แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ราชบุรี แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ราชบุรี แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564

โบราณสถานหมายเลข ๑ บ้านคูบัว ราชบุรี MO Memoir : Saturday 7 August 2564

ภูมิศาสตร์เป็นตัวกำหนดพฤติกรรมของมนุษย์ในการดำรงชีวิต ดังนั้นการศึกษาประวัติศาสตร์จึงต้องศึกษาสภาพภูมิศาสตร์ควบคู่กันไปด้วย

นักประวัติศาสตร์ชาวไทยท่านหนึ่งกล่าวเอาไว้ว่า ประวัติศาสตร์แถบบ้านเราจะมียุคมืดหรือ dark age อยู่สมัยหนึ่ง คือช่วงอาณาจักรทวารวดีและศรีวิชัยที่มีความคาบเกี่ยวกันอยู่ โดยอาณาจักรทวารวดีเป็นอาณาจักรบนแผ่นดินที่ครอบคลุมพื้นที่บริเวณภาคตะวันตก ภาคกลาง ภาคเหนือ และด้านตะวันตกภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยในปัจจุบัน ในขณะที่อาณาจักรศรีวิชัยจะเป็นอาณาจักรทางทะเลที่ครอบคลุมพื้นที่บริเวณภาคใต้ฝั่งตะวันออกของประเทศไทยลงไปจนสุดแหลมมลายูและอินโดนีเซียในปัจจุบัน

แต่คำว่ายุคมืดหรือ dark age ของประวัติศาสตร์แถบบ้านเรานั้น ท่านกล่าวเอาไว้ว่าแตกต่างไปจากยุคมืดของยุโรป กล่าวคือยุคมืดของยุโรปนั้นเป็นยุคสมัยที่ศิลปวิทยาการต่าง ๆ แทบไม่มีการพัฒนา แต่ยังมีการจดบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ เอาไว้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง มีการตั้งบ้านเมืองที่ไหนและมีใครเป็นผู้ปกครอง ในขณะที่ของทางบ้านเรานั้นเรามีร่องรอยหลักฐานทางประวัติศาสตร์ประเภทสิ่งก่อสร้างและเครื่องใข้ต่าง ๆ ปรากฏให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองในอดีตของพื้นที่บริเวณนั้น มีหลักฐานบันทึกที่บ่งบอกถึงความเจริญรุ่งเรือง ไม่ว่าจะเป็นจารึกที่ค้นพบในท้องถิ่นหรือบันทึกของผู้ค้าและนักเดินทางต่าง ๆ ถิ่นที่ได้แวะเวียนเข้ามาบริเวณนี้ว่ามีบ้านเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรือง แต่กลับแทบไม่มีรายละเอียดบอกว่าใครเป็นผู้ปกครองและปกครองต่อเนื่องกันมายาวนานเท่าใด หรือแม้แต่กระทั่งที่ตั้งเหมือหลวงหลักเช่นในกรณีของอาณาจักรศรีวิชัย

รูปที่ ๑ แผนที่ทหารจัดทำโดยกองทัพอังกฤษในอินเดียในช่วงปีพ.ศ. ๒๔๘๘ บ้านคูบัวอยู่ในกรอบเส้นประสีเหลี่ยมสีน้ำเงินทางมุมด้านล่างขวาของรูป

การศึกษาโครงสร้างของชั้นดินบริเวณที่ราบลุ่มภาคกลาง (รูปที่ ๒) แสดงให้เห็นว่าในอดีตนั้นทะเลกินพื้นที่เข้ามาลึกมากกว่าปัจจุบันมาก แต่ด้วยการทับถมของตะกอนต่อเนื่องกันเป็นเวลานานจึงทำให้กลายเป็นสภาพภูมิประเทศดังปัจจุบัน แหล่งอารยธรรมโบราณที่ค้นพบพบว่ายิ่งเก่าแก่เท่าใดก็ยิ่งห่างจากฝั่งทะเลในปัจจุบันมากขึ้น แต่ถ้าเทียบกับชายฝั่งทะเลในยุคสมัยนั้นพบว่าต่างก็ตั้งอยู่ใกล้กับทะเล การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้บ่งชี้ให้เห็นว่าการเดินทางทางน้ำ โดยเฉพาะทางทะเลนั้น มีความสำคัญมานานแล้ว

รูปที่ ๒ แผนที่แสดงชั้นดินบริเวณพื้นที่ภาคกลางเมื่อหลายพันปีที่แล้ว ที่เป็นแหล่งสะสมของตะกอนดินจากแม่น้ำหลายสาย ถ้าไล่จางทางตะวันตกก็จะมี แควน้อย, แควใหญ่, เจ้าพระยา, ป่าสัก, นครนายก, บางปะกง (จากหนังสือ "กรุงสุโขทัยมาจากไหน?" โดยสุจิตต์ วงษ์เทศ ฉบับพิมพ์ครั้งแรก มิถุนายน ๒๕๔๘ สำนักพิมพ์ศิลปวัฒนธรรม

รูปที่ ๓ ป้ายที่จัดทำโดยกรมศิลปากรบริเวณโบราณสถานแห่งที่ ๑ (โคกนายใหญ่) แสดงตำแหน่งที่ตั้งบริเวณโบราณสถานต่าง ๆ ในบริเวณบ้านคูบัวนี้

โบราณสถานบ้านคูบัวที่อ.เมือง ราชบุรี ก็เป็นร่องรอยความเจริญรุ่งเรืองของดินแดนแถบนี้ในอดีต แต่น่าเสียดายที่มันไม่มีบันทึกเอาไว้ว่าอย่างชัดเจนว่ามัน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และสิ้นสุดไปได้อย่างไร การพัฒนาจะให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญทางประวัติศาสตร์คงทำได้ยาก เพราะมันไม่มีเรื่องเล่า มีเพียงแค่สิ่งก่อสร้างปรักหักพักที่หลงเหลืออยู่เท่านั้น

รูปที่ ๔ มุมมองจากบริเวณทางเข้าที่เป็นลานจอดรถเข้าไป
 
รูปที่ ๕ เดินเวียนรอบมาทางขวา

รูปที่ ๖ ป้ายบอกชื่อโบราณสถาน แต่ตัวหนังสือเลือนลางมากแล้ว อ่านแทบไม่ได้ ไม่รู้เหมือนกันว่าเชียนด้วยอะไร จึงไม่ทนสภาพอากาศ

รูปที่ ๗ อ้อมมาทางด้านหลัง

รูปที่ ๘ มีจอมปลวกขึ้นอยู่เลยขอถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกหน่อย

โบราณสถานหมายเลข ๑ นี้เป็นโบราณสถานเล็ก ๆ อยู่อีกฟากของทางรถไฟสายใต้ (เทียบกับวัดโขลงที่เป็นที่ตั้งของโบราณสถานหมายเลข ๑๘ ที่เป็นโบราณสถานที่ใหญ่ที่สุดในพื้นที่นี้) ไปทางสถานีบ้านคูบัว ข้ามทางรถไฟ แล้วก็เลี้ยวขวาเข้าไป ถนนทางเข้าเป็นถนนเล็ก ๆ ที่รถยนต์วิ่งได้แต่สวนกันไม่ได้ บริเวณทางเข้าโบราณสถานมีลานให้จอดรถยนต์ได้

สำหรับวันนี้ก็ถือว่าเป็นการเล่าเรื่องด้วยภาพ เพื่อบันทึกเรื่องราวของสถานที่บางแห่ง (ที่ดูเหมือนว่าไม่ค่อยมีคนสนใจแวะไป) ที่มีโอกาสแวะไปเยี่ยมเยีอนก็แล้วกัน

รูปที่ ๙ เดินวนจนครบรอบแล้ว จอมปลวกอยู่ทางด้านขวามือของรูป ตอนมาถึงมีสุนัขเจ้าถิ่นเห่าต้อนรับและพาเดินวนรอบ

วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

รถไฟเที่ยวบ่ายจากราชบุรีมาโพธาราม เมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม (ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำ ตอนที่ ๑๐๗) MO Memoir : Wednesday 20 July 2559

ไม่ใช่เรื่องราวของขบวนรถไฟในวันนี้หรอกครับ แต่เป็นของวันอาทิตย์ที่ ๒๐ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๒๓ (พ.ศ. ๒๔๔๗) ว่าในวันนั้นมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น เรื่องราวเป็นอย่างไรนั้น ลองอ่านดูกันเองก่อนนะครับ

"วันที่ ๒๐ กรกฎาคม เสด็จอาศัยรถไฟบ่ายที่จะไปกรุงเทพฯ ที่ใช้คำว่าเสด็จอาศัยในที่นี้ เพราะเสด็จรถไฟชั้นที่ ๓ ประทับปะปนไปกับราษฎร ไม่ให้ใครรู้ว่าใครเป็นใคร เพื่อจะทรงใคร่ทรงทราบว่าราษฎรอาศัยไปมากันอย่างไร เจ้าพนักงานรถไฟก็เหลือดี มีอัธยาศัยรู้พระราชประสงค์ ที่จริงแกรู้แต่แกล้งทำเฉย มาเรียกติเก็ตตรวจพวกเราเหมือนกับราษฎรทั้งปวง ทำไม่ให้ผิดกันอย่างไร ต่อผู้ใดสังเกตจริง ๆ จึงจะพอเห็นได้ ว่าหน้าแกออกจากซีด ๆ และเมื่อไปเรียกติเก็ตพระเจ้าอยู่หัวมือไม้แกสั่งผิดปรกติ"


รูปที่ ๑ ปกหน้าและปกหลังของหนังสือ "เสด็จประพาสต้น" โดยสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ

ข้อความข้างต้นนำมาจากหนังสือ "เสด็จประพาสต้น" พระนิพนธ์สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ฉบับที่ผมมีจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ ศิลปาบรรณาคาร พิมพ์เมื่อปีพ.ศ. ๒๕๑๙ (หรือเมื่อ ๔๐ ปีที่แล้ว) เป็นเรื่องราวการตามเสด็จรัชกาลที่ ๕ ที่ออกตรวจเยี่ยมราษฎรตามท้องถิ่นต่าง ๆ โดยปิดบังพระองค์ไม่ต้องการให้ใครรู้ ที่มาที่ไปของการเดินทางดังกล่าว และเกิดอะไรขึ้นบ้างนั้น สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้บันทึกไว้ดังนี้
 
"เรื่องทดลองเดินทางด้วยไม่มีอะไรนอกจากเงินตามที่ได้ปรึกษากันเมื่อคืนนี้นั้น เป็นตกลงว่าจะเสด็จรถไฟไปลงที่โพธาราม หาเสวยเย็นที่นั่นแล้วจะหาเรือล่องกลับลงมาเมืองราชบุรี ได้แบ่งหน้าที่ผู้ไปเป็นพนักงานพาหนะพวก ๑ พนักงานครัวพวก ๑ ต่างมีหน้าที่ ๆ จะต้องจัดทำการที่เกี่ยวด้วยแผนกนั้น ๆ ให้ตลอดไป
 
รถไฟไปวันนี้ ไม่สะดวกด้วยน้ำพัดสะพานที่บ้านกล้วยเซไป รถไฟข้ามไม่ได้ ต้องไปหยุดรถให้คนโดยสารเดินไต่ทางไปขึ้นรถพ่วงใหม่ฟากสะพานข้างโน้น ฝนก็ตก ออกจะลำบากบ้างเล็กน้อยแต่ก็มีประโยชน์อยู่บ้าง ที่เป็นเหตุให้เจ้าพนักงานกองเสบียงได้เห็นปลาทูสด เจ็กเอามาแต่เมืองเพชรบุรีกระจาดหนึ่ง จะเอาไปขายที่ไหนไม่ทราบ ว่าซื้อตกลงได้ปลาทูสดนั้นมาเป็นเสบียงสำหรับเวลาเย็นเป็นที่อุ่นใจว่าอาหารเย็นวันนี้จะไม่ฝืดเคือง ครั้นไปถึงโพธารามต่างกองต่างแยกกันเที่ยวทำการตามหน้าที่ ๆ กะไว้ พวกกองพาหนะก็เที่ยวหาเช่าเรือและหาที่อาศัยชุมนุมเลี้ยงกันเวลาเย็น พวกกองครัวก็เที่ยวหาซื้ออาหารเครื่องภาชนะใช้สอยต่าง ๆ คือ หม้อข้าวและถ้วยชามรามไหเป็นต้น ได้พร้อมแล้วก็หุงข้าวแกงตามกำลังฝีมือ พวกที่ไปตามเสด็จสำเร็จได้เลี้ยงกัน พอเวลาพลบค่ำ ที่คาดหมายไปว่าจะได้กินสนุกยิ่งกว่าอร่อยเป็นการคาดผิดทั้งสิ้น อาหารวันนี้อร่อยเหลือเกิน ดูเหมือนจะกินอิ่มจนเกือบเดินไม่ไหวแทบทุกคน"


รูปที่ ๒ เส้นทางรถไฟระหว่างสถานีราชบุรีและสถานีโพธาราม และตำแหน่งที่ตั้งสถานีรถไฟบ้านกล้วยในปัจจุบัน เสียดายที่ในบันทึกไม่ได้กล่าวว่าสะพานที่เสียหายนั้นอยู่ในช่วงไหน
 
ตอนเสด็จกลับนั้นไม่ได้เสด็จกลับทางรถไฟ แต่โดยสารเรือแจวกลับ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้เล่าต่อไว้ดังนี้

"เวลาสัก ๒ ทุ่มออกเรือที่เช่าเขา ๓ ลำ ล่องลงมาจากโพธาราม เรือเหล่านี้เป็นเรือประทุน ๒ แจวที่เขาบรรทุกของสวนขึ้นไปขายเสร็จแล้วจ้างเขาแจวลงมาส่ง
 
ได้บอกมาข้างต้นว่า การเสด็จวันนี้ไม่ได้ตั้งใจจะให้ใครรู้ว่าใครเป็นใคร แต่มาเกิดกลแตกขึ้นเมื่อขาล่องเรือลงมาในประทุนเรือลำพระที่นั่ง เข้าของเขามีพระบรมรูปเข้ากรอบติดไว้ที่เครื่องบูชา ไปรับสั่งถามยายเมียเข้าของเรือว่ารูปใคร ยายนั่นกราบทูลว่า พระรูปเจ้าชีวิต รับสั่งถามต่อไปว่า แกได้เคยเห็นเจ้าชีวิตหรือไม่ แกกราบทูลว่าได้เคยเห็น ๓ หน รับสั่งถามว่าได้เห็นที่ไหนบ้าง แกกราบทูลว่า "ได้เห็นในบางกอก ๒ หน กับมาเห็นวันนี้อีกหน ๑" ลงมาถึงเมืองราชบุรีเวลา ๔ ทุ่ม เขียนมาถึงนี่ออกหาวนอนเต็มที ขอยุติเรื่องราวตอนนี้แต่เพียงเท่านี้"

การเสด็จในช่วงแรก ๆ นั้นเรียกว่าการ "ประพาสไปรเวต" เพิ่งจะมีการเรียกว่าการ "ประพาสต้น" ในเหตุการณ์ที่ราชบุรีในวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๒๓ นี้เอง ส่วนที่มาที่ไปของเรื่องราวดังกล่าวเป็นอย่างไร เชิญอ่านจากรูปที่ ๓ ที่ถ่ายจากหนังสือมาให้ดูเอาเองก็แล้วกันนะครับ


รูปที่ ๓ ที่มาของคำว่า "ประพาสต้น"