แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ห่วงทางสะดวก แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ห่วงทางสะดวก แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

รอหลีกที่รางโพธิ์ MO Memoir : Thursday 26 July 2561

ก็เป็นเพียงแค่ บันทึกเหตุการณ์ประจำวัน ที่เกิดขึ้น ณ สถานีรถไฟเล็ก ๆ แห่งหนึ่งใกล้ชายขอบกรุงเทพมหานคร
 
ระบบรถไฟรางเดี่ยวที่ให้รถไฟวิ่งไป-กลับบนรางเดียวกัน มันก็มีข้อดีตรงที่ประหยัดค่าวางราง เส้นทางรถไฟบ้านเราที่สร้างมาตั้งแต่แรกจนถึงปัจจุบันก็เป็นอย่างนั้น เพียงแต่มันต้องมีระบบป้องกันไม่ให้รถไฟวิ่งชนกัน และวิธีการหนึ่งที่บ้านเราใช้กันมานานแล้วก็คือการใช้ระบบ "ห่วงทางสะดวก" (ดู Memoir ปีที่ ๔ ฉบับที่ ๔๓๙ วันอังคารที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๕ เรื่อง "ห่วงทางสะดวก") กล่าวคือถ้ารถไฟวิ่งเข้าสถานีแล้วที่สถานีนั้นไม่มีห่วงทางสะดวกให้ รถไฟขบวนนั้นก็ต้องหยุดรอ เพื่อให้รถไฟที่วิ่งสวนมาในทางเดียวกันนั้นนำห่วงทางสะดวกที่รับมาจากสถานีข้างหน้ามามอบให้ที่สถานี รถไฟจึงจะวิ่งต่อไปได้ แต่วิธีนี้ก็มีข้อเสียก็คือถ้ามีรถไฟเดินทางหนาแน่น การเดินทางจะใช้เวลามากขึ้นเพราะต้องเสียเวลารอหลีก ในกรณีเช่นนี้การใช้ระบบรางคู่ก็จะดีกว่า คือให้รางฝั่งหนึ่งเป็นเส้นขาขึ้นและอีกฝั่งเป็นเส้นขาล่อง การใช้ระบบรางคู่ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องรถไฟจะวิ่งประสานงากัน แต่จะวิ่งชนท้ายกันหรือเปล่านั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง (อ่านตัวอย่างได้ใน Memoir ปีที่ ๙ ฉบับที่ ๑๓๙๔ วันจันทร์ที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๖๐ เรื่อง "ใครผิด? (อุบัติเหตุรถไฟชนท้ายที่สถานีรถไฟ Clapham Junction ประเทศอังกฤษ)")


รูปที่ ๑ สถานีรถไฟรางโพธิ์ก็เป็นสถานีที่แปลกสถานีหนึ่ง คือมีถนนตัดผ่านช่วงกลางสถานี คือสถานีรถไฟทั่วไปนั้นเวลาที่รถไฟเข้าจอดให้คนขึ้นลงหรือรอหลีก ก็มักจะไม่จอดขวางถนน แต่สถานนีนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่อย่างนั้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่าแต่ก่อนขบวนรถไฟมันสั้น หรือเป็นเพราะไม่ค่อยมีรถวิ่ง ก็เลยมีการตัดถนนผ่านสถานีแบบนี้ ป้ายที่เห็นคือขณะรถไฟวิ่งเข้าจอดในรางรอหลีก เพื่อให้รถที่มาจากทางวงเวียนใหญ่วิ่งผ่านไปก่อน สภาพรางช่วงนี้ยังเป็นหมอนไม้อยู่เลย

รูปที่ ๒ สถานีรางโพธิ์เป็นสถานีรถไฟบนเส้นทางสายวงเวียนใหญ่-มหาชัย โดยอยู่ระหว่างสถานีรางสะแกกับสามแยก ถ้ามาจากกรุงเทพทางถนนพระราม ๒ ก็จะวิ่งเลยถนนวงแหวนตะวันตกมาหน่อย สถานีจะอยู่ทางด้านฝั่งเหนือของถนนพระราม ๒


รูปที่ ๓ ตัวอาคารสถานี ที่เห็นอยู่อีกฟากหนึ่งของถนนทางด้านขวาสุดของรูปที่ ๑

รูปที่ ๔ รถไฟมาจอดรอหลีกที่ปลายชานชาลาสถานี ส่วนรางรอหลีกก็ยาวไปถึงสุดขอบขวาของรูปที่เห็นอยู่ไกล ๆ รางช่วงนี้คงได้รับการปรับปรุงแล้ว เพราะเห็นใช้หมอนคอนกรีตรองรางแล้ว ไม่รู้เป็นเพราะมีอุบัติเหตุรถตกรางบริเวณสถานีนี้เมื่อวันที่ ๒๗ เมษายนที่ผ่านมาหรือเปล่า ก็เลยมีการถือโอกาสซ่อมบำรุงซะเลย

ระหว่างเดินทางกลับจากมหาชัยเมื่อบ่ายวันพฤหัสบดีที่ ๑๒ กรกฎาคม รถไฟขบวนที่โดยสารมาก็มาจอดรอหลีกที่สถานีรางโพธิ์นี้ เพื่อให้ชบวนที่วิ่งสวนมาจากวงเวียนใหญ่ผ่านไปก่อน เส้นทางสายนี้ผมไม่เห็นเขามีเสาสำหรับคล้องรับ-ส่งห่วงทางสะดวก ก็เลยไม่รู้ว่าเขาใช้ระบบอะไรติดต่อกันเพื่อบอกให้สถานีข้างหน้าทราบว่ากำลังมีรถไฟวิ่งไป ภาพและคลิปวิดิโอที่นำมาแสดง ก็เป็นการถ่ายด้วยโทรศัพท์มือถือที่ติดตัวไป วิดิโอนั้นถ่ายด้วยโปรแกรม daily road voyager แล้วก็จับภาพจากคลิปบางส่วนนำมาบันทึกไว้เป็นภาพนิ่ง (รูปที่ ๖ - ๙)
 
การเดินทางด้วยรถไฟในบ้านเราเนี่ย เวลาที่รถไฟจอดมันก็บรรยากาศเป็นอีกแบบเลย จากเสียงที่ดังจนฟังเพลินหรือลืมไปว่ามีเสียงรถวิ่งอยู่ พอรถจอดทีมันก็เงียบสงบ ได้ยินแต่เสียงพัดลม และเสียงประกาศจากสถานี นึกถึงตอนเด็ก ๆ ที่เคยนั่งรถไฟชั้น ๓ ไปใต้ พอรถไฟจอดทีก็โผล่หน้าออกไปดูทางหน้าต่าง เพราะอยากรู้ว่าที่สถานีนั้นมีอะไรขายบ้าง แต่ละท้องถิ่นก็ขายของกินแตกต่างกันไป ตอนนี้ก็ไม่ได้เดินทางด้วยรถไฟเป็นระยะทางไกลมานานแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าบรรยากาศมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง แต่ก็เชื่อว่าคงไม่เหมือนเดิม
 
และก็เป็นอย่างที่เกริ่นเอาไว้บรรทัดแรก Memoir ฉบับนี้ก็ไม่มีเนื้อหาสาระอะไร เป็นเพียงแค่บันทึกเหตุการณ์ประจำวัน ที่เกิดขึ้น ณ สถานีรถไฟเล็ก ๆ แห่งหนึ่งใกล้ชายขอบกรุงเทพมหานคร ที่บังเอิญผ่านไปได้พบเห็นมา ก็เลยเอามาบันทึกไว้แค่นั้นเอง


รูปที่ ๕ ลองมองย้อนกลับไปอีกฝั่งหนึ่ง ช่วงนี้เป็นตอนบ่ายหลังเที่ยงไม่นาน ผู้โดยสารก็เลยน้อยหน่อย แต่ดูแล้วคิดว่าถ้าเป็นหลังโรงเรียนเลิกหรือเลิกงาน ก็น่าจะมีคนพลุกพล่านอยู่เหมือนกัน เพราะเห็นมีร้านค้าขายของอยู่หลากหลายข้างชานชาลาสถานี


รูปที่ ๖ ภาพจับมาจากคลิปวิดิโอ รถไฟที่มาจากวงเวียนใหญ่กำลังวิ่งเช้าตัวสถานี


รูปที่ ๗ พอท้ายรถไฟที่วิ่งสวนมาวิ่งพ้นจุดสับราง พนักงานประจำรถขบวนที่ผมโดยสารก็ชูธงเขียวให้สัญญาณ (ในกรอบสีแดง) เพื่อให้รถไฟชบวนที่รอหลีกอยู่นั้นเริ่มเคลื่อนตัวออกจากสถานี ดูเหมือนว่าสถานีนี้ยังคงใช้พนักงานไปโยกสับรางที่ตำแหน่งประแจสับราง (ไม่ได้ใช้คันโยกที่ดึงผ่านเส้นลวดจากในตัวสถานี) ถ้าเป็นช่วงที่มีฝนตกหนักก็น่าเห็นใจเจ้าหน้าที่อยู่เหมือนกัน


รูปที่ ๘ ขณะกำลังเคลื่อนตัวจากรางรอหลีกกลับเข้ารางหลัก


รูปที่ ๙ พ้นจากสถานีมาหน่อยมีต้นกล้วยขึ้นเต็มข้างทาง เรียกว่าตันมันเอียงจนใบมันระเข้ากับตัวรถ บางต้นเอียงมากขนาดต้องมีการเอาเชือกมาผูกดึงเพื่อให้ไม่ให้ต้นล้มขวางหน้ารถ บางจุดเห็นได้เลยว่า ถ้าหากรถไฟจอด ก็คงจะเอื้อมมือไปตัดกล้วยที่ต้นได้ทั้งเครือ

วิดิโอขณะรถไฟวิ่งสวนทางมา

วันอังคารที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2555

ห่วงทางสะดวก MO Memoir : Tuesday 24 April 2555

เมื่อช่วงลอยกระทงปลายปีที่แล้วที่กลุ่มเราได้มีโอกาสไปนำเสนอผลงานวิชาการที่หาดใหญ่ ก็มีการถือโอกาสหลบฉากจากการประชุมเพื่อไปทำความรู้จักสถานที่ต่าง ๆ ที่อยู่รอบ ๆ หาดใหญ่ สถานที่หนึ่งที่เราได้แวะไปกันก็คือปาดังเบซาร์ซึ่งเป็นด่านชายแดนระหว่างไทยและมาเลเซีย ตอนขากลับก็เลยมีการแวะถ่ายรูปเล่นกันนิดหน่อยที่สถานีรถไฟคลองแงะ

รูปที่ ๑ ป้ายที่สถานีรถไฟคลองแงะ สถานีนี้อยู่ระหว่างสถานีชุมทางหาดใหญ่และสถานีปาดังเบซาร์ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อเข้าไปยังประเทศมาเลเซีย (รถไฟสายกรุงเทพ-บัตเตอร์เวอร์ธ)

ที่คลองแงะเนี่ยผมเคยมาเที่ยวตอนเด็ก ๆ เพราะมีญาติผู้ใหญ่บางท่านอาศัยอยู่ที่นั่น สถานีรถไฟคลองแงะก็ตั้งอยู่ริมถนนเพชรเกษมพอดี

บังเอิญจังหวะที่เราแวะเข้าไปถ่ายรูปเล่นกันนั้น กำลังจะมีขบวนรถไฟจากปาดังเบซาร์ขบวนหนึ่งวิ่งผ่านสถานีพอดี ผมก็ชี้ให้ดูเสาต้นหนึ่งที่อยู่ที่ชานชาลาแล้วถามพวกที่ไปด้วยว่ารู้ไหมว่าเสาต้นนั้นมีไว้ทำไม ซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่มีใครรู้จักเลย ผมก็บอกว่านั่นเป็นเสาสำหรับรับ-ส่งห่วงทางสะดวก เดี๋ยวคอยดูซิว่าเขารับส่งห่วงทางสะดวกอย่างไร

รถไฟขบวนดังกล่าววิ่งเข้าสถานีคลองแงะแบบไม่มีการเบาเครื่อง และพนักงานประจำรถไฟคนหนึ่งก็โผล่ออกมาจากหน้าต่างหัวรถจักร แล้วยื่นแขนคว้าเอาห่วงทางสะดวกที่นายสถานีนำมาติดไว้ที่เสา โดยไม่จำเป็นต้องมีการเบาเครื่องเลย

เชื่อว่าวันนั้นคงเป็นครั้งแรกของพวกที่ไปด้วยกัน ๕ คน ที่ได้เห็นการปฏิบัติงานดังกล่าวของเจ้าพนักงานรถไฟ

การเดินรถไฟในบ้านเรานั้นในท้องที่ที่ห่างไกลจากกรุงเทพยังใช้ระบบรางเดี่ยวอยู่ คือรถวิ่งไป-กลับบนรางเดียวกัน ดังนั้นจึงต้องมีการป้องกันไม่ให้มีขบวนรถสองขบวนวิ่งสวนทางกันบนรางเดียวกัน ระบบที่บ้านเราใช้คือการใช้ "ห่วงตราทางสะดวก" หรือ "เครื่องทางสะดวก" หรือ "ห่วงทางสะดวก"

"ห่วงทางสะดวก" เป็นเสมือนสัญญลักษณ์ที่รถไฟที่จะวิ่งในรางระหว่างสถานี ก และสถานี ข ต้องมี ถ้ารถไฟขบวนที่หนึ่งวิ่งมาถึงสถานี ก เพื่อไปยังสถานี ข และได้รับห่วงทางสะดวกที่สถานี ก รถไฟขบวนนี้ก็จะวิ่งไปยังสถานี ข ได้ ในขณะเดียวกันถ้ามีรถไฟขบวนที่สองวิ่งจากสถานี ค มายังสถานี ข เพื่อจะไปยังสถานี ก รถไฟขบวนที่สองนี้ก็จะนำห่วงทางสะดวก(สำหรับช่วงระหว่างสถานี ข และสถานี ค) ที่รับมาจากสถานี ค มาส่งให้ที่สถานี ข แต่จะออกจากสถานี ข ไปยังสถานี ก ไม่ได้ เพราะไม่มีห่วงทางสะดวกสำหรับช่วงระหว่างสถานี ข และสถานี ก เพราะห่วงทางสะดวกสำหรับช่วงนี้มันมีอยู่ชิ้นเดียวและอยู่ในขบวนรถขบวนที่หนึ่งที่กำลังวิ่งจากสถานี ก มายังสถานี ข ดังนั้นรถไฟขบวนที่สองจึงต้องหยุดรอที่สถานี ข ก่อน ที่เรียกกันทั่วไปว่ารอหลีก

พอรถไฟขบวนที่หนึ่งวิ่งเข้ามาถึงสถานี ข รถไฟขบวนนี้ก็จะนำเอาห่วงทางสะดวกที่รับมาจากสถานี ก มาคล้องที่เสารับห่วงทางสะดวก (ดูรูปที่ ๑ ด้านซ้าย)) เสานี้จะมีอยู่สองต้น อยู่คนละปลายของชานชาลาสถานีรถไฟ พอรถไฟขบวนที่หนึ่งวิ่งจะพ้นจากสถานีรถไฟ พนักงานประจำรถก็จะคว้าเอาห่วงทางสะดวกอีกห่วงหนึ่ง (สำหรับใช้ระหว่างสถานี ข และสถานี ค ที่อยู่ถัดไป) ที่นายสถานีรับมาจากรถไฟขบวนที่สองที่จอรอหลีกอยู่ และเอาไปติดเอาไว้ที่เสาอีกต้นหนึ่งที่อยู่ที่อีกปลายด้านหนึ่งของชานชาลา

รูปที่ ๒ รูปซ้ายคือเสาคล้องห่วงทางสะดวก แขนที่ยื่นออกมา (วงสีเหลือง) มีไว้สำหรับให้พนักงานในขบวนรถที่วิ่งเข้าสถานีเอาห่วงทางสะดวกที่รับมาจากสถานีก่อนหน้ามาส่งให้ที่สถานีนี้ ส่วนกล่องสีแดงที่อยู่เหนือขึ้นไป (วงส้ม) เป็นที่สำหรับนายสถานีเอาห่วงทางสะดวกมากเสียบเอาไว้ เพื่อให้ขบวนรถที่ออกจากสถานีคว้าเอาไปส่งให้กับสถานีถัดไป ที่อยู่บนยอดเสาคือโคมไฟส่องสว่าง ส่วนรูปขวาคือเครื่องทางสะดวก (ที่สถานีคลองแงะ) ที่พนักงานจะต้องเอาตราที่อยู่ในกระเป๋าที่อยู่ที่ห่วงทางสะดวกมาใส่ในเครื่องนี้

ห่วงทางสะดวกนั้นจะมีกระเป๋าหนังติดอยู่ ในกระเป๋าจะใส่ตรา (ไม่รู้ว่าเรียกถูกหรือเปล่า) ที่เป็นสัญญลักษณ์ประจำเส้นทางระหว่างสถานีสองสถานีเอาไว้ นายสถานีจะต้องเอาตราที่รับมามาใส่ในเครื่องทางสะดวก (รูปที่ ๑ ด้านขวา) เพื่อบอกว่าเส้นทางระหว่างสถานี ก และสถานี ข เปิดให้รถไฟขบวนที่สองวิ่งไปได้

เมื่อนายสถานี ข ได้รับห่วงทางสะดวกจากสถานี ก ที่ขบวนรถขบวนที่หนึ่งนำมาให้ นายสถานีก็จะนำเอาห่วงทางสะดวกนั้นไปให้พนักงานประจำรถไฟขบวนที่สองที่จอดรอหลีกอยู่ รถไฟขบวนที่สองนั้นก็จะสามารถวิ่งจากสถานี ข ไปยังสถานี ก ได้

ถ้าเกิดกรณีที่พนักงานที่ประจำหัวรถจักรรับห่วงพลาด ก็จะเกิดเหตุการณ์ที่ขบวนรถไฟต้องหยุด และอาจมีการวิ่งถอยหลังมารับห่วงทางสะดวกจากนายสถานี หรือไม่นายสถานีก็จะปั่นจักรยานเอาไปส่งให้กับพนักงานประจำรถไฟ เหตุการณ์ดังกล่าวตอนเด็ก ๆ ที่ผมต้องนั่งรถไฟไปเยี่ยมญาติต่างจังหวัดก็เจออยู่หลายครั้ง แต่ปัจจุบันหลาย ๆ สถานี โดยเฉพาะในเขตรอบ ๆ กรุงเทพมหานครและเส้นทางที่สร้างใหม่ (เช่นเส้นทางสายตะวันออกไปท่าเรือน้ำลึกที่แหลมฉบังและที่มาบตาพุด) ก็ไม่มีการใช้ระบบนี้แล้ว ดูเหมือนจะใช้ระบบ track circuit แทนกันแล้ว

วันที่ไปที่คลองแงะนั้นผมถ่ายรูปการรับส่งห่วงของพนักงานประจำหัวรถจักรไม่ทัน ก็เลยยังไม่ได้เขียนเรื่องนี้สักที บังเอิญไปค้นเจอรูปการรับส่งห่วงทางสะดวกที่เห็นว่าชัดเจนดีก็เลยขอเอามาลงประกอบ รูปที่ ๓ และ ๔ ผมเอามาจากhttp://www.panoramio.com/photo/385422xx ทั้งสองรูปถูกระบุว่าถ่ายโดยคุณ Sumran R. Dumpee สถานีปากคลองเป็นสถานีรถไฟที่ถ้าเป็นรถมุ่งหน้าลงใต้ก็จะเป็นสถานีที่อยู่ก่อนถึงพัทลุง


รูปที่ ๓ รถไฟกำลังจะวิ่งผ่านสถานีปากคลอง (จ.พัทลุง) จะเห็นห่วงทางสะดวกคล้องอยู่ที่เสา


รูปที่ ๔ ต่อเนื่องจากรูปที่ ๓ พนักงานประจำรถโผล่หน้าออกมากำลังจะคว้าห่วงทางสะดวกโดยไม่มีการหยุดรถไฟ

ในขณะที่คนกรุงเทพโหยหาสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ที่จัดขึ้นในรูปแบบย้อนยุคนั้น บรรยากาศตามสถานีรถไฟเก่า ๆ เล็ก ๆ ในย่านชนบทของต่างจังหวัดเมื่ออดีต (เท่าที่ผมจำความได้ก็ร่วม ๔๐ ปีที่แล้ว) เคยเป็นอย่างไร ปัจจุบันก็ยังคงเป็นสภาพอย่างนั้นอยู่ สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปที่เห็นได้ชัดคือภาชนะใส่ของกินต่าง ๆ 
 
ปัจจุบัน ภาพพ่อค้าแม่ค้าขายที่นำข้าวแกงใส่กระทงที่ทำจากใบตองหรือใบบัว พร้อมกับคนขายกาแฟร้อนใส่กระป๋องนมข้นหวานที่เปิดฝา (แต่ไม่ตัดให้ขาดจากตัวกระป๋อง) และมีเชือกร้อย เดินขายตามชานชาลาสถานียามที่รถไฟเทียบชานชาลาตอนรุ่งสาง คงไม่มีให้เห็นอีกแล้ว