แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ น้ำกระด้าง แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ น้ำกระด้าง แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2567

ความกระด้าง (Hardness) ของน้ำกับปริมาณของแข็งทั้งหมด ที่ละลายอยู่ (Total Dissolved Solid - TDS) MO Memoir : Wednesday 18 September 2567

ในช่วงที่หลักสูตรของภาควิชายังให้นิสิตปี ๒ เรียนวิชาเคมีวิเคราะห์นั้น ในส่วนของวิชาปฏิบัติการก็มีการทดลองให้นิสิตทำการวิเคราะห์น้ำดื่ม เรียกว่าถ้าอยากรู้ว่าที่กินอยู่นั้นประกอบด้วยอะไรบ้าง ก็ให้ไปเอามาทดลอง ค่าที่วัดก็ประกอบด้วย ความเป็นด่าง (alkalinity), ความกระด้าง (hardness) และค่าการนำไฟฟ้า (conductivity)

การวัดค่าความเป็นด่างของน้ำดื่มคือการวัดปริมาณ HCO3-, CO32- และ OH- สำหรับน้ำดื่มที่ได้มาจากแหล่งน้ำธรรมชาติแล้ว ปริมาณ HCO3- และ CO32- ขึ้นอยู่กับแหล่งที่มาของน้ำว่าไหลผ่านหินปูน (CaCO3) มาหรือเปล่า แต่ไม่ควรพบ OH- และถ้าพบ OH- ในแหล่งน้ำธรรมชาติก็น่าสงสัยว่ามันน่าจะมีอะไรที่ไม่ปรกติ

การวัดความกระด้างคือการวัดปริมาณไอออนที่มีประจุตั้งแต่ 2+ ขึ้นไป โดยตัวหลักที่พบในธรรมชาติก็จะเป็น Ca2+ โดยอาจพบ Mg2+ บ้าง ซึ่งตรงนี้ก็ขึ้นกับแหล่งที่มาของน้ำอีก สำหรับน้ำที่ไหลผ่านหินปูนนั้นก็จะมีทั้งความกระด้างและความเป็นด่าง แต่บางรายก็จะนำเอาน้ำนั้นไปผ่านกระบวนการแลกเปลี่ยนไอออน (ion-exchange) โดยเปลี่ยน Ca2+ เป็น Na+ หรือกำจัดไอออน ก็ทำให้ความกระด้างนั้นหายไป

ส่วนการวัดค่าการนำไฟฟ้าก็เป็นการวัดปริมาณ "ไอออน" ที่อยู่ในน้ำนั้น ไม่ได้มองเห็นเฉพาะแค่ไอออนที่มีประ ประจุตั้งแต่ 2+ ขึ้นไปที่เป็นตัวทำให้น้ำกระด้าง พวกประจุ 1+ ก็มองเห็นเช่นกัน แต่พวกนี้ไม่ได้ทำให้น้ำกระด้าง)

รูปที่ ๑ ภาพผลการทดลองที่เห็นคนแชร์ต่อกันมา ผมอ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออก แต่รู้ว่าการเอาตัวเลขค่า TDS ไปแปลเป็นค่าความกระด้างนั้นมันทำไม่ได้

ตัวทำละลายที่เป็นโมเลกุลมีขั้ว (เช่น น้ำ เอทานอล) มันสามารถนำไฟฟ้าได้บ้าง แต่ก็จัดว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับเวลาที่มีไอออนละลายอยู่ อย่างเช่นน้ำบริสุทธิ์จะมีค่าการนำไฟฟ้าที่ต่ำมาก (จนบางงานถือว่าเป็นฉนวนไฟฟ้าได้) แต่ถ้ามีเกลือแร่ละลายอยู่จะนำไฟฟ้าได้ดีขึ้นมาก ที่เราโดนไฟฟ้าดูดเวลาที่อยู่ในที่ชื้นแฉะหรือตัวเปียกน้ำ ก็เป็นเพราะน้ำทั่วไปมักจะมีเกลือแร่ละลายปนอยู่ จึงทำให้มันนำไฟฟ้าได้ดีมาก ด้วยเหตุนี้จึงมีการนำเอาค่าการนำไฟฟ้าของน้ำมาบ่งบอกถึงปริมาณของแข็งที่ละลายอยู่ในน้ำ ทำนองว่าถ้าน้ำนั้นมีค่าการนำไฟฟ้าสูง ก็จะมีของแข็งละลายอยู่มาก

แต่มันก็ไม่จริงเสมอไป

แก๊สที่ละลายน้ำแล้วแตกตัวเป็นไอออน เช่นแก๊สกรดต่าง ๆ (เช่น HCl) เมื่อละลายน้ำจะทำให้ค่าการนำไฟฟ้าสูงขึ้นมาก (ดูรูปที่ ๒) แต่ถ้านำไประเหยน้ำนั้นจนแห้ง มันจะไม่เหลืออะไร หรือในกรณีของน้ำตาลทราย ถ้าเราเอาน้ำตาลทรายไปละลายน้ำ น้ำเชื่อมก็ถือว่าเป็นน้ำที่มีของแข็งละลายอยู่ แต่ถ้าวัดค่าการนำไฟฟ้าของน้ำเชื่อมมันไมได้เปลี่ยนแปลงไปมาก

วิธีที่ถูกต้องที่สุดในการวัดปริมาณของแข็งที่ละลายอยู่ในน้ำคือการนำน้ำไประเหยแล้วดูว่ามีของแข็งเหลือตกค้างในปริมาณเท่าใด เพราะมองเห็นเฉพาะส่วนที่เป็นของแข็งที่ละลายอยู่ (มองไม่เห็นแก๊สที่ละลายอยู่) และยังมองเห็นของแข็งที่ละลายน้ำแล้วไม่แตกตัวเป็นไอออนด้วย (เช่นน้ำตาลทราย) แต่วิธีการนี้มีข้อเสียคือใช้เวลามาก

สิ่งที่เห็นตอนให้นิสิตทำแลปวิเคราะห์น้ำดื่มคือค่าการนำไฟฟ้านั้นสัมพันธ์กับกระบวนการผลิตน้ำดื่ม น้ำดื่มที่ผลิตด้วยกระบวนการ reverse osmosis จะมีค่าการนำไฟฟ้าต่ำ เพราะมันเอาไอออนต่าง ๆ ออกจากน้ำไปมาก นิสิตบางคนก็คิดว่าน้ำที่มีค่าการนำไฟฟ้าต่ำจะเป็นน้ำดื่มที่ดี พอถามว่ากล้าดื่มน้ำกลั่นไหม (ค่าการนำไฟฟ้าต่ำกว่าพวกที่แสดงในตารางในรูปที่ ๑ อีก) ก็ตอบกลับมาว่าไม่กล้า

น้ำที่ผลิตด้วยกระบวนการแลกเปลี่ยนไปออนด้วยการนำเอาไอออน 2+ ออกไป แล้วแทนที่ด้วยไอออน 1+ ที่เบากว่าจะมีค่าการนำไฟฟ้าที่สูง น้ำพวกนี้ถ้านำมาวัดค่าการนำไฟฟ้าจะพบว่าสูงกว่าน้ำประปาหรือน้ำแร่อีก แต่พอวัดค่าความกระด้างกลับตรวจไม่พอ ในทางตรงกันข้ามน้ำแร่ที่เขาโฆษณาไว้ข้างขวดว่าอุดมไปด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ นอกจากจะพบว่ามีค่าการนำไฟฟ้าที่สูงแล้ว ยังพบว่ามีความกระด้างสูงด้วย สูงกว่าน้ำประปากรุงเทพอีก

บางคนไม่กล้ากินน้ำประปา (แม้ว่าจะต้มสุกแล้วก็ตาม) ด้วยเกรงว่ากินแล้วจะเป็นนิ่ว แต่สามารถดื่มน้ำแร่ได้อย่างสบายใจ ทั้ง ๆ ที่น้ำแร่มีความกระด้างสูงกว่าอีก

รูปที่ ๒ ค่าการนำไฟฟ้าของน้ำเมื่อมีสารที่ละลายน้ำแล้วแตกตัวให้ไอออนละลายอยู่ ที่ระดับความเข้มข้นต่าง ๆ

วันพฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

น้ำด่าง น้ำอัลคาไลน์ น้ำดื่ม MO Memoir : Thursday 4 July 2556

เมื่อคืนวันจันทร์มีคนถามผมมาทาง facebook เรื่องเกี่ยวกับ "น้ำอัลคาไลน์" ที่มีคนทางบ้านเขามาเชิญชวนให้เขาดื่ม แถมยังถามเขาด้วยว่าประกอบด้วยอะไรบ้าง พอเขาตอบไปว่าไม่รู้ก็โดนว่าสวนกลับมาว่าเรียนวิศวกรรมเคมีแล้วเรื่องพวกนี้ไม่รู้ได้อย่างไร (ผมก็แปลกใจตรงที่ถ้าคนซื้อมาดื่มเขายังไม่สนเลยว่าเขาดื่มอะไรลงไป ทำไมเขาจึงสนใจมาคาดคั้นเอากับคนอื่นที่ไม่สนใจดื่มน้ำนั้นว่าน้ำที่เขาดื่มนั้นประกอบด้วยอะไรบ้าง) บังเอิญเห็นที่บ้านมีคนเอามาวางไว้ขวดนึง แถมในขณะนี้ทางแลปที่สอนอยู่ก็มีการทดลองเรื่องนี้อยู่พอดี ก็เลยถือโอกาสเอามาร่วมวงด้วยเลย

ที่จะเขียนต่อไปอาศัยความรู้ทางทฤษฎีที่เรียนมาและประสบการณ์ส่วนหนึ่งที่ประสบมา แต่ก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับน้ำด่างหรือน้ำอัลคาไลน์ที่มีคนเขาเอามาขายกัน โดยจะเขียนจากมุมมองของคนที่เป็นวิศวกรรมเคมีเขียนให้คนที่เป็นวิศวกรรมเคมีอ่าน ดังนั้น (โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ใช่วิศวกรรมเคมี) กรุณาใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วย

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเริ่มมีกระแสน้ำดื่มเพื่อสุขภาพในอีกรูปแบบหนึ่งออกมา คือการดื่ม "น้ำด่าง" หรือเรียกให้เป็นฝรั่งหรือให้คนรู้สึกว่าเป็นวิชาการหน่อย (แต่คนฟังจะรู้ความหมายหรือเปล่าก็ไม่รู้) ว่า "น้ำอัลคาไลน์" ทำนองว่าเป็นภูมิปัญญาชาวบ้าน ใช้ดื่มเพื่อสุขภาพ (อันนี้ไม่ขอออกความเห็น) ช่วยไปลดความเป็นกรดให้กับเลือด (อันนี้ผมยังติดใจอยู่) ฯลฯ โดยรวมก็คือเห็นมีการเอาข้อมูลที่ว่าถ้าเลือดเป็นกรดจะไม่ดีต่อร่างกาย เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคต่าง ๆ (ตรงนี้เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกที) 
  
ประเด็นหนึ่งที่สำคัญที่ผมสงสัยคือมันอยู่ตรงนี้คือ ถ้าเลือดมีความเป็นกรด แล้วดื่มน้ำที่เป็นด่าง ด่างที่อยู่ในน้ำจะเข้าไปสะเทินกรดในเลือดได้จริงเหรอ
 

รูปที่ ๑ (ซ้าย) ขวดน้ำตัวอย่างที่นำมาวิเคราะห์ บอกไว้ข้างขวดว่าทำจากเถ้าของกาบมะพร้าว (ขวา) น้ำในขวดมีลักษณะดูเหมือนว่าจะขุ่นเล็กน้อย ไม่ใสเหมือนน้ำดื่มปรกติ แต่มองไม่เห็นอนุภาคแขวนลอย เลยสงสัยว่าอาจจะมีอนุภาคแขวนลอยขนาดเล็กมากที่ตาเปล่ามองไม่เห็น แต่ยังใหญ่พอที่จะทำให้เกิดการกระเจิงแสงได้

เท่าที่ผมพอทราบคือปรกติร่างกายคนเราจะขับสารเคมีต่าง ๆ (อาจเป็นสารอินทรีย์หรือไอออนโลหะ) ได้ก็ต่อเมื่อสารเหล่านั้นอยู่ในโครงสร้างที่ละลายน้ำได้ พอละลายน้ำได้ก็จะแพร่เข้าสู่กระแสเลือด และไปกรองออกที่ไต ก่อนจะขับออกทางปัสสาวะ
 
ในกรณีของสารอินทรีย์นั้น ที่เห็นมีฤทธิ์เป็นเบสเห็นจะได้แก่พวกเอมีน (amine) ต่าง ๆ แต่สำหรับสารอินทรีย์ทั่วไป เวลาที่ร่างกายจะเปลี่ยนเป็นสารที่ละลายน้ำได้ ปฏิกิริยาเคมีในร่างกายมักจะทำการ ออกซิไดซ์ สารเหล่านั้นเพื่อทำให้เกิดเป็นโครงสร้างที่มีขั้วที่สามารถจับกับโมเลกุลน้ำได้ และหนึ่งในโครงสร้างสำคัญของสารอินทรีย์ที่จับกับโมเลกุลน้ำได้ที่เกิดจากการออกซิไดซ์ของร่างการคือหมู่ carboxyl (-COOH) ซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรด 
  
ไอออนโลหะหลัก ๆ ที่เห็นอยู่ในพืชทั่วไปเห็นจะได้แก่แมกนีเซียม (Mg) และโพแตสเซียม (K) โดย Mg นั้นอยู่ในโครงสร้างคลอโรฟิลล์ (chlorophyll) ที่ใช้ในการสังเคราะห์แสง (แต่พืชก็ต้องดูดซึม Mg จากดินผ่านลำต้นไปส่งให้ที่ใบอยู่ดี) ส่วน K จะไปอยู่ที่ไหนนั้นผมก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าปุ๋ยเคมีที่ใช้กันที่เรียกว่า NPK (อ่านปุ๋ยเอ็นพีเค) นั้นจะมีแร่ธาตุหลักอยู่ ๓ ตัวคือ ไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P) และโพแตสเซียม (K) ส่วนจะมีในสัดส่วนเท่าไรขึ้นอยู่กับชนิดปุ๋ย ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าแร่ K และ P เป็นแร่ธาตุที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตของพืช (ไม่ยักมีปุ๋ย Mg) ส่วนพืชบางชนิดเช่นข้าวและไผ่จะมีการดูดซึมซิลิกอน (Si) เข้าไปด้วย โดยในข้าวจะมี Si อยู่เยอะที่ตัวแกลบ ถ้าเป็นต้นไผ่ก็จะอยู่ที่ลำต้น
 
แร่ธาตุเหล่านี้จะสะสมอยู่ในส่วนต่าง ๆ ของพืชร่วมกับส่วนที่เป็นสารอินทรีย์ (C-H-O เป็นหลัก โดยมี N และ S ร่วมวงอยู่บ้าง) พอเราเอาพืชไปเผา ส่วนที่เป็นโครงสร้างสารอินทรีย์ก็จะสลายตัวไปเป็นแก๊ส เหลือแต่ส่วนที่เป็นแร่ธาตุที่จะกลายเป็นขี้เถ้าค้างอยู่
 
ผมไม่เคยเอาขี้เถ้าจากการเผาซากพืชไปวิเคราะห์ แต่ถ้าให้เดาจากชนิดแร่ธาตุที่มีอยู่ก็ขอเดาว่าน่าจะเป็นสารประกอบออกไซด์ (oxide - O2-) ไฮดรอกไซด์ (hydroxide - OH-) หรือฟอสเฟต (phosphate - PO33-) ของไอออน Mg2+ และ K+ โดยอาจมีคาร์บอเนต (carbonate - CO32-)/ไบคาร์บอเนต (bicarbonate - HCO3-) ที่เกิดจากออกไซด์และไฮดรอกไซด์จับคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ที่เกิดจากการเผาไหม้เอาไว้ร่วมอยู่ด้วย และถ้ามีซิลิกอนอยู่ก็จะกลายเป็น SiO2 ไป สารประกอบไฮดรอกไซด์และคาร์บอเนตนั้น ถ้าเผาที่อุณหภูมิสูงมากพอก็จะสลายตัวเป็นสารประกอบออกไซด์ได้
  
แต่ถ้าเป็นพืชที่ขึ้นในพื้นที่ที่ปนเปื้อนโลหะหนัก เถ้าที่ได้จากการเผาก็จะมีโลหะหนักที่พืชดูดซับขึ้นมาจากดินปะปนอยู่ด้วย
 
เกลือต่าง ๆ ที่ได้จากการเผาซากพืชที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเป็นเกลือที่เมื่อละลายน้ำแล้วจะทำให้น้ำมีฤทธิ์เป็นเบส ดังนั้นจึงไม่แปลกที่คนโบราณจะใช้น้ำขี้เถ้านั้นในการทำสบู่และการชะล้างไขมัน เพราะตัวเบสเองสามารถทำให้โมเลกุลไขมัน (เป็นเอสเทอร์ระหว่างกรดไขมันกับกลีเซอรอล) แตกออกตรงพันธะเอสเทอร์ กลายเป็นหมู่คาร์บอกซิล (RCOO-) ที่มีความเป็นขั้ว แต่ถ้าจะให้ดีก็ควรต้องนำไปทำเป็นสบู่ก่อน โดยโมเลกุลของสบู่จะเอาด้านที่ไม่มีขั้วไปจับกับโมเลกุลไขมัน และเอาด้านที่มีขั้วไปจับกับโมเลกุลน้ำ ทำให้ดึงเอาโมเลกุลไขมันมาล่อยลอยอยู่ในโมเลกุลน้ำได้
  
ในส่วนของตัวผมเองนั้นไม่รู้สึกแปลกใจอะไรถ้ามีคนมาบอกว่าเวลาเอาขี้เถ้ามาผสมกับน้ำจะทำให้น้ำที่ได้นั้นมีฤทธิ์เป็นด่าง และถ้าถามผมว่าน้ำนั้นควรประกอบด้วยแร่ธาตุอะไรบ้าง ที่เขียนมาข้างต้นก็คือแร่ธาตุกลุ่มที่ผมจะมองหาเป็นพวกแรก ๆ
  
ที่เขียนมานั้นเป็นการเตรียมน้ำด่างจากเถ้าที่ได้จากการเผาซากพืช แต่ยังมีน้ำด่างอีกประเภทหนึ่งที่เตรียมจากเครื่องที่ใช้ไฟฟ้า
 
ผมเองหารายละเอียดการทำงานของเครื่องผลิตน้ำด่างสำหรับบริโภคด้วยไฟฟ้าไม่ได้ รู้แต่ว่าในอุตสาหกรรมเคมีนั้นมีการผลิตน้ำด่างด้วยกระแสไฟฟ้ามานานแล้ว น้ำด่างที่ผลิตด้วยกระแสไฟฟ้าในอุตสาหกรรมคือการผลิต "โซดาไฟ" ด้วยการผ่านกระแสไฟฟ้าลงไปในสารละลาย NaCl

รูปที่ ๒ (บน) เอาไปวัดค่า pH พบว่าได้ค่าตั้ง 12.55 แสดงว่าที่เขาโฆษณาไว้ข้างขวดว่าเป็นชนิดเข้มข้นคา pH 12 นั้นเป็นอย่างที่เขาติดฉลากเอาไว้ (ล่าง) พอเอาไปวัดค่า conductivity พบว่าสูงถึง 10.21 mS/cm แสดงว่ามีไอออนจำนวนมากละลายอยู่ในน้ำนั้น

น้ำบริสุทธิ์นั้นนำไฟฟ้าได้ไม่ดี แต่ถ้ามีเกลือละลายอยู่จะนำไฟฟ้าได้ดีขึ้น ถ้าเราเอาน้ำบริสุทธิ์มาแล้วเติมกรด H2SO4 (กรดกำมะถันที่ใช้เติมแบตเตอรี่รถยนต์) ลงไปเล็กน้อยมา จุ่มขั้วไฟฟ้ากระแสตรงขั้วบวกและขั้วลบลงไปแล้วผ่านกระแสไฟฟ้า (ขั้วไฟฟ้าที่ใช้ควรจะทนต่อปฏิกิริยาหน่อยนะ เช่นเคลือบด้วยโลหะพลาทินัม (Pt หรือทองคำขาว) ไม่เช่นนั้นขั้วไฟฟ้าจะสลายตัวแทน) โมเลกุลน้ำจะแตกตัวออกเป็น H+ กับ OH- โดย H+ จะไปรับอิเล็กตรอนที่ขั้วลบกลายเป็นแก๊สไฮโดรเจน ส่วน OH- จะไปจ่ายอิเล็กตรอนที่ขั้วบวก เกิดเป็นแก๊สออกซิเจน ส่วนโมเลกุลกรด H2SO4 ใส่ลงไปเท่าใดก็ยังคงมีเท่านั้นเหมือนเดิม (แอโนด - anode คือขั้วที่เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน ส่วนแคโทด - cathode คือขั้วที่เกิดปฏิกิริยารีดักชัน)
  
ทีนี้ถ้าเราเปลี่ยนเป็นเกลือ NaCl (เกลือแกงตามบ้าน) แทนกรดกำมะถัน ถ้าไปดูค่าศักย์ไฟฟ้าครึ่งเซลล์จากตารางจะทำให้เราคาดว่าในกรณีนี้น่าจะเกิดแก๊สออกซิเจนที่ขั้วลบและไฮโดรเจนที่ขั้วบวกเหมือนกับตอนใช้กรดกำมะถัน แต่พอเอาเข้าจริงกลับพบว่าที่ขั้วลบยังเกิดแก๊สไฮโดรเจนอยู่ แต่ที่ขั้วบวกแทนที่ OH- ที่เกิดจากน้ำแตกตัวเป็นไฮโดรเจนที่ขั้วลบจะไปจ่ายอิเล็กตรอนเพื่อกลายเป็นออกซิเจน กลับปรากฏว่าไอออน Cl- จากเกลือแกงที่ใส่เข้าไปจะไปจ่ายอิเล็กตรอนและเกิดแก๊สคลอรีน (Cl2) แทน ซึ่งเป็นผลจากการเกิด "over potential" สิ่งนี้ทำให้จำนวนไอออน OH- ในน้ำเพิ่มมากขึ้นในขณะที่จำนวนไอออน Cl- ลดลง น้ำจึงมีค่า pH หรือความเป็นด่างเพิ่มมากขึ้น กล่าวอีกอย่างคือเป็นการเปลี่ยนจากสารละลาย NaCl กลายเป็นสารละลายผสม NaCl + NaOH และถ้าปล่อยไว้นานพอก็จะได้สารละลาย NaOH หรือโซดาไฟแทน (สารละลายที่เขาใช้ใส่ท่อน้ำทิ้งเวลาอุดตันก็คือสารละลายโซดาไฟที่เข้มข้นมากนั่นเอง)

รูปที่ ๓ (บน) บีกเกอร์ใบซ้ายถ่ายหลังการไทเทรตด้วย EDTA ที่ใช้หาความกระด้าง (ไออนโลหะที่มีประจุตั้งแต่ +2 ขึ้นไป) โดยใช้ eriochrome black T เป็นอินดิเคเตอร์ ส่วนใบขวาถ่ายหลังจากการไทเทรตด้วย 0.01 M HCl และใช้ methyl red เป็นอินดิเคเตอร์เพื่อหาค่า alkalinity (ล่าง) ตัวอย่างผลการไทเทรตที่จดบันทึกเอาไว้
  
จากเท่าที่ได้เคยวิเคราะห์น้ำดื่มหลากหลายยี่ห้อเปรียบเทียบกับน้ำประปานั้น (ในแลปเคมีวิเคราะห์ปี ๒) พบว่าน้ำที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการ reverse osmosis (หรือที่เรียกกันว่า RO) นั้นจะมีเกลือแร่ละลายอยู่ในน้ำในระดับหนึ่ง และมักจะมีความเป็นเบสอยู่เล็กน้อยอยู่แล้ว ในขณะที่น้ำที่ผ่านกระบวนการ reverse osmosis นั้นปริมาณเกลือแร่ในน้ำจะลดต่ำลงมาก (วิ่งเข้าหาระดับน้ำกลั่น) ส่วนจะมีเกลือแร่อะไรบ้างนั้นขึ้นอยู่กับว่าน้ำนั้นมาจากแหล่งใด จากสถานที่ใด
  
ส่วนเบสที่ตรวจพบในน้ำดื่มที่ขายกันทั่วไปและน้ำประปา (ที่ได้ทำการทดลองกันในห้องแลประหว่างเรียน) พบว่าจะเป็นพวกคาร์บอเนต (CO32-) และไบคาร์บอเนต (HCO3-) ไม่เคยตรวจพบเบสไฮดรอกไซด์ (OH-)
  
ร่างกายของคนเรานั้นรักษาค่า pH ในเลือดให้คงที่ (ในช่วงเบส) ด้วยระบบบัฟเฟอร์ บัฟเฟอร์สำหรับค่า pH ที่เป็นเบสนั้นจะใช้กรดอ่อนและเกลือของกรดอ่อน จากที่ค้นข้อมูลดูพบว่าระบบบัฟเฟอร์ที่สำคัญในร่างกายคนเราคือระบบไบคาร์บอเนต (HCO3-) และฟอสเฟต (H2PO4- และ HPO42-) ไฮดรอกไซด์ (OH-) นั้นแม้ว่าจะเป็นไอออนลบมีฤทธิ์เป็นเบสที่แรง แต่ไม่มีคุณสมบัติเป็นบัฟเฟอร์

การวัดค่าความเป็นเบสของน้ำหรือที่เรียกว่า "alkalinity" นั้นกระทำได้ด้วยการไทเทรตกับสารละลายกรด H2SO4 หรือ HCl โดยการไทเทรตในช่วงแรกนั้นจะใช้ phenolphthalein เป็นอินดิเคเตอร์ไทไทรตจากมีสีไปเป็นไม่มีสี การไทเทรตในช่วงนี้จะเป็นการไทเทรต OH- และ CO32- (และ HPO43- ถ้ามี) ไปเป็น H2O และ HCO3- (และ H2PO4-) จากนั้นจะทำการไทเทรตช่วงที่สองโดยใช้ methyl red เป็นอินดิเคเตอร์ โดยในช่วงนี้จะเป็นการไทเทรต HCO3- (และ H2PO4-) ไปเป็น H2CO3 (และ H3PO4) ปริมาณกรดที่ใช้ในช่วงการไทเทรต phenolphthalein จากมีสีเป็นไม่มีสี (ให้เป็นค่า V1) เทียบกับปริมาณกรดที่ใช้ในการไทเทรต methyl red จากสีเหลืองเป็นสีแดง (ให้เป็นค่า V2) จะบ่งบอกให้ทราบถึงสัดส่วนของ OH- และ CO32- (และ HPO43- ถ้ามี) ในน้ำตัวอย่างนั้น ถ้า V1 มากกว่า V2 แสดงว่าน้ำนั้นมี OH- ปนอยู่ (ปริมาณคำนวณได้จากผลต่างระหว่างค่า V1 กับ V2) แต่ถ้าค่า V1 น้อยกว่าค่า V2 แสดงว่าน้ำนั้นไม่น่าจะมี OH- ปนอยู่
  
การหาปริมาณไอออนโลหะที่มีประจุตั้งแต่ 2+ (หรือการหาค่าความกระด้างของน้ำ) ขึ้นไปใข้การไทเทรตกับ EDTA เข้มข้น 0.01 M โดยใช้ eriochrome black T เป็นอินดิเคเตอร์ ในการไทเทรตนี้ EDTA จะจับกับไอออนตั้งแต่ 2+ ขึ้นไปในอัตราส่วน 1:1 ในกรณีของน้ำด่างที่เอามาไทเทรตนั้นผมเดาว่าตัวหลักน่าจะเป็น Mg2+

น้ำตัวอย่างที่ผมเอามาวิเคราะห์นั้นผมเอาไปวัดค่า pH และค่าการนำไฟฟ้าก่อน ผลออกมาเป็นอย่างไรก็ดูในรูปที่ ๒ เอาเองก็แล้วกัน ที่เคยวัดในแลประหว่างการสอนนั้นพบว่าน้ำประปาจากก๊อกน้ำในแลปวัดได้ค่าการนำไฟฟ้าระดับประมาณ 300 μS/cm ในขณะที่ของน้ำดื่ม RO จะอยู่ในช่วง 40-70 μS/cm ของน้ำดื่มทั่วไปที่ไม่ใช่ RO จะอยู่ในช่วง 100-600 μS/cm และของพวกน้ำแร่นั้นจะสูงกว่า 500 μS/cm แต่ทั้งนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงได้ตามฤดูกาล 
   
จากนั้นจึงนำน้ำตัวอย่าง 10 ml ไปหาค่า alkalinity ด้วยการไทเทรตกับสารละลาย HCl เข้มข้น 0.01 M พบว่าในช่วง phenolphthalein (จากมีสีเป็นสีหายไป) นั้นต้องใช้สารละลายกรด 26.0 ml และช่วง methyl red (จากสีเหลืองเป็นสีแดง) ต้องใช้สารละลายกรด 10.75 ml และเมื่อนำน้ำตัวอย่างไปไทเทรตกับสารละลาย EDTA (ethylenediamine tetraacetic acid) เข้มข้น 0.01 M พบว่าต้องใช้สารละลาย EDTA 4.8 ml (รูปที่ ๓)

มาถึงจุดนี้ผมไม่รู้ว่าคำถามที่เขาถามผมมาว่า "ถ้าเช่นนั้นผมเอายาลดกรดมาผสมน้ำกินจะได้ผลเหมือนกันหรือไม่" เขาได้คำตอบแล้วหรือยัง (ยาลดกรดบางยี่ห้อใช้สูตรที่ใช้สารประกอบ Mg ที่เป็นด่างด้วยนะ)

Memoir ฉบับถัดไปคงเป็นฉบับส่งท้ายปีที่ ๕ และขึ้นสู่ปีที่ ๖

วันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ทำไมน้ำกระด้างจึงมีฟอง MO Memoir : Tuesday 19 June 2555


ตอนที่พาลูกเข้าโรงเรียนอนุบาลนั้น ทางครูโรงเรียนอนุบาลก็อธิบายให้ทราบก่อนว่าที่โรงเรียนแห่งนี้จะไม่เน้นหนักในด้านวิชาการ แต่จะเน้นหนักในด้านการพัฒนาการ ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย (การพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก กล้ามเนื้อมัดใหญ่) ด้านสมอง (ให้รู้จักคิด สังเกต และสร้างสรร) จะใช้วิธีการให้เด็กสนุกสนานไปกับการเรียน เห็นการเรียนเป็นการเล่นสนุก

ผลที่ออกมาก็คือพอจบอนุบาลเข้าเรียนประถม ๑ ลูกผมยังอ่านหนังสือได้เป็นคำ ๆ ได้แต่คำง่าย ๆ ผลการทดสอบด้านคณิตศาสตร์และภาษาไทยออกมาต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของเด็กที่เข้าเรียนรุ่นเดียวกัน มีแต่คะแนนความพร้อมเท่านั้นที่อยู่ในเกณฑ์สูง ในขณะที่เด็กที่เรียนอนุบาลมาจากโรงเรียนที่เน้นด้านวิชาการสามารถอ่านหนังสือเป็นเล่มได้ แต่ทางครูประจำชั้นบอกว่าไม่ต้องกังวล เดี๋ยวก็ไล่ทันเอง และพอขึ้นภาคการศึกษาที่ ๒ ลูกผมก็สามารถอ่านหนังสือไล่ทันเด็กรุ่นเดียวกันที่อ่านได้ตั้งแต่เรียนอนุบาล

แต่ในวิชาศิลปลูกผมไปได้สบาย ไม่ว่าจะเป็นการวาดหรือการประดิษฐ์สิ่งของ บังเอิญมีโอกาสได้คุยกับผู้ปกครองรายหนึ่งที่ส่งลูกเรียนโรงเรียนอนุบาลที่เน้นด้านวิชาการ เขาบ่นให้ฟังว่าลูกเขามีปัญหาเรื่องวิชาศิลป เรียกว่าทำออกมาไม่ได้เรื่องจนทางบ้านต้องส่งไปเรียนพิเศษ

ตรงนี้ผมคิดเอาเองนะว่าคงเป็นเพราะว่าลูกของเขาเรียนมาโดยเน้นไปที่การอ่าน หรือการคิดเลข ไม่ได้ฝึกให้ใช้กล้ามเนื้อ โดยเฉพาะมือ ในการทำงานต่าง ๆ ผลที่ออกมาคือพอต้องทำงานประดิษฐ์ที่ต้องการความปราณีต ก็เลยมีปัญหา

รูปที่ ๑ (ซ้าย) การบีบลูกยางที่เห็นนิสิตส่วนใหญ่ทำกัน คือใช้นิ้วก้อย นิ้วนาง นิ้วกลางและนิ้วชี้ บีบลูกยาง แต่วิธีที่พวกผมเรียนกันมาและพบว่าควบคุมการปล่อยอากาศได้ดีกว่าคือการใช้นิ้วโป้งบีบและค่อย ๆ ปล่อย (ขวา)

ที่ยกเรื่องดังกล่าวมาเล่าก็เพราะสังเกตมาหลายปีแล้ว พบว่าเวลาใช้ปิเปตนั้นนิสิตส่วนใหญ่จะนิยมใช้อุ้งมือกับนิ้วมืออีกสี่นิ้ว (คือไม่ใช่นิ้วหัวแม่มือ) ในการบีบลูกยางและควบคุมการปล่อยอากาศ และจะใช้นิ้วหัวแม่มืออุดรูด้านบนเมื่อถอนลูกยางออกไป

แต่ก่อนผมเรียนทำแลปเคมี อาจารย์ก็จะสอนให้ใช้นิ้วหัวแม่มือบีบลูกยาง และใช้นิ้วชี้อุดรูด้านบนของปิเปต ทั้งนี้ก็เพราะเราสามารถควบคุมการปล่อยลมด้วยนิ้วหัวแม่มือเพียงนิ้วเดียวได้ดีกว่าการใช้อุ้งมือและนิ้วอีกสี่นิ้ว แต่ในการเปิดรูด้านบนของปิเปตเพื่อปรับระดับของเหลวในปิเปตนั้น การใช้นิ้วชี้จะทำได้ดีกว่าเพราะให้ความรู้สึกสัมผัสที่ดีกว่านิ้วหัวแม่มือ จะสามารถควบคุมการปรับระดับของเหลวได้ดีกว่า

แต่พอแนะนำให้นิสิตทำตามเขาตอบกลับมาว่าทำแบบที่ผมแนะนำนั้นเขาไม่ถนัด เขาถนัดที่จะทำตามแบบเดิมของเขามากกว่า ซึ่งผมไม่รู้ว่าเขาไม่ถนัดจริง ๆ หรือเป็นข้ออ้างที่จะทำตามความเคยชิน

สัปดาห์นี้เป็นการทดลองเรื่องการไทเทรตวัดความกระด้างของน้ำและการไทเทรตกรดกำมะถัน โดยเริ่มการเรียนครั้งแรกเมื่อวาน

การหาความกระด้างของน้ำนั้นจะทำการไทเทรตโดยการใช้สารละลาย Ethylene diamine tetra acetic acid หรือที่เรียกย่อ ๆ กันว่า EDTA การทดลองนี้เปรียบเสมือนการไทเทรตกรด-เบส โดยไอออนบวกของโลหะทำหน้าที่เสมือนเป็น Lewis acid (รับคู่อิเล็กตรอน) และโมเลกุล EDTA ทำหน้าที่เสมือนเป็น Lewis base (จ่ายคู่อิเล็กตรอน ที่มีอยู่ ณ ตำแหน่งหมู่ amine (อะตอมไนโตรเจน) และหมู่คาร์บอกซิล)

ก่อนการทดลองนั้นนิสิตจะต้องทำการไทเทรตหาความเข้มข้นที่แน่นอนของสารละลาย EDTA ก่อน โดยต้องเตรียมสารละลายมาตรฐานปฐมภูมิ CaCO3 การเตรียมสารละลายมาตรฐาน CaCO3 ทำได้โดยการชั่ง CaCO3 ให้ทราบน้ำหนักที่แน่นอน จากนั้นทำการละลายด้วยสารละลายกรด HCl ( CaCO3 ละลายน้ำยาก ต้องใช้กรด HCl ช่วยก่อน) แล้วจึงใช้น้ำกลั่นปรับให้ได้ปริมาตรที่ต้องการ

อันที่จริงผมเคยเขียนเรื่องการเตรียมสารละลายด้วยขวดวัดปริมาตรไว้ใน Memoir ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๑๐๒ วันอาทิตย์ที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๕๓ เรื่อง "การเตรียมสารละลายด้วยขวดวัดปริมาตร" แต่บังเอิญไม่ได้เอามาเป็นรายการให้พวกเขาดาวน์โหลด ก็เลยคิดว่าคงไม่มีใครเข้าไปอ่าน และก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะแวะมาอ่านบทความนี้กันหรือเปล่า จะได้รู้ว่าวิธีการที่ถูกเหมาะสมนั้นควรทำอย่างไร

ในการทดลองเมื่อวานผมยืนดูนิสิตกลุ่มหนึ่งกำลังพยายามปรับปริมาตรน้ำในขวดวัดปริมาตรเพื่อเตรียมสารละลาย CaCO3 เข้มข้น 0.01 mol/l โดยใช้ "น้ำกลั่น" ที่บีบจาก "ขวดน้ำกลั่น" เติมลงไปในขวดวัดปริมาตร ผมยืนดูเขาอยู่เงียบ ๆ แล้วเขาก็หันมาถามผมว่า ทำไมน้ำกระด้างจึงมีฟองเยอะจัง

ผมก็ไม่ว่าอะไร ปล่อยให้เขาทำการเติม "น้ำกลั่น" ต่อไป และก็ถ่ายรูปการเติม "น้ำกลั่น" ของเขามาให้ดูกัน (รูปที่ ๒ ซ้าย)

พอถ่ายรูปเสร็จผมก็บอกเขาว่า มันจะไม่มีฟองได้อย่างไร ก็ในเมื่อน้ำที่คุณเติมลงไปในขวดวัดปริมาตรนั้นมัน "ไม่ใช่ น้ำกลั่น" แต่เป็น "น้ำยาล้างจาน"

เหตุการณ์นี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิด ก่อนหน้านั้นหลายปีแล้วเกิดในระหว่างการทดลองการไทเทรตกรด-เบส ระหว่างที่เดินตรวจความเรียบร้อยในการทำการทดลองของนิสิตนั้น ก็สังเกตุเห็นว่าทำไมตัวอย่างในฟลาสค์ของนิสิตกลุ่มหนึ่งนั้นมีฟองเยอะจัง พอยืนดูอยู่สักพักก็เข้าใจ เพราะนิสิตคนที่กำลังทำการทดลองอยู่นั้นหยิบเอาขวดน้ำยาล้างจานมาฉีดชะสารที่หยดลงมาจากบิวเรต

รูปที่ ๒ (ซ้าย) ขณะที่นิสิตกลุ่มหนึ่งพยายามเติม "น้ำกลั่น" เพื่อปรับปริมาตรในขวดวัดปริมาตร (ขวา) ขวดซ้ายคือขวดน้ำยาล้างจาน ส่วนขวดขวาคือขวดน้ำกลั่น

สาเหตุที่ทำให้นิสิตทำผิดพลาดส่วนหนึ่งก็เป็นความผิดของห้องแลปเอง ตอนนั้นมีการนำขวดน้ำกลั่นเก่า ๆ มาใช้บรรจุน้ำยาล้างจาน (เราซื้อมาเป็นถังใหญ่ แล้วนำมาเจือจางด้วยน้ำและบรรจุในขวดน้ำกลั่นเก่า ๆ วางไว้ตามอ่างล้างเครื่องแก้วต่าง ๆ) ตอนนั้นยังไม่ได้ทำการตัดเอาสายยางที่จุ่มลงไปยังก้นขวดและที่โผล่ยื่นออกมาจากปากขวดทิ้งไป หลังเหตุการณ์ดังกล่าวจึงได้ทำการตัดสายยางที่จุ่มลงไปยังก้นขวดและที่โผล่ยื่นออกมาจากปากขวดออกไป ก็กลายเป็นขวดสีเก่า ๆ ที่แสดงในรูปที่ ๒ (ขวา)

หลังจากนั้นก็ไม่มีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นอีก (หรือผมไม่ทันสังเกตเห็นก็ไม่รู้) จนกระทั่งเมื่อวานนี้ อันที่จริงถ้าเขาสังเกตสักนิดก็จะเห็นว่าของเหลวที่อยู่ในขวดนั้นมันมีฟองแต่ต้นแล้ว และการใช้ขวดดังกล่าวก็ต้องใช้วิธีคว่ำขวดลง ไม่สามารถบีบให้ของเหลวในขวดไหลออกมาในขณะทีขวดวางตั้งอยู่ได้

วันพรุ่งนี้คงต้องคอยลุ้นต่อว่าจะได้เห็นอะไรแปลก ๆ อีกไหม :)