แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ขยะพลาสติก แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ขยะพลาสติก แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2564

ขยะไม่ได้เป็นศูนย์ แค่เปลี่ยนหน้าตา และผลักภาระให้ผู้อื่นรับแทน MO Memoir : Sunday 27 June 2564

เมื่อมีบริษัทจัดประกวดโครงการจัดการกับขยะที่เป็นขวด PET (ที่บริษัทเขาเองก็มีส่วนในการผลิตและทำรายได้ให้กับบริษัทด้วย) เมื่อมีนิสิตมาขอความรู้และความเห็นเรื่องเกี่ยวกับการผลิตและการกำจัดผลิตภัณฑ์พลาสติก ก็เลยเล่าเรื่องที่การจัดการขยะในอดีตของโรงอาหารให้ฟัง เพื่อให้เขาเห็นภาพเทียบกับปัจจุบัน (ที่มีการเอาไปโฆษณาว่าเป็นหน่วยงานสีเขียว) กับมุมมองอีกด้านหนึ่งของผมที่ฝากให้เขานำไปพิจารณา

สิ่งหนึ่งที่ผมได้ฝากพวกเขาไว้ก็คือ อย่ามองเห็นแต่เฉพาะสิ่งดีกับสิ่งที่เราเลือก แต่เราต้องพิจารณาและให้คำตอบด้วยว่ายังมีทางเลือกอื่นอีกไหม และทำไมเราจึงไม่เลือกทางเลือกนั้น (เพราะถ้ามีการถามขึ้นก็จะได้โต้แย้งได้) และต้องรู้ด้วยว่าสิ่งที่เราเลือกนั้นมันใช้ได้กับทุกสภาพการณ์หรือไม่ หรือว่ามันจะดีก็ต่อเมื่อมันเป็นไปตามเงื่อนไขหนึ่ง แต่ถ้าเงื่อนไขมันเปลี่ยนไป สิ่งที่เราเลือกนั้นอาจไม่เหมาะสม และจำเป็นต้องเปลี่ยนแนวทางการแก้ปัญหาใหม่ก็ได้ เพราะในการทำงานจริงนั้นมันไม่มีสูตรสำเร็จเพียงสูตรเดียวที่ใช้ได้กับทุกกรณี เราจำเป็นต้องรู้ว่าเพื่อให้บรรจุเป้าหมายนั้นมีวิธีการใดบ้าง และแต่ละวิธีนั้นเหมาะสมกับสภาพการณ์ใด

พวกน้ำอัดลมและน้ำดื่มบรรจุขวดนั้น แต่เดิมจะบรรจุขวดแก้วกัน เวลากินอาหารที่โรงอาหาร กินหมดก็คืนขวดไว้ที่โรงอาหาร ขยะที่เกิดก็จะมีแต่ฝาขวดและหลอดดูด ตัวขวดเองผู้ผลิตก็รับขวดกลับไปล้างเพื่อนำมาใช้ใหม่ สำหรับร้านน้ำที่ขายน้ำตัก (พวกน้ำผลไม้ น้ำหวานต่าง ๆ) และการขายน้ำแข็งเปล่า ก็จะใช้แก้วพลาสติกที่ล้างและใช้ซ้ำได้ กินเสร็จก็คืนแก้วไว้ที่โรงอาหาร เขาก็เก็บมาล้างเพื่อนำมาใช้ใหม่ ของเสียที่เกิดก็คือน้ำที่เกิดจากการล้าง ซึ่งมันก็ไหลลงบ่อบำบัดร่วมกับน้ำล้างจานอยู่แล้ว น้ำผ่านการบำบัดก็สามารถนำไปใช้งานอื่นได้ เช่นล้างพื้น รดน้ำต้นไม้ ปัจจุบันศูนย์อาหารในห้างค้าปลีกขนาดใหญ่บางแห่งก็ยังใช้แก้วน้ำดื่มแบบล้างทำความสะอาดใหม่ได้ ซึ่งไม่ทำให้เกิดขยะแก้วน้ำใช้ครั้งเดียวทิ้ง

รูปที่ ๑ แผนผังการเกิดขยะและการจัดการขยะจากโรงอาหารในอดีตจากมุมมองที่เห็น

รูปที่ ๑ เป็นแผนผังการเกิดขยะและการจัดการขยะจากโรงอาหารในอดีตจากมุมมองที่เคยเห็นมา รูปแบบนี้ทางผู้ขายเครื่องดื่มบรรจุขวดจะเป็นผู้รับภาระค่ามัดจำขวด ซึ่งเงินจำนวนนี้ทางผู้ผลิตเครื่องดื่มจะเก็บเอาไว้ เลิกขายเมื่อใดก็ค่อยมารับเงินคืนเมื่อคืนขวด แต่จะว่าไปแล้วร้านขายน้ำเขาก็ขายกันต่อเนื่องยาว ๆ ไป ดังนั้นเงินส่วนนี้จึงเป็นเสมือนเงินที่เขาต้องเสียไปโดยไม่สามารถใช้ประโยชน์อะไรได้ ในขณะที่ทางผู้ผลิตเครื่องดื่มสามารถเอาเงินจำนวนนี้ไปฝากธนาคารเพื่อกินดอกเบี้ยได้ แต่ในขณะเดียวกันผู้ผลิตเครื่องดื่มก็ต้องแบกรับภาระการล้างและการบำบัดน้ำเสียที่เกิดจากการล้าง แต่ถ้าถามว่าถ้าเช่นนั้นต้นทุนจะสูงกว่าการใช้ขวดพลาสติกหรือบรรจุกระป๋องโลหะไหม คำตอบตรงนี้หาได้ในร้านค้า เพราะเราสามารถเทียบดูได้ว่าสำหรับเครื่องดื่มที่มีปริมาตรเท่ากัน (หรือคิดราคาต่อซีซี) เครื่องดื่มที่บรรจุใน ขวดแก้ว (ชนิดขายขาด) ขวดพลาสติก และกระป๋องโลหะนั้น แบบไหนมีราคาแพงกว่ากัน

คนที่สบายหน่อยในงานนี้คือผู้เก็บขยะ เพราะไม่ได้มีขยะที่เกิดจากบรรจุภัณฑ์ใช้ครั้งเดียวทิ้งจำนวนมากที่ต้องหาทางกำจัด ไม่ว่าด้วยการแยกออกไปหาทาง recycle, เผา, หรือหาที่ฝัง

รูปที่ ๒ แผนผังการเกิดขยะและการจัดการขยะจากโรงอาหารในปัจจุบันจากมุมมองที่เห็น

ทีนี้พอพฤติกรรมการบริโภคเปลี่ยนไป การนั่งดื่มกินนอกโรงอาหารมีมากขึ้น ก็เลยเกิดการขายของกินและเครื่องดื่มที่บรรจุในบรรจุภัณฑ์แบบขายขาดไปเลยมากขึ้น ทำให้ราคาเครื่องดื่ม (คิดต่อซีซี) แพงมากขึ้น ผู้บริโภคที่เลือกจากซื้อของกินออกไปกินนอกโรงอาหารก็ต้องแบบรับภาระนี้ แต่ว่าสำหรับผู้บริโภคที่เลือกที่จะบริโภคในโรงอาหาร กลับโดนบังคับให้ต้องซื้อของกินที่บรรจุในผลิตภัณฑ์ใช้ครั้งเดียวทิ้งไปโดยปริยายด้วย นอกจากนี้โรงอาหารบางแห่งยังยกเลิกการใช้แก้วที่สามารถล้างและใช้ซ้ำได้ โดยบังคับให้ไปใช้แก้วที่เขาบอกว่าย่อยสลายได้แทน และคิดเงินค่าแก้วนี้เพิ่ม รูปบบนี้ผู้ผลิตเครื่องดื่มและคนขายเครื่องดื่มนั้นไม่ต้องรับภาระการล้าง (หรือลดลง) ส่วนคนผลิตบรรจุภัณฑ์สำหรับบรรจุของกิน (ที่บอกว่าย่อยสลายได้) ก็มีรายได้เพิ่มพูนมากขึ้น ในขณะที่ผู้บริโภคต้องรับภาระค่าใช้จ่ายมากขึ้นเพื่อผลิตขยะมากขึ้น และผู้เก็บขยะก็ต้องแบกรับการจัดการกับขยะที่มีปริมาณมากขึ้นเช่นกัน

การลดปริมาณขยะควรเน้นไปที่การลดปริมาณขยะที่เกิดขึ้นโดยรวม โดยไม่ต้องสนว่าขยะนั้นจะสามารถ recycle หรือย่อยสลายได้หรือไม่ การเพิ่มปริมาณขยะที่เกิดขึ้นด้วยการลดการใช้ซ้ำ (reuse) และไปเพิ่มปริมาณขยะที่อ้างว่าสามารถ recycle ได้หรือย่อยสลายได้นั้น ไม่ควรถือว่าเป็นการลดปริมาณขยะ

ประเด็นหนึ่งที่น่าลองนำมาพิจารณาก็คือ การจัดการกับขยะที่เกิดจากการบังคับให้ใช้บรรจุภัณฑ์ที่อ้างว่า "ย่อยสลายได้และไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม" ของหน่วยงานนั้น ถ้าหน่วยงานนั้นเลือกที่จะบังคับให้ใช้บรรจุภัณฑ์ที่อ้างว่า "ย่อยสลายได้และไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม" แทนที่การใช้บรรจุภัณฑ์ที่ "สามารถล้างและใช้ซ้ำได้" หน่วยงานดังกล่าวนั้นจัดการกับขยะที่เกิดจากบรรจุภัณฑ์ที่อ้างว่า "ย่อยสลายได้และไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม" นั้นอย่างไร ถ้าการจัดการนั้นเป็นการจัดการภายในหน่วยงานเอง คือมีการเก็บรวบรวมมาทำปุ๋ยใช้เอง (แบบเดียวกับการบำบัดน้ำเสียที่ต้องกระทำที่ตัวอาหารที่เป็นแหล่งกำเนิดน้ำเสีย) โดยไม่มีการส่งออกไปให้ผู้อื่นกำจัดแทน (ซึ่งก็ไม่รู้ว่าวิธีการกำจัดนั้นทำให้บรรจุภัณฑ์ดังกล่าวย่อยสลายเป็นปุ๋ยได้หรือไม่) ก็คิดว่ายังเรียกได้ว่ามีการรับผิดชอบต่อสังคมภายนอกอยู่ แต่ถ้าใช้วิธีการผลิตขยะที่สามารถ recycle และ/หรือย่อยสลายได้ในปริมาณที่เพิ่มมากขึ้น เพื่อที่จะลดภาระการ reuse สิ่งของต่าง ๆ ที่เคยใช้กันอยู่ในองค์กร แล้วส่งให้ผู้อื่นต้องแบกรับภาระการจัดการขยะที่ผลิตขึ้นมากนั้นแทน เราควรที่จะเรียกองค์กรนั้นว่าเป็นองค์กรที่มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหรือไม่

เนื่องจากการแข่งขันนี้ทางผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ชนิดใช้ครั้งเดียวทิ้งเป็นผู้สนับสนุนรายการ โดยให้ผู้แข่งขันหาทางนำเอาขยะที่เกิดจากผลิตภัณฑ์ของเขานั้นไปใช้ประโยชน์อื่น เพื่อที่จะสร้างภาพลักษณ์องค์กรว่ามีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ในขณะที่อีกทางเลือกหนึ่งนั้นคือย้อนกลับไปเป็นรูปแบบเดิม คือเปลี่ยนกลับไปใช้บรรจุภัณฑ์ที่สามารถ reuse ได้เหมือนเดิม อาจเป็นทางเลือกที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมกว่า แต่มันก็จะไปกระเทือนการทำธุรกิจของผู้สนับสนุนรายการ (คือไปรณรงค์ให้ลดการใช้ผลิตภัณฑ์ของผู้สนับสนุนรายการ) ก็คงต้องแล้วแต่ผู้เข้าแข่งขันว่า จะนำเสนออย่างไร เพื่อให้ได้วิธีการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจริงและไม่ผลักภาระให้ผู้เก็บขยะต้องมีภาระมากขึ้น

วันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2564

ขยะเผาได้ ขยะเผาไม่ได้ MO Memoir : Thursday 23 June 2564

"NIMBY - Not In My Back Yard" ที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่สวนหลังบ้านฉัน

คำย่อข้างบนได้ยินมากว่า ๓๐ ปีแล้ว ตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ต่างประเทศ เป็นคำที่เขาใช้ประชดประชันพวกที่เรียกตัวเองว่าอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ที่ไม่ว่าใครจะทำอะไรก็เที่ยวขวางโน่นขวางนี่ไปหมด โดยไม่ได้ให้แนวทางแก้ปัญหา "ที่ไม่ก่อให้เกิดปัญหาอื่นตามมาแทน" (ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่าอยู่ได้ด้วยเงินบริจาคเพื่อทำการประท้วงหรือเปล่า หรือเป็นเพราะถ้าไม่มีเรื่องราวให้ประท้วงก็จะไม่ได้เงินบริจาค) ตัวอย่างที่เห็นได้ใกล้ตัวเราก็คือการสร้างโรงไฟฟ้า ที่ไม่ว่าจะใช้พลังงานแบบไหน (เชื้อเพลิงฟอสซิล ชีวมวล นิวเคลียร์ หรือพลังงานหมุนเวียน) ก็จะโดนประท้วงทั้งนั้น แต่ตัวผู้ประท้วงเองก็ต้องการใช้พลังงานไฟฟ้า และก็ไม่ได้ผลิตไฟฟ้าใช้เองในบ้าน

เมื่อเทียบกับกระดาษแล้ว ผลิตภัณฑ์พลาสติกถูกมองว่าก่อปัญหาให้กับสิ่งแวดล้อม เพราะย่อยสลายยาก แต่จะว่าไปผลิตภัณฑ์กระดาษก็ก่อให้เกิดปัญหากับสิ่งแวดล้อมเหมือนกัน เพียงแต่ว่าปัญหานั้นไปอยู่ที่กระบวนการผลิต ที่ต้องใช้พลังงานมากในการแปรรูปไม้ให้กลายเป็นกระดาษ มลพิษที่ปลดปล่อยออกมาก็คือ CO2 ที่เกิดจากการผลิตพลังงานความร้อนเพื่อใช้ในกระบวนการผลิต เพียงแต่ CO2 เป็นมลพิษที่อยู่ในรูปแก๊สที่เรามองไม่เห็น ไม่ได้กลิ่น และมันไม่ได้ปรากฏให้เห็นกับสายตาคนตามที่ต่าง ๆ ทั่วไป ซึ่งต่างจากขยะพลาสติก

การจัดการกับขยะพลาสติกจัดว่าเป็นเรื่องยากตรงที่มันมีความหลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็นชนิดพลาสติก หน้าตาของผลิตภัณฑ์และการใช้งาน ไม่สามารถที่จะระบุชนิดได้ด้วยการสัมผัสหรือการมองดู ตัวอย่างเช่นน้ำดื่มบรรจุขวดพลาสติกที่ตัวขวดทำจาก PET (Polyethylene terephthalate) ในขณะที่ฉลากข้างขวดและฝาขวดก็ทำจากพอลิเมอร์ตัวอื่น (ที่ไม่จำเป็นต้องเป็นชนิดเดียวกันด้วย) ขวดบรรจุภัณฑ์ชนิดเดียวกัน (เช่น สบู่เหลว แชมพู) ต่างยี่ห้อกันก็ไม่จำเป็นต้องใช้พอลิเมอร์ชนิดเดียวกัน เสื้อผ้าที่มีองค์ประกอบเป็นเส้นใยสังเคราะห์ก็มีการใช้เส้นใยสังเคราะห์กันหลากหลายชนิด ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้ทำส่วนใดของเครื่องแต่งกาย พลาสติกที่เป็นของใช้ในครัวเรือนก็มีทั้งพวกที่เป็น thermoplastic และ thermosetting พลาสติกชนิดเดียวกันแต่ความสะอาดต่างกัน (เช่นพวกที่ใช้ทำบรรจุภัณฑ์อาหารใช้ครั้งเดียวทิ้ง กับของใช้ในครัวเรือน) ก็ก่อให็เกิดปัญหาในการเก็บรวบรวมไปใช้งานใหม่

แต่แม้ว่าจะมีการแยกเอาขยะพลาสติกไปแปรรูปเป็นเม็ดพลาสติกเพื่อใช้งานใหม่ แต่ท้ายสุดแล้วพลาสติกเหล่านั้นก็จะกลายเป็นขยะที่ไม่สามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์พลาสติกใหม่ได้ และต้องได้รับการกำจัด

วิธีการกำจัดขยะพลาสติกหลัก ๆ ที่ทำกันก็คือการฝังกลบและการเผา แต่ไม่ว่าวิธีการใดต่างก็มีข้อดีข้อเสียในตัวมันเองทั้งนั้น วิธีการฝังกลบนั้นดูเผิน ๆ แล้วเหมาะกับขยะที่ย่อยสลายได้ แต่เอาเข้าจริงสภาวะภายในหลุมฝังกลบที่ไม่มีทั้งออกซิเจนและความชื้นนั้น ทำให้วัสดุที่ย่อยสลายได้เมื่อทิ้งไว้บนพื้นผิวเปิด กลายเป็นวัสดุที่ไม่ย่อยสลายในหลุมฝังกลบ และยังมีเรื่องการหาพื้นที่จะทำใช้ฝังกลบ ปัญหาเรื่องกลิ่นและแก๊สที่เกิดจากสลายตัวของขยะ (ที่มักไม่ถูกกล่าวถึง) ปัญหาน้ำเสียจากหลุมฝังกลบที่มีโอกาสปนเปื้อนน้ำผิวดินเมื่อฝนตก หรือซึมลงไปปนเปื้อนน้ำใต้ดิน ในขณะที่การเผาเองนั้นแม้ว่าจะช่วยลดปัญหาเรื่องการหาที่ฝังกลบ และช่วยลดปริมาตรขยะที่เป็นของแข็งที่ต้องกำจัด (เถ้าที่เกิดจากการเผา) แต่ก็มักจะโดนโจมตีเรื่องแก๊สมลพิษที่เกิดจากการเผาไหม้ขยะ

ดังนั้นจะว่าไปแล้วทั้งฝังทั้งเผาต่างก็ควรต้องใช้ร่วมกัน เพราะเถ้าที่เกิดจากการเผาก็ต้องนำไปฝัง และการเผาก็ช่วยลดปริมาณขยะที่ต้องฝัง (ขยะฝังกลบก็คือภาระที่คนรุ่นหลังต้องแบกรับเอาไว้) ดังนั้นวันนี้จะมาลองตั้งประเด็นพิจารณาเรื่องการเผาขยะกันหน่อย โดยเฉพาะขยะพลาสติก

รูปที่ ๑ ลองจัดกลุ่มพอลิเมอร์ตามธาตุที่เป็นองค์ประกอบ

เคยเห็นในประเทศญี่ปุ่น ที่มีการแยกขยะก่อนทิ้งกันอย่างแพร่หลาย โดยการแยกขยะทิ้งนั้นอย่างน้อยจะแยกเป็น "ขยะที่เผาได้" และ "ขยะที่เผาไม่ได้" โดยความเห็นส่วนตัวแล้วการแยกขยะแบบนี้มันก็มีข้อดีในการจัดการกับขยะที่ไม่สามารถนำไปแปรรูปใหม่ได้แต่สามารถเผาได้ เช่นพวกบรรจุภัณฑ์พลาสติกและกระดาษแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง (เช่น กล่อง, ถาด, ฟิล์ม, ถ้วย) ที่ใช้บรรจุอาหารต่าง ๆ, อุปกรณ์การบริโภคแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง (เช่น หลอดดูด, ช้อน ส้อม ที่ทำจากพลาสติก, ตะเกียบไม้, กระดาษ/ฟิล์มที่ห่อหุ้มอุปกรณ์เหล่านี้), ป้ายกระดาษที่ติดมากับตัวผลิตภัณฑ์, ไปจนถึงกระดาษชำระและเศษกระดาษชิ้นเล็กชิ้นน้อย

ขยะที่เป็นไม้หรือเป็นกระดาษมันไม่มีปัญหาในการเผา เพราะองค์ประกอบหลักของมันคือเซลลูโลส (cellulose) เหมือนกัน ที่มีปัญหามากกว่าน่าจะเป็นพวกพลาสติก เพราะแม้ว่ามันจะติดเผาไหม้ได้ แต่ความยากง่ายในการเผานั้นขึ้นกับโครงสร้างโมเลกุลและองค์ประกอบทางเคมี รูปที่ ๑ ข้างต้นเป็นการทดลองจำแนกพลาสติกที่เป็นที่รู้จักกันทั่วไปและส่วนใหญ่ก็มีการใช้งานกันอยู่ภายในครัวเรือน (คือรายชื่อยังมีเพิ่มเติมนอกเหนือจากนี้อีกนะ)

โครงสร้างที่เผาไฟได้ยาก (คือเผาได้ แต่อาจต้องใช้อุณหภูมิสูงหน่อย) คือพวกที่มีโครงสร้างวงแหวนอะโรมาติก (เช่นพวก PS, PET) และโครงสร้างที่มีการเชื่อมโยงแบบขวาง (crosss linked) (เช่น Bakelite, Melamine) อะตอมที่ก่อปัญหาในการเผาก็คืออะตอมธาตุฮาโลเจน (เช่น Cl ใน PVC) เพราะถ้ามีมากมันจะทำให้ตัวพอลิเมอร์เองไม่ติดไฟด้วยซ้ำ อะตอม O จะว่าไปเป็นตัวช่วยจ่ายออกซิเจนให้กับการเผาไหม้ ในขณะที่อะตอม N ถ้าอยู่ในรูปของหมู่ไนโตร (-NO2) ก็เป็นตัวช่วยจ่ายอะตอมออกซิเจนในการเผาไหม้ แต่มันก็อาจเพิ่มการเกิดแก๊ส NOx ได้ถ้าควบคุมการเผาไหม้ไม่ดี (คือปรกติ NOx มันก็จะเกิดจากปฏิกิริยาระหว่าง N2 และ O2 ในอากาศได้เองอยู่แล้วในกระบวนการเผาไหม้ โดยเฉพาะถ้าอุณหภูมิการเผาไหม้สูงก็จะเกิดมากตามไปด้วย)

รูปที่ ๒ กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการผลิตไฟฟ้า การผลิตพลาสติก และการกำจัดขยะพลาสติก

รูปที่ ๒ ข้างบนเป็นแผนผังกระบวนการที่เห็นว่าน่าจะนำมาร่วมพิจารณาในการเผาขยะ คือการใช้ขยะพลาสติกเป็นเชื้อเพลิงเพื่อผลิตพลังงานความร้อน/กระแสไฟฟ้าทดแทนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล เพราะถ้ามองจากผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม พลาสติกก็คือการนำเอาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่ได้มาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ชนิดอื่นเพื่อการใช้งานในครัวเรือนก่อน หลังจากที่มันผ่านการใช้งานสุดท้ายแล้วก็นำไปเผาเพื่อผลิตพลังงานความร้อน/กระแสไฟฟ้า ซึ่งอาจจะเป็นโรงไฟฟ้าที่ใช้ขยะเป็นเชื้อเพลิงเพียงอย่างเดียว หรือเผาร่วมกับชีวมวลอื่นในโรงไฟฟ้าชีวมวล และจะว่าไปแล้วมันมีขยะประเภทหนึ่งที่การจัดการที่ดีที่สุดก็คือการเผา นั่นก็คือขยะติดเชื้อจากโรงพยาบาล เช่นพวกอุปกรณ์ทางการแพทย์ต่าง ๆ ที่ใช้เพียงครั้งเดียวทิ้ง (เช่น สายยาง, ถุงน้ำเกลือ, ถุงโลหิต, หลอดฉีดยา, ก้านสำลี, ผ้า/กระดาษซับต่าง ๆ)

แต่ด้วยการที่ขยะนั้นมีความหลากหลายด้านโครงสร้างโมเลกุล การออกแบบการเผาขยะเพื่อให้เผาโมเลกุลทุกชนิดได้อย่างสมบูรณ์และระบบจัดการแก๊สไอเสียจากการเผาไหม้ จึงเป็นเรื่องท้าทายมากกว่าการออกแบบโรงงานที่วัตถุดิบมีองค์ประกอบคงที่ แต่จะว่าไปก็ไม่เกินความสามารถของเทคโนโลยีปัจจุบันที่มีอยู่ เพียงแต่ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าอาจจะสูงกว่า แต่ในภาพรวมก็ได้รับการชดเชยในแง่ของการจัดการขยะฝังกลบที่ลดลง