แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ กระบอกตวง แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ กระบอกตวง แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2560

ตกค้างเพราะเปียกพื้นผิว MO Memoir : Thursday 9 March 2560

เรื่องน้ำเปียกผิวแก้วนี่เป็นเรื่องปรกติที่เชื่อว่าเป็นที่รู้กันทั่วไป เวลาที่เรารินน้ำจากแก้วใบหนึ่งใส่แก้วอีกใบหนึ่งจน "หมด" (คือไม่มีหยดน้ำไหลออกแล้ว) เราจะพบว่าแก้วที่รินน้ำออกนั้นจะมีน้ำบางส่วนเปียกพื้นผิวอยู่ ดังนั้นน้ำที่สามารถรินใส่แก้วอีกใบหนึ่งได้นั้นจะน้อยกว่าน้ำที่อยู่ในแก้วใบเดิมเล็กน้อย เรื่องนี้ในชีวิตประจำวันไม่ได้ก่อให้เกิดปัญหาอะไร แต่สำหรับงานทางเคมีที่ต้องการความละเอียดสูง เป็นเรื่องที่ควรคำนึง เพื่อให้เห็นภาพ ขอเริ่มจากการทดลองง่าย ๆ ด้วยการรินน้ำจากกระบอกตวงใบหนึ่งใส่กระบอกตวงอีกใบหนึ่งดังรูปที่ ๑ ข้างล่าง


รูปที่ ๑ รินน้ำจากกระบอกตวงขนาด 25 ml ใบซ้ายใส่กระบอกตวงขนาด 25 ml ใบขวา จะเห็นว่าปริมาตรน้ำที่รินได้นั้นจะลดลงเล็กน้อย (กระบอกตวงแต่ละใบมีการสอบเทียบความถูกต้องและมีเอกสารรับรองประจำแต่ละใบ)
 
จากรูปที่ ๑ จะเห็นว่าปริมาตรที่หายไปนั้นแม้ว่าจะน้อย แต่ก็สังเกตด้วยตาเปล่าเห็น สำหรับงานที่ไม่ได้ต้องการความถูกต้องสูงมาก การใช้กระบอกตวงตวงของเหลวก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ที่มันเป็นปัญหาก็คือ เคยเห็นนิสิตบางคนเวลาทำแลปจะเตรียม "สาระลายมาตรฐานปฐมภูมิ (primary standard)" ด้วยการชั่งของแข็งที่ต้องการละลาย (เช่น AgNO3) ใส่ในบีกเกอร์ จากนั้นก็ใช้กระบอกตวงตวงน้ำให้ได้ปริมาตรที่ต้องการแล้วเทใส่บีกเกอร์ (ถ้าเป็นสารละลายมาตรฐานทุติยภูมิ หรือ secondary standard ก็ยังพอว่า เพราะยังไงท้ายสุดแล้วพอได้สารละลายแล้วก็ต้องนำสารละลายที่ได้ไปหาความเข้มข้นที่แน่นอนอีกที) วิธีการที่ดีกว่าคือการใช้ขวดวัดปริมาตร (volumetric flask) แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีปัญหา (รูปที่ ๒)
 
รูปที่ ๒ การเติมน้ำใส่ขวดวัดปริมาตร ควรระวังอย่าให้น้ำเปียกผิวแก้วบริเวณที่อยู่สูงกว่าขีดวัดปริมาตร เพราะถ้าเติมจนพอดีขีดวัดปริมาตร น้ำส่วนที่เปียกผิวแก้วนั้นจะเป็นน้ำส่วนเกิน ในทางกลับกันพอเราเติมน้ำได้พอดีแล้วทำการพลิกขวดเพื่อให้สารละลายในขวดเป็นเนิ้อเดียวกัน พอวางขวดตั้งใหม่จะเห็นระดับน้ำลดต่ำลงเล็กน้อย เพราะบางส่วนไปเปียกผิวแก้วอยู่ข้างบน ไม่ต้องทำการเติมน้ำเข้าไปชดเชย 
  
อุปกรณ์วัดปริมาตรของเหลวนั้น เราจะเติมของเหลวจนถึงระดับขีดปริมาตรที่ต้องการ ความถูกต้องในการอ่านนั้นขึ้นอยู่กับพื้นที่หน้าตัดของบริเวณที่แสดงขีดวัดปริมาตร ถ้าบริเวณดังกล่าวมีพื้นที่หน้าตัดเล็ก ปริมาตรของเหลวที่เปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยจะทำให้เห็นการเปลี่ยนระดับความสูงที่ชัดเจน อุปกรณ์พวก transfer pipette จึงวัดปริมาตรได้ถูกต้องกว่ากระบอกตวง (เพราะพื้นที่หน้าตัดตรงบริเวณขีดบอกปริมาตรของ transfer pipette นั้นเล็กกว่าของกระบอกตวงมาก) ส่วนบีกเกอร์นั้นเป็นอุปกรณ์วัดปริมาตรแบบคร่าว ๆ (งานที่ไม่ได้ต้องการความถูกต้องสูง) ไม่เหมาะสำหรับการใช้วัดปริมาตรของเหลวเพื่อเตรียมสารละลายมาตรฐานใด ๆ รูปที่ ๓ ข้างล่างได้มาจากการเติมน้ำใส่ volumetric flask ขนาด 100 ml ก่อน จากนั้นจึงเทน้ำดังกล่าวใส่บีกเกอร์ขนาด 600 ml จะเห็นความแตกต่างของระดับอยู่ (แต่อย่าเพิ่งรีบสรุปนะครับว่าขีดบอกปริมาตรข้างบีกเกอร์มันบอกปริมาตรสูงเกินจริง บางใบที่เคยเห็นมันก็บอกต่ำกว่าความเป็นจริง) นอกจากนี้ด้วยการที่บีกเกอร์มีพื้นที่หน้าตัดกว้าง ทำให้ยากที่จะสังเกตเห็นหรือไม่สามารถมองเห็นระดับความสูงของของเหลวที่เปลี่ยนแปลงเมื่อปริมาตรของเหลวมีความแตกต่างกันในระดับ "หยด" ในขณะที่ความแตกต่างดังกล่าวจะเห็นได้ชัดกับอุปกรณ์วัดปริมาตรพวก ปิเปต บิวเรต และขวดวัดปริมาตร
 
ที่หนักกว่าตัวอย่างที่ยกมาข้างต้นคือ ตอนสอนแลปเคมีได้มีโอกาสเห็นนิสิตบางรายเตรียมสารละลายมาตรฐานด้วยการใช้ขีดบอกปริมาตรข้างบีกเกอร์นี่แหละเป็นตัวบอกปริมาตรน้ำ (คือใช้บีกเกอร์แทนขวดวัดปริมาตร เพราะการกวนของแข็งให้ละลายในบีกเกอร์มันง่ายกว่าการเขย่าให้มันละลายในขวดวัดปริมาตร)
 
รูปที่ ๓ ปริมาตรน้ำที่ขอบบีกเกอร์ 600 ml

ทิ้งท้ายด้วยคำถามที่คิดเราน่าจะพิจารณาทบทวนกันก็คือ เรื่องพื้นฐานเช่นนี้ ควรสอนกันในระดับโรงเรียน (ที่เห็นมีนักเรียนไปแข่งโอลิมปิควิชาการ ได้เหรียญต่าง ๆ กลับมากันมากมาย) หรือต้องมาสอนกันในระดับมหาวิทยาลัย

วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2552

การวัดปริมาตรของเหลว MO Memoir : วันเสาร์ที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๑

เป็นเรื่องปรกติที่การทำงานในห้องปฏิบัติเคมี เราจำเป็นต้องมีการตวงของเหลวในปริมาณต่าง ๆ กันเพื่อนำมาใช้โดยมีวัตถุประสงค์ต่าง ๆ กัน ทีนี้เนื่องจากในห้องปฏิบัติการจะมีเครื่องแก้วชนิดต่าง ๆ ที่ต่างก็มีขีดบอกปริมาตรของเหลว ปัญหาก็คือเครื่องแก้วแต่ละชนิดเหมาะกับการใช้งานในรูปแบบใด


1. Volumetric flask


ขวดวัดปริมาตร (Volumetirc flask) เป็นอุปกรณ์สำหรับใช้ในการเตรียมสารละลายเพื่อให้ได้ความเข้มข้นที่แน่นอน ขวดวัดปริมาตรแต่ละใบนั้นจะถูกสอบเทียบความถูกต้องสำหรับปริมาตรใดปริมาตรหนึ่งโดยเฉพาะ สังเกตได้จากระดับขีดบอกปริมาตรที่แต่ละขวดจะอยู่สูงไม่เท่ากัน แม้ว่าดูเผิน ๆ แล้วขวดแต่ละใบจะเหมือนกันก็ตาม แต่ในความเป็นจริงแล้วตัวขวดแต่ละใบจะมีรูปร่างและขนาดที่แตกต่างกันอยู่ ทำให้เมื่อบรรจุของเหลวปริมาตรเท่ากัน จะทำให้ระดับของเหลวในขวดสูงไม่เท่ากัน


รูปที่ 1 Volumetric flask ขนาด 100 ml พึงสังเกตว่าขีดบอกระดับปริมาตรของเหลวในขวดแต่ละใบจะอยู่สูงไม่เท่ากัน


การใช้ขวดวัดปริมาตรให้ถูกต้องนั้น เวลาเติมของเหลวไม่ควรที่จะให้ของเหลวเปียกพื้นผิวปากขวดในบริเวณที่อยู่สูงเหนือขีดบอกระดับ เพราะถ้ามีของเหลวเปียกพื้นผิวปากขวดบริเวณที่อยู่สูงเหนือขีดบอกระดับและเราทำการเติมของเหลวเข้าไปจนสูงถึงขีดบอกระดับ ปริมาตรที่แท้จริงของของเหลวในขวดวัดปริมาตรจะ "มากกว่า" ปริมาตรที่เราต้องการ ในทางกลับกันถ้าเราเติมของเหลวลงไปจนพอดีกับขีดบอกระดับ (โดยที่ไม่มีของเหลวเปียกผิวแก้วในบริเวณที่อยู่สูงเหนือขีดบอกระดับ) แล้วทำการเขย่าหรือพลิกขวดวัดปริมาตรเพื่อให้ของสารละลายในขวดเป็นเนื้อเดียวกัน พอเราจับขวดวางตั้งเหมือนเดิมจะพบว่าระดับของเหลวในขวดจะอยู่ต่ำกว่าขีดบอกระดับ ทั้งนี้เป็นเพราะของเหลวในขวดบางส่วนไปเปียกเกาะติดผิวแก้วบริเวณที่อยู่สูงกว่าขีดบอกระดับ ในกรณีหลังนี้อย่าเติมของเหลวลงไปชดเชยเพราะจะทำให้ปริมาตรของเหลวในขวดมากเกินจริง


อีกสิ่งหนึ่งที่พบประจำคือเวลาที่ทำการการละลายของแข็งให้เป็นสารละลาย หลายรายทำโดยการเติมของแข็งเข้าไปในขวดแล้วเติมน้ำ (หรือตัวทำละลายใด ๆ) เข้าไปจนถึงขีดบอกปริมาตร จากนั้นจึงทำการเขย่าขวดเพื่อให้ของแข็งละลาย แล้วมักพบว่าจะละลายได้ยาก เพราะพอมีน้ำอยู่เต็มขวดแล้วการเขย่าขวดไม่ได้ทำให้น้ำเกิดการกวนที่รุนแรงเท่าใดนัก วิธีที่ดีกว่าคือเติมน้ำเข้าไปบางส่วนก่อน จากนั้นจึงเขย่าขวดให้ของแข็งในขวดละลายให้หมด (ระวังอย่าให้เปียกขึ้นมาจนสูงกว่าขีดบอกระดับ) จากนั้นจึงค่อย ๆ เติมน้ำลงไปเพิ่มเติม ถ้าเป็นขวดวัดปริมาตรขนาดใหญ่อาจต้องมีการเติมน้ำและเขย่าผสมหลายครั้งเพื่อให้มั่นใจว่าสารละลายในขวดเป็นเนื้อเดียวกัน เพราะถ้าเติมลงไปทีเดียวอาจพบว่าความเข้มข้นของสารละลายที่อยู่ก้นขวดจะมากกว่าความเข้มข้นของสารละลายที่อยู่ด้านบนของขวด (กรณีนี้จะเห็นได้ชัดถ้าสารละลายเดิมในขวดมีสี จะเห็นว่าสีสารละลายที่ก้นขวดจะเข้มกว่าส่วนที่อยู่ด้านบน และการเขย่าให้เป็นเนื้อเดียวกันจะยุ่งยากมากกว่า)


บางรายเห็นแก้ปัญหาด้วยการใช้แท่งแม่เหล็กกวน ซึ่งทำการกวนผสมได้ดี "แต่" เฉพาะของเหลวส่วนที่อยู่บริเวณลำตัวขวดเท่านั้น (ที่มีรูปร่างป้อม ๆ กลม ๆ) ของเหลวที่อยู่บริเวณคอขวด (ที่มีรูปร่างเรียวยาว) ไม่ได้ถูกกวนผสมไปด้วย ทำให้ต้องมีการพลิกขวดคว่ำเป็นระยะเพื่อให้สารละลายเป็นเนื้อเดียวกันทั้งขวด


2. Pipette


ปิเปต (Pipette) เป็นอุปกรณ์สำหรับใช้ถ่ายของเหลวจากภาชนะหนึ่งไปยังอีกภาชนะหนึ่ง โดยทั่วไปจะใช้ถ่ายของเหลวในปริมาตรที่ไม่มาก (ที่เห็นใช้กันอยู่ทั่วไปก็เป็นปิเปตที่มีขนาดไม่เกิน 50 ml ส่วนขนาดที่ใหญ่กว่านี้จะมีหรือไม่นั้นไม่ทราบ เพราะไม่เคยเห็น) ปิเปตที่ใช้อยู่ในห้องปฏิบัติการเคมีมีอยู่ 2 ชนิดคือ Transfer pipette และ Graduate pipette


2.1 Transfer pipette


Transfer pipette เป็นปิเปตที่ตวงปริมาตรได้เพียงค่าใดค่าหนึ่งค่าเดียวเท่านั้น ปิเปตชนิดนี้แต่ละอันจะถูกสอบเทียบมาเฉพาะตัว สังเกตได้จากการที่ขีดบอกปริมาตรของปิเปตแต่ละอันจะอยู่ที่ระดับความสูงไม่เท่ากัน ทั้งนี้เป็นเพราะขนาดของกระเปาะแต่ตำแหน่งของกระเปาะเก็บของเหลวของปิเปตแต่ละอันต่างมีความแตกต่างกันอยู่


ปิเปตชนิดนี้ให้ความถูกต้องสูงในการตวงปริมาตรของเหลว การที่ขีดบอกปริมาตรอยู่ในบริเวณหลอดแก้วที่เล็กทำให้ถ้าปริมาตรของเหลวที่ตวงมาผิดไปเพียงเล็กน้อย จะมองเห็นการเปลี่ยนระดับความสูงของของเหลวได้ง่าย ข้อเสียของปิเปตชนิดนี้คือสามารถตวงปริมาตรของเหลวได้เฉพาะตามขนาดปิเปตที่ผลิตขายเท่านั้น ซึ่งมีอยู่ไม่กี่ขนาด


รูปที่ 2 Transfer pipette ขนาด 5 ml พึงสังเกตว่าขีดบอกระดับปริมาตรของเหลวของปิเปตแต่ละอันจะอยู่ที่ระดับความสูงไม่เท่ากัน


ปิเปตแบบนี้เมื่อปล่อยให้ของน้ำไหลออกจากปิเปตจะมีน้ำค้างอยู่ที่ปลายปิเปตเล็กน้อย แต่เดิมนั้นไม่ต้องทำการเป่าไล่น้ำที่ค้างอยู่นี้ออกจากปิเปต เพราะในการสอบเทียบนั้นได้คำนึงถึงปริมาตรน้ำที่ค้างอยู่นี้เอาไว้แล้ว แต่ปัจจุบันได้ยินว่ามีปิเปตรุ่นใหม่บางชนิดที่ออกแบบมาให้เป่าไล่น้ำที่ค้างอยู่ออกมาจนหมด (เขาบอกว่าปิเปตชนิดนี้จะมีลูกศรพิมพ์ติดไว้ทางด้านลูกยาง แต่ยังไม่เคยเห็นตัวจริงซักที เพราะสั่งซื้อปิเปตใหม่ทีไรก็ได้แต่ปิเปตแบบเดิมที่ไม่ต้องเป่าไล่) ที่เห็นเป็นปัญหาคือมีนิสิตที่ไปเรียนหนังสือกับอาจารย์ที่เพิ่งจบมาใหม่จากต่างประเทศ ทีนี้แกคงจะเคยใช้แต่ปิเปตที่ต้องเป่าไล่ พอมาสอนนิสิตเมืองไทยก็เลยคิดว่าเป็นเรื่องปรกติที่ต้องเป่าไล่น้ำที่ติดอยู่ที่ปลายปิเปตเสมอ ก็เลยสอนให้นิสิตเป่าไล่น้ำที่ติดค้างอยู่ออกมาด้วย แต่ปิเปตที่ใช้ในบ้านเราเป็นชนิดที่ไม่ต้องเป่าไล่ ก็เลยทำให้เกิดความสับสนในระหว่างหมู่ผู้เรียน (จริง ๆ แล้วนิสิตก็ไม่ได้สับสนหรอก เพราะคิดว่าเพื่อน ๆ ที่เรียนอีกตอนเรียนหนึ่งก็เรียนมาเหมือน ๆ กันและไม่คิดจะถามกันด้วย แต่พอเอาผู้ที่เรียนทั้งสองตอนเรียนมานั่งเรียนรวมกันแล้วถามคำถามนี้ ปรากฏว่ามี 2 คำตอบคือต้องเป่าไล่และไม่ต้องเป่าไล่ โดยทั้งสองฝั่งก็อ้างว่าอาจารย์สอนมาแบบนี้) คือเรียนวิชาเดียวกันแต่อาจารย์ผู้สอนคนละคนกัน ต่างบอกให้ทำในสิ่งที่ตรงข้ามกัน


2.2 Graduate pipette


Graduate pipette เป็นปิเปตที่วัดปริมาตรได้ต่อเนื่องกว่า transfer pipette แต่การวัดปริมาตรของ Graduate pipette จะอาศัยความเที่ยงตรงของขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของหลอดแก้วที่นำมาทำปิเปต ซึ่งทั่วไปมักจะสมมุติว่ามีความสม่ำเสมอตลอดทั้งความยาวปิเปต (แต่ต่างปิเปตอาจแตกต่างกันได้ ดังแสดงในรูปที่ 3)




รูปที่ 3 Graduate pipette ที่มาจากผู้ผลิตสองราย รูปแถวบนจะเห็นว่าระยะห่างระหว่างขีดบอกปริมาตรของปิเปตแต่ละอันจะแตกต่างกัน แสดงว่าหลอดแล้วที่นำมาใช้ทำปิเปตมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางภายในที่แตกต่างกัน ส่วนปิเปตแถวล่างจะเห็นว่าระยะห่างระหว่างขีดบอกปริมาตรของปิเปตแต่ละอันจะเท่ากัน แสดงว่าผู้ผลิตเชื่อมั่นว่าหลอดแล้วที่นำมาใช้ทำปิเปตแต่ละอันมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางภายในที่เท่ากัน


สิ่งหนึ่งที่ต้องคำนึงคือเวลาที่ทำการสอบเทียบความถูกต้องในการวัดปริมาตรของปิเปตจะใช้น้ำเป็นของเหลวสอบเทียบ ดังนั้นการวัดปริมาตรจะถูกต้องแน่นอนเมื่อทำการตวงน้ำ ถ้าเป็นการตวงของเหลวชนิดอื่นที่มีความหนาแน่น ความหนืด หรือแรงตึงผิว ที่แตกต่างจากน้ำไปมาก จะทำให้ปริมาตรที่ติดค้างอยู่ปลายปิเปตแตกต่างออกไป ปัญหานี้จะเกิดถ้าเราตวงสารในปริมาตรน้อย ๆ เช่นใช้ Graduate pipette ขนาด 10 ml ตวงของเหลวที่มีความหนืดสูง (เช่นกรดกำมะถันเข้มข้น) ปริมาตร 2 ml การปิเปตกรดเข้มข้นมาจนถึงขีด 8 ml แล้วปล่อยให้ไหลออกจนสุดจะมีความผิดพลาดากกว่าการที่ปิเปตกรดมาเกินปริมาตรที่ต้องการแล้วปล่อยออกไป 2 ml ทั้งนี้เป็นเพราะปริมาตรกรดที่ติดค้างอยู่ที่ปลายปิเปตจะแตกต่างจากปริมาตรน้ำ (ซึ่งเป็นของเหลวที่ใช้ในการสอบเทียบความถูกต้อง) ที่ติดค้างอยู่ที่ปลาย ดังนั้นถ้าทำการปิเปตกรดมาจนถึงระดับหนึ่งเช่น 6 ml และปล่อยให้ไหลออกจนถึงขีด 8 ml จะได้กรดเข้มข้นในปริมาตร 2 ml ที่ถูกต้องมากกว่า


3. Measuring cylinder


กระบอกตวงเป็นอุปกรณ์วัดปริมาตรที่มีให้เลือกหลายขนาด ในห้องปฏิบัติการเคมีก็มีใช้ตั้งแต่ขนาด 10 ml ไปจนถึง 1000 ml กระบอกตวงแต่ละอันที่ซื้อมาจะผ่านการตรวจสอบความถูกต้องจากสำนักงานกลางมาตราชั่งตวงวัด กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ โดยผู้ตรวจสอบจะออกหนังสือสำคัญรับรองความถูกต้องและทำเครื่องหมายเลขลำดับลงบนกระบอกตวง โดยจะเขียนไว้เป็นร่องรอยถาวรบนผิวแก้ว (จะอยู่บริเวณปากของกระบอกตวง โดยหมายเลขลำดับที่เขียนลงไปจะต้องตรงกับหมายเลขลำดับในหนังสือสำคัญที่แนบมาพร้อมกับกระบอกตวง) จะว่าไปแล้วดูเหมือนว่าจะเป็นเครื่องแก้วในห้องทดลองเพียงชนิดเดียวที่มีหนังสือสำคัญรับรองความถูกต้อง


รูปที่ 4 กระบอกตวงพร้อมหนังสือสำคัญแสดงการรับรอง


สเกลบอกปริมาตรบนกระบอกตวงจะอาศัยความเที่ยงตรงของขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของหลอดแก้วที่นำมาทำ (พึงสังเกตว่าระยะห่างระหว่างขีดบอกปริมาตรแต่ละขีดจะเท่ากันเสมอ) เมื่อเปรียบเทียบกับปิเปตแล้ว ปิเปตจะให้ความถูกต้องที่ดีกว่าเพราะปิเปตมีพื้นที่หน้าตัดของบริเวณที่ทำขีดเครื่องหมายไว้เล็กกว่า การอ่านระดับความสูงบริเวณขีดเครื่องหมายผิดพลาดจึงทำให้ปริมาตรที่ผิดพลาดไปน้อยไปด้วย มีบางรายเตรียมสารละลายโดยการชั่งสารใส่ในบีกเกอร์ และใช้กระบอกตวงตวงของเหลวและเทลงไปละลายสารในบีกเกอร์ วิธีการนี้ใช้ได้ถ้าไม่ต้องการใช้สารละลายที่มีความเข้มข้นที่เที่ยงตรงในระดับที่จะนำไปใช้ในการวิเคราะห์เชิงปริมาณ ที่เคยใช้คือใช้เตรียมสารละลายกรดหรือเบสสำหรับใช้ในการสะเทินสารเคมีก่อนทิ้ง ในการเตรียมสารละลายเพื่อนำไปใช้ในงานวิเคราะห์เชิงปริมาณแล้วควรเตรียมโดยการใช้ขวดวัดปริมาตรจะถูกต้องมากกว่า


นิสิตหลายรายชอบเอากระบอกตวงไปเป็นที่ทับกระดาษกันกระดาษ (คู่มือการทำการทดลองหรือกระดาษจดผลการทดลอง) โดนลมพัดปลิวในระหว่างการทำการทดลอง ทีนี้กระบอกตวงเป็นเครื่องแก้วที่มีจุดศูนย์ถ่วงสูง เวลาที่ไม่มีของเหลวบรรจุอยู่ก็จะมีน้ำหนักเบา พอลมพัดกระดาษกระดาษก็ปลิวอยู่ดี ทำให้กระบอกตวงล้มจนปากแตกไปหลายอัน ต้องเอาไปให้ช่างเป่าแก้วตัดส่วนที่แตกหักออกไปเพื่อเอาส่วนล่างที่ยังใช้งานได้อยู่มาใช้งานใหม่ นอกจากนี้ยังเห็นอีกหลายรายที่ใช้กระบอกตวงในการเตรียมสารละลายที่ต้องการทราบความเข้มข้นแน่นอน คือผสมสารละลายในกระบอกตวงแล้วใช้แท่งแก้วคนให้สารละลายเข้ากัน แทนที่จะใช้ขวดวัดปริมาตรซึ่งเป็นวิธีที่ถูกต้อง


4. Erlenmeyer flask & Beaker


ขวดรูปชมพู่ (Erlenmeyer flask) และบีกเกอร์เป็นอุปกรณ์หนึ่งที่มีผู้นำมาใช้ในการตวงของเหลว แต่ขีดเครื่องหมายที่อยู่ข้างขวดรูปชมพู่หรือบีกเกอร์นั้นเป็นขีดบอกปริมาตรโดยประมาณเท่านั้น (คลาดเคลื่อนได้ถึง 5%) ถ้าหากลองทดลองตวงน้ำใส่ในบีกเกอร์ใบหนึ่ง (เช่นถึงขีด 200 ml) แล้วนำน้ำนั้นไปเทใสในบีกเกอร์อีกใบหนึ่ง จะไม่เป็นเรื่องแปลกที่จะพบว่าปริมาตรน้ำที่อ่านได้จากสเกลของบีกเกอร์ใบหลังนั้นจะไม่เท่ากับที่อ่านได้จากบีกเกอร์ใบแรก อุปกรณ์สองชิ้นนี้เหมาะสมแก่การตวงของเหลวในปริมาณคร่าว ๆ เท่านั้น ไม่สามารถนำมาใช้วัดปริมาตรที่แน่นอนได้


รูปที่ 5 (ซ้าย) Erlenmeyer flask หรือขวดรูปชมพู่ และ (ขวา) Beaker