืองแดงพวยพุ่งออกมาจากอาคารที่เกิดระเบิด
ในบทความกล่าวว่าเป็นแก๊สนั้นคือ
nitrous oxideหรือ
N2O
แต่แก๊สตัวนี้เป็นแก๊สไม่มีสี
ตัวที่น่าจะใช่มากกว่าน่าจะเป็นแก๊ส
nitrogen dioxide
หรือ NO2
เพราะแก๊สตัวนี้มีสีเหลืองแดงหรือน้ำตาลแดง
ซึ่งขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ
โดยที่อุณหภูมิต่ำจะรวมตัวเป็นแก๊สไดไนโตรเจนเททรอกไซด์
(dinitrogen
tetroxide (N2O4)
ที่ไม่มีสี
แต่เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นจะเป็น
NO2ที่มีสีเหลืองแดงหรือน้ำตาลแดง
(รูปที่
๔)
และแก๊สนี้เป็นแก๊สที่เมื่อละลายน้ำแล้วจะได้กรดไนตริก
(NO2
+ H2O
---> HNO3)
รูปที่ ๔
ที่อุณหภูมิต่ำ แก๊ส nitrogen
dioxide (NO2) สองโมเลกุลจะรวมตัวกันเป็น
dinitrogen tetroxide
(N2O4) ที่เป็นแก๊สที่ไม่มีสี
(ภาพจาก
https://en.wikipedia.org/wiki/Nitrogen_dioxide)
ปฏิกิริยาระหว่างหมู่
-OH
ของแอลกอฮอล์กับกรดไนตริกเป็นปฏิกิริยาที่คายความร้อนมาก
ความร้อนที่ปฏิกิริยาคายออกมานั้นถ้าระบายไม่ทันก็จะทำให้กรดไนตริกร้อนจนสลายตัวได้
การสลายตัวของกรดไนตริกจะเกิดแก๊ส
NO2
ที่มีสีเหลืองแดงหรือน้ำตาลแดง
ถ้าหากเกิดแก๊สนี้ปริมาณมากในภาชนะและระบายออกไม่ทัน
ก็จะทำให้ภาชนะระเบิดได้
แต่ในเหตุการณ์นี้ก่อนการระเบิดเพียงเล็กน้อย
โอเปอร์เรเตอร์ที่เดินผ่านบริเวณดังกล่าวไม่สังเหตุเห็นเหตุการณ์ผิดปรกติใด
ๆ จึงสรุปว่าการระเบิดไม่ได้เกิดจากการสะสมของแก๊ส
NO2
ในถังเก็บสาระลายทำความสะอาด
P3
ถังเก็บของเหลวที่มีจุดเดือดสูงจะมีช่องระบายอากาศที่ฝาด้านบนของถัง
ช่องระบายอากาศนี้มีไว้เพื่อให้อากาศภายนอกไหลเข้าไปภายในถังเมื่อมีการสูบของเหลวออกจากถัง
เพื่อปัองกันไม่ให้ความดันในถังต่ำจนโดยความกดอากาศข้างนอกบีบอัดจนถังบุบ
และให้อากาศในถังไหลออกเมื่อมีการปั๊มของเหลวเข้าไปในถัง
เพื่อป้องกันไม่ให้ความดันในถังสูงเกินไปจนทำให้ถังระเบิดออกได้
แต่โดยทั่วไปการออกแบบถังแบบนี้จะออกแบบให้รอยเชื่อมต่อระหว่างฝาถังกับส่วนลำตัวเป็นจุดอ่อน
ที่เมื่อถ้าความดันในถังสูงเกิด
ฝาถังจะปลิวออกก่อนที่ส่วนลำตัวจะเกิดความเสียหาย
แต่ในเหตุการณ์นี้ส่วนลำตัวเกิดความเสียหายแตกออกเป็นชิ้นส่วนหลายชิ้นกระจายออกไปไกล
จากขนาดของชิ้นส่วนน้ำหนักมากที่ปลิวไปได้ไกล
และแรงปะทะที่ขิ้นส่วนต่าง
ๆ กระทบเข้ากับผนังอาคารหรืออุปกรณ์อื่นที่อยู่ห่างออกไป
บ่งบอกว่าความดันในถังเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่ฝาถังจะเปิดออกทัน
รูปที่ ๕
ความเสียหายบริเวณตำแหน่งเครื่องกรอง
(อักษร
g ในรูปที่
๒)
อีกสาเหตุที่มีความเป็นไปได้คือการเกิดสารประกอบไอโซโพรพิลไนเทรต
(isopropyl nitrate
H3C-CH(ONO2)-CH3)
สารประกอบตัวนี้เตรียมได้จากปฏิกิริยาระหว่างกรดไนตริกกับไอโซโพรพานอล
ในบางเอกสารกล่าววาจำเป็นต้องมีการใช้กรดกำมะถันเข้มข้น
(H2SO4)
เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา
แต่บางเอกสารก็ไม่กล่าวถึงการใช้กรดกำมะถันในการเตรียม
(เช่นการเตรียม
Nital ตอนต้นเรื่อง
ก็ไม่ได้กล่าวถึงการใช้กรดกำมะถันเข้มข้นในการเตรียม)
ในเหตุการณ์นี้คาดว่ากรดไนตริกที่เติมเข้าไป
ทำปฏิกิริยากับไอโซโพรพานอลที่เป็นส่วนประกอบของสารทำความสะอาด
P2
และความร้อนที่คายออกมาจากปฏิกิริยานั้นเมื่อสูงมากพอก็ทำให้ไอโซโพรพิลไนเทรตระเบิด
การลดโอกาสที่จะต่อท่อผิดทำได้หลายวิธี
เช่นการทำป้าย,
ทำเครื่องหมาย และใช้สี
ที่มองเห็นได้ชัดเจน
การทำให้ไม่สามารถสลับสายยางต่อเข้าด้วยกันได้
เช่นการใช้ข้อต่อที่แตกต่างกัน
หรือการใช้ข้อต่อที่มีขนาดที่แตกต่างกัน
ซึ่งการใช้ข้อต่อที่แตกต่างกันนี้ในบางงานมันก็ทำงานได้ดี
เช่นการถอดชิ้นส่วนออกมาซ่อมบำรุงและประกอบกลับคืนหลังทำงานเสร็จ
รูปที่ ๖
ความเสียหายบริเวณตำแหน่ง
b ในรูปที่
๒ จะเห็นว่าชิ้นส่วนของถังนั้นฝังเข้าไปในผนังคอนกรีต
ตัวอย่างสำคัญตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นความเสียหายจากการประกอบท่อกลับคืนผิดน่าจะเป็นกรณี
โรงงาน HDPE
ระเบิดที่ เมือง Pasadena
มลรัฐ Texas
ประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่
๒๓ ตุลาคม ๒๕๓๒ (บทความบน
blog เรื่อง
"โรงงาน HDPE ระเบิดที่ Pasadena เมื่อ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๓๒"
วันอังคารที่ ๒๔ กันยายน
๒๕๕๖)
ที่เกิดจากการต่อท่ออากาศอัดความดันที่ใช้ควบคุมการเปิด-ปิดวาล์วผิด
(เพราะใช้ข้อต่อแบบเดียวกันและท่อมีขนาดเท่ากัน)
ทำให้เมื่อทำการสั่งปิดวาล์ว
วาล์วจะเปิด
และในทางกลับกันเมื่อทำการสั่งเปิดวาล์ว
วาล์วจะปิด
เหตุเกิดเมื่อโอเปอร์เรเตอร์ต้องทำงานซ่อมบำรุงที่ต้องมีการถอดท่อออก
โดยก่อนถอดท่อออกก็ได้มีการสั่ง
"ปิด"
วาล์ว
(ด้วยการใช้อากาศอัดความดันผลักดันกลไกควบคุมการเปิด-ปิด)
แต่ในความเป็นจริงคือวาล์วจะไปอยู่ในตำแหน่ง
"เปิด"
ผลของความผิดพลาดครั้งนั้นทำให้มีผู้เสียขีวิต
๒๓ รายและบาดเจ็บกว่าร้อยราย
บทเรียนหนึ่งที่ได้จากเหตุการณ์นี้คือถ้าหากออกแบบให้ท่ออากาศที่ควบคุมการเปิดและปิดวาล์วนั้นแตกต่างกัน
(เช่นใช้ท่อขนาดต่างกันหรือใช้ข้อต่อที่ไม่เหมือนกัน)
ก็จะสามารถปัองกันการต่อท่อผิดได้
ในกรณีของโรงงานนี้ใช้ปั๊มเพียงตัวเดียวในการสูบน้ำกรดจากถังเติมเพื่อไปเติมให้กับถังเก็บในอาคาร
การสูบน้ำกรดจากถังเติมใช้การจุ่มท่อด้านขาเข้าของปั๊มลงไปในถังเติม
ดังนั้นจะมีประเด็นเรื่องต่อท่อถูกต้อง
แต่หยิบถังน้ำกรดสำหรับเติมมาผิดถัง
เกิดขึ้นได้