แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ น้ำมันพืช แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ น้ำมันพืช แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2568

ใช้น้ำดับไฟที่เกิดจากไฟฟ้าก็ได้นะ MO Memoir : Tuesday 8 April 2568

รูปข้างล่างนำมาจากภาพที่ทางมหาวิทยาลัยจัดทำขึ้นเผยแพร่ (ตัดมาส่วนหนึ่ง) ลองอ่านดูก่อนนะครับ


เรื่องการแบ่งประเภทของเพลิงไหม้เนี่ย ที่เห็นสอนกันในบ้านเราจะเป็นแบบที่อิงเกณฑ์ของอเมริก (US) ดังเช่นรูปที่นำเอามาแสดง ตอนที่ไปเรียนที่อังกฤษ (UK) นั้นเขาใช้เกณฑ์ที่แตกต่างกันเล็กน้อย กล่าวคือเขาไม่แยกไฟไหม้ที่เกิดจากไฟฟ้าออกมาต่างหากเป็น class หนึ่ง คือเขาถือว่าถ้าตัดกระแสไฟฟ้าออกไปแล้ว เพลิงไหม้นั้นก็จะไปตกอยู่ในกลุ่มเกณฑ์อื่น และสิ่งที่ไหม้ไฟก็ไม่ใช่กระแสไฟฟ้า แต่ก็จะมีการใช้ป้ายเตือนเป็นรูป electric spark (ไม่ได้เป็นตัวอักษร) แทน และมีการแยกเพลิงไหม้ที่เกิดจากน้ำมันทำอาหารไว้ใน Class F (ของอเมริกาจะเป็น Class K)

น้ำบริสุทธิ์นำไฟฟ้าได้แย่มาก หรือจะเรียกว่าไม่นำไฟฟ้าก็ได้ มันนำไฟฟ้าได้แย่ชนิดที่สามารถเอาแผงวงคอมพิวเตอร์ไปแช่ไว้ในน้ำเพื่อระบายความร้อนทั้ง CPU, RAM และการ์ดจอในเวลาเดียวกันได้ แต่ถ้าคิดจะทำต้องมั่นใจก่อนว่าน้ำที่จะนำมาใช้นั้นเป็นน้ำบริสุทธิ์จริง และต้องมั่นใจว่าในขณะที่ใช้งานนั้นน้ำนั้นจะไม่มีสิ่งใดละลายปนเปื้อนเข้าไป เพราะนั่นจะทำให้ไอออนในน้ำเพิ่มมากขึ้น น้ำก็จะนำไฟฟ้าได้ดีขึ้น และที่สำคัญคือน้ำบริสุทธิ์สูงนั้นราคาไม่ถูก ก็เลยไม่มีใครเอามาใช้ในการดับเพลิงกัน ถ้านำไฟดับเพลิงไหม้อุปกรณ์ที่ยังมีกระแสไฟฟ้าหล่อเลี้ยงอยู่ น้ำที่ไหลล้นออกมาจะเป็นตัวนำไฟฟ้าที่นำอันตรายมาสู่ผู้เข้าไประงับเหตุได้

ทีนี้ถ้าเรากลับไปดูที่รูปใหม่ จะเห็นว่าเขาบอกว่าเครื่องดับเพลิงชนิด "Water Pressure" กับ "Foam" นั้นไม่ควรนำไปใช้กับไฟที่เกิดจากกระแสไฟฟ้า เพราะ Foam นั้นมันมีน้ำเป็นส่วนประกอบ

แต่กลับบอกว่าเครื่องดับเพลิงชนิด "Low Water Pressure" (ซึ่งก็เป็นน้ำล้วน ๆ) สามารถใช้ดับเพลิงที่เกิดจากกระแสไฟฟ้าได้ ซึ่งมันสามารถทำให้คนอ่านเข้าใจได้ว่า "สามารถใช้น้ำความดันต่ำดับเพลิงที่เกิดจากกระแสไฟฟ้าได้ แต่ไม่สามารถใช้น้ำที่มีความดันสูงเกินไป"

อันที่จริงเครื่องดับเพลิงที่โปสเตอร์เขียนว่า "Water Pressure" เนี่ยควรเรียกให้ถูกว่า "Pressurized Water Fire Extinguisher" เครื่องเครื่องดับเพลิงชนิดถังน้ำความดัน คือใช้แก๊สความดันในถังฉีดน้ำออกมาเป็นลำน้ำต่อเนื่อง ส่วนเครื่องดับเพลิงที่โปสเตอร์เขียนว่า "Low Water Pressure" ควรเรียกให้ถูกว่าเป็นชนิด "Low Pressure Water Mist Fire Extinguisher" หรือที่มีผู้แปลเป็นไทยว่า "เครื่องดับเพลิงชนิดละอองน้ำความดันต่ำ" คือมันฉีดพ่นน้ำออกมาในรูปของละอองหยดน้ำเล็ก ๆ ความดันต่ำ ไม่ได้เป็นลำน้ำต่อเนื่อง

เราสามารถดับเพลิงด้วยการ การตัดเชื้อเพลิง, ตัดอากาศ (คือตัดออกซิเจน) หรือตัดแหล่งพลังงานความร้อน อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกัน การตัดเชื้อเพลิงจะทำได้ในกรณีที่เชื้อเพลิงนั้นรั่วไหลออกมาจากระบบปิด (เช่น ท่อ ถัง) ในกรณีของเพลิงไหม้ที่เชื้อเพลิงอยู่ในที่เปิดทั่วไปนั้นมักจะทำด้วยการตัดออกซิเจนร่วมกับการตัดแหล่งพลังงานความร้อน เครื่องดับเพลิงที่ใช้แก๊สในการดับนั้น (เช่นคาร์บอนไดออกไซด์) ทำงานด้วยการตัดออกซิเจน แต่ถ้าแก๊สที่ปกคลุมป้องกันอากาศนั้นฟุ้งกระจายออกไปและตัวเชื้อเพลิงหรือบริเวณใกล้เคียงที่เชื้อเพลิงสามารถแพร่เข้าไปถึงได้นั้นยังร้อนอยู่ ไฟก็จะกลับมาลุกใหม่ได้

น้ำที่ฉีดเข้าไปดับไฟนั้น ส่วนใหญ่จะลงไปที่ตัวเชื้อเพลิง ทำหน้าที่ดึงความร้อนออกจากเชื้อเพลิงและบางส่วนก็ลงไปเปียกปิดคลุมผิวเอาไว้ โดยส่วนใหญ่จะไหลล้นออกมา มีเพียงแค่บางส่วนระเหยกลายเป็นไอน้ำที่ไปช่วยลดความเข้มข้นของออกซิเจนบริเวณรอบเชื้อเพลิง น้ำที่ไหลล้นออกมานี่แหละคือตัวที่ทำให้เกิดอันตรายได้ถ้านำไปใช้ดับเพลิงไหม้ที่มีกระแสไฟฟ้าเกี่ยวข้องและยังไม่ได้ตัดกระแสไฟฟ้าออกไป

น้ำที่ฉีดออกมาในรูปหยดน้ำเล็ก ๆ ที่เป็นละอองจะระเหยกลายเป็นไอได้เร็ว การระเหยของละอองน้ำจะดึงความร้อนออกจากสิ่งแวดล้อม พัดลมไอน้ำที่ใช้ลดความร้อนในอากาศก็ทำงานด้วยหลักการนี้ คือละอองน้ำที่ฉีดออกมาจะดึงความร้อนออกจากอากาศทำให้มันกลายเป็นไอ อากาศก็จะเย็นลง (แต่ความชื้นก็จะเพิ่มขึ้น) โดยไม่ทำให้พื้นบริเวณรอบ ๆ เปียกน้ำ เครื่องดับเพลิงชนิดละอองน้ำความดันต่ำก็ใช้หลักการเดียวกันนี้ในการดับเพลิง คือละอองน้ำที่ฉีดเข้าไปนั้นจะระเหยกลายเป็นไอได้เร็ว มีการดึงความร้อนออกจากบริเวณเพลิงไหม้ได้เร็ว และไอน้ำที่เกิดยังเข้าไปแทนที่อากาศ ซึ่งเป็นการตัดออกซิเจนออกไป ไฟจึงดับได้

ในโปสเตอร์นี้ยังมีอีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจคือ ทำไมต้องแยกเพลิงไหม้ที่เกิดจากเชื้อเพลิงเหลว (เช่นน้ำมันเชื้อเพลิงและไฮโดรคาร์บอนเหลวต่าง ๆ) และน้ำมันประกอบอาหาร (cooking oil ซึ่งเป็นได้ทั้งจากพืชและสัตว์) ออกจากกัน แถม Foam ที่ใช้กับน้ำมันเชื้อเพลิงได้ไม่ควรนำมาใช้กับดับไฟที่เกิดจากน้ำมันประกอบอาหาร ทั้ง ๆ ที่น้ำมันทั้งสองชนิดนั้นต่างก็มีความหนาแน่นต่ำกว่าน้ำและไม่ละลายน้ำทั้งคู่

ความแตกต่างอยู่ที่อุณหภูมิของเชื้อเพลิงที่ทำให้เชื้อเพลิงนั้นลุกติดไฟได้ พวกไฮโดรคาร์บอนที่เป็นเชื้อเพลิงเหลวนั้นอุณหภูมิจุดลุกติดไฟ (Fire point) มักจะต่ำกว่าอุณหภูมิจุดเดือดของน้ำ (100ºC) ในขณะที่น้ำมันประกอบอาหารนั้นจะใช้อุณหภูมิที่เรียกว่าจุดทำให้เกิดควัน (Smoke point) เป็นตัวบอกว่าน้ำมันนั้นเริ่มที่จะลุกติดไฟได้แล้ว และอุณหภูมิจุดทำให้เกิดควันนี้มีค่าสูงกว่าอุณหภูมิจุดเดือดของน้ำมาก

ในกรณีของเพลิงไหม้ถังเก็บน้ำมันเบนซิน ถ้าเราฉีดน้ำเข้าไป น้ำบางส่วนจะระเหยกลายเป็นไอน้ำ มีการดึงเอาความร้อนออกจากเปลวไฟและลดความเข้มข้นอากาศ ทำให้ลดความรุนแรงของเปลวไฟลงได้บ้าง โดยน้ำส่วนที่เหลือที่ตกลงบนผิวน้ำมันจะจมลงสู่เบื้องล่าง (เพราะอุณหภูมิน้ำมันนั้นต่ำกว่าจุดเดือดของน้ำ) แต่ถ้าปล่อยน้ำนั้นไว้ที่ก้นถังนาน ๆ น้ำที่อยู่ก้นถังก็จะมีอุณหภูมิสูงขึ้นเกิน 100ºC ได้ แต่จะยังไม่เดือดเพราะมีความดันเนื่องจากความสูงของน้ำมันเบนซินนั้นกดเอาไว้ แต่ถ้าไฟไหม้นานพอจนระดับน้ำมันเบนซินที่ลดลงมากพอ น้ำที่อยู่ก้นถังก็จะเดือดกลายเป็นไอ ผลักดันให้น้ำมันเบนซินที่อยู่ในถังนั้นพุ่งกระจายออกมารอบ ๆ ถังเก็บนั้นได้ (ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Boil over และ Slop over)

ในกรณีของน้ำมันประกอบอาหารนั้น เนื่องจากน้ำมันมีอุณหภูมิสูงกว่าจุดเดือดของน้ำ น้ำที่ลงไปสัมผัสกับผิวหน้าน้ำมันจะเดือดกลายเป็นไอทันที ไอน้ำที่เกิดขึ้นจะทำให้น้ำมันกระเด็นออกมายังบริเวณโดยรอบ ทำให้ผู้ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงได้รับบาดเจ็บและเพลิงแผ่กระจายออกไปได้ แต่การใช้น้ำในรูปของละอองหยดน้ำเล็ก ๆ ความร้อนของเปลวไฟจะทำให้หยดน้ำนั้นระเหยกลายเป็นไอน้ำก่อนที่จะมีโอกาสสัมผัสกับผิวน้ำมัน จึงมีความปลอดภัยสูงกว่า

เรื่องความถูกต้องของคู่มือปฏิบัติงานเพื่อความปลอดภัยนั้นเป็นสิ่งสำคัญ และไม่ควรก่อให้เกิดความสับสนในการทำงาน

วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2552

น้ำมันพืช MO Memoir : วันอังคารที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๒

MO Memoir ฉบับนี้เป็นตอนต่อเนื่องจาก MO Memoir 2551 Nov 11 Tue : ทอดไข่เจียวให้อร่อยต้องใช้น้ำมันหมู จะว่าไปแล้วเนื้อหาในฉบับนี้ (และฉบับก่อนหน้า) ผมเคยโพสไว้ในบอร์ดของเพื่อนร่วมรุ่นโรงเรียนตั้งแต่เดือน พฤษภาคม ๒๕๔๗ (ตอนนี้บอร์ดล่มไปแล้ว) ก็เลยคิดว่าได้เวลาเอามาปัดฝุ่นใหม่และเรียบเรียงใหม่อีกครั้งหนึ่ง

น้ำมันที่ใช้ประกอบอาหารในบ้านเราแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ
1. น้ำมันที่ได้จากสัตว์ (เราเห็นแต่น้ำมันหมู มีใครเคยเจออย่างอื่นไหม) และ
2. น้ำมันพืช (มะพร้าว, ถั่วลิสง, ถั่วเหลือง, ปาล์ม, รำข้าว, ทานตะวัน, ข้าวโพด ฯลฯ)

แต่เดิมนั้นคนไทยเราใช้น้ำมันหมูในการทำอาหารเป็นหลัก เพราะน้ำมันพืชอาจให้กลิ่นแทรกเข้ามาซึ่งทำให้อาหารเสียรสชาติ (ในสมัยแรกที่น้ำมันพืชยี่ห้อหนึ่งพยายามเจาะตลาด (ตอนนี้ก็ยังขายอยู่) จะโฆษณาว่า "ไม่มีรส ไม่มีกลิ่น") แต่หลัง ๆ กระแสสุขภาพเข้ามาแรง ทำนองว่ากินน้ำมันที่เป็นกรดไขมันอิ่มตัวแล้วจะมีปัญหาเรื่องคลอเรสโตรอล ทำให้คนหันมากินน้ำมันพืชเป็นหลัก

ที่น่าแปลกคือแต่ก่อนสมัยที่คนไทยกินน้ำมันหมูเป็นหลัก โรคหัวใจกลับไม่ใช่ปัญหาสุขภาพที่สำคัญของคนในประเทศ แต่ช่วงที่กินน้ำมันพืชเป็นหลัก จำนวนคนมีปัญหาเรื่องโรคหัวใจกลับเพิ่มมากขึ้น (ในบางวงการเขาดูว่าประเทศไหนเป็นประเทศ "ด้อยพัฒนา" (เรียกให้ดีหน่อยก็"กำลังพัฒนา") หรือ"พัฒนาแล้ว" โดยดูจากโรคหลักที่ทำให้ประชากรเสียชีวิต ประเทศ"ด้อยพัฒนา" มักมีปัญหาเรื่องโรคติดต่อ เช่นอหิวาต์ วัณโรค โรคระบบทางเดินอาหาร ฯลฯ ส่วนประเทศ"พัฒนา" แล้วมักมีปัญหาเรื่อโรคไม่ติดต่อ เช่น หัวใจ ความดัน มะเร็ง ฯลฯ)

ที่นี้น้ำมันพืชหรือน้ำมันสัตว์ โมเลกุลมันประกอบด้วยอะไรบ้าง หลัก ๆ มี 2 ส่วนคือ
1. กลีเซอรอล (glycerol) เป็นแอลกอฮอล์ C3 มีหมู่ -OH (hydroxyl group) 3 หมู่ และ
2. กรดไขมัน (carboxylic acid ที่เป็นโซ่ตรงยาว ไม่มีกิ่งก้าน)

น้ำมันพืช/สัตว์เป็นสารประกอบเอสเทอร์ของกลีเซอรอลและกรดไขมัน สิ่งที่ทำให้น้ำมันแตกต่างกันก็คือชนิดของกรดไขมันนั่นเอง
บางชนิดก็เป็นโมเลกุลสั้น ๆ (คาร์บอน 10-12 อะตอม)
บางชนิดก็เป็นโมเลกุลยาว ๆ (คาร์บอน 20-22 อะตอม - จำนวนอะตอมคาร์บอนเป็นเลขคู่เสมอ)

แต่ตัวที่คนสนใจ/รู้จัก(ชื่อ)กันมากกว่าก็คือ "ความไม่อิ่มตัว" ของน้ำมัน
แล้ว "ความไม่อิ่มตัว" ของน้ำมันคืออะไร

"ความไม่อิ่มตัว" ของน้ำมันในที่นี้คือพันธะ "คู่" ระหว่างอะตอมคาร์บอนของสายโซ่กรดไขมัน ยิ่งมีมากก็เป็นกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัวสูงมากขึ้น (ลองดูข้างขวดน้ำมันพืช บางยี่ห้อจะระบุว่าเป็นชนิดไม่อิ่มตัว 1 ตำแหน่งว่ามีกี่เปอร์เซนต์ และที่ไม่อิ่มตัวมากกว่า 1 ตำแหน่งมีกี่เปอร์เซนต์)

แล้วความไม่อิ่มตัวของน้ำมันมีผลอย่างไรต่อน้ำมัน

อย่างแรกคือจุดหลอมเหลวของน้ำมัน น้ำมันที่มีความไม่อิ่มตัวสูงจะมีจุดหลอมเหลวต่ำกว่าพวกที่มีความอิ่มตัวสูง เช่นเวลาอากาศเย็น น้ำมันหมูอาจเป็นไขแข็งตัวได้ แต่น้ำมันพืชจะขึ้นอยู่กับชนิดของน้ำมัน (สาเหตุเป็นเพราะ รูปร่างโมเลกุล... กลับไปดูฉบับก่อนหน้านะ)

ถ้าเราเอาน้ำมันพืชแต่ละชนิดมาแช่เย็น (น้ำมันที่พึ่งสกัดได้) จะมีส่วนที่เป็นไขแยกออกมา ส่วนนั้นคือส่วนที่เป็นกรดไขมันอิ่มตัว ซึ่งน้ำมันพืชแต่ละชนิดจะมีปริมาณส่วนนี้แตกต่างกัน
เช่น "น้ำมันถั่วเหลือง" จะมีส่วนที่แช่เย็นแล้วเป็นไขแข็งตัวไม่มากนัก ก่อนนำมาบรรจุขวด ทางโรงงานผู้ผลิตก็จะทำนำเอาน้ำมันที่สกัดได้ไปแช่เย็นก่อนเพื่อแยกเอาส่วนที่เป็นไขออกมา จากนั้นจึงนำส่วนที่ไม่แข็งตัวมาบรรจุขวดขาย

ทีนี้ถ้าเราซื้อน้ำมันที่บรรจุขวดขายจากร้าน แล้วเอามาแช่ตู้เย็น มันก็ไม่เป็นไขหรอก ซึ่งเป็นเรื่องปรกติ (แล้วเอามาโฆษณาทำไป ? ท่านคิดอย่างไร? มีใครบ้างเก็บน้ำมันพืชในช่องแช่แข็งในตู้เย็น

เคยถามคนที่ทำงานที่บริษัทนี้ (มาเรียนปริญญาโทภาคค่ำที่ภาค) เขาก็ไม่ตอบ ได้แต่ยิ้ม ส่วนนิสิตอีกคนที่มาจากบริษัทคู่แข่ง ก็ได้แต่นั่งหัวเราะ

ส่วนน้ำมันปาล์มนั้นถ้าเอาไปแช่เย็นจะมีส่วนที่เป็นไขมากกว่า ขืนเอาส่วนนี้ทิ้งออกไปจะทำให้ต้นทุนน้ำมันแพงขึ้นแน่ (เพราะมันมีมากกว่าน้ำมันถั่วเหลือง)

จุดขายของความไม่อิ่มตัวคือ "สุขภาพ"

มีผู้กล่าวถึงผลงานวิจัยหลายอย่าง (ของใครเอ่ย? แล้วต้นตอมาจากไหน?) ที่บอกว่าการบริโภคน้ำมันที่ไม่อิ่มตัวสูงจะมีอันตรายน้อยกว่าการบริโภคน้ำมันที่มีความอิ่มตัวสูงกว่า เหตุผลก็เกี่ยวกับไขมันในเลือด กับปัญหาโรคหัวใจ

แต่ว่าทำไมพอมีปัญหาเกี่ยวกับไขมันในเลือด พวกมีคลอเรสตอรอลสูง หมอก็ให้งด/ลดของทอดของมัน โดยไม่สนด้วยว่ามันใช้น้ำมันอะไรทำ และต้องคุมของหวานด้วย ? ก็ของหวานเป็นคาร์โบไฮเดรต สูตรโมเลกุลคนละเรื่องกับไขมันเลย แล้วทำไมถึงถูกดึงเข้าไปเกี่ยวด้วย เป็นเพราะว่าร่างกายสามารถเปลี่ยนอาหารส่วนเกินไปเก็บไว้ในรูปของไขมันใช่ไหมล่ะ

นอกจากนี้โครงสร้างโมเลกุลของน้ำมันพืชก็ไม่เหมือนกับโครงสร้างโมเลกุลของคลอเรสตอรอล ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกหรอกว่าทำไมข้างขวดน้ำมันพืชถึงเขียนไว้ว่าไม่มีคลอเรสตอรอล (เขาบอกความจริงแก่คนซื้อว่าผลิตภัณฑ์ของเขามันไม่มีคลอเรสตอรอล แต่ก็ไม่ได้บอกว่ากินเข้าไปแล้วร่างกายสามารถเปลี่ยนไปเป็นคลอเรสตอรอลได้นะ)

น้ำมันพืชตัวหนึ่งที่ได้ผลประโยชน์เต็ม ๆ จากกระแสนี้คือ "ถั่วเหลือง"

ความคิดเห็นในย่อหน้าข้างล่างนี้ได้มาจากการพบปะกับผู้ที่ร่วมประชุมที่มาเลเซียซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันปาล์มรายใหญ่สุดของโลกที่ผมได้เข้าไปร่วมประชุมมาเมื่อ ๖-๗ ปีที่แล้ว ลองอ่านแล้วพิจารณาเอาเองก็แล้วกัน ส่วนที่อยู่ในวงเล็บคือส่วนที่ขยายความ/ยกตัวอย่างเพิ่มเติมเข้าไป

"ประเทศผู้ผลิตถั่วเหลืองรายใหญ่ของโลกคือสหรัฐอเมริกา เมื่อผลิตออกมาแล้วก็ต้องหาตลาด (มี supply ก็ต้องทำให้มี demand ให้ได้ ไม่เช่นนั้นจะไปขายใคร) วิธีการหนึ่งคือใช้งานวิจัยทางการแพทย์หาจุดเด่นของผลิตภัณฑ์มาเป็นจุดขายโดยไม่เปิดเผยจุดด้อยหรือข้อเสีย (ลองนึกถึงไวน์หรือแอปเปิลดูก็ได้ ฝรั่งเขาไม่ได้มีผลไม้มากมายหลากหลายให้วิจัยเหมือนบ้านเรา มีแอปเปิลเป็นตัวหลัก ก็เลยทำวิจัยได้แก่แอปเปิล แล้วมาปลุกกระแสให้คนซื้อกินเพือสุขภาพ) แต่ในบางครั้งถ้าเราถามว่าเงินที่ได้จากการทำวิจัยนันใครเป็นคนจ่าย จะเห็นอีกภาพหนึ่ง

ถ้าถามทางมาเลเซีย เขาก็บอกว่ากินน้ำมันปาล์มก็ช่วยลดคลอเรสเตอรอลในเลือดเหมือนกัน แต่ถ้ามีหมออเมริกาพูดกับหมอมาเลเซียพูด คุณคิดว่าคนส่วนใหญ่เชื่อใคร"

ผมเองเคยไปเดินตามห้างในมาเลเซีย พบว่าคนที่นั่นบริโภคน้ำมันปาล์มเป็นหลัก ไม่ค่อยมีน้ำมันถั่วเหลืองวางขาย ส่วนในประเทศไทยน้ำมันถั่วเหลืองประสบความสำเร็จมาก ชนิดที่ว่าต้องนำเข้าถั่วเหลืองจากต่างประเทศ (เดาซิว่าประเทศไหน บอกใบ้นิดนึง ประเทศที่เก่งด้านพืชตัดต่อพันธุกรรม และถั่วเหลืองก็เป็นตัวหนึ่งที่ถูกตัดต่อด้วย ช่วงหนึ่งเรามากลัวมะละกอ GMO กลัวฝ้าย GMO แต่ไม่มีใครกล่าวถึงน้ำมันถั่วเหลืองเลย) มาผลิตน้ำมันถั่วเหลืองให้คนไทยกิน เพราะกำลังผลิตในประเทศไม่เพียงพอต่อความต้องการ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าประเทศไทยไม่สามารถผลิตพืชให้น้ำมันพืชได้เพียงพอสำหรับความต้องการในประเทศนะ (มีทั้งรำข้าว, ปาล์ม, ทานตะวัน, ถั่วเหลือง, ฝ้าย, นุ่น) เพียงแต่ว่าเราต้องการอุดหนุนใครมากกว่า

แต่อีกเหตุผลหนึ่งที่เรานำเข้าถั่วเหลือง (อาจเป็นเหตุผลหลักด้วย) คือเพื่อผลิตเป็นอาหารสัตว์ กากถั่วเหลืองที่เหลือจากการสกัดน้ำมันออกแล้วเป็นอาหารสัตว์ที่มีโปรตีนสูง ราคาขายดีกว่าน้ำมันถั่วเหลืองอีก (ประเภทที่ว่าเอาของที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพไปให้คนกิน ส่วนของที่มีประโยชน์เอาไปให้สัตว์กินก่อน แล้วเราค่อยกินสัตว์อีกที)

เมื่อราว ๆ ช่วงปีพ.ศ. ๒๕๓๗-๒๕๔๐ (จำปีที่แน่นอนไม่ได้ จำได้แต่ว่าน่าจะอยู่ในช่วงเวลานี้) มีการให้ข้อมูลที่เป็นความจริงออกสู่สาธารณะชนซึ่งส่งผลต่อพฤติการรมการบริโภคน้ำมันพืชของคนไทย ข้อมูลดังกล่าวคือ

1. ไวนิลคลอไรด์ เป็นสารก่อมะเร็ง (ตัวนี้เป็นแก๊สนะ)
2. ขวดพีวีซี (PVC) ที่ใช้บรรจุน้ำมันพืชทำจากไวนิลคลอไรด์
3. ไวนิลคลอไรด์ละลายได้ในน้ำมันพืช

ถ้าถามว่า 3 ข้อข้างต้นเป็นจริงไหม คำตอบคือ "จริง"
แต่ทีนี้คนดันเอา 3 ข้อมายำรวมกันแล้วสรุปว่า "ถ้ากินน้ำมันพืชยี่ห้อที่บรรจุขวดพีวีซีจะทำให้เป็นมะเร็ง" ซึ่งข้อสรุปข้อนี้มันไม่ถูก เพราะพอเป็นขวดพีวีซีนั้น มันไม่เหลือไวนิลคลอไรด์แล้ว

ผลที่ตามมาคือคนหันไปซื้อน้ำมันยี่ห้อที่บรรจุขวดเพ็ท (PET - Polyethylene terephthalate) ซึ่งเป็นพลาสติกที่แพงกว่า PVC และมีความใสมากกว่า

ในบางงานเช่นการบรรจุน้ำอัดลมจะใช้ขวดนี้เพราะมันกันแก๊สซึมได้ ส่วนพวกน้ำดื่มมันไม่จำเป็น แต่ที่ใช้กันเพราะมันทำให้บรรจุภัณฑ์ดูสวยดี

แต่เมื่อกระแสผู้บริโภคเรียกร้อง ผลที่ตามมาคือเราต้องจ่ายแพงขึ้นเพราะต้องทิ้งขยะที่แพงมากขึ้น (มีใครล้างขวดน้ำมันพืชแล้วเอามาใช้ประโยชน์อย่างอื่นไหม) เพราะผู้ผลิตรายอื่นต้องเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์จากเดิมที่เป็น PVC มาเป็นขวด PET เพื่อรักษาส่วนแบ่งทางตลาดไว้ เหมือนปลากระป๋องฝาดึงกับฝาธรรมดา ยี่ห้อเดียวกันแท้ ๆ ถ้าต้องการฝาดึงต้องจ่ายเพิ่มทั้ง ๆ ที่ได้ของข้างในเท่ากัน หรือในกรณีของน้ำมันที่สมัยหนึ่งปล่อยให้คนเชื่อกันว่าน้ำมันยิ่งออกเทนสูง ทำให้เครื่องยิ่งแรง เลยมีการปั่นค่าออกเทนไปจนถึง 97, 98 สุดท้ายต้องกลับมารณรงค์ให้ใช้น้ำมันถูกประเภท เอาไว้วันหลังจะเล่าให้ฟังใหม่