แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ equipment schedule แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ equipment schedule แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ทำความรู้จัก Equipment schedule (๓) Heat exchanger MO Memoir : Tuesday 19 June 2561

ฉบับนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ Equipment schedule ของ Heat exchanger หรือเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อน นิยามของเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อนตรงนี้จะเป็นกรณีที่มี fluid สองชนิดมาแลกเปลี่ยนความร้อนกัน (คือไม่เอาพวก fire process heater หรือหม้อน้ำ (boiler) มารวม)
 
ตารางที่ ๔ (นับต่อจากตอนที่ ๑) เป็นตัวอย่างรายละเอียด Equipment schedule สำหรับ heat exchanger และเช่นเคย เราลองมาไล่ดูทีละหัวข้อไปเรื่อย ๆ ก็แล้วกัน
 
"Item no." คือรหัสชื่อ heat exchanger ถ้าตกลงว่าจะเรียกว่า E (คือย่อมาจาก exchanger) ก็อาจใช้ตัวย่อว่า E เช่น E-202 แต่ถ้าตกลงว่าจะเรียกว่า HE (คือย่อมาจาก heat exchanger) ก็อาจใช้ตัวย่อว่า HE เช่น HE-202 ซึ่งตรงนี้ก็ไปตกลงกันเอาเองในหน่วยงาน
 
"Service name" คือให้ระบุว่า heat exchanger ดังกล่าวทำหน้าที่อะไร เช่นเป็น steam condenser, overhead condenser, off-gas cooler, economizer, air coolerเป็นต้น
 
"No. required" ให้ระบุจำนวนที่มี
 
"Type & Installation" ตัว Type ให้ระบุว่าเป็น heat exchanger แบบไหน เช่น shell & tube, double pipe, plate, fin tube (ที่ใช้กับ air cooler) เป็นต้น ส่วน Installation ให้ระบุรูปแบบการวาง ว่าเป็นในแนวตั้ง (vertical) หรือแนวนอนhorizontal)
 
"Duty/Heat transfer area" คือให้ระบุปริมาณความร้อนที่ต้องการแลกเปลี่ยนหรือพื้นที่ผิวของการแลกเปลี่ยนความร้อน
 
ช่อง "Dimension" ให้ระบุมิติคือขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางภายนอกของส่วน Shell/Channel (ส่วน tube ไม่ต้องระบุเพราะมันถูกส่วน shell หุ้มเอาไว้) และความยาวรวม (Total length)
 
ช่อง "Fluid" คือให้ระบุของไหลที่ไหลผ่าน SS คือ Shell side ส่วน TS คือ Tube side
 
"Operating condition" คือสภาวะการทำงานตามปรกติ ให้ระบุแยกเป็นความดันในส่วนของ shell และ tube ส่วนอุณหภูมิให้ระบุทั้งอุณหภูมิด้านขาเข้าและขาออกของทั้งส่วน shell และส่วน tube
 
"Design" คือให้ระบุค่าที่ใช้ในการออกแบบไม่ว่าจะเป็นของส่วน shell และส่วน tube
 
"Emergency vacuum" คือให้ระบุว่าจำเป็นต้องมีระบบฉุกเฉินป้องกันการเกิดสุญญากาศภายในหรือไม่ เช่นในกรณีที่มีไอน้ำเป็นของไหลแลกเปลี่ยนความร้อน เมื่อไม่มีการไหลของไอน้ำหรือไอน้ำในระบบควบแน่น จะทำให้เกิดสุญญากาศขึ้นภายใน จนอาจทำให้ตัวอุปกรณ์เกิดความเสียหายได้จากแรงดันภายนอกที่กระทำ
 
ถัดไปคือการระบุวัสดุที่ใช้ทำ ตัว "Tube sheet" คือแผ่นที่ใช้สำหรับสอด tube ผ่านเพื่อรองรับน้ำหนักตัว tube และให้ตัว tube (ที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก) เรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ (คือรักษาระยะห่างระหว่าง tube เอาไว้ตลอดทั้งช่วงความยาวของ tube)
 
"Corrosion allowance" คือระดับการกัดกร่อนที่ยอมรับได้ โดยแยกเป็นส่วน shell (หรือช่องทางการไหลด้านนอก) ส่วน tube และส่วน tube sheet
 
"Insulation" คือจำเป็นต้องหุ้มฉนวนหรือไม่ ส่วนจะเป็นฉนวนร้อนหรือเย็นก็ไม่จำเป็นต้องระบุ เพราะมันดูได้จากช่อง operating condition อยู่แล้ว
 
ตารางที่ ๔ ตัวอย่าง Equipment schedule สำหรับ heat exchanger


"Approx weight" คือน้ำหนักโดยประมาณ ในที่นี้แยกเป็นหนักหนักเปล่ารวมมัดท่อ (ช่อง "Empty incl bundle") หรือเรียกว่าเป็นน้ำหนักประกอบรวมทั้งชุดเมื่อไม่มีของเหลวบรรจุก็ได้ น้ำหนักของมัดท่อ (ช่อง "Bundel") ที่ใช้สำหรับกรณีของเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อนชนิด shell & tube ที่สามารถถอดส่วน tube ทั้งชุดออกมาจากตัว shell ได้ (เอาไว้เผื่อตอนซ่อมบำรุง) และน้ำหนักเมื่อมีน้ำบรรจุเต็ม (ช่อง "Full of water") เพื่อเอาไว้สำหรับการออกแบบฐานรองรับ
 
"Supplier" คือผู้ผลิตถังนั้น 
  
"Remarks" คือหมายเหตุ คือมีอะไรเป็นพิเศษที่ไม่ตรงกับช่องที่มีอยู่ ก็ให้มาเขียนไว้ที่นี่ เช่นอาจเป็นเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อนที่จำเป็นต้องติดตั้งในระดับที่อยู่เหนือหรือต่ำกว่าระดับของบาง vessel

เสร็จจาก Memoir ฉบับนี้ก็จะหายหน้าหายตาไปพักนึง ด้วยว่าต้องไปสัมมนาต่างจังหวัดกับภาควิชา จะกลับมาเขียนอะไรอีกทีก็คงเป็นสัปดาห์หน้า (เว้นแต่ว่าระหว่างสัมมนาจะมีเรื่องอะไรน่าสนใจ หรืองานสัมมนามันน่าเบื่อ ก็อาจมีบทความเพิ่มเติมในระหว่างนั้นก็ได้) และปิดท้ายที่ว่างของหน้าด้วยภาพบรรยากาศภายในมหาวิทยาลัยที่เพิ่งจะถ่ายเมื่อตอนเดินกลับจากทานข้าวเที่ยงวันนี้

วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ทำความรู้จัก Equipment schedule (๒) Vessel MO Memoir : Monday 11 June 2561

อุปกรณ์ที่เรียกว่า Vessel นั้น บางทีก็เรียกว่า Drum (ตรงนี้ไปตกลงกันในหน่วยงานกันเอาเองก็แล้วกันว่าจะเรียกว่าอย่างไร เพราะมันมักส่งผลต่อการตั้งชื่อด้วยว่าจะใช้ชื่อย่อว่า V หรือ D) และบางทีก็ครอบคลุมไปถึงหน่วยปฏิบัติการที่เรียกว่า Tower เช่นพวกหอกลั่นต่าง ๆ และบางครั้งก็อาจครอบคลุมไปถึง Tank และ Silo (และเช่นกัน ตรงนี้ไปก็ตกลงกันในหน่วยงานกันเอาเองก็แล้วกันว่าจะให้ครอบคลุมไปถึงไหน) แต่ในที่นี้ขอตัด Tank และ Silo ออกไปก่อน
 
ตารางที่ ๓ (นับต่อจากตอนที่ ๑) เป็นตัวอย่างรายละเอียด Equipment schedule สำหรับ vessel เราลองมาไล่ดูทีละหัวข้อไปเรื่อย ๆ ก็แล้วกัน
 
"Item no." คือรหัสชื่อ vessel ถ้าตกลงว่าจะเรียกว่า vessel ก็อาจใช้ตัวย่อว่า V เช่น V-101 แต่ถ้าตกลงกันว่าจะเรียกว่า drum ก็อาจใช้ตัวย่อว่า D เช่น D-101
 
"Service name" คือให้ระบุว่า vessel ดังกล่าวทำหน้าที่อะไร เช่นเป็น storage, reflux drum (แปลกที่เขาไม่ยักเรียกว่า reflux vessel) ของหอกลั่น, knock out drum (ที่ไว้ดักของเหลวออกจากแก๊ส เช่นก่อนปล่อยออกสู่ flare หรือก่อนเข้า compressor ซึ่งอันนี้ก็แปลกเหมือนกันที่เขาไม่เรียกว่า knock out vessel), oil-water separator เป็นต้น
 
"Installation" คือให้ระบุรูปแบบการวาง ว่าเป็นในแนวตั้ง (vertical) หรือแนวนอน (horizontal)
ช่อง "Fluid" ก็ให้ระบุว่าหลัก ๆ แล้วใช้เก็บอะไร เช่นถ้าเป็นถังอากาศอัดความดันก็ระบุเพียงแค่อากาศ ถ้าเป็นถังเก็บของเหลวก็ให้ระบุของเหลว (ไม่ต้องระบุว่าแก๊สที่อยู่เหนือผิวของเหลวคืออะไร)
 
"Capacity" คือปริมาตรความจุของถัง ตรงนี้ต้องตกลงกันให้ดีว่าหมายปริมาตรภายในทั้งหมด หรือคิดเฉพาะส่วน Tangent line to Tangent line
 
สองช่องถัดไปคือขนาดที่ให้ระบุ "Shell diameter" หรือขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำตัว และระยะ "TL to TL" ซึ่งก็คือระยะ Tangent line to Tangent line หรือส่วนโครงสร้างที่มีรูปร่างเป็นทรงกระบอก ในกรณีของเส้นผ่านศูนย์กลางนั้นที่เคยเห็นก็มีทั้งการระบุเส้นผ่านศูนย์กลางภายนอก (OD) และทั้งเส้นผ่านศูนย์กลางภายใน (ID คือไม่รวมความหนาผนังถัง) ตรงนี้ก็ให้ไปตกลงกันเองก็แล้วกันว่าจะใช้ค่าไหนเป็นหลัก
 
ถ้าใครบังเอิญมาอ่านตรงนี้แล้วไม่รู้ว่า Tangent line คืออะไร และ Tangent line to Tangent line คือระยะจากไหนถึงไหน ตรงนี้อธิบายไว้แล้วใน Memoir ฉบับวันจันทร์ที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๖๑ เรื่อง "Tangent line to Tangent line"
 
ในกรณีที่เป็นถังที่มี Jacket หุ้มก็ต้องระบุแยกว่าถ้าคิดเฉพาะส่วนผนังถังด้านใน (Shell) จะมีขนาดเท่าใด และถ้าคิดรวมส่วน Jacket ด้วย จะมีขนาดเท่าใด ช่องว่างระหว่างผนัง Jacket ที่หุ้มอยู่ข้างนอกและตัว Shell ที่ถูก Jacket หุ้มเอาไว้ จะเป็นช่องทางสำหรับให้ heating หรือ cooling media ไหลผ่าน (หรือทั้งสองอย่าง) ซึ่งขึ้นอยู่กับการใช้งานของถังนั้น แต่ที่แน่ ๆ คือส่วน Jacket นั้นมันถอดล้างไม่ได้ มีอะไรสะสมอยู่บนผนังข้างในก็ต้องใช้สารเคมีเข้าไปละลายออกมา
 
ถ้าสงสัยว่าตรงช่อง "Capacity" นั้นเขาหมายถึงปริมาตรภายในทั้งหมดหรือคิดเฉพาะส่วน "TL to TL" ก็ให้เอาค่าระยะ "Shell diameter" กับ "TL to TL" มาคำนวณปริมาณส่วนที่เป็นทรงกระบอกนี้ดู ถ้าพบว่ามันเท่ากับปริมาตรส่วนนี้ก็แสดงว่าค่า "Capacity" นั้นเขาหมายถึงส่วน "TL to TL" แต่ถ้าพบว่าค่าที่คำนวณได้มันต่ำกว่า ก็แสดงว่าตัวเลข "Capacity" นั้นเขาน่าจะหมายถึงปริมาตรทั้งหมด
 
ช่อง "Pressure (Dsgn/Opr)" คือค่าความดันที่ใช้ในการออกแบบ (Dsgn) และค่าความดันใช้งาน (Opr) และเช่นกันถ้าเป็นถังที่มี Jacket หุ้มก็ต้องระบุค่าความดันของทั้งส่วนภายในถังและส่วนของ Jacket ด้วย
 
ช่อง "Temp (Dsgn/Opr)" คือค่าอุณหภูมิที่ใช้ในการออกแบบ (Dsgn) และค่าอุณหภูมิใช้งาน (Opr) และเช่นกันถ้าเป็นถังที่มี Jacket หุ้มก็ต้องระบุค่าอุณหภูมิของทั้งผนังถังด้านในและส่วนของ Jacket ด้วย

ตารางที่ ๓ ตัวอย่าง Equipment schedule สำหรับ Vessel
"Emergency vacuum design" คือให้ระบุว่าต้องมีการป้องกันการเกิดสุญญากาศกระทันหันหรือไม่ เช่นในขณะใช้งานปรกตินั้นตัว vessel จะทำงานที่ความดันสูงกว่าบรรยากาศ แต่ในบางกรณีอาจเสี่ยงที่จะเกิดสภาวะสุญญากาศขึ้นภายในได้ ทำให้ตัวถังมีโอกาสถูกแรงกดอากาศภายนอกกดให้ถังยุบตัว เช่นในกรณีของหอกลั่นที่สภาวะอุณหภูมิห้อง สารต่าง ๆ ภายในหอกลั่นจะควบแน่นเป็นของเหลว หรือพวก steam drum ที่เมื่อไอน้ำเย็นตัว จะเกิดสุญญากาศภายในถังได้
 
ช่อง "Tray" จะประยุกต์ใช้กับพวกหอชนิด tray (ที่อาจเป็นหอกลั่น (distillation column) หอดูดซึม (absorber) หอชะล้าง (scrubber) ก็ได้) ให้ระบุชนิดของ tray (ช่อง "Type") และ จำนวนและระยะห่างระหว่าง tray (ช่อง "No. & Spacing")
 
ช่อง "Packing Type & Quantity" จะประยุกต์ใช้กับพวก packed column (เช่นกัน ซึ่งอาจเป็นหอกลั่น หอดูดซึม หอชะล้าง ก็ได้) ให้ระบุชนิดของ packing และปริมาณที่บรรจุ
 
ถัดไปคือส่วนของ "Material" หรือวัสดุที่ใช้ขึ้นรูป โดยทั่วไปส่วน Shell และ Head (หรือฝาปิดหัวท้าย) ก็จะเป็นวัสดุชนิดเดียวกันอยู่แล้ว คือต้องทนต่อ fluid ที่บรรจุอยู่ภายในได้ แต่ส่วน Jacket นั้นไม่จำเป็น เช่นในกรณีของ fluid ที่ต้องการความสะอาดสูงหรือมีฤทธิ์กัดกร่อน ก็อาจต้องใช้เหล็กกล้าไร้สนิมขึ้นรูปส่วน Shell และ Head แต่ส่วนของ Jacket ที่ให้ไอน้ำหรือน้ำหล่อเย็นไหลผ่านนั้น อาจใช้เพียงแค่า carbon steel ก็พอ 
  
วัสดุที่ใช้ทำ "Tray or Internal" ที่สัมผัสกับ fluid ภายใน ก็ต้องเหมาะสมกับ fluid นั้นด้วย "Internal" ในที่นี้คืออุปกรณ์อื่นที่ไม่ใช่ tray เช่นอาจเป็น mist eliminator (ดักละอองของเหลวออกจากแก๊สที่ไหลออก) vortex breaker (ทำลายการเกิด vortex เวลาที่สูบของเหลวออกทางด้านล่างของถัง) หรือโครงสร้างใด ๆ ที่มีการติดตั้งภายในถังก็ได้
 
"Corrosion allowance" คือระดับการกัดกร่อนที่ยอมรับได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือยอมให้ผนังบางลงได้เท่าใด การคิด corrosion allowance ตรงนี้เป็นการคิดโดยสมมุติว่าเป็นการกัดกร่อนแบบสม่ำเสมอตลอดทั้งพื้นผิว ไม่ใช่การกัดกร่อนแบบ pitting ที่เกิดขึ้นเป็น "จุด" ที่ทำให้เนื้อโลหะทะลุเป็นรูเล็ก ๆ
"Insulation" คือจำเป็นต้องหุ้มฉนวนหรือไม่ โดยวัตถุประสงค์ของการหุ้มฉนวนนั้นมีทั้ง ป้องกันไม่ให้ความร้อนรั่วไหลออกหรือป้องกันอันตรายจากการสัมผัส ป้องกันไม่ให้ความร้อนรั่วไหลเข้า (เช่นถังเก็บ fluid ที่เย็น) และการป้องกันความร้อนจากแสงอาทิตย์ (เช่นกรณีของถังเก็บสารที่มีจุดเดือดต่ำและตั้งอยู่กลางแจ้ง)
 
"Approx weight" คือน้ำหนักโดยประมาณ ในที่นี้แยกเป็นหนักหนักเปล่า (ช่อง "Empty") และน้ำหนักเมื่อมีน้ำบรรจุเต็ม (ช่อง "Full of water")
 
"Supplier" คือผู้ผลิตถังนั้น 
  
"Remarks" คือหมายเหตุ คือมีอะไรเป็นพิเศษที่ไม่ตรงกับช่องที่มีอยู่ ก็ให้มาเขียนไว้ที่นี่ เช่นมีการติดตั้งใบพัดกวน มีการติดตั้ง heating/cooling coil เป็นต้น

วันพฤหัสบดีที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ทำความรู้จัก Equipment schedule (๑) Compressor และ Pump MO Memoir : Wednesday 6 June 2561


เวลาใครสักคนได้ยินคำว่า "Schedule" เชื่อว่าส่วนใหญ่คงนึกถึงความหมายที่เกี่ยวข้องกับ "เวลา" เช่นกำหนดการต่าง ๆ แต่อันที่จริงคำนี้ยังมีอีกความหมายคือ "รายการ" (รูปที่ ๑) ซึ่งในงานวิศวกรรมก็มีการใช้คำนี้ในความหมายหลังนี้ในคำว่า "Equipment schedule" ซึ่งหมายถึงรายการอุปกรณ์




รูปที่ ๑ ความหมายของคำว่า Schedule ในฐานะที่เป็นคำนาม (จาก Oxford Advanced Learner's Dictionary 4th ed. ฉบับพิมพ์ปีค.ศ. ๑๙๙๑)

Equipment schedule ในที่นี้เป็นรายการอุปกรณ์สำหรับโรงงานหรือหน่วยผลิตหนึ่ง ว่าประกอบด้วยอุปกรณ์อะไรบ้าง จำนวนเท่าใด ทำหน้าที่อะไร โดยมีรายละเอียดกำหนดคร่าว ๆ ซึ่งไม่เหมือนกับ specification ที่เป็นการกำหนดเจาะลึกรายละเอียดตัวอุปกรณ์ว่าแต่ละชิ้นส่วนต้องมีลักษณะเป็นไปตามเงื่อนไขอย่างไรบ้างเพื่อให้ตรงกับการใช้งานจริง
 
ตัวอย่างเช่นในการเลือกซื้อปั๊ม ถ้าเป็น specification ก็จะมีการกำหนดรายละเอียดต่าง ๆ ที่จำเป็น เช่น รูปแบบการทำงาน (centrifugal หรือ reciprocating) วัสดุที่ใช้สร้างชิ้นส่วนต่าง ๆ ระบบป้องกันการรั่วซึม (sealing) ชนิดของอุปกรณ์ขับเคลื่อน (driver) ความเร็วรอบการหมุนของอุปกรณ์ขับเคลื่อน ฯลฯ ดังนั้นปั๊มตัวไหนที่เข้าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ใน specification ก็สามารถนำมาใช้งานได้ แต่พอเป็น schedule ก็อาจมีการระบุในส่วนของ น้ำหนักและ/หรือมิติ (ข้อมูลสำหรับการเคลื่อนย้าย) ผู้ผลิต/ผู้จัดจำหน่าย ที่จะระบุได้หลังจากเลือกซื้อแล้ว หรือจะมองว่า specification นั้นเป็นตัวกำหนดว่าอุปกรณ์แต่ละชิ้นสำหรับแต่ละงานนั้นต้องมีคุณสมบัติอย่างไร Equipment schedule ก็จะเป็นตัวบอกว่าสำหรับแต่ละกระบวนการผลิตนั้นมีอุปกรณ์อะไรอยู่บ้างและเป็นจำนวนเท่าใด และข้อมูลบางอย่างก็อาจปรากฏอยู่ทั้ง specification และ schedule ก็ได้
 
บทความชุดนี้คงมีหลายตอน ในตอนแรกนี้จะขอยกกรณีของ compressor และ pump มาให้ดูเป็น "ตัวอย่าง" ก่อน (ซึ่งแปลว่าสามารถเอาไปดัดแปลงให้เหมาะสมกับงานของแต่ละคนได้)
 
ตารางที่ ๑ เป็นตัวอย่างรายละเอียด Equipment schedule สำหรับ compressor เราลองมาไล่ดูทีละหัวข้อไปเรื่อย ๆ ก็แล้วกัน
 
"Item no." คือรหัสชื่ออุปกรณ์ เช่น C-100, C-212 ที่ปรกติก็จะประกอบด้วยตัวอักษรนำหน้าที่บ่งบอกว่าเป็นอุปกรณ์อะไร และตัวเลขตามหลังที่บ่งบอกว่าใช้กับหน่วยผลิตใด
 
"Service name" คือใช้ทำหน้าที่อะไร เช่นอาจเป็น Recyle gas blower, 2nd stage compressor เป็นต้น
 
"No. required" คือให้บ่งบอกจำนวน เช่นในกรณีที่เป็น compressor ชนิดเดียวกัน ทำหน้าที่เดียวกัน 3 ตัว เช่นสมมุติว่าโรงงานมี compressure อัดอากาศสำหรับใช้งานทั่วไปในโรงงาน (plant air) การตั้งชื่ออุปกรณ์ (Item no.) ก็อาจเป็น C-701A, C-701B และ C-701C แต่การกรอกข้อมูลในส่วนของ Item no. ก็จะเป็น C-701 แต่พอจำนวนจะกรอกเป็น 3
 
"Compressor of Blower" ตรงช่อง Type ให้ระบุว่าเป็น Compressor หรือ Blower ส่วนช่อง Shaft power ก็ให้ระบุกำลังที่ต้องใช้ในการขับเคลื่อน
 
ช่อง "Gas" ให้ระบุชนิดแก๊สและน้ำหนักโมเลกุลของแก๊สที่ทำการอัด (ข้อมูลสำคัญสำหรับการทำงานของทั้ง Blower และ Compressor)
 
"Suction" คือเงื่อนไขแก๊สด้านขาเข้า ว่ามีความดันและอุณหภูมิเท่าใด การระบุความดันตรงนี้ต้องดูด้วยว่าให้ระบุเป็นควานดันเกจ (gauge ที่ย่อว่า g) หรือความดันสัมบูรณ์ (absolute ที่ย่อว่า a)
 
"Discharge" คือเงื่อนไขแก๊สด้านขาออก ว่ามีความดันและอุณหภูมิเท่าใด และเช่นเดียวกันกับด้านขาเข้า การระบุความดันด้านขาออกนี้ต้องดูด้วยว่าให้ระบุเป็นควานดันเกจ (gauge ที่ย่อว่า g) หรือความดันสัมบูรณ์ (absolute ที่ย่อว่า a)
 
"Flow rate" คืออัตราการไหล เนื่องจากแก๊สนั้นปริมาตรเปลี่ยนไปตามอุณหภูมิและความดัน ดังนั้นอัตราการไหลโดยปริมาตรด้านขาเข้าและขาออกจึงแตกต่างกัน แต่อัตราการไหลโดยน้ำหนัก (In weight) จะเท่ากัน และถ้าเป็นการระบุอัตราการไหลโดยปริมาตร (เช่นด้านขาเข้าดังตัวอย่างที่ยกมา) ก็ต้องระบุให้ชัดเจนด้วยว่าอัตราการไหลโดยปริมาตรนั้นเป็นปริมาณ ณ อุณหภูมิและความดันของแก๊สที่ไหลเข้า compressor (At suction (m3/hr)) หรือเป็นค่าที่ปรับแก้มาเป็นค่าที่ Normal Temperature and Pressure (NTP) แล้ว (At NTP (Nm3/hr)) แต่ทั้งนี้ควรต้องมีการตรวจสอบให้ชัดเจนด้วยว่า "NTP" นั้นกำหนดค่าที่ความดันและอุณหภูมิเท่าใด (เพราะมันมีนิยามที่แตกต่างกันอยู่)
 
"Material & Construction" คือให้ระบุชนิดวัสดุที่ใช้ทำตัวอุปกรณ์ เช่นตัวเรือน (Casing) ตัวใบพัด (Impeller) ในกรณีของชนิด centrifugal หรือลูกสูบ (Piston) ในกรณีของชนิด reciprocating ชนิดของวิธีการป้องกันการรั่วซึม (seal) ว่าเป็นชนิดใดเช่น mechanical seal, labyrinth, carbon ring, gland packing เป็นต้น
 
"Driver" หรืออุปกรณ์ขับเคลื่อน ให้ระบุชนิด (Type) เช่นเป็น มอเตอร์ไฟฟ้า ใช้อากาศอัดความดัน ระบบไอน้ำ เครื่องยนต์ดีเซล เป็นต้น กำลังขับเคลื่อน (Output (kW)) และรอบการหมุนของอุปกรณ์ขับเคลื่อน (ในกรณีของพวก centrifugal รอบการหมุนของอุปกรณ์ขับเคลื่อนไม่จำเป็นต้องเท่ากับตัว impeller เพราะอาจมีการใช้สายพานหรือเฟืองทดรอบได้ และในกรณีของชนิด reciprocating นั้นรอบการหมุนของมอเตอร์อาจคงที่ แต่ไปปรับที่ระยะช่วงชักของลูกสูบเพื่อปรับอัตราการไหลได้)
 
"Approx weight" คือน้ำหนักโดยประมาณ ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญสำหรับการขนส่ง ในกรณีของพวกที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าหรือเครื่องยนต์ดีเซล ตัว compressor และอุปกรณ์ขับเคลื่อนก็อาจรวมมาเป็นอุปกรณ์ชิ้นเดียวกันก็ได้
 
"Supplier" คือผู้ผลิตอุปกรณ์ แม้ว่าคำนี้ถ้าแปลออกมามันจะแปลว่าผู้ขายก็ได้ แต่ควรจะบันทึกว่าใครเป็นผู้ที่ผลิตอุปกรณ์นั้นจะดีกว่า เพราะเป็นเรื่องปรกติที่ผู้ขายอุปกรณ์ก็ไม่ได้เป็นผู้ผลิตอุปกรณ์นั้นเสมอไป
 
"Remarks" คือหมายเหตุ คือมีอะไรเป็นพิเศษที่ไม่ตรงกับช่องที่มีอยู่ ก็ให้มาเขียนไว้ที่นี่
 

ตารางที่ ๑ ตัวอย่าง Equipment schedule สำหรับ compressor
 

ตารางที่ ๒ เป็นตัวอย่างรายละเอียด Equipment schedule สำหรับ pump ซึ่งมีบางจุดก็คล้ายกับของ compressor เราลองมาไล่ดูทีละหัวข้อไปเรื่อย ๆ ก็แล้วกัน
 

"Item no." คือรหัสชื่ออุปกรณ์ เช่น P-501, P-701 ที่ปรกติก็จะประกอบด้วยตัวอักษรนำหน้าที่บ่งบอกว่าเป็นอุปกรณ์อะไร และตัวเลขตามหลังที่บ่งบอกว่าใช้กับหน่วยผลิตใด
 

"Service name" คือใช้ทำหน้าที่อะไร เช่นอาจเป็น Reflux pump, Fuel oil feed pump เป็นต้น
 

"No. required" คือให้บ่งบอกจำนวน และเช่นเดียวกันในกรณีของ compressor ถ้าหากมีปั๊มชนิดเดียวกัน ทำหน้าที่เดียวกัน 2 ตัว ซึ่งอันนี้เป็นเรื่องปรกติของปั๊มที่ทำงานต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง ที่ต้องมีตัวสำรองเสมอ การตั้งชื่ออุปกรณ์ (Item no.) ก็อาจเป็น P-501A และ P-501B แต่การกรอกข้อมูลในส่วนของ Item no. ก็จะเป็น P-501 แต่พอจำนวนจะกรอกเป็น 2
 

"Type" คือชนิดของปั๊ม เช่น centrifugal, plunger (ลูกสูบ), diaphragm, gear, rotary ฯลฯ
 

ช่อง "Fluid name" ก็ให้กรอกของเหลวที่ปั๊มสูบ เช่น boiler feed water (BFW), caustic, seal oil ฯลฯ

ถัดไปคือ "Operating condition" หรือสภาวะการทำงานที่ประกอบด้วย อุณหภูมิ (Temperature), อัตราการไหล (Flow rate), ความหนาแน่น (Density), ความหนืด (Viscosity), มีของแข็งแขวนลอยหรือเป็น Slurry หรือไม่, ความดันด้านขาเข้า (Suction pressure) และความดันด้านขาออก (Discharge pressure) ที่เป็นความดันด้านขาออกในขณะทำงานที่สภาวะปรกติ
 

ช่อง "Total head as liquid column" ที่มีหน่วยเป็นระยะทาง (เช่น m ในตัวอย่างที่ยกมา) หมายถึงความดันสูงสุดด้านขาออก (ในกรณีของ centrifugal pump ก็จะเป็นค่าที่เมื่ออัตราการไหลเป็นศูนย์หรือวาล์วด้านขาออกปิด) ว่าเทียบเท่ากับความดันของของเหลวที่สูงกี่เมตร นิยามต้องนี้บางครั้งต้องระวังให้ดี โดยเฉพาะ "ของเหลว" นั้นหมายถึง "น้ำ" หรือของเหลวที่ปั๊มนั้นทำงานด้วยจริง เพราะความหนาแน่นมันต่างกัน และเป็นค่าที่อุณหภูมิเท่าใดด้วย เพราะของเหลวที่ร้อนจะมีความหนาแน่นต่ำกว่าาของเหลวที่เย็นกว่า 
  

ช่อง "NPSH" คือ Net Positive Suction Head นั่นเอง ว่าในระบบนั้นมีให้เท่าใด (AVA - Available) และในการทำงานจริงนั้นปั๊มต้องการเท่าใด (REQD - Required)
 

ช่อง "Design" ตรงนี้เป็นค่าของอุณหภูมิและความดันที่ใช้ในการออกแบบปั๊ม
 

"Material & Construction" เป็นข้อมูลเกี่ยวกับวัสดุที่ใช้ทำและโครงสร้าง (ว่ามีอะไรเป็นพิเศษหรือไม่) เช่นในส่วนของตัวเรือน (casing), ใบพัด (impeller), เพลา (shaft)
 

การป้องกันการรั่วซึมระหว่างเพลากับตัวเรือน (ช่อง "shaft seal") ว่าใช้ระบบใด เช่น double mechanical seal, gland packing เป็นต้น
 

"Flushing" คือการใช้ของเหลว (ที่สะอาด) ชะเข้าไปตรงบริเวณที่ติดตั้ง mechanical seal ซึ่งอาจทำไปเพื่อระบายความร้อน (ด้วยการอัดของเหลวที่เย็นกว่า process fluid เข้าไป) ป้องกันไม่ให้ของแข็งที่มากับ process fluid นั้นเข้ามาสะสมและก่อความเสียหายให้กับ mechanical seal เป็นต้น ของเหลวที่นำมาใช้ในการ flushing นี้อาจมาจากแหล่งภายนอกที่มีระบบจ่ายต่างหาก หรือนำเอา process fluid ด้านขาออก (ที่มีความดันสูง) มากรองเอาของแข็งออกและ/หรือลดอุณหภูมิให้ต่ำลงมาใช้เป็นของเหลวสำหรับ flushing ก็ได้
 

"Insulation" เป็นการถามความต้องการว่าต้องหุ้มฉนวน (ร้อนหรือเย็น) ให้กับตัวปั๊มด้วยหรือไม่
 

ช่อง "Driver : Type & Output" ให้ระบุอุปกรณ์ขับเคลื่อนว่าเป็นอะไร เช่น มอเตอร์ไฟฟ้า ไอน้ำ เครื่องยนต์ดีเซล (เช่นในกรณีของปั๊มน้ำดับเพลิง) และกำลังของหน่วยขับเคลื่อน ตัวปั๊มที่เพลามอเตอร์กับเพลาของ impeller นั้นเป็นคนละท่อนกัน เมื่อได้มาแล้วก็ควรต้องมีการตรวจสอบการเชื่อมต่อตรง coupling ด้วยว่าต่อเพลาไว้ตรงแนวกันหรือไม่
 

"Approx weight" คือน้ำหนักโดยประมาณ 
  

"Supplier" คือผู้ผลิตอุปกรณ์ 
  

"Remarks" คือหมายเหตุ คือมีอะไรเป็นพิเศษที่ไม่ตรงกับช่องที่มีอยู่ ก็ให้มาเขียนไว้ที่นี่



สำหรับตอนที่ ๑ คงจะจบเพียงแค่นี้ก่อน
 

ตารางที่ ๒ ตัวอย่าง Equipment schedule สำหรับ pump