แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ผ่าตัด แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ผ่าตัด แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2562

น่าจะมาทำเมื่อ ๓๐ ปีที่แล้ว (บันทึกการผ่าฟันคุด) MO Memoir : Sunday 28 April 2562

"น่าจะมาทำเมื่อ ๓๐ ปีที่แล้ว ตอนที่กระดูกฟันยังไม่แข็ง และยังไม่ฝังเข้าไปในกระดูก มันถอนง่ายหน่อย"
 
คุณหมอบอกกับผม หลังจากที่ได้เห็นผลเอ็กซ์เรย์บวกกับรู้อายุของผม (ก็นำหน้าด้วยเลข ๕ มาหลายปีแล้ว)

รูปที่ ๑ ภาพ x-ray ทั้งปากก่อนการผ่า ฟันคุดตัวที่เป็นปัญหาคือฟันกรามล่างขวา (ในรูปจะอยู่ที่มุมซ้ายล่าง) ฟันเส้นนี้ไปกดทับเส้นประสาท (ตามแนวเส้นประสีส้ม) ทำให้มีอาการปวดเวลาอ้าปากกว้างหรือเคี้ยวอาหาร ฟันกรามล่างซ้าย (ในรูปจะอยู่ที่มุมล่างขวา) ก็เป็นแบบเดียวกัน แต่ตอนนี้ไม่มีอาการอะไร อีกซี่ที่เป็นระเบิดเวลาคือด้านบนซ้าย (ในรูปจะเป็นมุมบนขวา) ซี่นี้งอกขึ้นไปจ่อไปยังโพรงไซนัส คั่นด้วยกระดูกบาง ๆ ตอนนี้ยังไม่ก่อปัญหาอะไร แต่ถ้าจำเป็นต้องถอนเมื่อไรก็เสี่ยงอยู่เหมือนกันที่จะมีการทะลุเข้าไปยังโพรงไซนัส ก่อให้เกิดปัญหาการติดเชื้อตามมาอีก

เรื่องมันเริ่มจากที่ผมรู้สึกว่าไม่ได้ตรวจสุขภาพฟันมานานกว่าปี ต้นเดือนที่ผ่านมาก็เลยขอนัดคุณหมอที่โรงพยาบาลยันฮี (เพราะมันอยู่ใกล้บ้านและเดินทางสะดวกดี) เพื่อขูดหินปูนและตรวจฟันพุ ปรากฏว่านอกจากจะได้ขูดหินปูนแล้วก็ยังได้อุดฟันผุอีก ๔ ซี่ แถมยังเจอฟันตายอีก ๑ ซี่ต้องต้องรักษารากฟัน ดูเหมือนจะมีถุงหนองที่รากฟันด้วย คุณหมอคนแรกทำเพียงแค่ทำการรักษาทั่วไป รักษาเสร็จก็ก่อนสงกรานต์ ถ้าจะรักษารากฟันก็ต้องนัดหมออีกท่านที่ทำทางด้านนี้ 
  
ช่วงสงกรานต์มีอาการปวดกราม โดยเฉพาะตอนอ้าปากกว้างเพื่อจะกินข้าวหรือกัดอาหาร และตอนแปรงฟัน แถมน้ำลายยังมีรสเค็มอีก ตอนแรกก็เข้าใจว่าปัญหามันเกิดจากฟันซี่ที่ตายและมีถุงหนอง ก็เลยติดต่อนัดหมดรักษารากฟัน ปรากฏว่าปัญหาไม่ได้เกิดจากฟันซี่ที่ตาย จุดที่เป็นปัญหามันอยู่หลังฟันกรามล่างด้านขวาซี่ในสุดที่กดแล้วรูสึกเลยว่าเป็นตุ่มแข็ง พอไปดูผลเอ็กซ์เรย์ตอนที่อุดฟันก็พบว่าตรงนั้นมีมีฟันคุดอยู่ซี่หนึ่ง ที่ไปเบียดฟันกรามซี่ในสุดอยู่
 
หลังจากปรึกษากับคุณหมอรักษารากฟันแล้ว ก็ตกลงว่าไหน ๆ ก็มาแล้วก็ขอจัดการรักษารากฟันซี่ที่ตายก่อน (วันแรกก็จัดการกับโพรงประสาทและใส่ยาไว้) จากนั้นคุณหมอก็นัดคุณหมอศัลยกรรมช่องปากอีกท่านให้ทำการผ่าฟันคุดในอีก ๓ วันถัดมา (คือวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา)
 
ถึงเวลานัดตอนเย็นวันพฤหัสบดี คุณหมอศัลยกรรมท่านก็เรียกผมเข้าไปดูภาพเอ็กซ์เรย์ (รูปที่ ๒ ซ้าย) บอกว่า case ของคุณมันไม่ง่าย เพราะมันฝังลึกเข้าไปในกระดูก ท่านไม่กล้าผ่า จะขอ refer ให้กับคุณหมออีกท่านที่ฝีมือดีกว่า พร้อมกับถามผมว่ามีช่วงไหนที่หยุดยาวไหม จะได้พักฟื้นสักสองสามวัน ผมเองก็รำคาญกับอาการปวดเวลากิน ก็อยากได้นัดเร็วที่สุด (บังเอิญเป็นสัปดาห์สุดท้ายของการสอนแล้วที่ไม่ต้องมีการบรรรยายอะไร เป็นการสอบในเวลาเรียน) ก็เลยได้นัดผ่าตอน ๔ โมงเย็นวันเสาร์เมื่อวาน เรียกว่ามีเวลาสองวันสำหรับขออุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรขอให้ช่วยอโหสิ อย่ามาจองเวรตอนนี้เลย

รูปที่ ๒ รูปซ้ายเป็นภาพที่เจอตอนที่ทำการอุดฟันเมื่อตอนต้นเดือน เห็นส่วนหัวของฟันคุดมาดันฟันกรามอยู่ ส่วนรูปขวาเป็นรูปหลังผ่าเสร็จเมื่อเย็นวันวานก่อนเย็บแผล คุณหมอให้ไปเอ็กซ์เรย์ใหม่เพื่อดูว่ายังมีเหลือค้างอยู่หรือเปล่า ที่ต้องตามดูกันต่อไปคือฟันกรามซี่ที่ถูกเบียด เพราะเหมือนกับรากมันถูกกดจนแหว่งหายไป (ตรงลูกศรชี้) ตรงนี้ต้องรอดูว่าจะมีปัญหาฟันตายตามมาอีกหรือเปล่า ถ้าเกิดตามมาก็ต้องตามด้วยการรักษารากฟันอีก

ก่อนผ่า คุณหมอก็ส่งไปเอ็กซ์เรย์ใหม่ทั้งปาก ผลก็ออกมาดังรูปที่ ๑ ทำให้รู้ว่าปัญหามีมีมากกว่าที่คิด คือมีฟันคุดทั้งหมด ๓ ซี่ สองซี่อยู่ที่กรามล่างซ้ายและขวา อีกซี่หนึ่งอยู่ที่กรามซ้ายบน ซี่ที่กรามซ้ายบนนี้คุณหมออธิบายว่าดูเผิน ๆ มันเหมือนกับไม่มีรากฟัน แต่มันเหมือนกันมันถูกดันให้งอกขึ้นไปข้างบน ไปชนกับโพรงไซนัส ตรงนี้จะมีกระดูกบาง ๆ เหมือนแผ่นกระดาษขวางกั้นอยู่ระหว่างช่องปากกับโพรงไซนัส ถ้าต้องถอนซี่นี้ก็มีความเสี่ยงที่จะกระทบกระเทือนไปยังโพรงไซนัส คืออาจะมีอาการไซนัสอักเสบตามมา หรือมีเลือดออกจากโพรงจมูก
 
ส่วนซี่กรามล่างทั้งสองซี่นั้นมีลักษณะเหมือนกัน คือมันนอนแนบไปกับเส้นประสาท ตอนนี้ดูเหมือนซี่ล่างขวามันไปกดเส้นประสาทจึงทำให้รู้สึกปวดเวลาอ้าปากหรือเคี้ยว การเอาฟันซี่นี้ออกก็มีความเสี่ยงอยู่เหมือนกันว่ามันจะไปกระเทือนเส้นประสาท ที่อาจทำให้รู้สึกชาได้ ถ้าเกิดอาการชาหลังผ่าตัดและไม่หายใน ๑ - ๓ เดือน ก็ต้องรอดูต่อไปว่าจะหายใน ๖ เดือนหรือไม่ ถ้าผ่านไป ๖ เดือนแล้วยังไม่หาย ก็ต้องรอดูว่าจะหายใน ๑ ปีหรือไม่ ถ้าเกิน ๑ ปีแล้วยังไม่หาย ก็เรียกว่าคงเป็นถาวรแล้ว คือคุณหมออธิบายว่าอาการชามันจะลดลงไปเรื่อย ๆ แต่ไม่หายสนิท เอานิ้วกดดูจึงจะรู้สึก
 
ที่สำคัญคือผมเองก็อายุขึ้นเลข ๕ มาหลายปีแล้ว คุณหมอบอกว่ามันจะยากตรงที่กระดูกจะแข็งและฟันก็ฝังเข้าไปในกระดูก น่าจะได้ทำเมื่อ ๓๐ ปีที่แล้วตอนที่กระดูกยังอ่อนอยู่ 

รูปที่ ๓ รูปนี้เอารูปที่ ๑ มาขยายเฉพาะบริเวณกรามด้านซ้าย (ในรูปเอ็กซ์เรย์จะเป็นด้านขวา) จะได้เห็นปัญหาของฟันซี่บนและซี่ล่างได้ชัดหน่อย

ตอนผ่าไม่เจ็บหรอกครับ เจ็บนิดนึงตอนโดนฉีดยาชา ระหว่างนั้นคุณหมอทำอะไรบ้างก็ไม่รู้ ได้ยินแต่เสียงเครื่องกรอดังตลอดเวลา แต่แทบจะไม่มีการออกแรงดึงเลย ก็เลยเดาว่าคงใช้การตัดฟันให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ เพื่อนำออกมา และก็เป็นอย่างนั้นจริง พอจัดการเรียบร้อยคุณหมอก็ส่งไปเอ็กซ์เรย์ใหม่เพื่อตรวจดูให้มั่นใจว่าเอาออกหมดแล้วหรือยัง ตอนลุกขึ้นจากเก้าอี้ก็เลยได้เห็นเศษฟันชิ้นเล็ก ๆ วางอยู่เต็มไปหมด ประมาณว่าเกือบ ๒๐ ชิ้น พอได้ผลเอ็กซ์เรย์ออกมาคุณหมอก็บอกว่าเอาฟันซี่ที่เป็นปัญหาออกหมดแล้ว แล้วก็อธิบายให้ฟังว่าทำไมจึงต้องตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ ก็เพื่อที่จะลดโอกาสที่จะกระทบกระเทือนเส้นประสาท จากนั้นก็ทำการเย็บแผล นัดมาตัดไหมในอีก ๗ วันข้างหน้า ก็ถือว่าเสร็จสิ้นการผ่าตัดแล้ว
 
ผ่าเสร็จ ๕ โมงเศษ ยังขับรถกลับบ้านได้ ยังไม่ปวดอะไร ภรรยาก็บอกว่าเดี๋ยวรอให้ยาชาหมดฤทธิ์ก่อน แล้วค่อยรู้สึกปวด กลับมาถึงบ้านก็มาประคบเย็นต่อ มากินข้าวเย็นก็เกือบ ๒ ทุ่ม กินยาแก้ปวดและยาแก้อักเสบที่หมอจัดให้ จากนั้นก็เริ่มมีอาการปวดแผล เรียกว่าทำเอานอนแทบไม่หลับ ตี ๑ เศษต้องลุกมากินยาแก้ปวดเพิ่มเติม และก็มานอนประคบเย็นต่อที่โซฟาห้องนั่งเล่น แล้วก็หลับไปตรงนั้น ตื่นมาอีกทีก็ตี ๓ เศษแล้ว รู้สึกดีขึ้นมาก อาการปวดแทบหายไป ก็เลยกลับขึ้นไปนอนต่อบนห้อง เช้านี้ตื่นมา (เพราะมีสอนเช้า ภาคนอกเวลา) ส่องกระจกดู ก็เห็นแก้มขวาบวมปูดชัดเจน อาการที่เคยปวดตอนอ้าปากกว้าง กัดอาหาร หรือแปรงฟัน ก็รู้สึกว่าหายไป อันที่จริงก็ยังมีอาการปวดอยู่ แต่คิดว่าน่าจะเป็นจากบาดแผลมากกว่า เพราะมันไม่ได้ปวดร้าวแบบก่อนหน้านี้
 
ตอนโดนผ่าไส้ติ่งเมื่อปี ๕๖ ก็ทีนึงแล้ว ทั้งภรรยาผมและคุณหมอที่ตรวจก็ยังแปลกใจ เพราะน้อยรายที่จะมามีปัญหาตอนอายุมาก ตัวฟันคุดนี้ก็เหมือนกัน อาจเป็นเพราะว่าผมไม่เคยจัดฟัน มันก็เลยอยู่เป็นเพื่อนผมตลอดมา จนกระทั่งถึงเวลาที่จำเป็นต้องแยกจากกันเมื่อวันวาน

วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เรื่องของ Appendix ที่ไม่ใช่ภาคผนวก MO Memoir : Sunday 21 July 2556

หายหน้าหายตาไปกว่าอาทิตย์ด้วยสาเหตุที่ใครต่อใครหลายคนได้ทราบกันดีอยู่แล้ว และต้องขอขอบคุณในน้ำใจที่อุตส่าห์เดินทางไปเยี่ยมให้กำลังใจถึงโรงพยาบาล วันนี้หลุดออกจากชั้น ๙ ของโรงพยาบาลที่แวดล้อมไปด้วยนางฟ้าชุดขาวมานอนพักผ่อนที่บ้านได้แล้ว ก็ขอเล่าบันทึกเรื่องราวเหตุการณ์ครั้งนี้เอาไว้สักหน่อย

ผมเริ่มมีอาการปวดท้องตั้งแต่วันศุกร์ที่แล้ว ตอนเช้าวันศุกร์ตอนขับรถออกจากบ้านเพื่อจะไปร่วมงานรับปริญญาสมาชิกของกลุ่มที่เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรผมยังไม่มีอาการใด ๆ ระหว่างทางก็เกิดการปวดท้องขึ้นมา ตอนแรกคิดว่าเป็นเพราะยังไม่ได้กินข้าวเช้า เพราะปรกติจะกินข้าวเช้าก่อนออกจากบ้าน แต่ช่วงเวลานั้นทางบ้านมีเรื่องวุ่น ๆ ผมก็เลยกะว่าจะมากินที่ทำงานแทน ถึงที่ทำงานได้กินข้าวเช้าแล้วอาการก็ยังไม่หาย แถมยังมีอาการอาเจียนอีก ตอนสายก็เลยไปหาหมอที่หน่วยอนามัยของมหาวิทยาลัย อาการตอนแรกนั้นมันปวดไปทั่วทั้งช่องท้อง หมอก็เลยสงสัยว่าคงมีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร ก็เลยให้ยามารับประทาน อันที่จริงผมก็เคยมีอาการแบบเดียวกันเช่นนี้มาก่อน ก็เลยไม่ได้ติดใจอะไร กินยาเข้าไปแล้วอาการก็ยังไม่ดีขึ้น พอบ่ายสองก็เลยตัดสินใจขับรถกลับบ้านก่อนรถจะติด

ค่ำวันนั้นภรรยาเดินทางจากกลับต่างจังหวัด มาเห็นอาการผมแล้วก็ทักผมแล้วว่าสงสัยจะเป็นไส้ติ่ง ผมก็บอกไปว่าไปหาหมอมาแล้วแต่หมอบอกว่าเกี่ยวกับกระเพาะ และตอนนั้นเวลากดที่สีข้างด้านขวามันก็ไม่ได้เจ็บแตกต่างไปจากการกดที่ตำแหน่งอื่นเท่าใดนัก ก็เลยนอนพักอยู่ที่บ้านจนวันเสาร์ อาการตอนเช้าวันเสาร์นั้นอาการที่มันเคยปวดทั่วท้องมันหายไป เหลือปวดอยู่เพียงบางบริเวณเท่านั้นก็เลยคิดว่าอาการมันคงจะดีขึ้น และมีอาการปวดเป็นพัก ๆ ตอนแรกภรรยาก็มาทักแล้วว่าให้พักอยู่บ้านหรือไม่ก็ไม่หาหมอให้ตรวจไส้ติ่ง แต่ก็ยังดันทุรังยังอุตส่าห์ขับรถไปส่งลูกไปเรียนภาษาตอนเช้า แล้วมานอนพักผ่อนรอสอนตอนนิสิตภาคนอกเวลาในช่วงบ่ายอีก ปรากฏว่าสอนได้เพียงชั่วโมงเศษอาการปวดชายโครงล่างด้านขวามันกำเริบถี่ขึ้น ก็เลยต้องเลิกสอนกลางคัน ขับรถกลับบ้าน และให้ทางบ้านส่งโรงพยาบาลในเย็นวันนั้น ทางภรรยาผมก็จัดเตรียมกระเป๋าเพื่อมานอนค้างที่โรงพยาบาลด้วยเลย (ด้วยความมั่นใจแน่นอนว่าผมต้องโดนขึ้นเขียงและไม่ได้กลับบ้านแน่)

พี่ชายขับรถมาส่งให้ที่โรงพยาบาล ส่งตรงหน้าแผนกอุบัติเหตุ-ฉุกเฉินเลย สิ่งแรกที่โดยตอนขั้นตอนปรกติก็คือวัดไข้และความดัน แพทย์ประจำแผนกมาตรวจ ซักถามอาการ แล้วก็ลองกดที่ตำแหน่งต่าง ๆ ของท้องดู พร้อมถามว่าเจ็บไหม กดตรงไหน ๆ ก็ไม่เจ็บ แต่พอมาถึงชายโครงล่างด้านขวาเท่านั้นแหละ หน้าเบี้ยวเลย พอเห็นอาการเช่นนี้เข้าสิ่งที่คุณหมอทำก็คือ "กดซ้ำที่เดิมอีกพร้อมทั้งถามอีกว่าเจ็บไหม" ผมก็ตอบกลับไปว่าเจ็บมาก คุณหมอก็เลยกดซ้ำที่เดิมอีกเป็นครั้งที่สามพร้อมทั้งถามคำถามซ้ำเดิมอีก พอได้คำตอบเดิมก็หยุดกด (สงสัยต้องการมติ ๓ ใน ๕) จากนั้นก็หันไปสั่งเจาะเลือดและตรวจปัสสาวะ พร้อมทั้งถามว่ากินน้ำกินอาหารครั้งสุดท้ายเมื่อใด ได้ยินคำถามเช่นนี้ก็มั่นใจแล้วว่าโดนผ่าแน่ ส่วนเวลาที่จะโดนผ่านั้นคงจะไม่เร็วกว่าเวลาที่กินน้ำกินอาหารครั้งสุดท้ายบวกไปอีก ๖ ชั่วโมง จากนั้นก็ให้เจ้าหน้าที่นำไปนอนรอในห้องพักชั้น ๙ พร้อมทั้งสั่งงดอาหารและน้ำ เพื่อรอผ่าตัดในคืนนั้น ระหว่างนั้นก็จะยังไม่มีการให้ยาแก้ปวดใด ๆ

สามทุ่มครึ่ง เจ้าหน้าที่ก็มารับตัวพาไปห้องผ่าตัดที่ชั้น ๓ ภรรยาก็ตามมาส่งได้แค่ถึงหน้าห้องผ่าตัดแล้วก็กลับไปรอบนห้องพัก ตอนเข้าไปในห้องผ่าตัดนี้ต้องมีการเปลี่ยนรถเข็นจากรถที่พามาจากห้องพักเป็นรถพาเข้าห้องผ่าตัด ผ่านเข้าไปในห้องรอคอยการผ่าตัดก็มีการสวมหมวกคลุมผมก่อน จากนั้นก็มีวิสัญญีแพทย์หญิงมาแนะนำตัวและทักทายว่าจะทำอะไรบ้าง พร้อมทั้งขอตรวจ "ฟัน" ในปาก ถามว่ามีการใส่ฟันปลอมหรือครอบฟันที่ไม่ติดแน่นบ้างไหม ขอดูฟันเสร็จก็บอกว่าอาจมีปัญหาในการสอดท่อเล็กน้อย (เข้าใจว่าเป็นท่อช่วยหายใจที่สอดเข้าทางปาก) แต่หมอจะพยายามไม่ให้เจ็บและจะไม่ทำให้ฟันบิ่น เรื่องตรวจฟันนี้พอจะเข้าใจว่าทำไปเพื่ออะไร เพราะถ้าการเรียงตัวของฟันมีปัญหาก็จะทำให้สอดท่อได้ยาก เรื่องนี้ผมโดนภรรยาขู่เอาไว้เยอะก่อนผ่าตัด และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ผมโดนผ่า ระหว่างเส้นทางพอเปลี่ยนเจ้าหน้าที่รับตัวแต่ละครั้งก็จะมีการถามซ้ำคำถามเดิม ๆ คงเป็นเพื่อการยืนยันว่ารับคนไข้ไม่ผิดตัว

พอห้องผ่าตัดพร้อมเจ้าหน้าที่ก็เข็นรถเข้าไปในห้องผ่าตัด ก็ต้องมีการเคลื่อนย้ายอีก จากรถเข็นเป็นเตียงผ่าตัด เตียงผ่าตัดเป็นเตียงเล็ก ๆ พอแค่นอนได้ วางแขนข้างตัวยังไม่ได้เลย จากนั้นก็มีการเปลี่ยนชุดจากชุดคนไข้เป็นชุดผ่าตัด มีการปูผ้าอะไรต่อมิอะไรก็ไม่รู้คลุมตัวเต็มไปหมด จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็เอาที่วางแขนมาเสียบเข้าข้างเตียงผ่าตัด ให้นอนกางแขนแผ่ออกไปทั้งสองข้าง แล้วก็มันแขนเอาไว้ไม่ให้หล่น มันขามัดตัวเอาไว้ไม่ให้ตกจากเตียงด้วย สักพักหนึ่งก็วิสัญญีแพทย์ก็เอาหน้ากากมาครอบที่จมูก พร้อมทั้งบอกให้หายใจเข้าลึก ๆ จำได้ว่าระหว่างที่หายใจดมยานั้นยังมองดูไฟในห้องผ่าตัดอยู่เลย แล้วก็วูบไปแบบไม่รู้เรื่องรู้ราว

ตื่นมาอีกทีก็มาอยู่ในห้องพักฟื้นหลังการผ่าตัด มองไปทางปลายเท้าก็เห็นมีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะอีกฟากหนึ่งของห้อง ชำเลืองไปทางหัวเตียงข้างซ้ายก็มีเครื่องวัดอัตราเต้นหัวใจกับความดันโลหิตที่มีการวัดเป็นพัก ๆ (รู้จากแรงบีบที่แขนข้างซ้าย) มีท่อคาอยู่ในรูจมูกข้างซ้ายและมีถุงระบายอยู่ที่หน้าท้องข้างขวา จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็มาทักทายถามว่าเป็นยังไงบ้าง ตอนนั้นรู้อยู่อย่างเดียวว่าอาการปวดท้องนั้นหายไปแล้ว ลุ้นแต่ว่าจะมีอาการปวดแผลกำเริบขึ้นแทนหรือเปล่า นอนอยู่ในห้องนั้นนานเท่าใดไม่ทราบ รู้แต่ว่าพอกลับไปถึงห้องพักอีกทีก็เที่ยงคืนแล้ว มาทราบในตอนเช้าจากภรรยาว่าใช้เวลาผ่าตัวประมาณชั่วโมงเดียว พอผ่าตัดเสร็จคุณหมอผ่าตัดก็ให้คนโทรเรียกให้ลงไปดูไส้ติ่ง คุณหมอตัดใส่ขวดเล็ก ๆ มาให้ดูพร้อมกับบอกว่าไส้ติ่งแตก (ตอนที่ได้ยินเรื่องนี้ผมคิดว่าเหมือนอู่ซ่อมรถเลย ที่ต้องเอาชิ้นส่วนเก่ามาให้ดูว่ามีการถอดเปลี่ยนจริง) ผมได้ยินอย่างนี้เข้าก็รู้แล้วว่าได้อยู่โรงพยาบาลนานแน่ แต่ก็ถือว่าโชคดีที่ยังรอดมาได้ ระหว่างผ่าตัดคุณหมอถ่ายรูปเอาไว้ด้วย เป็นรูปตอนดึงไส้ติ่งที่เป็นปัญหาออกมา และเป็นรูปเจ้าตัวปัญหาที่ตัดออกมาแล้ว ก็เลยเอามาลงบันทึกไว้ในที่นี้

รูปที่ ๑ รูปนี้คุณหมอเอามาให้ดูหลังการผ่าตัด ตรงที่วงกลมเหลือภรรยาผมบอกว่านั้นเป็นรูที่มันแตกทะลุ 


รูปที่ ๒ ไส้ติ่งเจ้าปัญหาที่ตัดออกมา

เนื่องจากมีปัญหาไส้ติ่งทะลุ ทำให้ยังไม่สามารถเย็บแผลผ่าตัดได้ ต้องเปิดแผลเอาไว้ก่อนเพื่อระบายเอาของเหลวในช่องท้องออกก่อน และยังมีการใส่ผ้าก๊อซซับของเหลวเอาไว้ในแผลด้วย ระหว่างพักฟื้นนี้คุณหมอที่ทำการผ่าตัดก็มาทำความสะอาดและตรวจบาดแผลให้วันละครั้งตอนค่ำ กว่าที่คุณหมอจะตัดสินใจเย็บแผลก็เย็นวันอังคาร

วันแรกที่ออกมานั้นยังต้องงดน้ำและอาหาร ริมฝีปากแห้งมาก เรื่องหิวนั้นไม่รู้สึกหิวเพราะวันมีน้ำเกลือ (+ น้ำตาล) ให้ตลอดทั้งวันทั้งคืน แถมบางช่วงเวลายังมียาปฏิชีวนะเสริมร่วมอีก ช่วงนี้ก็ได้ภรรยาช่วยเอาน้ำใส่หลอดกาแฟมาหยดให้ที่ริมฝีปากเพื่อไม่ให้มันแห้งเกินไป ที่รำคาญมากก็คือท่อที่คาจมูกอยู่ ทำให้หายใจลำบากเล็กน้อย และยังมีปัญหาเรื่องเสมหะในคออีก บ้วนออกมาทีมีเลือดติดมาด้วย (คงมาจากบาดแผลที่ได้รับตอนสอดท่อในระหว่างการผ่าตัด) สิ่งแรกที่ดีใจที่คุณหมอเอาออกไปก่อนคือท่อที่สอดคาจมูกนี้ มาเอาออกไปตอนทำแผลในวันจันทร์ เอาออกไปทีรู้สึกมันโล่งขึ้นเยอะ แถมยังอนุญาตให้ดื่มน้ำได้ แต่ต้องเป็นแบบค่อย ๆ จิบ ไม่ใช่ซดเอาซะเต็มที่

อีกเรื่องที่เป็นปัญหาหลังผ่าตัดคือปัสสาวะไม่ออก แม้ไม่ได้กินน้ำแต่น้ำที่เข้าไปกับน้ำเกลือก็ต้องถูกขับออกอยู่ดี ภรรยาอธิบายให้ฟังว่ายาสลบมันไปทำให้กล้ามเนื้อทุกส่วนหยุดการทำงาน พวกที่ฟื้นตัวช้าหน่อยจะเป็นพวกกล้ามเนื้อระบบทางเดินอาหารและระบบขับถ่าย กระเพาะปัสสาวะก็เลยโดนผลกระทบไปด้วย ผลก็คือจะทำให้รู้สึกปวดปัสสาวะ แต่จะปัสสาวะไม่ออกเพราะกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะยังไม่ฟื้นจากการวางยา ในกรณีผมอาจจะโชคดีหน่อยที่ไม่ได้เป็นการผ่าตัดใหญ่ โดยวางยาสลบเป็นเวลาสั้น ๆ ก็เลยไม่โดนใส่สายสวนปัสสาวะ พอช่วงสายวันหลังวันผ่าตัดก็ปัสสาวะได้ตามปรกติ ส่วนระบบขับถ่ายนั้นยังต้องรอไปอีก ๑-๒ วันกว่ามันจะเริ่มทำงาน

พอจะเย็บแผลก็ต้องกลับที่ห้องผ่าตัดอีก คราวนี้เป็นคนละห้องกับห้องผ่าตัดไส้ติ่ง มีการฉีดยาชารอบ ๆ แผลก่อนทำการเย็บ ตอนที่เจ็บก็ตอนฉีดยาชาที่แหละ (เจ็บเหมือนโดนฉีดยา) ที่เขาต้องฉีดไปรอบ ๆ แผล ระหว่างที่เย็บแผลคุณหมอก็ถามเป็นระยะว่าเจ็บไหม ซึ่งมันก็ไม่รู้สึกอะไร (คงเป็นเพราะฤทธิ์ยาชา) แต่ท่อระบายของเหลวที่ช่องท้องยังคงเอาไว้อยู่

เย็นวันพุธคุณหมอมาดูใหม่ พอเห็นแผลที่เย็บไว้เมื่อวานก็บอกให้เผื่อใจไว้นิดนึง ว่าเผลอ ๆ อาจมีการต้องรื้อรอยเย็บทั้งหมดออกแล้วเริ่มต้นใหม่ (หมายถึงเปิดแผลเพื่อทำการระบายหนองใหม่) ภรรยาผมที่ยืนดูคุณหมอทำแผลอยู่ด้วยก็หันมาพยักหน้าให้ (ทำนองว่าให้ทำใจไว้ด้วย) เพราะแผลยังมีการซึมของน้ำเหลืองอยู่และยังดูแดงอยู่มาก ผ้าก๊อซที่ใส่ไว้ซับน้ำเหลืองนั้นพอดึงออกมาก็เห็นชุ่มไปหมด สิ่งที่คุณหมอทำก็คือตัดไหมออกเส้นหนึ่งและยัดผ้าก๊อซผืนใหม่เข้าไปแทนก่อนปิดแผล แล้วบอกว่าพรุ่งนี้ค่อยมาลุ้นกันต่อ

ค่ำวันพฤหัสบดีคุณหมอมาตรวจใหม่ ปรากฏว่าผลออกมาดีเกินคาด ทำให้คุณหมอประเมินว่าถ้ายังคงเป็นอย่างนี้ไม่วันเสาร์หรืออาทิตย์ก็คงจะออกจากโรงพยาบาลได้ พอเย็นวันศุกร์คุณหมอมาตรวจอีกทีก็บอกว่าวันรุ่งขึ้นก็ออกจากโรงพยาบาลไปนอนพักที่บ้านได้ แต่ยังต้องมาทำแผล ล้างแผล เปลี่ยนผ้าก๊อช อยู่วันละครั้ง

ผมเขียน Memoir ฉบับนี้เอาไว้ตั้งแต่เช้าแล้วค้างเอาไว้ เพิ่งจะมาต่อให้จบเมื่อกลับจากทำแผลที่โรงพยาบาล ที่เขียนเรื่องนี้ก็เพื่อเป็นการบันทึกประสบการณ์ของตนเอง และเป็นการเล่าประสบการณ์การโดนผ่าตัดครั้งแรกในชีวิตจากมุมมองของผู้ที่เป็นผู้ป่วย