แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ พายุ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ พายุ แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ไต้ฝุ่น Gay และเรือ Seacrest MO Memoir : Thursday 2 November 2560

เอกสาร "ภัยธรรมชาติในประเทศไทย" ที่กรมอุตุนิยมวิทยาเผยแพร่ไว้บนหน้าเว็บ กล่าวถึงการเปิดพายุหมุนเขตร้อนเอาไว้ว่า (https://tmd.go.th/info/risk.pdf
  
"พายุหมุนเขตร้อนเริ่มต้นการก่อตัวจากหย่อมความกดอากาศต่ากําลังแรงซึ่งอยู่เหนือผิวน้ำทะเลในบริเวณเขตร้อนและเป็นบริเวณที่กลุ่มเมฆจํานวนมากรวมตัวกันอยู่โดยไม่ปรากฏการหมุนเวียนของลม หย่อมความกดอากาศต่ำกําลังแรงนี้ เมื่ออยู่ในสภาวะที่เอื้ออํานวยก็จะพัฒนาตัวเองต่อไป จนปรากฏระบบหมุนเวียนของลมอย่างชัดเจน
  
พอปรากฏระบบหมุนเวียนของลมอย่างชัดเจน ก็จะเรียกว่าเป็นพายุแล้ว
 
การจำแนกชนิดพายุหมุนเขตร้อน อาศัยความเร็วลมใกล้จุดศูนย์กลางเป็นหลัก กล่าวคือ
 
ความเร็วลมสูงสุดไม่เกิน 33 นอต (17 เมตร/วินาที หรือ 62 กิโลเมตร/ชั่วโมง) เรียกว่าเป็นพายุดีเปรสชั่น (Depression) ชื่อย่อ TD สัญญลักษณ์ D พายุดีเปรสชั่นนี้ยังไม่มีชื่อตั้งให้
 
ความเร็วลมสูงสุดอยู่ในช่วง 34-63 นอต (17-32 เมตร/วินาที หรือ 63-117 กิโลเมตร/ชั่วโมง) เรียกว่าเป็นพายุโซนร้อน (Tropical Storm) ชื่อย่อ TS สัญญลักษณ์ S พอมาถึงขั้นนี้ก็จะมีการกำหนดชื่อให้กับพายุแล้ว
 
ความเร็วลมสูงสุดอยู่ในช่วง 64-129 นอต (17 เมตร/วินาที หรือ 118-239 กิโลเมตร/ชั่วโมง) เรียกว่าเป็นพายุไต้ฝุ่น (Typhoon) ชื่อย่อ TY


รูปที่ ๑ ข้อความส่วนหนึ่งจาก Executive summary เหตุการณ์ที่เกิดกับเรือขุดเจาะ Seacrest ในอ่าวไทย เมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ (จากเอกสาร INVESTIGATION OF EVENTS SURROUNDING THE CAPSIZE OF THE DRILLSHIP SEACREST จัดทำโดยหน่วยงาน Failure Analysis Associates®, Inc. ให้กับบริษัท Unocal)
 
การเกิดลมหมุนเข้าสู่ศูนย์กลางจำเป็นต้องพึ่งพาแรงโคริออริส (Coriolis force) ดังนั้นบริเวณที่อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรมากเกินไปจะไม่เกิดพายุหมุน (เพราะแรงโคริออริสมีค่าน้อย) ด้วยเหตุนี้ ในบริเวณแถบบ้านเราการก่อตัวจนถึงระดับความแรงที่เป็นพายุได้จึงมักเกิดที่ตำแหน่งเส้นรุ้งสูงเกินกว่า 5 องศาเหนือ
  
วัตถุดิบที่สำคัญสำหรับการก่อตัวเป็นพายุคือไอน้ำที่ระเหยขึ้นมาจากพื้นน้ำ ท้องทะเลที่มีอุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงและพื้นน้ำที่กว้าง (เช่นในมหาสมุทรเปิด) จะทำให้พายุก่อตัวได้ง่าย เช่นในมหาสมุทรแปซิฟิกทางตะวันออกของประเทศฟิลิปปินส์ ในบริเวณพื้นทะเลที่แคบกว่านั้น (เช่นในอ่าวไทยหรือในทะเลจีนใต้) การก่อตัวเป็นพายุขนาดใหญ่ที่มีกำลังแรงนั้นมีโอกาสเกิดได้น้อย แต่ใช่ว่าจะไม่มีซะทีเดียว และพายุลูกหนึ่งที่มีกำลังแรงระดับไต้ฝุ่น ที่ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในอ่าวไทยคือพายุไต้ฝุ่นเกย์ (Gay) ที่ก่อตัวขึ้นในอ่าวไทยในระหว่างวันที่ ๓ และ ๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๒ ก่อนขึ้นฝั่งที่บริเวณจังหวัดชุมพร-ประจวบคีรีขันธ์ และข้ามต่อไปยังมหาสมุทรอินเดียก่อนที่จะทวีกำลังแรงขึ้นอีกครั้งและไปสิ้นสุดเมื่อขึ้นฝั่งที่ประเทศอินเดีย


รูปที่ ๒ ตำแหน่งร่องความกดอากาศต่ำ ทิศทางมรสุม และทางเดินพายุหมุนเขตร้อน ในช่วงเวลาต่าง ๆ ของรอบปี จากเอกสาร "ภัยธรรมชาติในประเทศไทย" จัดทำโดยกรมอุตุนิยมวิทยา

รูปที่ ๓ เส้นทางการเคลื่อนที่ของพายุ Gay (จากขวามาซ้าย) และกำลังของพายุตั้งแต่เริ่มก่อตัวเป็นหย่อมความกดอาศต่ำ (สีน้ำเงิน) ทางใต้แหลมญวน จนเป็นพายุดีเปรสชั่น (สีเขียว) พายุโซนร้อน (สีเหลือง) และพายุไต้ฝุ่น (สีแดง) ก่อนขึ้นฝั่งบริเวณรอยต่อระหว่างจังหวัดชุมพรและประจวบคีรีขันธ์ (ภาพจาก http://agora.ex.nii.ac.jp/digital-typhoon/)


รูปที่ ๔ กราฟการเปลี่ยนแปลงความกดอากาศ (หน่วย hPa) ณ เวลาต่าง ๆ ค่าความกดอากาศยิ่งต่ำ ความเร็วลมยิ่งสูง (ภาพจาก http://agora.ex.nii.ac.jp/digital-typhoon/) จะเห็นว่าพายุลูกนี้เพิ่มกำลังจากพายุดีเปรสชั่น (จุดสีเขียว) ถึงระดับไต้ฝุ่น (จุดสีแดง) ได้ในเวลาไม่ถึง ๑ วัน

Gay เป็นพายุที่มีการทวีกำลังขึ้นอย่างรวดเร็ว เรียกว่าภายในเวลาไม่ถึง ๒๔ ชั่วโมงสามารถเปลี่ยนตัวเองจากพายุดีเปรสชั่นที่เพิ่งจะก่อตัวได้เพียง ๑ วันกลายเป็นพายุไต้ฝุ่น และบังเอิญว่าบริเวณที่ทวีกำลังแรงขึ้นนั้น มีเรือขุดเจาะน้ำมันชื่อ Seacrest กำลังปฏิบัติหน้าที่ขุดเจาะน้ำมันอยู่ใกล้เคียงกับแนวทางการเคลื่อนที่ของศูนย์กลางของพายุ

รูปที่ ๕ ภาพถ่ายดาวเทียมพายุไต้ฝุ่น Gay ขณะมีกำลังแรงสูงสุดก่อนเคลื่อนขึ้นฝั่งทางใต้ของประเทศไทย (ภาพจาก https://en.wikipedia.org/wiki/Typhoon_Gay_(1989))

อ่าวไทยไม่ได้มีบริเวณพื้นน้ำที่กว้างใหญ่ การที่หย่อมความกดอากาศต่ำที่อยู่ในอ่าวไทยจะเพิ่มกำลังจนถึงระดับพายุไต้ฝุ่นได้นั้น จะเรียกว่าเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงก็ได้ แถมยังทวีกำลังขึ้นอย่างรวดเร็ว การทวีกำลังของพายุดีเปรสชั่นเป็นพายุโซนร้อน Gay ในวันศุกร์ที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ และทวีกำลังแรงเป็นระดับไต้ฝุ่นในวันเดียวกันนั้นเอง ทำให้ผู้ที่ปฏิบัติงานบนเรือ Seacrest ไม่ทันตั้งตัว ประกอบกับตำแหน่งที่อยู่ของเรือนั้นอยู่ใกล้กับจุดศูนย์กลางของพายุและอยู่ในแนวทางเดินของจุดศูนย์กลาง ทำให้เรือพลิกคว่ำอย่างรวดเร็ว แบบที่เรียกได้ว่าลูกเรือไม่ทันที่จะได้หนี ในบรรดาลูกเรือทั้งหมด ๙๗ คนในเวลานั้น มีรอดชีวิตมาได้เพียง ๖ คน (หลังจากลอยคออยู่กลางทะเลท่ามกลางพายุเป็นเวลาหลายวัน เพราะความรุนแรงของพายุทำให้หน่วยกู้ภัยไม่สามารถออกไปช่วยเหลือได้

รูปที่ ๖ พ้นจากประเทศไทยแล้ว พายุ Gay พอเคลื่อนเข้าสู่ทะเลอันดามันและมหาสมุทรอินเดียก็ทวีกำลังแรงขึ้นใหม่ ก่อนเคลื่อนเข้าสู่ฝั่งตะวันออกของประเทศอินเดีย) (ภาพจาก https://en.wikipedia.org/wiki/Typhoon_Gay_(1989))


รูปที่ ๗ เส้นทางเดินของพายุ Harriet ที่ขึ้นฝั่งที่ฝั่งประเทศไทยที่แหลมตะลุมพุก จ. นครศรีธรรมราช ในวันที่ ๒๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๕ (ภาพจาก https://en.wikipedia.org/wiki/1962_Pacific_typhoon_season)

ช่วงปลายเดือนตุลาคม หย่อมความกดอากาศสูงจากประเทศจีนจะทวีกำลังแรงและเคลื่อนเข้าปกคลุมประเทศไทยตอนบน และยังแผ่ออกไปทางตะวันออกทางด้านทะเลจีนใต้ด้วย ลักษณะเช่นนี้ทำให้พายุที่เกิดขึ้นในมหาสมุทรแปซิฟิกที่สามารถเคลื่อนผ่านประเทศฟิลิปปินส์เข้าสู่ทะเลจีนใต้ได้นั้น แทนที่จะเคลื่อนที่ขึ้นเหนือเข้าสู่เวียดนามตอนบนหรือจีนตอนใต้ดังเช่นช่วงเวลาก่อนหน้า กลับถูกกดให้เคลื่อนต่ำลงล่าง ซึ่งถ้าเคลื่อนขึ้นฝั่งที่ประเทศเวียดนามตอนใต้ ก็มักจะอ่อนกำลังลงเมื่อเคลื่อนเข้าสู่ประเทศกัมพูชา แต่ก็มีเหมือนกันที่หย่อมความกดอากาศสูงนั้นกดพายุให้เคลื่อนต่ำลงมาก จนสามารถอ้อมใต้แหลมญวนได้ กล่าวคือแทบจะเคลื่อนที่อยู่ในทะเลตลอดเวลา ถ้าเป็นเช่นนี้จะทำให้พายุสามารถรักษาความแรงเอาไว้ได้ (เพราะได้ความชื้นจากทะเลหล่อเลี้ยงเอาไว้) และพายุลูกหนึ่งที่มีรูปแบบการเคลื่อนที่แบบนี้คือพายุโซนร้อน Harriet ที่เคลื่อนที่ขึ้นฝั่งประเทศไทยที่แหลมตะลุมพุก จ. นครศรีธรรมราช ในวันที่ ๒๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๕ (รูปที่ ๗)
 
พายุอีกลูกหนึ่งที่มีลักษณะการเคลื่อนที่รูปแบบเช่นนี้ได้แก่พายุทุเรียน (Durian) แต่ด้วยการที่แนวทางของพายุนั้นมีการพาดผ่านแหลมญวน ทำให้พายุมีการอ่อนกำลังลงก่อนเคลื่อนเข้าสู่อ่าวไทยในรูปของหย่อมความกดอากาศต่ำ และไม่ได้มีการทวีกำลังแรงขึ้นเป็นระดับพายุอีกเมื่อเคลื่อนที่ขึ้นฝั่งทางภาคใต้ของประเทศไทย (รูปที่ ๘)


รูปที่ ๘ เส้นทางการเคลื่อนที่ของพายุไต้ฝุ่นทุเรียน ที่เกิดในมหาสมุทรแปซิฟิก แต่โดนความกดอากาศสูงจากประเทศจีนกดให้เคลื่อนที่ต่ำลงล่าง จนสามารถอ้อมผ่านแหลมญวนได้ ก่อนเคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทยช่วงต้นเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ (ภาพจาก https://en.wikipedia.org/wiki/Typhoon_Durian)

รายละเอียดการสอบสวนเหตุที่เกิดกับเรือ Seacrest หาอ่านได้ทางอินเทอร์เน็ตจากรายงานที่มีชื่อว่า "INVESTIGATION OF EVENTS SURROUNDING THE CAPSIZE OF THE DRILLSHIP SEACREST" ที่จัดทำโดยหน่วยงาน Failure Analysis Associates®, Inc. เพื่อรายงานให้กับบริษัท Unocal (ถ้าสนใจก็ลองค้นโดยใช้ google ดูก็แล้วกัน)
 
พรุ่งนี้ก็จะเป็นวันครบรอบ ๒๘ ปีของการเกิดเหตุการณ์หายนะดังกล่าวในอ่าวไทย เรียกว่าเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุดของอุตสาหกรรมขุดเจาะปิโตรเลียมของบ้านเราก็ได้

วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2559

The Perfect Storm (๒) MO Memoir : Sunday 21 August 2559

เกือบจะเรียกได้ว่าเป็น ที่เก่า เวลาเดิม กับผู้แสดงชื่อเดิม

เมื่อ ๖ ปีที่แล้ว ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ของปี ผมเคยเขียนบันทึกเกี่ยวกับภาพยนต์เรื่อง The Perfect Storm ที่ใช้ฉากที่เป็นพายุ ๓ ลูกที่เกิดในบริเวณเดียวกัน และในช่วงนั้นของปีก็มีพายุ ๓ ลูกเกิดในบริเวณเดียวกันใกล้กับบ้านเราคือ Lionrock (1006) Kompasu (1007) และ Namtheun (1008) ที่เกิดในบริเวณทะเลจีนตะวันออก (ดู Memoir ปีที่ ๓ ฉบับที่ ๑๙๖ วันอังคารที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๓ เรื่อง "The Perfect Storm")
 
หลังจากวันนั้นมา ๖ ปี ณ วันนี้ของปีนี้ก็มีเหตุการณ์ทำนองเดียวเกิดขึ้นอีก แต่คราวนี้สถานที่เกิดมีการขยับขึ้นไปทางตะวันออกเฉียงเหนือเล็กน้อย คือไปอยู่บริเวณตอนใต้ของเกาะญี่ปุ่น โดยมีพายุ ๓ ลูกกำลังวิ่งเล่นอยู่แถวนั้นคือ Mindulle (1609) Lionrock (1610) และ Kompasu (1611) แถมพายุที่กลับมานี้ยังมีชื่อเหมือนกันเสีย ๒ ลูกคือ Lionrock กับ Kompasu
 
Memoir ฉบับเช้าวันอาทิตย์นี้ก็ไม่มีอะไร ถือเสียว่าเป็นการบันทึกเหตุการณ์ธรรมชาติที่บังเอิญเกิดขึ้นคล้ายกับในอดีต (ในสายตาของผม) ก็แล้วกัน

รูปที่ ๑ แผนที่อากาศจากกรมอุตินิยมวิทยา


รูปที่ ๒ ภาพถ่ายดาวเทียม (ในโหมดแสงอินฟราเรด)

วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2556

วิภา นารี และ ไพลิน MO Memoir : Sunday 13 October 2556

สาวน้อย "ไพลิน" เกิดทางภาคตะวันออกของประเทศไทยเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา (๔ ตุลาคม) เมื่อแรกเกิดนั้นก็เป็นที่จับตามองของแมวมองจากประเทศญี่ปุ่น (Japan Meteorological Agency) และจากประเทศไทย (กรมอุตุนิยมวิทยา) ว่าจะส่งชื่อเข้าประกวดในเวทีเอเชีย-แปซิฟิกหรือไม่ แต่ไพลินก็คงยังทำตัว low profile (เป็นเพียงแค่หย่อมความกดอากาศต่ำ) เดินทางข้ามอ่าวไทยเพื่อเข้าประกวดเวทีแรกที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ที่นั่นผลงานของไพลินก็ยังไม่โดดเด่นนัก แต่ก็พอทำให้ชาวหัวหินปั่นป่วนไปชั่วขณะด้วยการทำให้เกิดน้ำท่วมเป็นเวลาสั้น ๆ
  
จากนั้นไพลินก็ได้เดินทางออกจากประเทศไทย ผ่านประเทศพม่าเข้าสู่ทะเลอันดามัน แมวมองของทางญี่ปุ่นก็เลยหมดความสนใจ แต่เริ่มเป็นที่จับตามองของแมวมองจากประเทศอินเดีย (India Meteorological Department) แทน ณ ที่นี้ไพลินเริ่มเข้าประกวดในเวทีแรกแถวหมู่เกาะนิโคบาร์ด้วยรหัส "BOB 04" (พายุดีเปรสชั่น) ในวันที่ ๘ ตุลาคม ก่อนกระโจนเข้าสู่เวทีเรียลิตี้โชว์อย่างเป็นทางการในวันถัดมาด้วยการสนับสนุนของแมวมองจากสหรัฐอเมริกา (Joint Typhoon Warning Center) ด้วยชื่อ TC "02B" (ในเขตมหาสมุทรอินเดียเรียก tropical cyclone (TC) แต่ในเขตมหาสมุทรแปซิฟิกและทะเลจีนใต้เรียก tropical storm (TS))
 
จากการสนับสนุนของแมวมองจากประเทศมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ (สหรัฐอเมริกา) ทำให้เพียงชั่วข้ามคืน (วันที่ ๑๐ ตุลาคม) จาก TC "02B" ก็ได้เข้าสู่วงการ Bollywood ของอินเดียอย่างเต็มตัวด้วยชื่อ "ไพลิน (PHAILIN)" ที่มาจากการตั้งของประเทศไทย (หรือ TC "PHAILIN" (02B)) กลายเป็นที่จับตามองของคนในประเทศอินเดียและบังคลาเทศ ความแรงของไพลินทวีกำลังอย่างรวดเร็ว (จากความเร็วลม 65 knot หรือ 120 km/hr เป็น 130 knot หรือ 240 km/hr) ภายในเวลาเพียงแค่สองวัน กลายเป็นซุปเปอร์สตาร์ระดับ 5 ดาว (ความแรงระดับ category 5 ตามมาตรวัดความแรงพายุ ซึ่งเป็นความแรงสูงสุด) จนทางการอินเดียต้องประกาศให้ประชาชนกว่า ๕๐๐,๐๐๐ คนเตรียมต้อนรับการมาเยือนของไพลินที่เดินทางถึงฝั่งอินเดียเมื่อคืนวันวาน (๑๒ ตุลาคม เวลาท้องถิ่น) ที่ผ่านมา (อันที่จริงคือเผ่นหนี) ซึ่งเป็นการเตรียมการต้อนรับครั้งใหญ่สุดหลังจากครั้งสุดท้ายเมื่อ ๑๔ ปีก่อนหน้านั้น

ส่วน "นารี" นั้นแม้ชื่อจะฟังดูคล้ายภาษาไทย แต่อันที่จริงเป็นสาวเกาหลีใต้ นารีนั้นเกิดไล่เลี่ยกับไพลินแต่ไปเกิดอยู่บริเวณหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกเหนือเส้นศูนย์สูตรเล็กน้อย นารีนั้นเปิดตัวที่ประเทศฟิลิปปินส์ก่อนหน้าการเปิดตัวของนารีที่อินเดียเพียงวันเดียว (ขึ้นฝั่งที่ฟิลิปปินส์ในวันที่ ๑๑ ตุลาคม เวลาท้องถิ่น) แต่ด้วยกระแสความดังที่มีเพียงครึ่งเดียวของนารี (ความเร็วลมเพียงแค่ 65 knot หรือ 120 km/hr) ทำให้ไม่มีข่าวการเปิดตัวที่หวือหวาเท่าใดนั้น
  
ในขณะที่ไพลินมีการเปิดตัวครั้งใหญ่เพียงครั้งเดียว แต่นารียังมีโอกาสแก้ตัว โดยจะมีการแสดงครั้งที่ ๒ ณ ประเทศเวียดนาม กำหนดการยังไม่แน่นอน แต่คาดว่าน่าจะเป็นวันที่ ๑๕ หรือ ๑๖ ตุลาคมนี้ ถ้าประสบความสำเร็จก็อาจจะเลยมาให้พี่น้องประชาชนทางภาคอีสานของไทยได้ชื่นชมผลงานได้ ผมเองก็มีกำหนดการจะเดินทางไปทางภาคอีสานในช่วงเวลาดังกล่าว ก็เลยต้องติดตามข่าวคราวนารีเอาไว้บ้าง จะได้วางแผนเส้นทางการเดินทางได้ถูกต้อง

น้องใหม่ล่าสุดในวงการขณะนี้คือ "วิภา" เพิ่งจะเปิดตัวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมานี้เอง แม้ว่าวิภาจะดูเหมือนว่าเดินตามหลังนารี แต่คาดว่าวิภาคงจะไม่เดินรอยตามรุ่นพี่ คาดว่าจะได้รับเชิญให้ไปเปิดตัวที่ญี่ปุ่นหรือเกาหลีมากกว่า ขึ้นอยู่กับว่าที่ใดให้ข้อเสนอดีกว่ากัน แต่ทั้งนี้ก็อาจโดนจีนตัดหน้าดึงตัวไปได้เช่นกัน
  
"ไพลิน (PHAILIN)" เป็นชื่ออัญมณี ตั้งโดยประเทศไทย อยู่ในบัญชีรายชื่อพายุสำหรับพายุที่ก่อตัวในมหาสมุทรอินเดีย
  
"นารี (NARI)" แปลว่าดอกลิลี่ ตั้งโดยประเทศเกาหลีใต้ อยู่ในบัญชีรายชื่อพายุสำหรับพายุที่ก่อตัวในมหาแปซิฟิกและทะเลจีนใต้
  
"วิภา (WIPHA) เป็นชื่อผู้หญิง" ตั้งโดยประเทศไทย อยู่ในบัญชีรายชื่อพายุสำหรับพายุที่ก่อตัวในมหาแปซิฟิกและทะเลจีนใต้

ภาพถ่ายดาวเทียมและแผนที่อากาศที่เอามาแสดงนั้นนำมาจากหน้าเว็บของกรมอุตินิยมวิทยา www.tmd.go.th วันที่ต่าง ๆ ปรากฏในแต่ละภาพแล้ว แต่เวลาที่ปรากฏในแต่ละภาพนั้นเป็นเวลา GMT (หรือ UTC) ซึ่งต้องบวกอีก ๗ ชั่วโมงจึงจะเป็นเวลาท้องถิ่นประเทศไทย

ดูเหมือนว่าช่วงนี้ภูมิภาคแถวนี้จะตกอยู่ในช่วงดวง "นารีพิฆาต"


รูปที่ ๑ ลูกซ้ายคือพายุไพลินขณะมีกำลังแรงสูงสุด กำลังขึ้นสู่ฝั่งประเทศอินเดีย ลูกกลางคือพายุนารีหลังจากเคลื่อนผ่านประเทศฟิลิปปินส์และกำลังมุ่งหน้าสู่เวียดนาม ส่วนลูกขวาสุดคือพายุวิภาขณะกำลังทวีความแรงขึ้นเรื่อย ๆ









วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2556

คำเตือนเรื่องพายุดีเปรสชัน MO Memoir : Thursday 19 September 2556

อันที่จริงวันนี้ว่าจะนำเรื่องวาล์วลง blog แต่ระหว่างที่นั่งพิมพ์เรื่องวาล์วอยู่ก็เปิดดูรายงานอากาศแก้ง่วง พอเห็นคำเตือนของกรมอุตุนิยมวิทยาแล้วก็รู้สึกแปลก ๆ 
  
มันแปลกยังไงเหรอ ลองอ่านดูประกาศฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๕๖ ประกาศ ณ เวลา ๐๕.๐๐ น เรื่อง "พายุดีเปรสชันบริเวณทะเลจีนใต้" ข้างล่างดูก่อนนะ


ประกาศตอนตีห้าบอกว่าพายุยังอยู่ในทะเล ห่างฝั่งประเทศเวียดนามถึง ๒๐๐ กิโลเมตร และคาดว่าจะขึ้นฝั่งในวันนี้ ซึ่งก็ควรจะเป็นตอนกลางวัน
 
แต่พอก่อนเที่ยงวันนี้ในอีก ๖ ชั่วโมงถัดมา ทางกรมอุตุนิยมวิทยาได้ออกประกาศฉบับที่ ๑๒ ลงวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๕๖ ประกาศ ณ เวลา ๑๑.๐๐ น "พายุดีเปรสชันบริเวณทะเลจีนใต้" ออกมาอีกฉบับ ที่ผมเอามาแสดงในหน้าถัดไป ลองอ่านดูว่าสังเกตเห็นอะไรแปลก ๆ ไหม


ก็ตั้งแต่ประโยคแรกเลย ประกาศตอนตี ๕ (ฉบับที่ ๑๑) บอกว่าพายุยังอยู่ในทะเลห่างฝั่งไปตั้ง ๒๐๐ กิโลเมตร แต่พอเป็นตอน ๑๑ โมงเช้า (ฉบับที่ ๑๒) บอกว่าขึ้นฝั่งเรียบร้อยแล้วตั้งแต่เมื่อคืน (แสดงว่าขึ้นฝั่งก่อนมีการออกประกาศตอนตี ๕ อีก) แถมตอนนี้มาอยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานีเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ ๑๐ โมงเช้า
 
อันที่จริงถ้าไปดูแผนที่อากาศหรือภาพถ่ายดาวเทียมจากหน้าเว็บไซต์ของกรมอุตุนิยมวิทยาเอง ก็จะเห็นได้ว่าพายุดีเปรสชันลูกดังกล่าวขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามตั้งแต่เวลาประมาณตี ๑ ของวันนี้แล้ว และช่วงเวลาประมาณ ๗ โมงเช้าก็กำลังจะเคลื่อนเข้าสู่จังหวัดอุบลราชธานี (ภาพแผนที่อากาศ ณ เวลาทั้งสองอยู่ในหน้าถัดไป)

ผมว่างานนี้ทางกรมอุตุนิยมวิทยาน่าจะทบทวนดูหน่อยนะว่าเกิดอะไรขึ้น

แผนที่อากาศ ณ เวลา ๐๑.๐๐ น วันพฤหัสบดีที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๕๖

 แผนที่อากาศ ณ เวลา ๐๗.๐๐ น วันพฤหัสบดีที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๕๖

วันศุกร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เมื่อทุเรียนต้องหลีกทางให้มังคุด MO Memoir : Friday 9 August 2556

การเกิดพายุฝนนั้นจะเริ่มจากการเกิดหย่อมความกดอากาศต่ำก่อน และเมื่อพายุฝนนั้นเริ่มก่อตัวเป็นพายุหมุนก็จะเรียกว่าพายุดีเปรสชั่น (depression) และเมื่อความเร็วลมที่ศูนย์กลางของพายุดีเปรสชั่นนี้สูงถึง 63 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (หรือ ๓๔ นอต) ก็จะเรียกว่าพายุโซนร้อน (tropical storm) และจะมีการกำหนดชื่อเรียกให้กับพายุดังกล่าว และจะใช้ชื่อดังกล่าวไปจนกว่าพายุนั้นจะสลายตัว และถ้าพายุโซนร้อนนี้ทวีกำลังแรงขึ้นอีกจนมีความเร็วลมที่ศูนย์กลางตั้งแต่ 118 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (หรือ ๖๔ นอต) ขึ้นไปก็จะจัดให้เป็นพายุไต้ฝุ่น (typhoon)

เดิมทีนั้นการตั้งชื่อพายุที่เกิดในบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกฝั่งตะวันตกซีกเหนือ (ระหว่างเส้นแวงที่ 100 ถึง 180 องศาตะวันออกและอยู่เหนือเส้นศูนย์สูตร) จะใช้ชื่อที่กำหนดโดยหน่วยงานของสหรัฐอเมริกา และชื่อดังกล่าวจะเป็นชื่อ "ผู้หญิง" ทั้งหมด (คือเขามองว่าพายุนั้นเปรียบเสมือนอารมณ์ของผู้หญิง คือมีความแปรปรวนเอาแน่เอานอนไม่ได้ และคาดเดาไม่ได้) จนกระทั่งเดือนเมษายนปีค.ศ. ๑๙๗๙ (พ.ศ. ๒๕๒๒) จึงได้มีการปรับปรุงชื่อใหม่โดยมีการรวมเอาชื่อผู้ชายเข้าไปด้วย แต่ถึงกระนั้นชื่อทั้งหมดนั้นก็ยังคงเป็นชื่อแบบภาษาอังกฤษอยู่ดี

จนกระทั่งปีค.ศ. ๒๐๐๐ (พ.ศ. ๒๕๔๓) จึงได้มีการปรับปรุงใหม่อีกครั้ง โดย ๑๔ ประเทศและดินแดนในย่านแปซิฟิกตะวันตกตอนเหนือได้ทำการตั้งชื่อพายุ โดยนำรายชื่อประเทศและดินแดนมาเรียงตามลำดับอักษรภาษาอังกฤษ และให้แต่ละประเทศเสนอชื่อพายุได้ประเทศละ ๑๐ ชื่อ รวมทั้งสิ้น ๑๔๐ ชื่อนำมาจัดหมวดหมู่เป็น ๕ ชุด และจะใช้ชื่อดังกล่าวไล่ตามลำดับไปเรื่อย ๆ จนครบ ๑๔๐ ชื่อและก็จะกลับมาเริ่มต้นวนใหม่ (รายละเอียดเพิ่มเติมอ่านได้จากลิงค์ตอนท้าย)

ชื่อพายุที่ตั้งขึ้นแล้วนี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามกติกาที่มีการกำหนดเอาไว้คือ "หากพายุลูกใดมีความรุนแรงและสร้างความหายนะมากเป็นพิเศษ ก็ให้ปลดชื่อพายุลูกนั้นไป แล้วตั้งชื่อใหม่เข้าไปในรายการชื่อแทน"

ชื่อพายุที่ตั้งโดยประเทศไทยนั้นประกอบด้วย พระพิรุณ ทุเรียน วิภา รามสูร เมขลา อัสนี นิดา ชบา กุหลาบ และขนุน

ในวันที่ ๒๖ พฤศจิกายนปีพ.ศ. ๒๕๔๙ (ค.ศ. ๒๐๐๖) พายุโซนร้อนลูกที่ ๒๑ ของปีได้ก่อตัวขึ้นในมหาสมุทรแปซิฟิก พายุลูกนี้มีเลขรหัสว่า 200321 หรือชื่อ "ทุเรียน (Durina)" ในอีก ๓ วันถัดมาพายุโซนร้อนทุเรียนได้ทวีกำลังแรงเป็นพายุไต้ฝุ่นที่มีความเร็วลมที่ศูนย์กลางสูงสุดถึงประมาณ ๑๙๕ กิโลเมตรต่อชั่วโมงก่อนขึ้นฝั่งทางภาคตะวันออกของประเทศฟิลิปปินส์ ตลอดระยะทางตั้งแต่ก่อนขึ้นฝั่งทางภาคตะวันออกของฟิลิปปินส์ไปจนถึงก่อนโฉบไปบริเวณทางตอนใต้ของแหลมญวน พายุทุเรียนยังคงกำลังแรงในระดับพายุไต้ฝุ่น จากนั้นจึงอ่อนกำลังลงเป็นพายุโซนร้อนและพายุดีเปรสชั่นก่อนเคลื่อนตัวเข้าอ่าวไทย และอ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงเคลื่อนที่ขึ้นบนทางภาคใต้ของประเทศไทยบริเวณจังหวัดชุมพรและสุราษฎร์ธานี และข้ามฟากผ่านจังหวัดระนองลงสู่ทะเลอันดามัน และไปสลายตัวในมหาสมุทรอินเดียก่อนจะถึงฝั่งตะวันออกของประเทศอินเดีย (ดูรูปที่ ๑ และ ๒)
พายุทุเรียนทำความเสียหายอย่างใหญ่หลวง ทำให้มีผู้เสียชีวิตและสูญหายเกือบสองพันคน การประชุมที่จัดขึ้นที่กรุงมะนิลาประเทศฟิลิปปินส์ในปีค.ศ. ๒๐๐๖ (พ.ศ. ๒๕๔๙) จึงได้มีการเสนอให้ถอดถอนชื่อ "ทุเรียน" ออกจากรายชื่อพายุตามกติกาที่ได้มีการกำหนดไว้ล่วงหน้า และประเทศไทยได้มีการเสนอชื่อ "มังคุด - Mangkhut" แทนในการประชุมในเดือนธันวาคมปีค.ศ. ๒๐๐๗ (พ.ศ. ๒๕๕๐)

รูปที่ ๑ เส้นทางและการพัฒนาการของพายุทุเรียน (200621 - Durian) (จาก www.digital-typhoon.org)

รูปที่ ๒ เส้นทางการเดินทางของพายุทุเรียนจากมหาสมุทรแปซิฟิกไปจนถึงชายฝั่งตะวันออกของอินเดีย (ภาพจาก http://en.wikipedia.org/wiki/File:Durian_2006_track.png)

ในบรรดารายชื่อพายุทั้งหมด ๑๔๐ ชื่อนั้น กว่าจะวนกลับมาถึงชื่อ "มังคุด" อีกครั้งก็ต้องรอเวลาอีก ๗ ปี
และแล้วในวันอังคารที่ ๖ สิงหาคมปีพ.ศ.. ๒๕๕๖ (ค.ศ. ๒๐๑๓) พายุดีเปรสชั่นในทะเลจีนใต้ก็ได้ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโชนร้อนลูกที่ ๑๐ ของปี และได้รับการขนานนามว่าเป็นพายุเลขที่ 201310 ชื่อ "มังคุด - Mangkhut" โดยมีความเร็วลมที่บริเวณศูนย์กลางพายุสูงสุดประมาณ ๗๕ กิโลเมตรต่อชั่วโมง (หรือประมาณ ๔๐ นอต) พายุลูกนี้มีอายุสั้นประมาณ ๑ วันก่อนขึ้นฝั่งทางตอนเหนือของประเทศเวียดนามและสลายตัวกลายเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณทางภาคเหนือของประเทศไทยในวันพฤหัสบดีที่ ๘ สิงหาคมพ.ศ. ๒๕๕๖ ที่ผ่านมา (เมื่อวานนี้เอง - ดูรูปที่ ๓)

รูปที่ 3 เส้นทางและการพัฒนาการของพายุมังคุด (201310 - Mangkhut) (จาก www.digital-typhoon.org)

ทุเรียนเป็นผลไม้ร้อน มังคุดเป็นผลไม้เย็น ทั้งทุเรียนและมังคุดต่างออกสู่ท้องตลาดในเวลาเดียวกัน ใครกินทุเรียนเยอะ ๆ ก็จะรู้สึกร้อน วิธีแก้คือให้กินมังคุดร่วมกับทุเรียน แต่เวลากินมังคุดเยอะ ๆ กลับไม่รู้สึกเย็น ไม่เห็นต้องกินทุเรียนเข้าไปแก้ คนตั้งชื่อพายุคงจะใช้เหตุผลนี้ พอพายุทุเรียนก่อความเสียหายมากต้องการชื่อใหม่ ก็เลยเสนอชื่อมังคุดเข้าไปแทน นี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าหากบังเอิญพายุมังคุดลูกต่อไปในอนาคตก่อความเสียหายรุนแรงจนต้องถูกถอดชื่อออก จะเสนอผลไม้อะไรเข้าไปแทน

แหล่งที่มาข้อมูล
http://www.digital-typhoon.org
http://en.wikipedia.org/wiki/Tropical_cyclone_naming
http://www.tmd.go.th/info/info.php?FileID=28
http://th.wikipedia.org/wiki/การตั้งชื่อพายุหมุนเขตร้อน
http://en.wikipedia.org/wiki/Typhoon_Durian

วันศุกร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2555

ฝนชะช่อมะม่วง ฝนชะลาน MO Memoir : Friday 2 March 2555


ฝนชะช่อมะม่วง น. ฝนที่ตกเล็กน้อยประปรายในเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นระยะที่มะม่วงออกช่อพอดี, ฝนชะลาน ก็เรียก.

ฝนชะลาน น. ฝนชะช่อมะม่วง ชาวนาเรียก ฝนชะลาน เพราะมักตกในเวลาที่ยังนวดข้าวไม่เสร็จ.

นิยมของคำทั้งสองผมเอามาจากพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ หน้า ๕๖๘
ตอนเด็ก ๆ เวลาเรียนวิชาภูมิศาสตร์นั้น คุณครูจะสอนว่าในหน้าหนาวประเทศไทยจะได้รับอิทธิพลจากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือจากประเทศจีน ในหน้าฝนจะได้รับอิทธิพลจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้จากทะเลอันดามัน

แต่เวลาที่มีพายุดีเปรสชั่นเข้าประเทศทีไร มันมาทางตะวันออกทุกที แล้วตำราก็ไม่เห็นกล่าวถึงเลย

เรื่องพายุมาทางตะวันออกนี้ขอพักเอาไว้ก่อน กลับมาเรื่องฝนที่จั่วหัวเรื่องเอาไว้ก่อนดีกว่า

ในช่วงหน้าหนาว (เริ่มเดือนพฤศจิกายน) แกนของโลกด้านซีกโลกเหนือจะเอนออกจากดวงอาทิตย์ กลางวันจะสั้นกว่ากลางคืน แสงอาทิตย์จะตกเฉียงกับพื้นผิวโลกมากขึ้น ทำให้ซีกโลกด้านเหนือมีอากาศเย็นลง ในแถบบ้านเราจะมีการเกิดหย่อมความกดอากาศสูง (พวกที่มีความดันสูงกว่าความดันบรรยากาศปรกติ) ขึ้นในประเทศจีน ซึ่งถ้ามีกำลังแรงมากก็จะแผ่ลงมาปกคลุมประเทศที่อยู่ต่ำกว่า เช่นประเทศไทย ได้

หย่อมความกดอากาศสูงนี้เป็นอากาศที่แห้งและเย็น

ในช่วงหน้าร้อนแกนของโลกด้านซีกโลกเหนือจะเอาเข้าหาดวงอาทิตย์ กลางวันจะยาวกว่ากลางคืน แสงอาทิตย์ตกทำมุมใกล้กับมุมฉากมากขึ้น อากาศก็เลยร้อน

เวลาพื้นดินร้อนจากแสงแดดที่ตกกระทบ มันก็เพียงแค่ทำให้เกิดอากาศร้อนลอยตัวขึ้น แต่เวลาทะเลหรือมหาสมุทรได้รับความร้อนจากแสงแดด น้ำจะระเหยขึ้นเป็นไอน้ำลอยขึ้นไปสะสมในชั้นบรรยากาศ
พอมันสะสมมากขึ้นเรื่อย ๆ มันก็รวมกันเป็นก้อนเมฆ พอได้ขนาดมากพอมันก็เลยตกกลายเป็นฝน ซึ่งกว่าจะสะสมได้มากพอก็ต้องรอจนถึงตอนเย็น

รูปที่ ๑ (ซ้าย) หน้าหนาวของซีกโลกด้านเหนือ ขั้วโลกด้านเหนือหันออกจากดวงอาทิตย์ (ขาว) แต่พอถึงหน้าร้อนของซีกโลกด้านเหนือ โลกจะหันขั้วโลกด้านเหนือเข้าหาดวงอาทิตย์

ดังนั้นจึงอย่าแปลกใจที่ว่าในบางช่วงของปี ตอนเช้าจะดูอากาศดี แต่ตอนบ่ายหรือค่ำจะมีฝนตก เพราะต้องใช้เวลาทั้งกลางวันในการต้มน้ำทะเลให้กลายเป็นไอด้วยแสงอาทิตย์ ซึ่งกว่าจะได้ไอน้ำมากพอเป็นเมฆฝนได้ ก็ตกเย็นพอดี

ลมที่พัดจากทะเลทางตะวันตกเฉียงใต้เป็นลมที่ร้อนชื้น ในขณะที่ลมที่พัดมาจากจีนเป็นลมที่แห้งและเย็น เมื่อลมทั้งสองมาปะทะกันก็จะเกิดเป็นพายุฝนฝ้าคะนองหรือมีลูกเห็บตก (ไอน้ำพอเจอความเย็นมันก็กลายเป็นหยดน้ำแค่นั้นเอง)

ในช่วงเปลี่ยนจากฤดูฝนเป็นฤดูหนาวนั้น ช่วงแรก ๆ จะเกิดขึ้นทางตอนเหนือของประเทศไทยก่อน แต่พอหย่อมความกดอากาศสูงมีกำลังแรงขึ้นเรื่อย ๆ แนวปะทะระหว่างลมตะวันออกเฉียงเหนือและลมตะวันตกเฉียงใต้ก็จะเคลื่อนลงใต้ จนไปทำให้เกิดเป็นแนวฝนตกหนักและคลื่นลมแรงในภาคใต้ของประเทศ

แต่พอเปลี่ยนจากฤดูหนาวเป็นฤดูร้อน หย่อมความกดอากาศสูงจากประเทศจีนมีกำลังอ่อนลง แนวปะทะระหว่างลมตะวันออกเฉียงเหนือและลมตะวันตกเฉียงใต้ก็จะเคลื่อนขึ้นเหนือ ทำให้เกิดเป็นพายุฤดูร้อนและพายุลูกเห็บ ซึ่งมักเกิดขึ้นประมาณช่วงนี้ของทุกปี

บังเอิญช่วงนี้มะม่วงกำลังออกดอกซะด้วย ที่หวาดเสียวคือกลัวว่ากิ่งมะม่วงจะหัก ทำให้อดกินมะม่วง
ดอกมะม่วงนั้น บางทีมันออกทั้งต้นและอาจไม่เป็นผลเลย กลายเป็นใบไปหมด

แต่ก่อนจะเห็นชาวสวน (หรือที่บ้านผมเอง) เวลาจะทำให้มะม่วงออกดอกเป็นผลเยอะ ๆ ก็จะใช้วิธี "รมควัน" ต้นมะม่วง โดยการเอาใบไม้มาสุมกองใต้โคนต้น และก่อไฟเผาให้เป็นควัน (อย่าให้เป็นเปลวไฟร้อนนะ แทนที่จะได้กินจะกลายเป็นว่ามะม่วงจะตายซะก่อน) เลือกทิศทางลมให้ควันลอยเข้าหาต้นมะม่วง

ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นการให้ปุ๋ยทางใบหรือเปล่า เพราะคิดว่าในควันคงมีคาร์บอนไดออกไซด์เยอะ และยังอาจมีแก๊สตัวอื่นที่เกิดจากการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ที่อาจมีผลต่อการติดผลของมะม่วงก็ได้ (ที่ผมรู้ก็คือเอทิลีนกับอะเซทิลีนเร่งการสุกของผลไม้) แต่ที่รู้แน่ ๆ ก็คือมันใช้ได้ผล

ตอนเด็ก ๆ ก็เคยได้ผู้ใหญ่อธิบายว่าการรมควันเป็นการหลอกให้ต้นไม้รู้สึกว่ามันใกล้ตาย มันจะได้ออกผลเพื่อที่จะขยายพันธ์ต่อไป อันนี้ก็ไม่รู้ว่าเป็นเหตุผลเดียวกับการที่ห้ามรดน้ำต้นไม้หรือเปล่า เพราะว่ามีพืชบางชนิดเหมือนกันถ้าเราอยากให้มันออกดอกออกผลก็จำเป็นต้องหยุดการรดน้ำ เพราะถ้ารดน้ำมันทุกวันจะทำให้มันออกแต่ใบ

ใครที่รอบบ้านมีพื้นที่พอปลูกไม้ใหญ่ได้ ผมเชื่อว่าสำหรับบ้านส่วนใหญ่แล้วต้นมะม่วงมักจะต้องอยู่ในรายชื่อแรก ๆ ที่จะเอามาปลูก จนผมคิดว่าเราน่าจะเอาต้นมะม่วงเป็นต้นไม้ประจำชาตินะ

ทีนี้ก็ถึงเวลาของฝนที่มาทางตะวันออกบ้าง

พื้นน้ำที่กว้างใหญ่ทางด้านตะวันออกของคาบสมุทรอินโดจีนคือทะเลจีนใต้และมหาสมุทรแปซิฟิก แต่เนื่องจากมหาสมุทรแปซิฟิกมีขนาดกว้างใหญ่กว่า ดังนั้นจึงมีการเกิดการระเหยของน้ำที่มากกว่าและเกิดการรวมตัวเป็นก้อนเมฆได้ง่ายกว่า

ด้วยเหตุนี้เวลาที่เกิดพายุจึงมักจะเกิดในมหาสมุทรแปซิฟิกก่อน โดยเกิดทางทิศตะวันออกของประเทศฟิลิปปินส์

ในทางอุตุนิยมวิทยานั้นจำแนกความรุนแรงของพายุโดยใช้ "ความเร็วลม" เป็นหลัก ซึ่งพายุที่มีความเร็วลมสูงมากไม่จำเป็นต้องทำให้ฝนตกหนักมาก และพายุที่ทำให้ฝนตกหนักมากก็ไม่จำเป็นต้องมีความเร็วลมสูงมาก ด้วยการใช้เกณฑ์ความเร็วลมดังกล่าว ทำให้จำแนกพายุออกเป็นประเภทได้เป็น ๓ ประเภทคือ

พายุดีเปรสชั่น (Depression) คือพายุที่มีความเร็วลมต่ำกว่า 63 km/hr (หรือ 34 knots)
พายุโซนร้อน (Tropical storm) คือพายุที่มีความเร็วลมระหว่าง 63 - 118 km/hr
พายุไต้ฝุ่น (Typhoon) คือพายุที่มีความเร็วลมสูงกว่า 118 km/hr (หรือ 64 knots)
พายุดีเปรสชั่นเมื่ออ่อนกำลังลงจะกลายเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำ ซึ่งก็ยังทำให้ฝนตกได้อยู่

เริ่มแรกนั้นจะเกิดเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำก่อน เมื่อมีกำลังแรงขึ้นก็จะกลายเป็นพายุดีเปรสชั่น และถ้ามีกำลังแรงขึ้นไปอีกก็จะกลายเป็นพายุโซนร้อน พอระดับความแรงถึงขั้นพายุโซนร้อนเมื่อใดก็จะมีการตั้งชื่อให้กับพายุนั้น

การตั้งชื่อพายุนั้นจะมีชื่อเป็นตัวเลขกำกับ และชื่อเรียก ชื่อที่เป็นตัวเลขจะนำหน้าด้วยเลขสี่ตัวแรกที่เป็นเลขปีค.ศ. และเลขสองตัวหลังที่บอกว่าเป็นพายุลูกที่เท่าใดของปีค.ศ.นั้น เช่นพายุ 200621 DURIAN คือพายุลูกที่ 21 ที่เกิดในปีค.ศ. 2006 มีชื่อว่า "ทุเรียน"

ความรุนแรงของพายุจะขึ้นอยู่กับว่าอยู่ในทะเลนานเท่าใด และอยู่ในเขตร้อนนานเท่าใด ถ้าอยู่ในทะเลเป็นเวลานานและอยู่ในเขตร้อนเป็นเวลานาน พายุก็จะมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น (เพราะมีน้ำระเหยเข้าไปเติมได้เรื่อย ๆ) แต่ถ้าขึ้นบกเมื่อไรก็จะอ่อนกำลังลง

พายุที่เกิดทางด้านทิศตะวันออกของประเทศฟิลิปปินส์จะเคลื่อนตัวมาทางตะวันตก แต่เนื่องจากการที่โลกหมุนจึงทำให้เกิดแรงแรงโคริโอลิส (Coriolis force) ซึ่งทำให้พายุที่เกิดขึ้นใกล้เส้นศูนย์สูตรนั้นเคลื่อนตัวไปทางตะวันตกพร้อม ๆ กับการเฉียงขึ้นไปทางด้านทิศเหนือ จนเกิดการวกกลับเป็นการเคลื่อนที่ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเมื่อเคลื่อนไปทางประเทศญี่ปุ่น ถ้าพายุนั้นเกิดใกล้ประเทศฟิลิปปินส์ ก็มักจะเคลื่อนที่เข้าประเทศฟิลิปินส์เป็นประเทศแรก แต่ถ้าเกิดห่างออกไป พายุลูกนั้นก็มันจะเคลื่อนตัวโค้งออกไปจากประเทศฟิลิปปินส์และอาจไปเข้าประเทศญี่ปุ่นแทน แต่ถ้าเกิดที่เส้นรุ้งสูงขึ้นไปก็อาจจะไม่เข้าฝั่งเลยก็ได้

การเคลื่อนที่ของพายุที่เคลื่อนผ่านประเทศฟิลิปปินส์เข้ามาทางคาบสมุทรอินโดจีนนั้นยังได้รับอิทธิพลจากหย่อมความกดอากาศสูงจากประเทศจีน ถ้าหย่อมความกดอากาศสูงจากประเทศจีนมีกำลังแรง หย่อมความกดอากาศสูงนั้นก็จะกดไม่ให้พายุเคลื่อนที่ขึ้นเหนือไปได้ พายุลูกนั้นก็จะดูเหมือนกับเคลื่อนที่ไปทางตะวันออก โดยอาจค่อนไปทางทิศเหนือเล็กน้อย ซึ่งก็มักจะเข้าประเทศเวียดนาม และสลายตัวเป็นพายุดีเปรสชั่นและหย่อมความกดอากาศต่ำตามลำดับ พายุพวกนี้มักจะส่งผลกระทบต่อฝนตกในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย

แต่ถ้าหย่อมความกดอากาศสูงจากประเทศจีนมีกำลังต่ำ พายุก็จะเคลื่อนที่ขึ้นเหนือได้มากขึ้น และอาจไปขึ้นฝั่งที่เกาะไหหลำหรือประเทศจีนตอนใต้แทน ซึ่งพวกนี้มักไม่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย
พายุที่ขึ้นฝั่งทางภาคใต้ของประเทศไทยได้นั้นมักจะเกิดในทะเลจีนใต้และเกิดใกล้เส้นศูนย์สูตร พายุเหล่านี้จึงสามารถอ้อมใต้แหลมญวนมาขึ้นฝั่งที่ภาคใต้ของประเทศไทยได้

รูปที่ ๒ เส้นทางเดินพายุที่เข้าภาคใต้ของประเทศไทย ๓ ลูกคือ ปีพ.ศ. ๒๕๐๕ พายุ 196225 HARRIET เข้าที่แหลมตะลุมพุก ปีพ.ศ. ๒๕๑๕ พายุ 197229 SALLY เข้าที่ชุมพรผ่านไปทางระนอง และปีพ.ศ. ๒๕๓๒ พายุ 198929 GAY เข้าที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ภาพจาก www.digital-typhoon.org

รูปที่ ๒ เป็นเส้นทางเดินของพายุที่เคยเข้าภาคใต้ประเทศไทย ๓ ลูกคือ HARRIET ที่ขึ้นฝั่งที่แหลมตะลุมพุกเมื่อปีพ.ศ. ๒๕๐๕ พายุ SALLY ที่เข้าที่จังหวัดชุมพรในปีพ.ศ. ๒๕๑๕ และพายุไต้ฝุ่น GAY ที่ขึ้นฝั่งที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ในปีพ.ศ. ๒๕๓๒ จะเห็นว่าพายุเหล่านี้เกิดในทะเลจีนใต้ทั้งสิ้น

ภาพเส้นทางเดินพายุในรูปที่ ๒ และรูปอื่น ๆ ใน Memoir นี้ผมเอามาจาก www.digital-typhoon.org ซึ่งต้องไปคลิกที่ฐานข้อมูลของเว็บดังกล่าว แล้วให้เขาวาดรูปขึ้นมา (ถ้าไปค้นหารูปในเว็บจะไม่เจอ ต้องใช้วิธีค้นฐานข้อมูลพายุที่เคยเกิดในบริเวณดังกล่าว) จุดสีน้ำเงินเป็นแนวทางเดินของหย่อมความกดอาศต่ำหรือพายุดีเปรสชั่น พอทวีกำลังขึ้นเป็นพายุโซนร้อน (มีชื่อเรียกแล้ว) เขาก็จะเปลี่ยนเป็นจุดสีเขียว พอทวีกำลังขึ้นไปอีกเป็นภายุไต้ฝุ่นก็จะเปลี่ยนเป็นจุดสีเหลืองและจุดสีแดงตามลำดับ ในทางกลับกันพอพายุอ่อนกำลังลงก็จะถอยกลับจากสีแดง เป็นสีเหลือง เขียว และน้ำเงิน พวกนี้เขาจะมีฐานข้อมูลความกดอากาศที่ศูนย์กลางพายุ ณ ตำแหน่งต่าง ๆ ที่พายุเคลื่อนที่ไป แต่ถ้าเป็นฐานข้อมูลรุ่นเก่าเขาจะไม่มีข้อมูลการเปลี่ยนแปลงความกดอากาศ จะมีแต่เฉพาะข้อมูลความกดอากาศต่ำสุด ดังนั้นพอมันเริ่มเป็นพายุเขาก็จะแทนที่ด้วยจุดสีฟ้า

ปีพ.ศ. ๒๕๓๘ เป็นอีกปีหนึ่งที่มีน้ำท่วมหนัก ว่ากันว่าปริมาณน้ำมากเหมือนปีพ.ศ. ๒๕๕๔ แต่ระดับน้ำที่ท่วมนั้นต่ำกว่ากันเยอะมาก พื้นที่ที่โดนน้ำท่วมในกรุงเทพนั้นกินบริเวณกว้าง แต่รถเก๋งก็ยังวิ่งได้ ในปีนั้นมีพายุเกิดขึ้นทั้งหมดในย่านมหาสมุทรแปซิฟิกและทะเลจีนใต้ ๒๓ ลูก แต่มีเพียงไม่กี่ลูกเท่านั้นที่เคลื่อนที่มาถึงตอนใต้ของจีนหรือตอนเหนืองของเวียดนาม

รูปที่ ๓ เส้นทางพายุที่เกิดในมหาสมุทรแปซิฟิกในปีพ.ศ. ๒๕๓๘ (๒๓ ลูก) ภาพจาก www.digital-typhoon.org พายุจะเกิดทางด้านตะวันออก และเคลื่อนตัวไปทางตะวันตกพร้อมกับค่อย ๆ เบนขึ้นเหนือไปเรื่อย ๆ (ทิศตามเข็มนาฬิกา)

พายุที่ก่อตัวทางด้านตะวันออกของเส้นแวงที่ 135 องศาตะวันออกมักจะมีความรุนแรงในระดับไต้ฝุ่น เนื่องจากมีเวลาอยู่ในทะเลนาน แต่พายุเหล่านี้มักจะไปขึ้นฝั่งทางประเทศจีนหรือประเทศญี่ปุ่น น้อยรายที่จะมาถึงเวียดนาม

ช่วงเดือนที่แล้วได้ยินข่าวคนพูดกันว่าปีนี้จะมีพายุเข้าประเทศไทยไทย ๒๐ ลูก ผมได้ยินแล้วก็งง เพราะสถิติที่ผ่านมานั้นบริเวณบ้านเรานั้นมีพายุเกิดขึ้นเฉลี่ยเพียง ๒๐ กว่าลูกต่อปีเท่านั้นเอง และบางปีก็เกิดน้อยมาก เช่นปีพ.ศ. ๒๕๕๓ ที่มีการเกิดพายุเพียง ๑๔ ลูกเท่านั้นเอง เรียกว่าน้อยเป็นประวัติการณ์เลย ในที่นี้ก็เลยถือโอกาสค้นข้อมูลย้อนหลังจากเว็บ www.digital-typhoon.org เอามาให้ดูว่า ตั้งแต่ปีพ.ศ. ๒๕๔๙ (ที่มีน้ำท่วมเหมือนกัน) จนถึงปีพ.ศ. ๒๕๕๔ นั้น บริเวณแถวบ้านเรามีพายุเกิดขึ้นกี่ลูก (รูปที่ ๔ ถึง ๙)

รูปที่ ๔ เส้นทางพายุที่เกิดในมหาสมุทรแปซิฟิกในปีพ.ศ. ๒๕๔๙ (๒๓ ลูก) ภาพจาก www.digital-typhoon.org

รูปที่ ๕ เส้นทางพายุที่เกิดในมหาสมุทรแปซิฟิกในปีพ.ศ. ๒๕๕๐ (๒๔ ลูก) ภาพจาก www.digital-typhoon.org

รูปที่ ๖ เส้นทางพายุที่เกิดในมหาสมุทรแปซิฟิกในปีพ.ศ. ๒๕๕๑ (๒๒ ลูก) ภาพจาก www.digital-typhoon.org

รูปที่ ๗ เส้นทางพายุที่เกิดในมหาสมุทรแปซิฟิกในปีพ.ศ. ๒๕๕๒ (๒๒ ลูก) ภาพจาก www.digital-typhoon.org

รูปที่ ๘ เส้นทางพายุที่เกิดในมหาสมุทรแปซิฟิกในปีพ.ศ. ๒๕๕๓ (๑๔ ลูก) ภาพจาก www.digital-typhoon.org

รูปที่ ๙ เส้นทางพายุที่เกิดในมหาสมุทรแปซิฟิกในปีพ.ศ. ๒๕๕๔ (๒๑ ลูก) ภาพจาก www.digital-typhoon.org


ถ้าดูรูปที่ ๗ เทียบกับรูปที่ ๙ จะเห็นว่าในปีพ.ศ. ๒๕๕๒ มีพายุที่เข้ามาถึงฝั่งประเทศเวียดนามมากกว่าปีพ.ศ. ๒๕๕๔ เสียอีก ซึ่งพายุเหล่านี้จะส่งผลต่อฝนตกในภาคเหนือและภาคอีสานตอนบน แต่ปีพ.ศ. ๒๕๕๒ เราไม่มีปัญหาน้ำท่วม ดังนั้นผมจึงเชื่อว่าปัญหาเรื่องน้ำท่วมหนักในปีพ.ศ. ๒๕๕๔ ไม่ได้เกิดจากการที่มีฝนตกหนักเพียงอย่างเดียว (เพราะที่ผ่านมามันเคยมีตกหนักมากกว่านั้น แต่มันก็ไม่ท่วมมากเหมือนปีพ.ศ. ๒๕๕๔) สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงในปีที่แล้วน่าจะเกิดจากการจัดการน้ำที่ไม่เหมาะสมมากกว่า

ผมรู้สึกว่าบ้านเราผู้สื่อข่าวทำข่าวโดยใช้การ "ถาม" เพียงอย่างเดียว คือทำหน้าที่ไป "ถาม" คนอื่นแล้วก็เอามารายงานต่อว่าคนอื่นเขาพูดว่าอย่างไร ไม่มีการทำการบ้านก่อนด้วยการ "สืบค้นข้อมูล" เรื่องที่จะไปถาม ทั้ง ๆ ที่ในปัจจุบันสามารถสืบค้นข้อมูลหลาย ๆ เรื่องได้ทางอินเทอร์เน็ต ถ้ามีการสืบค้นข้อมูลก่อนก็จะรู้ได้ว่าคนที่เขาไปถามนั้น "รู้เรื่อง" นั้นดีแค่ไหน ผลที่ตามมาก็คือปล่อยให้มีการเข้าใจกันแบบผิด ๆ ไปกันก่อน จากนั้นจึงค่อยมีคนมาชี้แจงแก้ไขความเข้าใจที่ผิดนั้น ซึ่งก็ทำได้เพียงบางส่วนเท่านั้นเอง