แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เศรษฐกิจสีเขียว แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เศรษฐกิจสีเขียว แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

ไฮโดรเจนสีเขียว (ตราบเท่าที่ไม่คิดพลังงานที่ต้องใช้ในการอัดแก๊ส) MO Memoir : Wednesday 8 February 2566

ช่วงเวลาที่ผ่านมามีการพูดถึงแก๊สไฮโดรเจน (H2) ว่าเป็นพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นพลังงานสะอาดแห่งอนาคต เพราะมันไม่ปลดปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ที่เป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดสภาวะโลกร้อนในปัจจุบัน ถึงขั้นมีการพูดถึงการใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงแทนน้ำมันสำหรับรถยนต์ หรือใช้เป็นสารตั้งต้นในอุตสาหกรรมเคมี

แต่พอโดนตั้งคำถามถึงแหล่งที่มาของไฮโดรเจนว่ามาได้อย่างไร เพราะที่มาหลักของไฮโดรเจนที่ใช้กันอยู่ในอุตสาหกรรมได้มาจากไฮโดรคาร์บอน และยังต้องใช้อุณหภูมิสูงในการผลิตด้วย อีกส่วนหนึ่งก็ได้มาจากการผลิตโซดาไฟ (Sodium hydroxide NaOH) ที่ใช้ไฟฟ้าที่ได้มาจากการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลในการผลิต (ได้แก๊สไฮโดรเจนกับคลอรีน) ก็เลยต้องมีการแบ่งเกรดกันอีกว่าไฮโดรเจนนั้นได้มาด้วยวิธีการใด คือถ้าเป็นแก๊สไฮโดรเจนที่ได้จากพลังงานหมุนเวียนที่ไม่มีการปลดปล่อย CO2 ก็จะเรียกว่าเป็น "ไฮโดรเจนสีเขียว (Green hydrogen)" เช่นไฮโดรเจนที่ได้จากการแยกน้ำด้วยไฟฟ้าที่ผลิตจากเซลล์แสงอาทิตย์หรือพลังงานลม

แต่การเก็บพลังงานในรูปสารเคมี (โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารเคมีที่เป็นแก๊ส เช่นเก็บพลังงานแสงอาทิตย์ในรูปแก๊สไฮโดรเจน) เพื่อที่จะนำเอาพลังงานในตัวสารเคมีนั้นไปเปลี่ยนเป็นพลังงานกล (เช่นการนำไปเป็นเชื้อเพลิงให้กับเครื่องยนต์สันดาปภายใน การนำไปเป็นเชื้อเพลิงให้กับเซลล์เชื้อเพลิงเพื่อผลิตไฟฟ้าจ่ายให้กับมอเตอร์) มันยังมีปัจจัยที่สำคัญมากปัจจัยอื่นอีกให้พิจารณา อันได้แก่พลังงานที่ต้องใช้ในการจัดเก็บและขนส่ง และอัตราส่วนระหว่าง "พลังงานที่ได้" ต่อ "น้ำหนักของระบบกักเก็บพลังงาน + น้ำหนักของหน่วยขับเคลื่อน"

ตัวอย่างของ "น้ำหนักของระบบกักเก็บพลังงาน + น้ำหนักของหน่วยขับเคลื่อน" ได้แก่

ในกรณีของยานยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในก็คือ ผลรวมของน้ำหนักของ "ถังบรรจุเชื้อเพลิง + เชื้อเพลิงที่บรรจุได้ + เครื่องยนต์" หรือ

ในกรณีของยานยนต์ที่ใช้เซลล์เชื้อเพลิงก็คือ ผลรวมของน้ำหนักของ "ถังเก็บแก๊ส + แก๊สที่บรรจุอยู่ + เซลล์เชื้อเพลิง + มอเตอร์ไฟฟ้า"

เราสามารถใช้การเพิ่มความดันในการอัดแก๊สให้เป็นของเหลวได้ก็ต่อเมื่ออุณหภูมิที่ทำการอัดแก๊สนั้นต่ำกว่าค่าอุณหภูมิวิกฤต (Critical temperature Tc) ของแก๊สนั้น พวกแก๊สหุงต้ม (โพรเพนและบิวเทน) จะมีค่าอุณหภูมิวิกฤตสูงกว่าอุณหภูมิห้อง เราจึงสามารถใช้ความดันในการอัดแก๊สนี้ให้เป็นของเหลวได้ที่อุณหภูมิห้อง กล่าวคือถ้าเรามีถังแก๊สเปล่าอยู่ใบหนึ่ง แล้วเราค่อย ๆ เติมแก๊สลงในถังใบนี้เรื่อยๆ ความดันในถังก็จะสูงขึ้น แต่พอถึงระดับหนึ่งแก๊สที่เติมเข้าไปจะเริ่มควบแน่นเป็นของเหลว ความดันในถังจะไม่เพิ่มสูงขึ้น และเนื่องจากของเหลวมีความหนาแน่นสูงกว่าแก๊สมาก ทำให้เราสามารถเก็บแก๊ส (ในรูปของเหลว) ได้มากโดยไม่ต้องใช้ถังที่มีขนาดใหญ่หรือใช้ความดันสูง (ความดันในถังแก๊สหุงต้มที่อุณหภูมิห้องจะอยู่ที่ประมาณ 7 เท่าของความดันบรรยากาศ แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสัดส่วนของโพรเพนและบิวเทนด้วย)

แต่ในกรณีของแก๊สแก๊สธรรมชาติ (หรือมีเทน) นั้นแตกต่างกัน คือมันมีค่าอุณหภูมิวิกฤตสูงกว่าอุณหภูมิห้อง ที่อุณหภูมิห้องไม่ว่าเราจะอัดแก๊สด้วยอุณหภูมิเท่าใดก็ตาม มันจะไม่ควบแน่นเป็นของเหลว ดังนั้นถ้าต้องการเก็บแก๊สในปริมาณมาก ก็ต้องใช้ความดันที่สูง (แก๊สธรรมชาติใช้กับรถยนต์ที่บ้านเราเรียก NGV ในขณะที่สากลและในกฎหมายบ้านเราเขาเรียก CNG นั้น จะอัดใส่ถังที่ความดันประมาณ 200 เท่าของความดันบรรยากาศ) ถ้าจะใช้ถังขนาดใหญ่ขึ้นก็จะมีปัญหาเรื่องความหนาของวัสดุที่จะทนความดันได้ (ถังแก๊สเปล่าสำหรับรถยนต์ ถ้าเป็นแก๊สหุงต้มจะหนักประมาณ 20 กิโลกรัม แต่ถ้าเป็นแก๊สธรรมชาติจะหนักประมาณ 80-100 กิโลกรัม)

แก๊สไฮโดรเจนก็เป็นรูปแบบเดียวกับแก๊สมีเทน คือถ้าต้องการนำมาใช้งานต้องเก็บในถังความดันสูง แต่การใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องยนต์สันดาปภายในจะวุ่นวายกว่าการใช้ไฮโดรคาร์บอน เนื่องจากลักษณะการจุดระเบิดของไฮโดรเจนนั้นคุมยากกว่าไฮโดรคาร์บอน การจะเอาไฮโดรเจนไปเป็นเชื้อเพลิงขับเคลื่อนยานพาหนะจึงมุ่งเน้นไปที่การใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel cell) ที่จะผลิตกระแสไฟฟ้าไปขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้าอีกทีหนึ่ง

ทีนี้เราลองมาดูหน่อยว่าถ้าจะอัดแก๊สให้มีความดันสูงขึ้น ต้องใช้พลังงานเท่าใด โดยสมมุติว่าแก๊สที่จะอัดนั้นเป็นแก๊สอุดมคติ (ดูรูปที่ ๑ ข้างล่างประกอบ)


รูปที่ ๑ การอัดแก๊สในลูกสูบทรงกระบอกพื้นที่หน้าตัด A จากปริมาณ V1 จนเหลือปริมาตร V2


จากนิยาม งาน (W) คือผลคูณระหว่าง แรง (F) กับระยะทางการเคลื่อนที่ (s) หรือ W = F x s

แต่แรงคือผลคูณระหว่าง ความดัน (P) กับพื้นที่หน้าตัด (A) หรือ F = P x A

แทนค่า F ลงไปก็จะได้ว่า W = P x (A x s)

จากรูปที่ ๑ จะเห็นว่าค่า (A x s) คือปริมาตรที่เปลี่ยนไป (∆V) เมื่อแก๊สถูกอัดจากปริมาตร V1 เหลือ V2

ดังนั้นเราจะได้ W = P x ∆V

ในกรณีของการอัดแก๊สให้มีปริมาตรต่อโมลลดลง (คือมีความดันสูงขึ้นนั่นเอง) ∆V จะมีค่าเป็นลบ ดังนั้นในการอัดแก๊สให้มีความดันสูงขึ้น เพื่อให้ค่างานที่ต้องทำมีค่าเป็นบวก ก็ต้องใส่เครื่องหมาย (-) เข้าไป ในกรณีนี้เราก็จะได้ว่างานที่ต้องใส่เข้าไปเพื่อเพิ่มความดันให้กับแก๊สจะมีค่า W = P x (-∆V)

ในกรณีของแก๊สอุดมคตินั้น ผลคูณของค่า PV จะคงที่ กล่าวคือถ้าเราเริ่มจากแก๊สปริมาตร 1 หน่วยที่ความดันบรรยากาศ แล้วเราต้องการอัดแก๊สนั้นให้มีความดัน 100 เท่าของความดันบรรยากาศ ปริมาตรแก๊สจะลดเหลือ 1/100 เท่าของปริมาตรเดิม หรือเหลือเพียง 0.01 เท่าของปริมาตรเดิม

ที่อุณหภูมิห้องและความดันบรรยากาศ แก๊ส 1 โมลจะมีปริมาตรประมาณ 25 ลิตรหรือ 0.025 m3 (ขอปัดตัวเลขให้มันกลม ๆ นะครับ) ถ้าเราต้องการอัดแก๊สตัวนี้ให้มีความดัน 100 เท่าของความดันบรรยากาศ ปริมาตรแก๊สก็จะเหลือ 0.025/100 หรือ 0.00025 m3

ดังนั้นปริมาตรที่เปลี่ยนไป (∆V) คือ 0.025 - 0.00025 = -0.02475 m3

ค่าความดัน 100 เท่าของความดันบรรยากาศก็ประมาณ 1 x 107 Pascal

ดังนั้นงานที่ต้องใช้ในการอัดแก๊ส W = (1 x 107) x (0.02475) = 247500 J/mol

แก๊สไฮโดรเจน 1 mol ทำปฏิกิริยากับออกซิเจน 0.5 mol ได้น้ำ 1 mol จากค่า Enthalpy of formation จะได้ว่าปฏิกิริยานี้คายพลังงานออกมาประมาณ 286000 J

ดังนั้นหักลบพลังงานที่จะได้กับพลังงานที่ต้องใช้ในการอัดแก๊สแล้ว จะเหลือเพียง 38500 J/mol หรือประมาณ 13% ของพลังงานที่ควรได้ (นี่ขนาดยังไม่คิดว่าในความเป็นจริงยังมีการสูญเสียพลังงานระหว่างการอัดอีก) และถ้าอัดให้มีความดันมากกว่านี้ (เกินกว่า 115 เท่า) ก็พบว่าพลังงานที่ใช้ในการอัดจะมากกว่าพลังงานที่จะได้จากแก๊สเสียอีก

ในกรณีของแก๊สธรรมชาติ (มีเทน (CH4) นั้น การเผาไหม้มีเทน 1 mol จะคายพลังงานออกมาประมาณ 890000 J หรือประมาณ 3 เท่าของพลังงานที่ได้จากไฮโดรเจน จึงทำให้เราสามารถเก็บแก๊สมีเทนได้ที่ความดันที่สูงกว่า (โดยที่ค่าพลังงานที่ต้องใช้ในการอัดแก๊สยังไม่สูงเกินค่าพลังงานที่จะได้จากแก๊ส) แต่นั่นก็ต้องแลกมาด้วยน้ำหนักของถังเก็บแก๊สที่เพิ่มมากขึ้น (และปริมาตรของถังเก็บที่กินพื้นที่มากขึ้นด้วย)

ตรงนี้ดูง่าย ๆ ได้จากกรณีรถยนต์นั่งส่วนบุคคล (เช่นขนาดที่เอามาทำรถแท๊กซี่) ที่บรรจุเชื้อเพลิวเต็มถัง ถ้าใช้น้ำมันจะวิ่งได้ไกล (แบบรถไม่ติดนะ) กว่า 600 กิโลเมตร ถ้าใช้แก๊สหุงต้มจะได้ประมาณ 400 กิโลเมตร แต่ถ้าใช้แก๊สธรรมชาติจะเหลือประมาณ 200 กิโลเมตร คือในบ้านเรารถใช้แก๊สหุงต้มหรือแก๊สธรรมชาติเป็นรถที่มีถังน้ำมันแล้วนำมาดัดแปลงติดถังแก๊สไว้ในกระโปรงหลัง ถ้าใช้ถังขนาดใหญ่ก็จะกินพื้นที่เก็บของท้ายรถมากขึ้น และมีน้ำหนักไปตกหลังล้อหลังมากขึ้นตลอดเวลา (คือน้ำหนักถังแก๊ส)

เทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์หรือพลังงานลมก็มีอยู่นานแล้ว

เทคโนโลยีการแยกน้ำด้วยกระแสไฟฟ้าเพื่อผลิตไฮโดรเจนก็มีอยู่นานแล้ว

ประเด็นสำคัญคือแก๊สไฮโดรเจนที่ผลิตได้นั้นมันผลิตที่ความดันเริ่มต้นเท่าใด ถ้าแก๊สที่ผลิตได้มีความดันต่ำในขณะที่การนำไปใช้งานต้องการความดันสูง ก็จะต้องมีค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่ต้องใช้ในการอัดแก๊สให้มีความดันสูงขึ้น (ไม่ว่าจะเป็นการนำไปใช้กับยานพาหนะหรือในอุตสาหกรรม)

และในปัจจุบันเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่สามารถใช้เป็นแหล่งกักเก็บพลังงานไฟฟ้าได้ ก็ยังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และในบางภาคส่วน (เช่นยานยาต์) อาจจัดได้ว่าเป็นคู่แข่งสำคัญตัวหนึ่งของเทคโยโลยีไฮโดรเจนก็ได้

ความพยายามหนึ่งที่จะแก้ปัญหาความดันที่ต้องใช้ในการเก็บไฮโดรเจนก็คือการใช้สารดูดซับช่วยในการดูดซับแก๊สไฮโดรเจนเอาไว้ ทำให้สามารถเก็บไฮโดรเจนได้มากขึ้นที่ความดันเดิม แต่วิธีการนี้ก็มีปัญหาคือ ตัวสารดูดซับเองเป็นวัสดุที่มีรูพรุนขนาดเล็ก (เพื่อให้มีพื้นที่ผิวดูดซับมา) และปฏิกิริยาการดูดซับเป็นปฏิกิริยาคายความร้อน จึงมีปัญหาเรื่องอัตราการคายแก๊สออกมาเมื่อต้องการให้มันคายแก๊สมามาก ๆ เร็ว ๆ (เช่นต้องการเร่งเครื่องแซง) เพราะมันมีเรื่องของความล่าช้าในการที่โมเลกุลแก๊สจะแพร่ออกมาจากรูพรุนได้ และอุณหภูมิที่ต้องใช้อีก มันไม่เหมือนกับถังแก๊สความดันที่ทำเพียงแค่เปิดวาล์วให้กว้างขึ้น

ในปัจจุบันจึงมีการฉีกแนวออกไปเป็นการใช้แอมโมเนีย (Ammonia NH3) เป็นเชื้อเพลิงแทนไฮโดรเจนเพราะการเผาไหม้แอมโมเนียไม่ทำให้เกิด CO2 นอกจากนี้เราสามารถอัดแก๊สแอมโมเนียให้เป็นของเหลวที่อุณหภูมิห้องได้เหมือนกับแก๊สหุงต้ม แต่คำถามก็คือแอมโมเนียได้มาจากไหน กระบวนการผลิตหลักในปัจจุบันได้จากการทำปฏิกิริยาระหว่างไฮโดรเจน (ที่บอกว่าเป็นไฮโดรเจนสีเขียว) กับไนโตรเจนที่อุณหภูมิและความดันสูง ไนโตรเจนนั้นได้จากการกลั่นแยกอากาศ (ที่ต้องใช้พลังงานกับระบบทำความเย็นเพื่อให้อากาศกลายเป็นของเหลว) และต้องมีการใส่พลังงานเพื่อเพิ่มความดันและอุณหภูมิให้กับแก๊สทั้งสองชนิดเพื่อให้มันทำปฏิกิริยา ซึ่งก็นำมาสู่คำถามถัดมาคือแล้วพลังงานที่ต้องใช้ในการเพิ่มความดันและอุณหภูมินั้นได้มาจากไหน ผลิต CO2 หรือไม่ พลังงานที่ต้องใช้ในการผลิตกับที่จะได้จากแอมโมเนียอันไหนมากกว่ากัน ประเด็นเหล่านี้กลุ่มที่นำเสนอเรื่องเศรษฐกิจสีเขียวหรือ Green Economy มักจะไม่กล่าวถึง

เรื่องเอาแอมโมเนียมาเป็นเชื้อเพลิงเอาไว้ว่าง ๆ ถ้ามีเวลาก็จะหาโอกาสเขียนสักที วันนี้คงพอแค่นี้ก่อน

วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2564

ฝึกงานภาคฤดูฝน ๒๕๖๔ (๒) เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) MO Memoir : Monday 7 June 2564

เมื่อแนวโน้มให้หน่วยงานต้องแสดงตนว่า "เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม" มาแรง ใครเขาบอกว่าอะไรเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมก็ต้องรีบทำตาม ห้ามถาม ห้ามสงสัย เพราะไม่เช่นนั้นจะกลายเป็น ... (แล้วแต่จะว่ากันไป)

สมมุติว่ามีประเทศ ๒ ประเทศคือประเทศ A และประเทศ B ประเทศ A ไม่มีการผลิตไฟฟ้าใช้เองในประเทศ ทุกอย่างในประเทศใช้ไฟฟ้าหมด ไม่ว่าจะเป็นการประกอบอาหาร การคมนาคม ไม่มีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ใช้กันในชีวิตประจำวันในประเทศ ทั้งไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในชีวิจประจำวันถูกนำเข้ามาจากประเทศ B ทั้งหมด ขยะ recycle ที่เกิดขึ้นในประเทศ A ถูกส่งไปให้ประเทศ B จัดการ ในขณะที่ประเทศ B นั้นมีการนำเข้าน้ำมันปิโตรเลียม ถ่านหิน และวัตถุดิบต่าง ๆ เพื่อผลิตไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์ในชีวิตประจำวันต่าง ๆ เพื่อการใช้เองในประเทศและส่งออกไปยังประเทศ B และยังรับขยะ recycle ในประเทศ A มาจัดการอีก (รูปที่ ๑)

ในกรณีเช่นนี้จะถือว่าประเทศ A เป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจสีเขียวและใช้พลังงานสะอาดหรือไม่

รูปที่ ๑ ประเทศ A ไม่มีการผลิตไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์ โดยนำเข้าจากประเทศ B หมด พลังงานต่าง ๆ ที่ใช้ในครัวเรือนและการคมนาคมของประเทศ A เป็นพลังงานไฟฟ้าทั้งหมด ในขณะที่ประเทศ B ต้องนำเข้าเชื้อเพลิงฟอสซิลมาผลิตไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ให้ประเทศ A ใช้

ข้อมูลจาก Union of Concerned Scientists (๑) กล่าวไว้ว่าในปีค.ศ. ๒๐๑๘ ประเทศจีนผลิต CO2 มากเป็นอันดับ ๑ ของโลกคือ 10.06 GT โดยมีสหรัฐอเมริกาผลิตมากเป็นอันดับ ๒ คือ 5.41 GT (1 GT = หนึ่งพันล้านตัน) ถ้าดูแค่นี้ก็จะเห็นว่าจีนผลิต CO2 มากกว่าสหรัฐอเมริกาเกือบ 2 เท่า แต่ถ้าคิดเป็นปริมาณต่อหัวประชากร ซึ่งในปีเดียวกันนั้นจีนมีประชากร 1,428 ล้านคน (๒) ส่วนสหรัฐอเมริกามี 327 ล้านคน (๓) ตัวเลขของจีนก็จะออกมาเป็น 7.04 ล้านตันต่อประชากร ๑ ล้านคน ในขณะที่ของสหรัฐอเมริกาจะเป็น16.54 ล้านตันต่อประชากร ๑ ล้านคน ซึ่งสูงกว่าจีนถึง 2.34 เท่า นอกจากนี้ประเทศจีนยังเป็นฐานการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมที่ถูกนำไปใช้ในประเทศอื่นทั่วโลก

ในกรณีนี้จะถือว่าประเทศไหนผลิตแก๊สเรือนกระจกมากกว่ากัน

หมายเหตุ

(๑) https://www.ucsusa.org/resources/each-countrys-share-co2-emissions
(๒) https://www.worldometers.info/world-population/china-population/

ในหน่วยงานขนาดใหญ่หน่วยงานหนึ่ง มีรถบริการสำหรับการเดินทางไปยังบริเวณต่าง ๆ ของหน่วยงาน และมีการตั้งโรงอาหารไว้ตามที่ต่าง ๆ ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงรถให้บริการ โดยเปลี่ยนจากของเดิมที่ใช้ทั้งน้ำมันและ/หรือแก๊สหุงต้มเป็นเชื้อเพลิง มาเป็นการใช้รถพลังงานไฟฟ้าแทน โดยอ้างว่าเป็นการลดการปลดปล่อยแก๊ส CO2 และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยไฟฟ้าที่นำมาขับเคลื่อนรถนั้นเป็นไฟฟ้าที่ต้องจัดหาเพิ่มเติม (นอกเหนือไปจากกิจกรรมปรกติของหน่วยงาน) จากผู้ให้บริการภายนอกหน่วยงาน ที่ผลิตไฟฟ้าด้วย การเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล และ/หรือ พลังงานหมุนเวียน (รูปที่ ๒)

รูปที่ ๒ เดิมรถบริการภายในหน่วยงานใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในการขับเคลื่อน ต่อมามีการเปลี่ยนเป็นรถไฟฟ้าโดยอ้างว่าการใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า แต่การประกอบอาหารของร้านอาหารต่าง ๆ ภายในหน่วยงานยังคงใช้เตาแก๊สเหมือนเดิม ไม่มีการเปลี่ยนไปเป็นการใช้พลังงานไฟฟ้า

ประเด็นที่น่านำมาพิจารณาก็คือ ผู้ให้บริการไฟฟ้านั้นผลิตไฟฟ้าด้วยกรรมวิธีใด ด้วยการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล และ/หรือการใช้พลังงานหมุนเวียนที่ไม่ก่อให้เกิด CO2 เพราะถ้าการผลิตไฟฟ้านั้นใช้กระบวนการที่ทำให้เกิด CO2 มันก็จะกลายเป็นการผลักภาระการปลดปล่อย CO2 ไปให้ผู้อื่น (ทำนองเดียวกับกรณีของรูปที่ ๑) และถ้าพลังงานไฟฟ้าที่ใช้นั้นเป็นพลังงานที่สะอาดและประหยัดกว่าการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล ถ้าเช่นนั้นทำไมจึงไม่กำหนดให้ผู้ที่ประสงค์จะขายอาหารตามโรงอาหารต่าง ๆ ของหน่วยงาน ต้องประกอบอาหารด้วยการใช้เตาไฟฟ้าเท่านั้น ห้ามใช้เตาแก๊ส หรือไม่ก็กำหนดให้ต้องต้องใช้เตาถ่านในการประกอบอาหาร เพราะไม้ฟืนและถ่านไม้ก็เป็นพลังงานหมุนเวียนเช่นเดียวกับน้ำมันปาล์มและไบโอเอทานอล

ทีนี้ถ้ามาลองพิจารณากรณีตัวอย่างที่เป็นโรงงานดูบ้าง (รูปที่ ๓) หลายโรงงานมีการใช้ไอน้ำให้ความร้อนโดยใช้น้ำมันดีเซล/เตาเป็นเชื้อเพลิงให้กับหม้อไอน้ำ และถ้าเปลี่ยนมาเป็นใช้ไฟฟ้า (จากผู้ให้บริการภายนอกโรงงาน) ให้ความร้อนในการผลิตไอน้ำแทน โรงงานก็จะอ้างได้ว่าลดการปลดปล่อยแก๊ส CO2 แต่ในภาพรวมนั้นจะถือว่าการปลดปล่อย CO2 ลดลงจริงหรือไม่ ตรงนี้ก็คงขึ้นอยู่กับว่าไฟฟ้าที่ใช้นั้นผลิตด้วยวิธีใด ถ้าผลิตด้วยการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลก็จะเป็นเพียงแค่การผลักภาระการปลดปล่อยจากตัวโรงงานเองไปให้โรงไฟฟ้า และสัดส่วน "ปริมาณ CO2 ที่โรงไฟฟ้าต้องปล่อยเพิ่มขึ้น" เพราะต้องผลิตไฟฟ้ามากขึ้นตามความต้องการที่สูงขึ้น ต่อ "ปริมาณ CO2 ที่โรงงานลดการปลดปล่อย" นั้น มีค่าเท่าใด

"ราคาต้นทุนในการผลิต" ถือว่าเป็นตัวสะท้อนการใช้พลังงานในการผลิตได้ และควรนำมาใช้เป็นตัวพิจารณาความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า "ราคาขาย" เพราะถ้าต้องใช้พลังงานสูงในการผลิต ต้นทุนการผลิตก็จะสูงตามไปด้วย แต่ราคาขายนั้นสามารถบิดเบือนได้ง่ายด้วยการใช้การอุดหนุนและการเก็บภาษี ที่สามารถทำให้สินค้าที่มีต้นทุนต่ำมีราคาขายที่สูง ในขณะที่สินค้าที่มีต้นทุนสูงสามารถขายในราคาขาดทุนได้ ตัวอย่างที่เห็นชัดในบ้านเราคือราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง

รูปที่ ๓ โรงงานที่ใช้น้ำมันดีเซล/เตาเป็นเชื้อเพลิงเพื่อผลิตไอน้ำสำหรับใช้ให้ความร้อนในโรงงาน (รูปซ้าย) ถ้าเปลี่ยนมาใช้ไฟฟ้าให้ความร้อนในการผลิตไอน้ำแทน (รูปขวา) ตัวโรงงานเองก็จะอ้างว่าฃ่วยลดการปลดปล่อย CO2 ได้ แต่ในความจริงถ้ามองภาพรวมก็คงขึ้นกับว่าไฟฟ้านั้นผลิตโดยวิธีใด และต้นทุนการผลิตไอน้ำที่แท้จริงนั้นแบบไหนประหยัดกว่ากัน

บรรจุภัณฑ์พลาสติกถูกโจมตีว่าต้องใช้เวลานานมากในการย่อยสลาย บางหน่วยงานจึงมีการแทนที่ด้วยการใช้บรรจุภัณฑ์ที่ทำจากวัสดุที่อ้างว่า "ย่อยสลายได้" (แต่ไม่ยักบอกว่าด้วยสภาวะ "ปรกติตามธรรมชาติ" หรือด้วยสภาวะ "พิเศษที่ไม่มีในธรรมชาติ") แต่สิ่งหนึ่งที่ควรมีการนำมาพิจารณาร่วมด้วยก็คือ มีขั้นตอนการแยกขยะหรือไม่ และจัดการอย่างไรกับขยะที่ผ่านการแยกแล้ว ภาระในการกำจัดขยะนั้นเป็นของใคร และที่สำคัญคือมีการลดการเกิดขยะหรือไม่

รูปที่ ๔ ระหว่างผลิตภัณฑ์พลาสติกที่สามารถนำไป Recycle หรือเผาเพื่อผลิตพลังงานได้ แต่มีปัญหาเรื่องการฝังกลบ ผลิตภัณฑ์พอลิเมอร์ชีวภาพสังเคราะห์ที่อ้างว่าย่อยสลายได้ (ด้วยสภาวะปรกติตามธรรมชาติ ???) แต่ไม่สามารถนำไป Recycle ได้ กับผลิตภัณฑ์ที่สามารถล้างและใช้ซ้ำได้ ที่ผลิตน้ำเสียที่ต้องเข้าสู่ระบบบำบัด

ที่เห็นใช้กันอยู่ บรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้มีต้นทุนที่สูงกว่าบรรจุภัณฑ์พลาสติก นั่นแสดงให้เห็นถึงต้นทุนการผลิตและการใช้พลังงานที่สูงกว่าในการผลิตหรือไม่ (คือมีการปลดปล่อยมลพิษในการผลิตที่สูงกว่าหรือไม่) และยังไม่สามารถนำไป recycle ได้ ในกรณีที่ขยะพลาสติกของหน่วยงานนั้นถูกนำไป recycle หรือเผาเพื่อผลิตพลังงาน ไม่ได้นำไปฝังกลบ การเปลี่ยนมาใช้บรรจุภัณฑ์ที่อ้างว่ามีข้อดีตรงที่ย่อยสลายได้ แต่มีต้นทุนการผลิตที่สูงและไม่สามารถ recycle ได้นั้นจัดว่าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจริงหรือไม่

สิ่งหนึ่งที่แปลกก็คือ ในบางหน่วยงานแต่เดิมมีการใช้บรรจุภัณฑ์ที่สามารถล้างและนำกลับมาใช้งานใหม่ได้ แต่พักหลัง ๆ กลับเป็นการให้ใช้บรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์ธรรมชาติสังเคราะห์ที่บอกว่า "ย่อยสลายได้" ทำให้ต้นทุนราคาเครื่องดื่มสูงขึ้น (ทั้ง ๆ ที่คนส่วนใหญ่นั่งกินที่โรงงานหารและก็ทิ้งที่นั่น) การผลิตขยะที่แม้ว่าจะย่อยสลายได้แทนการใช้ผลิตภัณฑ์ที่สามารถล้างและนำกลับมาใช้ใหม่ได้ จะถือว่าเป็นการผลักภาระให้หน่วยงานอื่นเป็นผู้จัดการขยะ (ที่ผลิตเพิ่มขึ้น) แทนหรือไม่ ดังนั้นการพิจารณาว่าผลิตภัณฑ์ใดมีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมนั้นด้วยการดูเพียงแค่ย่อยสลายได้นั้นถือว่าเหมาะสมหรือไม่ เพราะการ recycle และการกำจัดด้วยการเผาเพื่อผลิตพลังงาน มันก็เป็นทางเลือกอื่นที่มีอยู่เหมือนกัน

รูปที่ ๕ แม้แต่วัสดุจากธรรมชาติ (เช่นกระดาษ) ก็ยังต้องการสภาวะที่เหมาะสมในการย่อยสลาย ในหลุมฝังกลบที่ไม่มีทั้งความชื้น สารอาหาร และอุณหภูมิที่เหมาะสม กระดาษหนังสือพิมพ์ก็ยังอยู่ในสภาพที่สามารถอ่านได้แม้จะถูกฝังนาน ๔๐ ปี (บทความจาก https://www.ecoproducts.com/images/pdfs/talking_points/Biodegradation.pdf)

มีหลายรายงานที่แสดงให้เห็นว่า แม้แต่ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่ควรจะย่อยสลายได้นั้น ถ้าถูกนำมาฝังกลบกลับยังคงอยู่ในสภาพเดิมได้เป็นเวลานาน (รูปที่ ๕) ทั้งนี้เพราะแบคทีเรียที่ทำหน้าที่ย่อยสลาย (ไม่ว่าจะเป็นชนิดที่ใช้ออกซิเจนหรือไม่ใช้ออกซิเจน) ย่อมต้องการสารอาหารและสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม (ความชื้น อุณหภูมิ) การนำขยะธรรมดา (ที่ถ้าทิ้งไว้ตามพื้นจะสามารถย่อยสลายได้ง่าย เช่นกระดาษ) ไปฝังกลบ กลับทำให้ขยะเหล่านั้นอยู่ได้นานขึ้นเพราะสภาพแวดล้อมในหลุมฝังกลบนั้นไม่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย

ดังนั้นการเน้นการแทนที่บรรจุภัณฑ์พลาสติกด้วยการใช้วัสดุที่ "ย่อยสลายได้" อาจไม่ใช่ทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเสมอไป ควรต้องพิจารณาด้วยว่าการจัดการขยะที่เกิดขึ้นนั้นกระทำอย่างไร (ซึ่งไม่จำเป็นต้องเหมือนกันทุกท้องถิ่น) เช่นถ้านำขยะคัดแยกออกมานั้นไป recycle หรือแยกเป็นชนิดที่เผาได้นั้นไปเผาเป็นเชื้อเพลิงเพื่อผลิตไฟฟ้า (แบบเดียวกับโรงไฟฟ้าชีวมวล) การแทนที่บรรจุภัณฑ์พลาสติกที่มีการแยกแยะและส่งตรงไปที่โรงไฟฟ้านี้ด้วยบรรจุภัณฑ์ที่มีราคาแพงกว่า (และพลังงานในตัวต่ำกว่า) ด้วยการอ้างว่ามัน "ย่อยสลายได้" นั้นจำเป็นหรือไม่

คำตอบของเรื่องนี้ (เพื่อให้ดีที่สุดกับสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่ภาพลักษณ์ของหน่วยงาน) คงไม่มีคำตอบตายตัว