แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ รถราง แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ รถราง แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2566

สุดสายรถรางที่สถานี Hakodate Dokku-Mae MO Memoir : Saturday 24 June 2566

วันนั้นนั่งรถไฟจาก Sapporo ได้ชมทั้งวิวเขาและทะเล ผ่านไป ๔ ชั่วโมงก็มาถึง Hakodate จากสถานี JR ก็ใช้รถรางนั่งไปชมโน่นชมนี่ ก่อนจะมาสุดที่สุดท้ายที่สถานี Hakodate Dokku-Mae นี้ รถรางที่นี่จ่ายด้วยบัตร Pasmo ได้ (เป็นบัตรเงินอิเล็กทรอนิสก์แบบหนึ่ง ถ้าเป็นในบ้านเราที่เทียบเท่าก็คือบัตร Rabbit ที่ใช้นั่งรถไฟฟ้า BTS และจ่ายตังค์ซื้อของได้ แต่ที่นั่นมีหลายเจ้า เขาเรียกรวม ๆ ว่าบัตร IC) ตอนขึ้นรถก็แตะที่ตู้แตะบัตรตรงประตูทางเข้า ตอนลงรถก็แตะที่ตู้แตะบัตรตรงประตูทางออกด้านหน้า

เสน่ห์อย่างหนึ่งของรถรางคงอยู่ที่มันไม่ค่อยมีให้นั่ง มันเป็นเหมือนกับการนั่งรถไฟขบวนเล็ก ๆ วิ่งผ่านไปตามใจกลางเมืองแบบได้บรรยากาศสัมผัสใกล้ชิดที่ไม่สามารถได้จากการนั่งรถไฟ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ทำไมผู้โดยสารบนรถรางจึงเป็นนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อย ตรงนี้ก็อาจเป้นผลพลอยได้อย่างหนึ่งของการเก็บรถรางเอาไว้ คือนอกจากจะเป็นระบบขนส่งสาธารณะที่ไม่ปลดปล่อยควันพิษในเมือง มันยังเป็นสิ่งดึงดูดให้คนมาเที่ยวที่ทำให้เกิดการใช้จ่ายในส่วนอื่นของเมืองนอกเหนือจากค่าโดยสารรถรางด้วย

หยุดสุดสัปดาห์นี้ก็ขอเป็นเรื่องเบา ๆ ด้วยการเล่าเรื่องด้วยรูปก็แล้วกัน

รูปที่ ๑ สถานีนี้ (D23) อยู่ที่ปลายทางสายสีน้ำเงินในวงรีสีแดง พึงสังเกตว่าชื่อภาษาอังกฤษในแผนที่สะกด Dock-Mae แต่ที่สถานีหยุดรถ (รูปที่ ๖) สะกดว่า Dokku-Mae ซึ่งไม่เหมือนกัน

รูปที่ ๒ สุดทางรถรางก็สุดทางจริง ๆ รางมาสุดแค่นี้และก็มีถังสีเหลืองตั้งเอาไว้ ๑ ใบ คงกันรถยนต์หลงเข้ามา

รูปที่ ๓ ถอยออกมาถ่ายรูปห่างจากจุดแรกในรูปที่ ๒ หน่อย ชานชาลาขึ้นลงจะอยู่ทางด้านขาวของรูป เวลาที่ปรากฏในรูปเป็นเวลาของกล้องที่ตั้งตามเวลาประเทศไทย (แถมช้าไปด้วยประมาณ ๒๐ นาที) ดังนั้นเวลาที่ถ่ายรูปนี้คือหกโมงเย็นเศษตามเวลาท้องถิ่น

รูปที่ ๔ รูปนี้ถ่ายจากสุดทางไปยังทิศทางที่รถรางจะวิ่งเข้ามา

รูปที่ ๕ รถรางจะวิ่งเข้ามาทางรางด้านขวา และวิ่งกลับออกไปทางรางด้านซ้าย เส้นทางช่วงนี้เป็นช่วงที่ลาดลงเนินเล็กน้อย

รูปที่ ๖ ป้ายบอกชื่อสถานี ซึ่งสะกดไม่เหมือนกับในแผนที่ในรูปที่ ๑

รูปที่ ๗ มายืนฝั่งตรงข้ามเพื่อให้เห็นภาพสถานีโดยรวม 

รูปที่ ๘ สาวน้อยผู้ที่เป็นทั้งล่ามและไกด์นำเที่ยวในทริปนี้ให้กับคุณพ่อ (ผู้ทำหน้าที่เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายหลัก)

รูปที่ ๙ รถรางมาแล้ว วันนั้นฝนตกทั้งบ่ายเลย

รูปที่ ๑๐ ใกล้เข้ามาแล้ว

รูปที่ ๑๑ กำลังจะเข้าจอด

รูปที่ ๑๒ บรรยากาศที่นั่งภายใน ที่นั่งคนขับมีทั้งสองด้านของตัวรถ ขับมาสุดทางคนขับก็เพียงแค่เดินย้ายกลับไปยังอีกปลายด้านหนึ่งของตัวรถ 

รูปที่ ๑๓ แล้วไปที่สถานีนั้นเพื่อไปทำอะไร คำตอบก็คือจะเดินไปถ่ายรูปอาคารหลังนี้ สถานกงศุลเก่าของรัสเซีย ที่เป็นฉากหนึ่งในมังงะเรื่อง Golden Kamul

วันอังคารที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2566

รถรางม้าลากที่ซัปโปโร MO Memoir : Tuesday 6 June 2566

การไปพักร้อนเมื่อช่วงปลายเดือนที่แล้วก็เป็นการเที่ยวตามรอยมังงะเรื่อง Golden Camuy ที่อาศัยบรรยากาศช่วงหลังสงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น หรือช่วงทศวรรษ 1900 ในบรรยากาศของเกาะฮอกไกโดดำเนินเรื่อง และสถานที่หนึ่งที่แวะไปมาก็คือ The Historical Village of Hokkaido ที่เป็นสถานที่รวบรวมอาคารเก่า ๆ จากที่ต่าง ๆ ในฮอกไกโดสมัยยุคญี่ปุ่นส่งคนไปบุกเบิกฮอกไกโด มาประกอบใหม่ไว้ที่นี่เพื่อการอนุรักษ์ การเดินทางไปที่นี่ต้องนั่งรถเมล์จากสถานีรถไฟ Shin Sapporo (ดูรายละเอียดไปเยี่ยมชมในหน้าเว็บของเขาเองก็แล้วกัน)

ตอนไปถึงก็ช่วงบ่ายแล้วก็เลยแวะกินข้าวเที่ยงที่นั่นก่อนที่โรงอาหารบริเวณอาคารต้อนรับด้านหน้า แล้วเริ่มต้นการเที่ยวชมด้วยการนั่งรถรางม้าลากไปจนสุดทาง (คือด้านในสุด) จากนั้นจึงค่อยเดินเยี่ยมขมอาคารต่าง ๆ กลับมายังด้านทางเข้า (ที่เป็นทางออกด้วย) นั่งรถรางต้องเสียค่านั่งด้วย จำไม่ได้ว่าเท่าไร จะนั่งแบบไปเที่ยวเดียวก็ได้หรือแบบไปกลับก็ได้ เส้นทางของรถรางก็ตามลูกศรสีเหลืองที่แสดงในรูปที่ ๑ ข้างล่าง โดยสองข้างทางนั้นเป็นอาคารอนุรักษ์ที่ย้ายมารวบรวมไว้ที่นี่

รูปที่ ๑ The Historical Village of Hokkaido ที่ไปนั่งรถรางม้าลากมา (ภาพจาก https://www.kaitaku.or.jp/en/) เส้นทางรถรางเริ่มจากมุมล่างซ้ายของภาพ ไปตามถนนก่อนเลี้ยวขวาไปจนสุดปลายทาง

รถรางคันนี้เดินรถรวดเดียวจากต้นทางไปปลายทาง ไม่มีการจอดแวะระหว่างทาง เส้นทางมีการขึ้นลงเนินเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ลาดชันเกินไปสำหรับคุณม้าที่ทำหน้าที่ลากรถ จากนี้ต่อไปก็ขอเป็นการเล่าเรื่องด้วยรูปก็แล้วกัน

รูปที่ ๒ ต้นทางสถานีรถรางที่อยู่ใกล้กับอาคารต้อนรับนักท่องเที่ยว รถรางจะมาจอดรอที่นี่โดยเขาจะปลดม้าไปพักผ่อน พอใกล้เวลาออกรถก็จะนำม้ามาเทียมรถ

รูปที่ ๓ จากจุดเดียวกับรูปที่ ๒ แต่มองไปยังเส้นทางการเดินรถ รางด้านซ้ายเป็นทางวิ่งออกไป ส่วนรางด้านขวาเป็นทางรถวิ่งกลับ

รูปที่ ๔ รถรางออกจากสถานีได้สักครู่ก็ถ่ายภาพย้อนไปยังต้นทาง ท้ายรถจะมีเจ้าหน้าที่สุภาพสตรี (ที่ทำหน้าที่ขายตั๋วและประกาศเชิญชวนใหันั่งรถ) ประจำอยู่หนึ่งคน

รูปที่ ๕ ภาพนี้ถ่ายย้อนหลังออกไป ทางช่วงนี้เป็นช่วงที่รถพ้นโค้ง ใกล้ถึงปลายทางแล้ว

รูปที่ ๖ ถึงสถานีปลายทาง (ด้านโรงเก็บรถรางที่อยู่ด้านในสุดของพิพิธภัณฑ์) เจ้าหน้าที่ก็จะทำการปลดม้าเพื่อย้ายมาลากรถอีกด้านหนึ่ง

รูปที่ ๗ คุณม้าระหว่างการย้ายมาประจำการอีกด้าน

รูปที่ ๘ เจ้าหน้าที่กำลังเทียมคุณม้าเข้ากับรถราง

รูปที่ ๙ รถออกจากสถานีปลายทางไปยังต้นทางใหม่ โดยมีพนักงานสุภาพสตรียืนประจำท้ายรถ

รูปที่ ๑๐ ระหว่างชมอาคารกลับมายังด้านขาเข้า ก็มีรถรางคันนี้วิ่งกลับไปมา เลยขอถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกหน่อย

รูปที่ ๑๑ รถรางรถหว่างวิ่งผ่านหน้าไปด้วยก้าวย่างช้า ๆ ของคุณม้า

รูปที่ ๑๒ อาคารเก็บรถรางที่อยู่ปลายทาง

รูปที่ ๑๓ ตามรอยเส้นทางจากสถานีปลายทางมายังต้นทาง ที่เห็นไกล ๆ ข้างหน้าที่ทางโค้งซ้าย

 

รูปที่ ๑๔ มุมจังหวะเข้าโค้งซ้าย

รูปที่ ๑๕ มุมจังหวะที่พ้นโค้งออกมา


รูปที่ ๑๖ ประแจสับราง รถที่วิ่งมาจากทางขวาจะดันให้รางเคลื่อนตัวมาทางซ้ายเอง

 

รูปที่ ๑๗ บรรยากาศเส้นทางเมื่อมองไปยังสถานีต้นทาง ที่ไปบรรจบกับรูปที่ ๓ ที่เป็นมุมมองมาจากสถานีต้นทาง

รูปที่ ๑๘ รอยเท้าคุณม้าบนผืนทราย

วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2557

รถรางสายปากลัด ที่พระประแดง (ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำ ตอนที่ ๕๖) MO Memoir : Sunday 26 January 2557

" ........ หรือถ้าจะไปทางลัดก็ต้องนั่งรถรางไปลงที่เทเวศน์แล้วข้ามเรือจ้างไปฝั่งธน จะมีสถานีรถยนต์รางของเจ้าคุณวรพงษ์วิ่งตัดสวนต่าง ๆ ไปออกทุ่งนาตรงไปตลาดบางบัวทอง รถรางของท่านเจ้าคุณท่านนี้สร้างตัวรถแบบเดียวกับรถยนต์รางที่ปากลัดพระประแดง คือไม่มีฝาไม่มีตัวถัง รถเปิดโปร่ง มีม้านั่งเป็นแถว ๆ ไป เวลานี้เขาเลิกเสียหมดแล้ว ผมยังนึกเสียดายอยู่ ........"



ข้อความข้างบนผมนำมาจากนิยายเรื่อง "ชีวิตคุณย่า" เขียนโดย เหม เวชกร ที่สำนักพิมพ์วิริยะมานำตีพิมพ์ใหม่ในหนังสือชุด "ภูติ ผี ปิศาจ ไทย ๑๐๐ ปี เหม เวชกร" ตอนใครอยู่ในอากาศ พิมพ์ครั้งที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๗ และได้เคยนำมาลงแล้วครั้งหนึ่งตอนที่เขียนเรื่องกับรถไฟสายบางบัวทอง() นิยายเรื่องนี้ทำให้ทราบว่าตู้โดยสารของรถยนต์รางที่พระประแดงนั้นมีลักษณะเดียวกันของรถไฟสายบางบัวทอง 
   

พระราชดำรัสตอบพระบรมวงศานุวงษ์ของรัชกาลที่ ๕ (รูปที่ ๑) ทำให้ทราบว่ารถรางสายนี้เปิดดำเนินการในปีพ.ศ. ๒๔๕๑ ประกาศของกระทรวงนครบาล (รูปที่ ๒) ทำให้ทราบว่ารถรางสายนี้เก็บค่าโดยสาร ๖ สตางค์สำหรับที่นั่งชั้นธรรมดา และเก็บเพิ่มเป็นสองเท่าสำหรับที่นั่งชัน ๑ และในหนังสือ "The Railway Atlas of Thailand,Laos and Cambodia" ของ B.R. Whyte กล่าวไว้ว่ารถไฟสายนี้หยุดกิจการในปีพ.ศ. ๒๔๘๔ ก่อนที่สงครามโลกครั้งที่ ๒ จะเริ่มขึ้นในประเทศไทย



บริเวณพื้นที่ราบลุ่มที่เกิดจากการทับถมของตะกอนที่แม่น้ำพัดพามา แม่น้ำที่อยู่ในบริเวณนี้มักมีลักษณะคดเคี้ยวไปมา เช่นบริเวณที่ราบลุ่มภาคกลางของประเทศไทยที่มีแม่น้ำท่าจีนอยู่ทางตะวันตก แม่น้ำเจ้าพระยาอยู่บริเวณตอนกลาง และแม่น้ำบางปะกงอยู่ทางตะวันออก (รูปที่ ๓) 
  

สำหรับการเดินทางทางน้ำแล้วลักษณะลำน้ำที่คดเคี้ยวนี้ทำให้เสียเวลาในการเดินทาง แต่สำหรับผู้ที่ประกอบอาชีพทางการเกษตรเช่นปลูกพืชต่าง ๆ ลักษณะลำน้ำที่คดเคี้ยวก็มีส่วนช่วยป้องกันไม่ให้น้ำทะเลไหลย้อนลึกเข้ามาในพื้นดินในช่วงที่เวลาน้ำลง (ส่วนของแม่น้ำที่อยู่ใกล้ทะเล เช่นแม่น้ำเจ้าพระยาช่วงที่ไหลผ่านกรุงเทพ เวลาที่น้ำลงน้ำในแม่น้ำจะไหลออกทะเล แต่เวลาที่น้ำขึ้นจะเห็นน้ำในแม่น้ำไหลย้อนกลับมา ซึ่งน้ำที่ไหลย้อนเข้ามานี้จะพาน้ำเค็มเข้ามาด้วย) 
   

ในบริเวณที่อยู่ทางจากทะเลและไม่ได้รับอิทธิพลจากน้ำขึ้น-น้ำลงที่ทำให้มีน้ำเค็มไหลย้อนเข้ามาในแผ่นดิน ส่วนไหนของแม่น้ำที่คดเคี้ยวก็มักจะมีการขุดคลองตรงบริเวณคอคอดเพื่อย่นระยะทางในการเดินทางด้วยเรือ แต่เมื่อเข้ามาสู่บริเวณใกล้ทะเลแล้ว ปัจจัยเรื่องน้ำเค็มไหลย้อนจะส่งผลมากกว่า ดังนั้นในอดีตนั้นตัวแม่น้ำเจ้าพระยาเองจึงมีการขุดคลองลัดบริเวณคอคอดต่าง ๆ เพื่อย่นระยะทางในการเดินทาง ซึ่งคลองหลายคลองที่ขุดนั้นได้กว้างขึ้นจนกลายเป็นแม่น้ำ ส่วนลำแม่น้ำเดิมก็ตื้นเขินแคบลงจนกลายเป็นคลองไป คลองขุดในอดีตเดิมที่อยู่ใกล้ทะเลมากที่สุดปัจจุบันคือแม่น้ำเจ้าพระยาช่วงปากคลองบางกอกน้อย (ตรงสถานีรถไฟธนบุรีหรือมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์) ไปจนถึงปากคลองบางกอกใหญ่ (บริเวณพระราชวังเดิมหรือวัดกัลยาณมิตร) ส่วนแม่น้ำเจ้าพระยาสายเดิมก็กลายเป็นคลองบางกอกน้อยและคลองบางกอกใหญ่



จะมีเว้นอยู่ที่หนึ่งก็คือบริเวณนครเขื่อนขันธ์หรือพระประแดงในปัจจุบัน


   

รูปที่ ๑ "พระราชดำรัสตอบพระบรมวงศานุวงษ์ ข้าทูลลอองธุรีพระบาทฝ่ายหน้า" ของรัชกาลที่ ๕ ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเล่ม ๒๕ หน้า ๗๔๙-๗๕๓ วันที่ ๒๗ กันยายน พ.ศ. ๒๔๕๑ (ร.ศ. ๑๒๗)





รูปที่ ๒ ประกาศกระทรวงนครบาล ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๒๖ หน้า ๑๘๒๒ วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๒ (ร.ศ. ๑๒๘) ประกาศนี้ทำให้ทราบว่ารถรางโดยสารนั้นมีที่นั่งโดยสารสองชั้น และค่าโดยสารที่จัดเก็บ





รูปที่ ๓ แผนที่แม่น้ำท่าจีน (ซ้าย) แม่น้ำเจ้าพระยา (กลาง) และแม่น้ำบางปะกง (ขวา) จะเห็นว่าแม่น้ำเจ้าพระยามีความคดเคี้ยวน้อยกว่าแม่น้ำอีกสองสาย ทั้งนี้เป็นเพราะมีการขุดคลองลัดบริเวณที่คดเคี้ยวหลายตำแหน่งเพื่อให้ลำน้ำตรงขึ้น เมื่อเวลาผ่านไปคลองที่ขุดเหล่านี้ก็กว้างขยายขึ้นกลายเป็นลำแม่น้ำขึ้นมาแทน ในขณะที่ลำแม่น้ำเดิมก็หดแคบลงและถูกลดฐานะลงไปเป็นคลองแทน จะมีเว้นก็แต่บริเวณพระประแดงที่มีการปล่อยเอาไว้เช่นนั้น (แม้ว่าจะมีคลองให้เรือขนาดเล็กผ่านได้) ทั้งนี้ด้วยเหตุผลทางด้านความมั่นคงและป้องกันไม่ให้น้ำเค็มไหลย้อนเข้ามาในบริเวณพื้นที่เกษตรกรรมได้มากเกินไป (แต่ในปัจจุบันมีการขุดคลองลัดโพธิ์ที่เป็นคลองขนาดใหญ่ช่วยในการระบายน้ำ แต่ก็ยังต้องมีระบบประตูน้ำคอยควบคุม)





รูปที่ ๔ แผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งเทศบาลเมืองพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. ๒๔๘๐ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๔ หน้า ๑๘๗๘-๑๘๘๑ เส้นทางรถรางที่เชื่อมสองฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยาอยู่ในกรอบสีน้ำเงิน



บริเวณนี้มีคลองลัดหลวง (รูปที่ ๔) สำหรับให้เรือขนาดเล็กผ่านได้ แต่ไม่ให้เรือขนาดใหญ่ผ่าน สาเหตุที่ต้องเก็บบริเวณนี้เอาไว้ก็เพราะไม่เพียงแต่การมีคลองขนาดใหญ่จะทำให้น้ำเค็มไหลย้อนเข้าไปในแผ่นดินได้ลึกและรวดเร็วในช่วงน้ำลง (ทำให้พืชผลทางการเกษตรเสียหายได้ และยังทำให้มีปัญหาเรื่องนำบริโภคได้) แต่ยังทำให้เรือรบข้าศึกเข้าประชิดพระนครได้รวดเร็วขึ้น ดังนั้นถ้ามองจากแง่ชัยภูมิทางทหารแล้ว การตั้งป้อมปืนบนฝั่งบริเวณคอคอดนี้เพื่อรับมือกับกองเรือรบข้าศึกที่มาตามลำแม่น้ำจะทำให้รับมือกับข้าศึกได้ถึงสองครั้ง คือครั้งแรกที่ข้าศึกแล่นเข้ามา และครั้งที่สองถ้าข้าศึกนั้นผ่านไปได้ ข้าศึกนั้นจะต้องกลับมาโผล่อีกทางฝั่ง
  

อันที่จริงตรงพระประแดงนี้ก็มีแผนการขุดคลองลัดพร้อมระบบประตูน้ำควบคุม (คงเพื่อช่วยในการระบายน้ำออกทะเล) มานานก่อนไทยเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สอง แต่ก็ไม่ได้ทำสักทีจนกระทั่งเมื่อไม่นานนี้ที่มีคลองลัดโพธิ์เกิดขึ้น)
  


รูปที่ ๕ ส่วนขยายของแผนที่ในกรอบสีน้ำเงินของรูปที่ ๔ ระบุว่าปลายทางด้านบนอยู่ตรง "ท่าตรงข้ามถนนตก" ส่วนปลายทางด้านล่างอยู่บริเวณที่ว่าการอำเภอพระประแดง





รูปที่ ๖ แผนที่กรุงเทพมหานครจัดทำโดยกองทัพอังกฤษในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ ในแผนที่ฉบับนี้ปรากฏเส้นทางรถรางปลายทางด้านทิศเหนืออยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมสี่แดงด้านล่างของรูป



รถยนต์รางที่ปากลัด พระประแดงนี้ เป็นรถรางสายสั้น ๆ ความยาวประมาณ ๑๙๐๐ เมตร แต่ช่วยย่นระยะทางการเดินทางทางเรือระหว่างสองฟากฝั่งสถานีรถรางที่ยาวถึง ๒๐ กิโลเมตร หนังสือของ B.R. Whyte ในแผนที่ 29 ท้ายเล่มให้แนวเส้นทางรถไฟดังกล่าวเอาไว้คร่าว ๆ แต่แนวเส้นทางเทียบสถานที่จริงนั้นไปค้นเจอจากแผนที่แนบท้ายราชกิจจานุเบกษาที่ประกาศตั้งเทศบาลเมืองพระประแดส (รูปที่ ๔ และ ๕) และแผนที่บริเวณกรุงเทพมหานคร จัดทำโดยกองทัพอังกฤษ()



ที่เสียดายก็คือยังไม่พบว่ามีรูปถ่ายของรถรางดังกล่าวปรากฏให้เห็นเหมือนของรถไฟสายบางบัวทองหรือสายพระพุทธบาท

  

รูปที่ ๗ แผนที่กรุงเทพมหานครจัดทำโดยกองทัพอังกฤษในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ เป็นส่วนต่อด้านล่างของแผนที่ในรูปที่ ๖ ในแผนที่ฉบับนี้ปรากฏส่วนที่เหลือของเส้นทางต่อจากรูปที่ ๖ ในกรอบสี่เหลี่ยมสี่แดงด้านบนของรูป และทางรถไฟสายปากน้ำทางด้านขวา (ที่เขียนในแผนที่ว่า SIAM STATE RAILWAY)



หมายเหตุ

(๑) Memoir ปีที่ ๕ ฉบับที่ ๕๙๘ วันพฤหัสบดีที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๖ เรื่อง "รถไฟสายบางบัวทอง (ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำ ตอนที่ ๓๘)"

(๒) รายละเอียดของแผนที่ชุดนี้เคยให้ไว้แล้วใน Memoir ปีที่ ๖ ฉบับที่ ๗๒๗ วันพฤหัสบดีที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๗ เรื่อง "รถไฟเล็กลากไม้สายตะวันออก (ศรีราชา) ภาค ๖ (ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำ ตอนที่ ๕๔)"




รูปที่ ๘ (บน) ภาพขยายในกรอบสีแดงของรูปที่ ๖ (ล่าง) ภาพขยายในกรอบสีแดงของรูปที่ ๗ ลูกศรสีแดงชี้แนวเส้นทางรถราง

วันศุกร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2557

รถรางสายบางคอแหลม ช่วงเส้นทางถนนเจริญกรุง (ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำ ตอนที่ ๕๓) MO Memoir : Friday 3 January 2557

ระหว่างนั่งจิบไวน์ไปพร้อมกับกินอาหารเย็นและฟังเรื่องรถรางจากคุณน้าเพื่อนบ้าน คุณน้าก็ได้บอกว่ายังมีป้ายหยุดรถรางหลงเหลืออยู่ที่หนึ่งคือที่ถนนเยาวราช แถวเวิ้งนครเกษม ลักษณะเป็นป้ายสามเหลี่ยมสีแดงมีดาวตรงกลาง และอาจเป็นป้ายเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่

ผมลองค้นหาก่อนด้วยการใช้ google street view ของ google map ก็พบว่ามีรูปป้ายดังกล่าวปรากฏอยู่ โดยฝังอยู่ในชายคาคอนกรีตของอาคารที่ยื่นออกมา (ดูรูปที่ ๑ ข้างล่าง) แต่เนื่องจากรูปภาพนั้นระบุว่าเป็นรูปที่ถ่ายเมื่อเดือนกันยายน ปีค.ศ. ๒๐๑๑ (พ.ศ. ๒๕๕๔) หรือเมื่อกว่า ๒ ปีที่แล้ว ก็เลยให้สงสัยว่า ณ ปัจจุบันป้ายนี้ยังคงอยู่หรือเปล่า เมื่อวานมีโอกาสก็เลยไปเดินสำรวจดู ก็พบว่าป้ายนี้ยังคงอยู่ (อย่างน้อยก็ทำให้มีหลักฐานว่า ณ เวลานี้มันยังไม่หายไปไหน) ก็เลยถ่ายรูปมาให้ดูกัน หน้าตามันเป็นอย่างไรก็ดูในรูปที่ ๒-๔ เอาเองก็แล้วกัน


รูปที่ ๑ ภาพจาก google street view ของถนนเยาวราชช่วงระหว่างถนนจักรวรรดิ์ตัดถนนเจริญกรุง (แยกวัดตึก) และสะพานข้ามคลองรอบกรุง (ก่อนถึงถนนจักรเพชรในรูป) คือถ้าหันหลังให้ถนนจักรเพชรและมองมาทางถนนจักรวรรดิ์ ป้ายนี้จะอยู่ทางด้านซ้ายมือ ณ ตำแหน่งที่ตุ๊กตาสีเหลืองยืนอยู่ (ตัวสีเหลืองรูปล่าง) จะเห็นภาพป้ายหยุดรถราง (รูปบนในกรอบสี่เหลี่ยมสีเหลือง) ข้อมูลในภาพบอกว่าบันทึกภาพเมื่อเดือนกันยายนปีค.ศ. ๒๐๑๑ (พ.ศ. ๒๕๕๔) 

รูปที่ ๒ ป้ายหยุดรถราง (ในกรอบสี่เหลี่ยมสีเหลือง) มองมาทางแยกวัดตึก

เมื่อเทียบดูจากแผนที่รถรางแล้ว ป้ายนี้ควรจะเป็นของรถรางสายดุสิต ที่วิ่งระหว่างบางซื่อกับคลองเตย (ดูแผนที่เส้นทางรถรางได้ใน Memoir ปีที่ ๖ ฉบับที่ ๗๒๒ วันพฤหัสบดีที่ ๒ มกราคม ๒๕๕๗ เรื่อง "รถรางสายบางคอแหลม ช่วงเส้นทางถนนหลักเมือง (ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำ ตอนที่ ๕๒)" และการที่ป้ายนี้ยังคงอยู่ก็แสดงว่าอาคารดังกล่าวก็สร้างมานานแล้วเช่นกัน

ใน Memoir ฉบับที่แล้ว (ฉบับที่ ๗๒๒) ได้เล่าว่าจำได้ว่าถนนเจริญกรุงช่วงที่ตีคู่ถนนเยาราชมานั้นเคยมีรางรถรางอยู่ แต่ปัจจุบันไม่เหลือแล้วเพราะถนนช่องที่เป็นแนวรางรถรางนั้นถูกขุดเพื่อทำการวางท่อระบายน้ำ เมื่อตรวจสอบภาพจาก google street view ที่บันทึกไว้เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๕๔ ก็ไม่พบว่ามีร่องรอยรางรถรางหลงเหลืออยู่ แสดงว่ามันหายไปก่อนหน้านั้น ส่วนหายไปเมื่อไรนั้นใครอยากรู้ก็คงต้องไปค้นข้อมูลของกรุงเทพมหานครเอาเองว่าถนนช่วงนี้มีการก่อสร้างท่อระบายน้ำเมื่อใด
  
แต่เนื่องจากถนนเจริญกรุงเป็นถนนคอนกรีตที่ยาวเส้นหนึ่ง และการก่อสร้างคงจะทำไว้อย่างดีมาก แถมไม่มีรถบรรทุกหนักวิ่งผ่าน ทำให้พื้นถนนเส้นนี้อยู่คงทนมาก (ถ้าไม่มีการขุดฝังอะไร) ทำให้บางช่วงของถนนเส้นนี้ยังคงมีร่องรอยรางรถรางหลงเหลืออยู่ ช่วงหนึ่งของถนนที่ทราบว่ายังคงเหลืออยู่คือช่วงระหว่างแยกตัดถนนทรงวาด-ถนนข้าวหลาม ไปถึงแยกบรรจบถนนโยธาก่อนถึงสะพานข้ามคลองผดุงกรุงเกษม (กรอบสีเขียวในรูปที่ ๕)
 
ถนนช่วงดังกล่าวจากการตรวจสอบจากภาพ google street view (ลงเวลาบันทึกเดือนกันยายน ๒๕๕๔) ก็พบว่ายังมีร่องรอยรางรถรางอยู่ ด้วยความสงสัยว่าสภาพในปัจจุบันนั้นเป็นอย่างไรเมื่อวานก็เลยหาโอกาสไปเดินเล่นบริเวณถนนเจริญกรุงช่วงดังกล่าวเพื่อถ่ายรูปเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึก โดยเริ่มเดินจากถนนเจริญกรุงด้านสะพานข้ามคลองผดุงกรุงเกษม เลียบฝั่งซ้าย (ฝั่งด้านมีรางรถราง) ย้อนลงมาทางด้านเยาวราช รูปที่ถ่ายเอาไว้ก็แสดงเอาไว้แล้วในรูปที่ ๖-๑๘.


รูปที่ ๓ ภาพมุมเดียวกับรูปที่ ๒ ซูมให้เห็นป้ายชัด ๆ
 
รูปที่ ๔ ป้ายหยุดรถรางเมื่อมองจากอีกทางด้านหนึ่ง (หันหลังให้แยกวัดตึก)

รูปที่ ๕ ถนนเจริญกรุงช่วงที่ยังคงมีรางรถรางหลงเหลืออยู่ (ในกรอบสีเขียว) ผมเดินถ่ายรูปจากด้านล่าง (ตรงแยกถนนโยธา) ขึ้นไปทางด้านบน (แยกตัดกับถนนทรงวาดและถนนข้าวหลาม) ถนนช่วงนี้ปัจจุบันเดินรถทางเดียวตามทิศทางลูกศรชี้ รางรถรางจะอยู่ทางด้านซ้ายของถนน

รูปต้นฉบับที่ถ่ายเอาไว้นั้นเป็นรูปขนาดประมาณ 7 ล้านพิกเซล แต่ที่เอามาลงในนี้ได้ลดขนาดรูปเหลือ (หรือตัดรูปในกรณีที่เป็นรูปส่วนขยาย) ให้เหลือประมาณ 4 แสนพิกเซลเพื่อไม่ให้ไฟล์มีขนาดใหญ่เกินไป แต่ก็ไม่อยากย่อรูปให้เล็กมากจนมองรายละเอียดบางอย่างไม่เห็น ทั้งนี้ก็เพราะเผื่อมีเด็กนักเรียนต้องการภาพไปทำรายงานจะได้มีภาพขนาดใหญ่ที่มีความละเอียดสูง และวัน-เวลาที่ปรากฏในแต่ละรูปนั้นก็เป็นวัน-เวลาจริงที่ทำการถ่ายภาพ จะได้เป็นหลักฐานว่าภาพดังกล่าวบันทึกไว้เมื่อใด

Memoir ฉบับนี้ก็คงไม่มีอะไรมาก ถือว่าเป็นรูปถนนเส้นหนึ่งของกรุงเทพ ณ เวลานี้ก็แล้วกัน

รูปที่ ๖ รางรถรางสายบางคอแหลมบนถนนเจริญกรุง มองย้อนมาทางแยกบรรจบถนนโยธา จะเห็นรถที่วิ่งข้ามสะพานข้ามคลองผดุงกรุงเกษมวิ่งมาจากทางซ้าย

รูปที่ ๗ มุมเดียวกับรูปที่ ๖ แต่ถอยหลังมาอีกนิด


รูปที่ ๘ เดินจากตำแหน่งในรูปที่ ๗ ลงมาทางแยกบรรจบถนนทรงวาด เห็นตรงไหนไม่มีรถจอดทับไว้ก็ถ่ายรูปเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึก
 
รูปที่ ๙ ตรงนี้เป็นบริเวณปากทางเข้าตลาดน้อย จะเห็นมีร่องรอยรางแยกให้หลบหลีกกันอยู่


รูปที่ ๑๐ เดินมาถ่ายด้านหน้ารถป้ายแดงในรูปที่ ๙ ตรงปากทางเข้าตลาดน้อย จะเห็นรางฝั่งใน (ตามเส้นประสีส้ม) และรางฝั่งนอก (ตรงที่อยู่ในร่มเงาต้นไม้)
 
รูปที่ ๑๑ ถัดจากตลาดน้อยมาถึงทางเข้าวัดอุภัยราชบำรุง เลยขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึกซักหน่อย
  
รูปที่ ๑๒ ช่วงระหว่างหน้าวัดอุภัยราชบำรุงกับแยกบรรจบถนนทรงวาด
 
รูปที่ ๑๓ ถัดจากรูปที่ ๑๒ โดยเดินมาทางแยกบรรจบถนนทรงวาด
  
รูปที่ ๑๔ ใกล้ถึงแยกแล้ว ถ้าเลี้ยวซ้ายก็เข้าถนนทรงวาด ไปเยาราช เลี้ยวขวาเข้าถนนข้าวหลาม ไปหัวลำโพง ตรงบริเวณนี้มีการขุดผิวจราจร ทำให้ร่องรอยของรางบางส่วนถูกรื้อออกไป

รูปที่ ๑๕ ภาพขยายส่วนหนึ่งของรูปที่ ๑๔

รูปที่ ๑๖ ยังอยู่บนถนนเจริญกรุง เดินเลยแยกบรรจบถนนทรงวาดและถนนข้าวหลาม ถ้าเดินตรงต่อไปจะเป็นวงเวียนเยาวราช ถนนเจริญกรุงช่วงนี้มีการขุดผิวจราจรด้านฝั่งวางรางรถราง แต่ก็ยังพอมีร่องรอยบางส่วนหลงเหลืออยู่ เช่นบริเวณนี้จะเห็นรางด้านนอกที่วางโค้งตรงจุดที่เป็นทางแยกให้รถรางหลีกกัน
 
รูปที่ ๑๗ ภาพขยายของรูปที่ ๑๖ ของร่องรอยรางที่เหลืออยู่

รูปที่ ๑๘ มองย้อนกลับทางที่เดินมา ตรงไปคือถนนเจริญกรุง เลี้ยวซ้ายคือถนนข้าวหลาม เลี้ยวขวาคือถนนทรงวาด ถนนเจริญกรุงช่วงนี้ช่องทางฝั่งด้านวางรางรถรางถูกขุด ทำให้รางด้านทางเท้าหายไป เหลือแต่รางด้านนอกที่ยังมีร่องรอยให้เห็นอยู่ (ตามแนวเส้นสีเหลือง)