แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ โพรงกระต่าย แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ โพรงกระต่าย แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2558

โพรงกระต่าย (๒) MO Memoir : Monday 16 March 2558

เจ้าสองตัวนี้ชื่อว่า "หิมะ" กับ "ชาเขียว" ลูกสาวคนเล็กเป็นคนตั้งซื่อให้ หิมะคือตัวสีขาว และชาเขียวคือตัวสีน้ำตาล (ทำไมไม่ชื่อชาเย็นก็ไม่รู้ ผมว่าสีขนมันเหมือนชานมมากกว่าชาเขียว) ไปซื้อมาจากสนามหลวง ๒ เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ ราคาตัวละ ๑๐๐ บาท ตอนนั้นทั้งคู่อายุประมาณ ๑ เดือน แต่ดูจากขนาดแล้วดูเหมือนว่าเจ้าชาเขียวมันจะแก่กว่าเจ้าหิมะอยู่หน่อย เพราะมันตัวโตกว่า คนขายบอกว่าเป็นตัวเมียทั้งคู่ ที่ซื้อติดมาด้วยตอนนั้นก็คือกรงแบบพับได้ที่มีชั้นเล่นระดับที่ดูแล้วเหมาะกับการเลี้ยงสัตว์พวกกระรอกหรือสัตว์ตัวเล็ก ๆ มากกว่า เพราะกระต่ายนั้นมันโตเร็ว เจ้าสองตัวนี้ก็เช่นกัน เลี้ยงได้ประมาณ ๒ เดือนก็ต้องมาสร้างกรงใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิมให้อยู่นอกบ้าน
  
กรงที่สร้างใหม่ก็เอากรงตาข่ายเลี้ยงสุนัขเดิมที่ปิดรอบด้านและเคยเอามาใช้เลี้ยงกระต่ายในครอกที่แล้วมาใช้ โดยนำมาต่อคอกกั้นเพิ่มเติมโดยใช้เหล็กฉากและไปซื้อแผงตาข่ายสีขาวมาปิดด้านข้างโดยใช้กำแพงตัวบ้านเป็นรั้งด้วนหนึ่งและเปิดด้านบนเอาไว้ กะว่าตอนกลางคืนจะให้มันอยู่ในกรงที่ปิดรอบด้านเพื่อป้องกันไม่ให้โดนจับกินแบบครอกที่แล้ว ส่วนกลางวันก็จะปล่อยให้มันออกมาวิ่งเล่นในคอกที่กั้นเอาไว้ให้ ตอนแรกมันก็อยู่ในคอกนั้นได้ แต่ไปสักพักพอมันโตขึ้น มันเล่นปีนข้ามแผงกั้นหรือไม่ก็กระโดดขึ้นมาบนหลังคากรงตาข่าย ก็เลยต้องไปเอาแผ่นกระเบื้องมาปูกันมันหนี

แต่ขึ้นชื่อว่ากระต่ายซะอย่าง ถ้าปิดไม่ให้ขึ้นฟ้า ก็มุดลงดินก็ได้ และมันก็ทำอย่างนั้นจริง ๆ
รูปที่ ๑ เจ้าหิมะกับชาเขียว ระหว่างออกมาวิ่งเล่นนอกกรง หาอะไรกินตามกระถางผักสวนครัวที่ปลูกไว้

รูปที่ ๒ กรงของเจ้าหิมะกับชาเขียวก่อนการซ่อมแซม อันที่จริงระดับพื้นในกรงมันเสมอกับระดับนอกกรง แต่มันเล่นขุดดินจากใต้บ้านออกมากองเอาไว้จนกระทั่งระดับพื้นในกรงสูงกว่านอกกรงประมาณ ๑๐-๑๕ เซนติเมตร
  
รูปที่ ๓ รูที่เจ้าสองตัวมันขุดลอดใต้กรงออกมา รางเหล็กสำหรับวางพื้นไม้ของกรงนั้นผุหมดแล้ว ต้องใช้ก้อนอิฐรองเอาไว้ แต่เจ้าสองตัวก็ขุดลอดซะพื้นกรงทรุดหมด เลยต้องรื้อออกมาทำใหม่หมด
  
พื้นดินเดิมที่สร้างบ้านเมื่อ ๕ ปีที่แล้วเป็นท้องร่องสวน ระดับคันดินต่ำกว่าระดับถนนประมาณครึ่งเมตร ตรงที่เป็นคูน้ำก็ยิ่งต่ำลงไปอีก ตอนสร้างบ้านก็ออกแบบให้พื้นล่างวางบนคาน ยกสูงจากระดับถนน ๖๐ เซนติเมตร (แต่ก็ยังไม่พ้นจมน้ำเมื่อน้ำท่วมใหญ่ในปี ๒๕๕๔ ที่ระดับน้ำที่ถนนหน้าบ้านสูงถึง ๑ เมตร) ตอนเริ่มสร้างบ้านก็ถมที่เพียงแค่เพื่อให้คนงานสามารถทำงานได้ จากนั้นจึงค่อยถมที่รอบ ๆ บ้านให้สูงจนถึงระดับถนน วัสดุที่เอามาถมก็มีทั้งเศษหิน กระเบื้อง ฯลฯ ที่เหลือจากงานก่อสร้าง (ทั้งบ้านตัวเองและบ้านข้าง ๆ ที่ซ่อมแซมในขณะนั้น) โดยให้เป็นพื้นชั้นล่าง ส่วนพื้นด้านบนก็ใช้ทรายและดิน (ผสมเศษหิน) ถมขึ้นมา เพื่อเอาไว้ให้สามารถขุดเพื่อปลูกต้นไม้ได้
  
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะต้นไม้เดิมอยู่ในระดับพื้นดินที่ลึกหรือเปล่า ทำให้ตอนน้ำท่วมใหญ่ปี ๕๔ แม้ว่าน้ำจะท่วมขังอยู่ร่วมเดือน แต่ต้นไม้ใหญ่ที่มีอยู่เดิมก่อนถมดินไม่ตายสักต้น แถมยังมีน้ำเก็บเอาไว้ใต้ดินให้ต้นไม้ใช้อีกตลอดฤดูร้อนถัดมา
รูปที่ ๔ สภาพภายในกรงของเจ้าสองตัวก่อนทำการซ่อมแซม ตรงใต้หลังคากระเบื้องสีเขียวเป็นตำแหน่งที่มันขุดดินลงไปลึกลอดใต้คานบ้านและเข้าไปนอนอยู่ข้างใน พวกเศษหินที่อยู่ในนั้นมันก็เอาเท้าหน้าดันออกมา

รูปที่ ๕ โพรงกระต่ายอีกโพรงหนึ่งที่เจ้าชาเขียวขุดลอดขั้นบันไดหลังบ้านเข้าไปใต้ถุนบ้าน

สองปีที่แล้วเขียนเรื่องโพรงกระต่ายเอาไว้หลังจากออกจากโรงพยาบาล ซึ่งตอนนั้นเป็นฝีมือของเจ้า "ห่อหมก" กับ "แจงลอน" และนั่นก็เป็นวันสุดท้ายที่ได้เห็นเจ้าสองตัวนั้น ตอนนั้นก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่ามันโดนตัวอะไรจับกิน เพราะไม่มีร่องรอยอะไรหรือมีซากเหลือให้เห็น บ้างก็บอกว่าตัวเหี้ย บ้างก็บอกว่างูเหลือม คือเจ้าตัวเหี้ยนี่ยังเห็นมันปีนต้นไม้อยู่ในสวนร้างหลังบ้านอยู่บ้าง แต่เจ้างูเหลือมนี่ยังไม่เคยเห็นมันเข้าบ้านสักที แต่บ้านข้าง ๆ เขาบอกว่ามี จนกระทั่งเมื่อปลายปีที่แล้วจึงได้เห็นงูเหลือมมาเลี้อยพันอยู่บนต้นมะม่วง ทำนองว่ามันจะข้ามไปยังต้นมะตูมที่มีรังกระรอกอยู่ แต่ข้ามไปไม่ได้ สงสัยเป็นเพราะต้นมะตูมมันมีหนามแหลม แต่ช่วง ๑-๒ ปีที่ผ่านมาแถวบ้านก็มีการจับงูเหลือมได้หลายตัว (คนที่จับได้เขาไม่ได้บอกว่ามันยาวกี่เมตร แต่บอกว่ามันหนักกี่กิโล คือทำนองว่ามีคนรับซื้อไปโดยให้ราคาตามน้ำหนักงู) แถมสวนร้างหลังบ้านก็มีเจ้าของเขาเริ่มเข้ามาถากถาง เจ้าสัตว์พวกนี้ก็เลยหายหน้าหายตาไป (แต่เชื่อว่าคงจะยังมีอยู่) มาคราวนี้มาเขียนเรื่อง "โพรงกระต่าย" อีก ก็หวังว่าประวัติศาสตร์คงจะไม่ซ้ำรอย

รูปที่ ๖ สภาพกรงหลังจากซ่อมเสร็จแล้ว มองไม่ค่อยเห็นการเปลี่ยนแปลงเท่าใดเพราะเป็นการเกลี่ยทรายเดิมภายในกรง และทำทางเข้าออกถาวรให้มันทั้งสองตัว (ตรงที่เอากระถางต้นไม้บังเอาไว้ที่เจ้าหิมะมันนั่งอยู่)

เลี้ยงกระต่ายนี่ก็ดีอยู่อย่าง คือมันสามารถหากินเองจากใบไม้ใบหญ้าต่าง ๆ ที่ขึ้นอยู่รอบบ้าน ดอกอัญชันสีม่วงมันก็ชอบกิน ลูกสาวคนเล็กชอบที่จะเก็บดอกอัญชันที่เลื้อยพันอยู่ตามต้นไม้รอบบ้านใส่กระชอนไปป้อนให้เจ้าสองตัวกินเป็นประจำ เจ้าชาเขียวนี้ เวลาที่ตัดแต่งกิ่งไม้มันก็ชอบที่จะมาวิ่งวนเวียนอยู่รอบ ๆ แต่ถ้าก้มลงจะจับตัวมัน มันจะรีบวิ่งหนี ถ้ามันไม่เห็นเราทำท่าจะสนใจมัน มันก็ไม่คิดจะหนีไปไหน บางทีจะล่อให้มันเข้ามาใกล้ ๆ ก็ใช้กิ่งกระถินที่มียอดอ่อนเป็นตัวล่อ ตอนบ่าย ๆ แดดร้อนทั้งสองตัวจะหลบหายไปใต้กรงไม่ก็ไปอยู่ในโพรง ช่วงเช้า ๆ หรือตอนเย็น ๆ จึงจะเห็นออกมาวิ่งเล่น
  
ตอนนี้ก็ได้แต่รอดูว่าสองตัวนี้จะอยู่คู่บ้านนี้ไปได้อีกนานเท่าไร

วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

โพรงกระต่าย MO Memoir : Sunday 28 July 2556

เรื่องมันเริ่มจากปีที่แล้วที่อาจารย์สอนวิทยาศาสตร์มอบหมายงานให้นักเรียนชั้นป. ๔ สังเกตและบันทึกพฤติกรรมสัตว์มีกระดูกสันหลังเป็นเวลา ๑ เดือน ลูกสาวคนเล็กผมพอได้รับงานมาก็อยากได้ตัวโน้นตัวนี้มาเลี้ยง (ทั้งหมา แฮมเตอร์ และชูการ์ไรเดอร์) ตัวผมกับภรรยาก็ต้องคอยเตือนว่าจะหาอะไรมาเลี้ยงมันไม่จบแค่เดือนเดียวนะ ม้นต้องเลี้ยงยาวต่อกันไปจนกว่ามันจะตาย และที่สำคัญก็คือการเลี้ยงส้ตว์ไม่มีวันหยุด จะปิดบ้านไปเที่ยวไหนต่อไหลหลายวันโดยปล่อยให้สัตว์อยู่เฝ้าบ้านไม่ได้ ต้องมีคนหาอาหารและน้ำให้มันกินด้วย สุดท้ายก็ไปลงที่กระต่าย

สาเหตุที่ยอมให้เลี้ยงกระต่ายก็เพราะรอบ ๆ บ้านนั้นมีส่วนที่เป็นพื้นดินอยู่เยอะ มีหญ้าและต้นไม้ต่าง ๆ ขึ้นทั่วไปหมด โดยเฉพาะต้นกระถินและพืชผักสวนครัวหลายอย่างที่เอาใบและดอกมาให้กระต่ายกินได้ (พวก กระเพรา ยอดแค ดอกอัญชัญ ตำลึง ฯลฯ) ก็เลยคิดว่าจะเลี้ยงแบบปล่อยให้มันวิ่งไปรอบ ๆ บ้านหาที่อยู่ของมันกันเอง
 
กระต่ายคู่แรกไปซื้อมาจากสนามหลวง ๒ ราคาตัวละ ๙๐ บาท เป็นลูกกระต่ายเล็ก ๆ อายุประมาณ ๑-๒ เดือน ต้องซื้อกรงและซื้ออาหารมาให้มันด้วย ลูกสาวคนเล็กตั้งชื่อตัวผู้ว่า "ใหญ่" และตัวเมียว่า "จิ๋ว" ตอนแรกต้องเลี้ยงไว้ในกรงก่อนเพราะกลัวว่าแมวจากบ้านข้าง ๆ จะมาลากเอามันไป
 
พอมันมีอายุสัก ๖ เดือนก็พาไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคกลัวน้ำ จากนั้นก็ปล่อยให้มันอยู่นอกกรง ให้มันวิ่งเล่นได้เองอย่างอิสระรอบ ๆ บ้าน ส่วนอาหารมันจะมากินที่จานหรือหาใบไม้กินเองก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของมัน

ไม่ทันไรเจ้าจิ๋วก็คลอดลูกครอกแรกออกมา ๔ ตัว มันใช้โพรงที่ขุดลงไปใต้ถุนบ้านเป็นรัง ลูกครอกนี้พอออกมาวิ่งเล่นได้ไม่นานปรากฏว่าถูกแมวลากไป ๑ ตัว ไปตามเอากลับมาได้แต่ก็บาดเจ็บและตาย ก็เลยเหลือแค่ ๓ ตัว อยู่ไปสักพักก็หายไปอีก ๑ ตัว คือหายไปแบบไม่มีซากให้เห็นว่าหายไปได้อย่างไร ก็เลยสงสัยว่าคงเป็นผลงานของแมวอีก
 
ต่อมาเจ้าจิ๋วก็คลอดลูกครอกที่สองอีก ๔ ตัว ลูกครอกนี้ก็เช่นเดียวกันกับครอกแรกคือถูกแมวลากเอาไป ๑ ตัว ตามกลับมาได้แต่ก็ตายในวันรุ่งขึ้น และก็มีหายสาบสูญไปอีก ๑ ตัว คือหายไปแบบไม่มีร่องรอยให้เห็นว่าหายไปได้อย่างไร ดังนั้นในขณะนั้นที่บ้านก็เลยเหลือกระต่ายอยู่ ๖ ตัว
 
ต่อมาก็พบกับปัญหาที่ยังไม่มีคำตอบชัดเจนถึงทุกวันนี้ คือลูกกระต่ายทั้ง ๔ ตัวนั้นค่อย ๆ หายไปทีละตัวแบบไม่เหลือซากให้เห็น แถมตัวพ่อกระต่ายก็พบนอนตายตัวแข็งอยู่ในบ้านตอนเช้า ที่เคยสงสัยว่าลูกกระต่ายที่หายไปนั้นเป็นฝีมือของแมวก็ไม่น่าจะใช่ เพราะมันตัวโตเกินกว่าที่แมวจะคาบและกระโดยขึ้นรั้วเอาไปได้ แถมแมวของบ้านข้าง ๆ ที่เคยมาป้วนเปี้ยนเฝ้ากระต่ายที่บ้านนั้นก็หายไปด้วย (แบบไม่มีร่องรอยให้เห็น) การหายตัวไปนั้นมีทั้งในช่วงกลางคืน คือตอนค่ำยังเห็นอยู่ แต่พอรุ่งเช้าก็ไม่เห็นแล้ว และในช่วงกลางวันคือตอนเช้ายังเห็นอยู่ แต่พอสาย ๆ ก็หายไปแล้ว

กระต่ายหายไปทีไรลูกสาวคนเล็กก็ร้องไห้ใหญ่ ต้องคอยปลอบ

มีการคุยกับเพื่อนบ้านบ้างเหมือนกันว่ามีตัวอะไรที่จะเอากระต่ายไปแบบไม่ทิ้งร่องรอยได้บ้าง เท่าที่เคยเห็นในบริเวณสวนรกร้างที่อยู่นอกรั้วข้างบ้านนั้นก็มีตัวตะกวดเดินอยู่ แต่อยู่มากว่า ๓๐ ปีแล้วก็ไม่เคยเห็นมันเข้ามาเดินในบ้าน เห็นแต่ไปนอนบนต้นมะพร้าวในสวน ว่ายน้ำอยู่ในท้องร่องสวน หรืออย่างมาก็มานอนบนรั้ว สัตว์อีกชนิดที่มีการพบกันในสวนข้างบ้านคืองูเหลือม แต่ตัวนี้นาน ๆ พบที และไม่เคยมีปรากฏว่าเคยโฉบเข้ามาใกล้แถบบ้าน งูที่เข้าบ้านจะเป็นพวกงูเขียวหางไหม้กับงูดินซะมากกว่า จะว่าเป็นนกขนาดใหญ่โฉบไปนั้นก็ไม่แน่ใจ เพราะจะว่าไปไม่เคยเห็นหรือได้ยินเสียงนกกลางคืนมาหากินแถวบ้าน ที่มีอยู่จะเป็นพวกนกหากินกลางวันซะมากกว่า ตอนนั้นผมยังสงสัยว่าอาจเป็นตะกวดที่เข้ามาจับกระต่ายกิน ก็เลยอุตสาห์เอาปืนลูกกรดที่ปรกติเก็บใส่กระเป๋าล็อกกุญแจเอาไว้มาเตรียมพร้อม กะว่าเห็นตัวจะจะเมื่อไรจะจัดการมันซะที แต่ก็ไม่ปรากฏว่ามีตัวอะไรโผล่เข้ามาให้เห็น แต่กระต่ายก็ยังหายไปอยู่
  
ตอนที่เจ้าใหญ่ตายนั้นเจ้าจิ๋วกำลังท้องครอกที่สามอยู่ และยังมีลูกครอกที่สองหลงเหลืออยู่ ๑ ตัว ตอนคลอดลูกครอกที่สามนี้เจ้าจิ๋วขุดโพรงลงไปใต้กองใบไม้ที่กองไว้เหนือกองทราย คือตัวบ้านนั้นสร้างขึ้นบนท้องร่องสวนเดิม มีการถมทั้งเศษหิน ดิน และทราย ลงไปในคูร่องสวนและปรับระดับพื้นดินเดิมให้สูงเท่าระดับถนน ดังนั้นสนามรอบบ้านบางตำแหน่งนั้นจะมีลักษณะเป็นบ่อทรายอยู่ ทำให้กระต่ายขุดโพรงได้ง่าย เจ้าจิ๋วมันไปคลอดลูกในโพรงที่มันขุด แล้วก็ไปให้นมลูกเป็นระยะ พอให้นมเสร็จมันก็จะขุดทรายปิดปากโพรงเอาไว้ ออกมาหาอะไรกินและก็นอนเฝ้าบริเวณใกล้ปากโพรง พอจะให้นมลูกทีก็ไปขุดเปิดปากโพรงใหม่ ลูกครอกนี้มีทั้งสิ้น ๖ ตัว ลูกมันอยู่ในโพรงนานเท่าไรก็ไม่รู้ มารู้เอาว่ามันมีลูกครอกนี้ก็เมื่อมันโตพอจะออกมาวิ่งเล่นนอกโพรงได้ สรุปว่าในเวลาไม่ถึงปีเจ้าจิ่วออกลูกถึง ๑๔ ต้ว
  
ทีนี้ก็เกิดเหตุการณ์ซ้ำเดิมอีก คือลูกครอกนี้หายไปในคืนเดืยวพร้อมกัน ๔ ตัวแบบไม่มีร่องรอยใด ๆ ไม่กี่วันถัดมาลูกครอกที่สามก็หายตัวไปอีกหนึ่งตัวและลูกครอกที่สองที่มีเหลืออยู่ตัวเดียวนั้นก็หายไปอีกแบบไม่มีร่องรอยเช่นเดียวกัน และไม่กี่วันต่อมาเจ้าจิ๋วก็หายไปแบบไร้ร่องรอยเช่นเดียวกัน

รูปที่ ๑ (บน) ลูกกระต่ายครอกที่สามของเจ้าจิ่วโผล่หน้าออกมาจากโพรง (ล่าง) เจ้าจิ๋วกำลังให้นมลูก

พอเหลือกระต่ายอยู่ตัวเดียวก็เลยไปซื้อมาใหม่อีก ๒ ตัวให้มันอยู่เป็นเพื่อนกัน คราวนี้ตั้งชื่อตัวที่เป็นลูกครอกที่สามที่เหลืออยู่เดียวว่า "ห่อหมก" แต่มันจะเรียกว่าเจ้า "จ้อน" ที่ซื้อมาใหม่สองตัวนั้นตั้งชื่อให้ว่า "แจงลอน" กับ "ทอดมัน" คราวนี้เลี้ยงอยู่ในกรงแล้ว คือกลางคืนจับใส่กรงเล็ก กลางวันปล่อยให้วิ่งเล่นในกรงใหญ่ที่ทำไว้ข้างบ้าน เลี้ยงไม่ทันไรปราฏกว่าเจ้าทอดมันมีอาการขนร่วง พาไปหาหมอ หมอบอกว่าติดเชื้อราก็ให้ยามากินและทา แต่ไม่กี่วันหลังจากนั้นเจ้าทอดมันก็ตาย 
   
(แจงลอนเป็นชื่ออาหารทางจังหวัดชลบุรี ทำเหมือนกับทอดมันแต่จะหวานกว่าและบางทีก็ใส่มะพร้าวด้วย แต่แทนที่จะใช้การปั้นเป็นแผ่นแล้วนำไปทอด กลับใช้วิธีปิ้งแทน คือจะเอาไปปั้นเป็นก้อนกลม ๆ รอบ ๆ ไม้ไผ่หรืออ้อยคล้าย ๆ ลูกชิ้นเสียบไม้ แล้วนำไปปิ้งให้สุก)

เจ้าห่อหมกกับแจงลอนนั้นพอโตขึ้นสักพักก็ต้องเอาไปปล่อยไว้ในกรงใหญ่ข้างบ้าน กรงข้างบ้านนี้แยกเป็นสองส่วนคือส่วนหนึ่งมีตัวกรงที่ปิดมิดชิดรอบด้านสำหรับขังมันไว้ตอนกลางคืน พอกลางวันก็ปล่อยให้มันออกมานอกกรงนี้แต่ให้อยู่ในขอบเขตรั้วกั้นอีกชั้นหนึ่ง บริเวณติดกันนั้นกั้นรั้วเอาไว้ปลูกต้นไม้สำหรับให้กระต่ายวิ่งเล่น เหตุที่ต้องกั้นเอาไว้ก่อนก็เพราะกลัวว่ากระต่ายจะมากินต้นไม้จนตายก่อนที่ต้นไม้จะมีโอกาสโต แต่ท่าทางเจ้าห่อหมกมันจะชอบมาวิ่งเล่นทางด้านนี้มาก เพราะในช่วงแรกเห็นมันพยายามทั้งปีนและกระโดดข้ามรั้วข้ามมาอีกฝั่งให้ได้ แต่สุดท้ายมันก็พบวิธีการใหม่ที่สบายกว่า ก็คือขุดโพรงมุดลอดใต้รั้วเอง 
   
ที่มันขุดได้คงเป็นเพราะบริเวณนี้เป็นตำแหน่งที่ใช้ทราบถมพื้น ตอนแรกก็เห็นมันไปลองขุดที่มุมอื่นก่อน แต่ขุดลงไปไม่ได้เพราะไปเจอกับเศษปูนที่ช่างเทเอาไว้ตอนสร้างบ้าน มันเพิ่งจะมาเจอตำแหน่งที่เหมาะสม คือขุดลอดจากรั้วฝั่งหนึ่งมาโผล่ใต้โคนต้นเผือกที่ปลูกเอาไว้ (ไม่รู้ว่าม้นจะขุดลงไปกินหัวเผือกที่ปลูกเอาไว้ด้วยหรือเปล่า) ดังนั้นในตอนนี้พื้นที่วิ่งเล่นของเจ้าห่อหมกและแจงลอนก็เลยกว้างมากขึ้น

รูปที่ ๒ (บน) โพรงที่เจ้าห่อหมกและแจงลอนขุดลอดรั้วไปอีกฝั่งหนึ่ง (ล่าง) รั้วอยู่ทางซ้าย แต่มันไม่ได้ขุดแค่ลอดรั้วได้ กลับมีการขุดรูลึกลงไปทางด้านขวาอีก มุดใต้ต้นเผือกที่ปลูกเอาไว้

Memoir ฉบับนี้ไม่มีสาระอะไร ที่เขียนก็เพราะเห็นเจ้าห่อหมกมันอุตส่าห์ขุดโพรงสำหรับการเดินทางของมันได้สำเร็จ ก็เลยถ่ายรูปเอามาฝาก เขียนค้างเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวาน เช้าวันนี้ไปถ่ายรูปจะเอามาประกอบบันทึก ปรากฏว่าไม่เห็นทั้งเจ้าห่อหมกและแจงลอง เรียกก็ไม่ออกมา ไม่รู้ว่ามันเข้าไปนอนในบ้านใหม่ของมัน หรือหายไปอย่างไม่มีร่องรอยอีกแล้ว เมื่อวานก็ยังเห็นอยู่เลย
  
อันที่จริงช่วงนอนป่วยอยู่โรงพยาบาลมีคนอีเมล์มาถามเรื่อง Pyrolysis ซึ่งผมก็ได้ให้ความเห็นจากมุมมองของผมให้กับเขาไปบางส่วนแล้ว แต่มันยังมีอีกหลายเรื่องที่ผมเห็นว่าน่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้พิจารณากัน (ผมไม่ได้ให้คำตอบแบบฟันธง แต่ให้พิจารณาสมมุติฐานที่เป็นไปได้ทั้งหมดก่อน จากนั้นจึงค่อยดูผลการทดลองหรือวิธีการทดลองประกอบว่าสมมุติฐานไหนไม่น่าเป็นจริง) ก็เลยคิดว่าจะเอาเรื่องนี้มาเขียนเป็นเรื่องยาวสักที และเมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็มีอีเมล์มาถามเรื่องพีคประหลาดปรากฏบนโครมาโทแกรมของ GC อีก ซึ่งผมก็ได้ให้คำแนะนำไป แต่ยังไม่มีคำตอบกลับมา ก็เลยยังไม่รู้ว่าเรื่องมันจะลงเอยอย่างไร ถ้ามีความคืบหน้าอย่างไรก็คงมีการนำเอาเรื่องนี้มาเล่าสู่กันฟังอีกที

ท้ายสุดก็ขอฝากข้อมูลที่ไม่เหมือนกับนิทานอีสปว่าทำไมกระต่ายจึงวิ่งแข่งแพ้เต่า เป็นการโต้กลอนตอบโต้ระหว่างคนสองคน คนหนึ่งแต่งกลอนให้กระต่าย อีกคนหนึ่งแต่กลอนให้เต่า (จำมาจากเทปตลกของคุณเด๋อ ดอกสะเดา ในอดีตนั้นคณะตลกก็มีการออกเทปคาสเซสบันทึกเสียงเช่นเดียวกันกับนักร้อง เทปแบบนี้จะเรียกว่าเทปตลก แยกจากเทปเพลง)

กระต่ายน้อย วิ่งลิ่ว ปลิวทะยาน
เต่าก็คลาน ช้าช้า มาข้างหลัง
กระต่ายน้อย เห็นหลักชัย ดีใจจัง
เต่าตามหลัง เหาะโด่ง ลงหลักชัย

กระต่ายไม่ได้ขี้เกียจหรอก เต่าต่างหากที่ขี้โกง