แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ nucleophilic แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ nucleophilic แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2559

ปฏิกิริยา Nucleophilic substitution ของสารประกอบ Organic halides MO Memoir : Wednesday 7 September 2559

ในทางเคมีอินทรีย์นั้น สารประกอบอินทรีย์เฮไลด์ (organic halide) คือสารประกอบที่มีธาตุในหมู่ฮาโลเจนสร้างพันธะเข้ากับอะตอมคาร์บอน ถ้าอะตอมคาร์บอนนั้นไม่ใช่ส่วนหนึ่งของวงแหวนอะโรมาติก สารประกอบนั้นก็จัดว่าในกลุ่มอัลคิลเฮไลด์ (alkyl halide) แต่ถ้าอะตอมคาร์บอนนั้นเป็นส่วนหนึ่งของวงแหวนอะโรมาติก สารประกอบนั้นก็จัดว่าอยู่ในกลุ่มเอริลเฮไลด์ (aryl halide)
 
ในส่วนของอัลคิลเฮไลด์นั้นยังมีการจำแนกออกเป็นชนิดปฐมภูมิ (primary - 1º) ทุติยภูมิ (secondary - 2º) และตติยภูมิ (tertiary - 3º) โดยดูจากอะตอม C ที่มีอะตอมเฮไลด์เกาะอยู่ ว่าอะตอม C นั้นมีพันธะเชื่อมต่อกับอะตอม C ตัวอื่นอีกกี่ตัว ถ้ามีการเชื่อมต่อกับอะตอม C ตัวอื่นเพียงตัวเดียว (ที่เหลืออีก ๒ เป็นอะตอม H) ก็จัดว่าเป็นชนิดปฐมภูมิ ถ้ามีการเชื่อมต่อกับอะตอม C อื่นอีก ๒ ตัว (อีก ๑ เป็นอะตอม H) ก็จัดว่าเป็นชนิดทุติยภูมิ และถ้าอะตอม C นั้นเชื่อมต่อเข้ากับอะตอม C อื่นอีก ๓ ตัว ก็จัดว่าเป็นชนิดตติยภูมิ (รูปที่ ๑)


รูปที่ ๑ ตัวอย่างการจำแนกประเภทของสารประกอบเฮไลด์ออกเป็นชนิด ปฐมภูมิ ทุติยภูมิ และตติยภูมิ ทุกตัวเป็นสารประกอบอัลคิลเฮไดล์ ยกเว้นตัวสุดท้ายที่อะตอม Cl เกาะกับอะตอม C ที่เป็นส่วนหนึ่งของวงแหวนเบนซิน สารประกอบนี้จึงเป็นเอริลเฮไลด์

สารประกอบอินทรีย์เฮไลด์นั้นแทบไม่มีปรากฏในธรรมชาติ (ยกเว้นในสาหร่ายทะลบางชนิด) ดังนั้นถ้าตรวจพบว่ามีสารประกอบอินทรีย์เฮไลด์ในธรรมชาติ ก็เชื่อได้ว่าสารนั้นป็นสารที่มนุษย์สังเคราะห์ขึ้นและมีการรั่วไหลหรือปล่อยออกสู่ธรรมชาติ
 
ในตำราเคมีอินทรีย์นั้น อะตอมฮาโลเจนที่ปรากฏอยู่เป็นประจำของสารประกอบอินทรีย์เฮไลด์คือ คลอรีน (Cl) โบรมีน (Br) และ ไอโอดีน (I) ส่วนฟลูออรีน (F) นั้นแม้ว่าจะเป็นธาตุฮาโลเจนเช่นกัน แต่ก็แทบไม่ได้รับการกล่าวถึงในตำราอินทรีย์เคมี เหตุผลหนึ่งก็เพราะ F มีความว่องไวในการทำปฏิกิริยาสูงมากจนยากต่อการควบคุม (ทำปฏิกิริยาการออกซิไดซ์อย่างแรงกับสารอินทรีย์ต่าง ๆ) ทำให้ไม่ปลอดภัยในการเตรียมสารประกอบฟลูออรีนในระดับห้องปฏิบัติการทั่วไป (ส่งผลให้ยากต่อการศึกษาวิจัย) เรื่องเกี่ยวกับฟลูออรีนนี้เคยเล่าไว้บ้างแล้วใน Memoir ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๙๒ วันจันทร์ที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๒ เรื่อง "ฟลูออรีนหายไปไหน"
 
ประโยชน์หนึ่งของสารประกอบอินทรีย์เฮไลด์คือใช้เป็นสารมัธยันต์ (intermediate) ในการเตรียมสารอื่น ด้วยการแทนที่อะตอม H ด้วยอะตอมฮาโลเจนก่อน จากนั้นจึงค่อยแทนที่อะตอมฮาโลเจนด้วยหมู่ฟังก์ชันหมู่อื่นอีกที วิธีการนี้ใช้ได้ดีกับกรณีของสารประกอบอัลคิลเฮไลด์ เพราะปฏิกิริยาการแทนที่อะตอม H ของอะตอม C ที่ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของวงแหวนเบนซีนด้วยอะตอมฮาโลเจนนั้นเกิดได้ง่าย (การแทนที่อะตอม H ของอะตอม C ที่เป็นส่วนหนึ่งของวงแหวนเบนซีนเกิดได้ยากกว่ามาก อาจต้องใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาช่วย) นอกจากนี้ยังไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดการตัดสายโซ่โมเลกุลสารตั้งต้นให้กลายเป็นโมเลกุลที่เล็กลง (เช่นการออกซิไดซ์อัลเคนด้วยออกซิเจน O2 มักจะมีการตัดสายโซ่โมเลกุลอัลเคนร่วมอยู่ด้วยเสมอเพราะต้องใช้ภาวะการทำปฏิกิริยาที่รุนแรง ในขณะที่การทำปฏิกิริกับ Cl2 หรือ Br2 จะไม่ประสบปัญหาดังกล่าว) นอกจากนี้การที่อะตอมฮาโลเจนนั้นมีขนาดใหญ่ ทำให้พันธะ C-X (เมื่อ X คือ Cl, Br หรือ I) มีความยาวพันธะมาก พันธะจึงไม่แข็งแรง หลุดออกจากกันได้ง่าย และการที่อะตอมฮาโลเจนมีค่า electronegativity สูงกว่าอะตอม C จึงทำให้อะตอม C ที่มีอะตอมฮาโลเจนเกาะอยู่นั้นมีความเป็นขั้วบวก ไอออนที่เป็นลบหรือโมเลกุลที่มีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวจึงสามารถทำปฏิกิริยากับอะตอม C ตัวดังกล่าวได้ง่ายขึ้น
 
ในช่วงแรกนี้จะขอกล่าวถึงการทำปฏิกิริยาของสารประกอบอัลคิลเฮไลด์ก่อน (เมื่อ X = Cl, Br หรือ I)

การเกิดปฏิกิริยาของสารประกอบอัลคิลเฮไลด์นั้นเป็นปฏิกิริยาในรูปแบบ nucleophilic substitution (SN) คือการแทนที่อะตอมฮาโลเจนด้วย nucleophile (ย่อว่า Nu คือสารที่ชอบนิวเคลียส (ประจุบวก, ขั้วบวก) ซึ่งได้แก่ไอออนลบหรืออะตอมที่มีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว โดยในการเกิดปฏิกิริยานั้นอาจเริ่มจาก
 
(ก) การที่โมเลกุลอัลคิลเฮไลด์แตกพันธะ C-X ออกเป็น carbocation กับไอออนลบของฮาโลเจนก่อนที่ Nu จะเข้ามาทำปฏิกิริยากับ carbocation หรือ
 
(ข) การที่ Nu นั้นเข้ามาทำปฏิกิริยาที่อะตอม C ที่มีฮาโลเจนเกาะอยู่โดยตรง โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีการแตกพันธะ C-X ก่อน


รูปที่ ๒ การแตกตัวของสารประกอบอัลคิลเฮไลด์ออกเป็น carbocation และไอออนลบ

การเกิดปฏิกิริยาในรูปแบบ (ก) (รูปที่ ๒) นั้นขึ้นอยู่กับว่า carbocation และไอออนลบของฮาโลเจนที่เกิดขึ้นนั้นมีเสถียรภาพมากน้อยเพียงใด ในส่วนของไอออนลบของฮาโลเจนนั้นเป็นที่ทราบกันทั่วไปว่ามีเสถียรภาพสูง (เห็นได้จากกรดพวก HCl HBr และ HI ที่ต่างเป็นกรดแก่ เพราะไอออนลบ Cl- Br- และ I- นั้นมีความหนาแน่นประจุต่ำ สามารถอยู่ได้ด้วยตัวมันเองได้โดยไม่ดึง H+ กลับเข้าหาตัว) ดังนั้นปฏิกิริยาในรูปแบบนี้จะเกิดได้ง่ายหรือยากนั้นจึงไปขึ้นอยู่กับเสถียรภาพของ carbocation ที่เกิดขึ้น ถ้า carbocation ที่เกิดขึ้นนั้นมีเสถียรภาพสูง มันก็จะสามารถคงอยู่และทำปฏิกิริยากับ Nu ได้ แต่ถ้า carbocation ที่เกิดขึ้นนั้นมีเสถียรภาพต่ำ มันก็จะดึงเอาไอออนลบของฮาโลเจนกลับคืนตัวมันเอง 
  
เนื่องจากเสถียรภาพของ carbocation นั้นเรียงตามลำดับ 3º >> 1º สารประกอบอัลคิลเฮไลด์ชนิด 3º จึงเกิดปฏิกิริยาในรูปแบบนี้ได้ง่ายกว่าชนิด 2º และชนิด 2º ก็เกิดได้ง่ายกว่าชนิด 1º
การเกิดปฏิกิริยาในรูปแบบนี้พบว่าอัตราการเกิดปฏิกิริยาขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของสารอินทรีย์เฮไลด์ที่เป็นสารตั้งต้น ไม่ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของ Nu ที่เข้ามาทำปฏิกิริยา อัตราการเกิดปฏิกิริยาจึงเป็นปฏิกิริยาอันดับหนึ่ง (1st order reaction) หรือเขียนย่อว่า SN1 รูปที่ ๓ ข้างล่างเป็นการเปรียบเทียบอัตราเร็วในการทำปฏิกิริยา nucleophilic substitution ของเมทิลโบรไมด์เทียบกับสารประกอบ 1º 2º และ 3º โบรไมด์


รูปที่ ๓ เปรียบเทียบอัตราเร็วในการทำปฏิกิริยา nucleophilic substitution ของสารประกอบอัลคิลโบรไมด์ชนิดต่าง ๆ

ส่วนการเกิดปฏิกิริยาในรูปแบบ (ข) (รูปที่ ๔) นั้นขึ้นอยู่กับว่า Nu สามารถเข้าถึงอะตอม C ที่มีอะตอมฮาโลเจนเกาะอยู่ได้ง่ายหรือยาก ตรงนี้จะมีเรื่องขนาดของหมู่อื่นที่เกาะอยู่กับอะตอม C ตัวดังกล่าวเข้ามาเกี่ยวข้อง กล่าวคือถ้าหมู่อื่นที่ไม่ใช่อะตอมฮาโลเจนนั้นมีขนาดเล็ก (เช่นเป็นอะตอม H) Nu ก็จะเข้าถึงอะตอม C ตัวดังกล่าวได้ง่าย การเกิดปฏิกิริยาในรูปแบบนี้ก็จะเกิดได้ง่าย แต่ถ้าหมู่อื่นที่มาเกาะกับอะตอม C ตัวดังกล่าวมีขนาดใหญ่หรือเป็นหมู่ที่มีกิ่งก้าน การเกิดปฏิกิริยาในรูปแบบนี้ก็จะเกิดได้ยาก และถ้าตัว Nu เองก็มีขนาดใหญ่ร่วมด้วยแล้ว การเกิดปฏิกิริยารูปแบบนี้ก็อาจจะเกิดไม่ได้เลย


รูปที่ ๔ การเข้าทำปฏิกิริยาที่ตำแหน่งอะตอม C ที่มีความเป็นขั้วบวกของ Nucleophile

เหตุผลที่กล่าวมาข้างต้นเป็นตัวอธิบายว่าทำไมสารประกอบอัลคิลเฮไลด์ชนิด 1º จึงเกิดปฏิกิริยาในรูปแบบนี้ได้ง่ายกว่าชนิด 2º และชนิด 2º ก็เกิดได้ง่ายกว่าชนิด 3º (ลำดับกลับกับรูปแบบ (ก))
จากการที่อัตราการเกิดปฏิกิริยาขึ้นอยู่กับการชนกันระหว่างโมเลกุลสารประกอบอัลคิลเฮไลด์กับ Nu อัตราการเกิดปฏิกิริยาจึงขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของสารตั้งต้นทั้งสอง อัตราการเกิดปฏิกิริยาจึงเป็นปฏิกิริยาอันดับสอง (2nd order reaction) หรือเขียนย่อว่า SN2

เอริลเฮไลด์มีพฤติกรรมที่แตกต่างไปจากอัลคิลเฮไลด์มาก ในขณะที่อัลคิลเฮไลด์เกิดปฏิกิริยา nucleophilic substitution ได้ง่าย เอริลเฮไลด์กลับเกิดปฏิกิริยาดังกล่าวได้ยากมาก ต้องใช้อุณหภูมิและความดันที่สูงช่วยทำให้เกิด สาเหตุก็เพราะอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวของอะตอมฮาโลเจนสามารถเกิด resonance กับ pi elelctron ของวงแหวนเบนซีน ประจุจึงกระจายตัวออกไป และพันธะ C-X ของเอริลเฮไลด์ก็ยังสั้นกว่าพันธะ C-X ของอัลคิลเฮไลด์ แสดงให้เห็นว่าดังกล่าวเป็นพันธะที่ก้ำกึ่งระหว่างพันธะเดี่ยวและพันธะคู่ (รูปที่ ๕)


รูปที่ ๕ การเกิด resonance ของคลอโรเบนซีน

แต่มีการค้นพบว่าถ้าหากสารประกอบอัลคิลเฮไลด์มีหมู่ที่สองที่เป็นหมู่ดึงอิเล็กตรอนออกจากวงแหวน (electron withdrawing group) มาเกาะอยู่ที่ตำแหน่ง ortho หรือ para เมื่อเทียบกับตำแหน่งของอะตอมฮาโลเจน การแทนที่อะตอมฮาโลเจนด้วย Nu จะเกิดได้ง่ายขึ้น ดังตัวอย่างที่แสดงในรูปที่ ๖ ข้างล่าง ตรงนี้ขอให้พึงสังเกตตำแหน่งของประจุลบที่เกิดขึ้นในระหว่างการเกิด resonance ไปรอบวงแหวนเบนซีนในรูปที่ ๕ จะเห็นว่าจะประจุลบจะอยู่ที่ตำแหน่ง ortho หรือ para เมื่อเทียบกับอะตอมฮาโลเจนเช่นกัน การที่มีหมู่ดึงอิเล็กตรอนเข้าไปเกาะที่ตำแหน่งดังกล่าว จึงเป็นเหมือนกับไปรบกวนการเกิด resonance


รูปที่ ๖ ปฏิกิริยา nucleophilic substitution อะตอม Cl ด้วย NH3 จะเกิดได้ง่ายมากขึ้นเมื่อมีหมู่ไนโตร (-NO2) มาเกาะที่ตำแหน่ง ortho และ/หรือ para ถ้ามีหมู่ดึงอิเล็กตรอนมาเกาะที่ตำแหน่งดังกล่าวมากขึ้น การเกิดปฏิกิริยาก็จะเกิดได้ง่ายมากขึ้นตามไปด้วย


- การสังเคราะห์ 1,3,5-Triamine-2,4,6-trinitrobenzene

1,3,5-Triamine-2,4,6-trinitrobenzene เป็นสารประกอบที่จัดอยู่ในกลุ่ม Insensitive High Explosive (IHE) หรือวัตถุระเบิดแรงสูงที่ไม่ว่องไว กล่าวคือเป็นวัตถุระเบิดที่จุดระเบิดได้ยาก ไม่ระเบิดได้ง่ายจากการกระแทกอย่างรุนแรง วัตถุระเบิดดังกล่าวถูกนำไปใช้ในอาวุธบางประเภทที่ต้องการให้หัวรบเจาะเกราะป้องกันเข้าไปให้ได้ก่อน โดยที่หัวรบต้องไม่ระเบิด แล้วค่อยไประเบิดภายใน (เช่นกระสุนปืนใหญ่เจาะเกราะที่เรือรบใช้ในการยิงต่อสู้กับเรือรบด้วยกัน) นอกจากนี้ยังมีการนำไปใช้กับอาวุธบางชนิดที่ต้องการความปลอดภัยสูง ไม่ระเบิดได้ง่ายแม้ว่าจะได้รับแรงกระแทกที่รุนแรง เว้นแต่ว่าจะได้รับการจุดระเบิดด้วยวิธีการที่เหมาะสม ตัวอย่างของอาวุธดังกล่าวได้แก่ระเบิดนิวเคลียร์ที่ทิ้งจากเครื่องบินรบ ที่ต้องการความมั่นใจว่าถ้าหากเกิดอุบัติเหตุใด ๆ ที่ทำให้เครื่องบินบรรทุกระเบิดนิวเคลียร์ดังกล่าวตก ระเบิดนิวเคลียร์จะต้องไม่ระเบิด (ระเบิดนิวเคลียร์นั้นใช้ดินระเบิดสร้าง explosive lens เป็นตัวผลักดันให้เชื้อเพลิงยูเรเนียมหรือพลูโตเนียมที่แยกชิ้นกันอยู่นั้นประกบเข้าด้วยกัน)


รูปที่ ๗ ตัวอย่างเส้นทางที่เป็นไปได้ในการสังเคราะห์ 1,3,5-Triamine-2,4,6-trinitrobenzene

รูปที่ ๗ ข้างบนแสดงตัวอย่างเส้นทางหนึ่งที่เป็นไปได้ในการสังเคราะห์ 1,3,5-Triamine-2,4,6-trinitrobenzene โดยเริ่มจากเบนซีน เริ่มจากปฏิกิริยา nitration เบนซีนให้กลายเป็น nitrobenzene (ใช้ H2SO4 เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา) จากนั้นจึงทำการรีดิวซ์หมู่ -NO2 ให้กลายเป็น -NH2 ก่อนที่จะทำปฏิกิริยา chlorination เหตุผลที่ต้องเปลี่ยนหมู่ -NO2 เป็น -NH2 ก่อนก็เพราะหมู่ -NH2 เป็น ring activating group ที่แรง ทำให้การแทนที่อะตอม H ที่เหลืออยู่ของวงแหวนเกิดได้ง่ายมากขึ้น (ถ้าเป็นโมเลกุลเบนซีนปรกติ การเกิดปฏิกิริยา chlorination จะเกิดได้ยาก) และยังทำให้เกิดการแทนที่ที่ตำแหน่ง ortho และ para 
  
ขั้นตอนถัดไปเป็นการออกซิไดซ์หมู่ -NH2 กลับเป็นหมู่ -NO2 ก่อนทำปฏิกิริยา nitration เพื่อแทนที่อะตอม H ที่เหลือของวงแหวนด้วยหมู่ -NO2 จากนั้นจึงค่อยแทนที่อะตอม Cl ด้วยหมู่ -NH2 (1,3,5-trichloro-2,4,6-trinitrobenzene มีหมู่ -NO2 ซึ่งเป็นหมู่ดึงอิเล็กตรอนอยู่ที่ตำแหน่ง ortho และ para เมื่อเทียบกับตำแหน่งอะตอม Cl) 
  
ที่น่าสนใจก็คือสามารถทำปฏิกิริยา nitration กับ 2,4,6-trichloroaniline ได้โดยตรงหรือไม่ แล้วค่อยออกซิไดซ์หมู่ -NH2 ให้กลายเป็น -NO2 เพราะแม้ว่าปรกติหมู่ -NH2 จะเป็น ortho และ para direction group แต่ในสภาวะของปฏิกิริยา nitration ที่ใช้กรดแก่ในการทำปฏิกิริยาและเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา หมู่ -NH2 จะแสดงฤทธิ์เป็นเบสและรับเอา H+ เข้ามา กลายเป็นหมู่ -NH3+ ซึ่งเป็น electron withdrawing group และเป็น meta directing group ถ้าเป็นเช่นนี้เส้นทางการทำปฏิกิริยาก็จะกลายเป็นการนำเอา 2,4,6-Trichloroaniline มาทำปฏิกิริยา nitration ก่อน จากนั้นจึงค่อยทำการออกซิไดซ์หมู่ -NH2 ให้กลายเป็น NO2 เรื่องการทำปฏิกิริยาของ aniline นี้เคยเล่าไว้ครั้งหนึ่งใน Memoir ปีที่ ๘ ฉบับที่ ๑๐๗๑ วันศุกร์ที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๘ เรื่อง "จาก Alkanes ไปเป็น Aramids"

ปิดท้ายที่ว่างที่เหลือของหน้าด้วยภาพบรรยากาศการทำแลปเคมีของนิสิตวิศวกรรมเคมีปี ๒ เรื่องการไทเทรตกรด-เบสเมื่อบ่ายวันนี้ก็แล้วกันครับ

แหล่งข้อมูลประกอบการเขียน
๑. Robert T. Morrison และ Robert N. Boyd, "Organic chemistry", 3rd ed., Prentice-Hall of India, 1976.
๒. Robert C. Atkins, Francis A. Carey และ Chi Wi Ong, "Organic chemistry : A brief course", McGraw Hill, 2013.
๓. https://en.wikipedia.org/wiki/Insensitive_munition

วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Nucleophile กับ Electrophile MO Memoir : Thursday 11 October 2555

อย่างที่ได้เกริ่นให้นิสิตรหัส ๕๕ บางคนฟังไป (ขาดไป ๒ คน คือไปเตรียมสอบ ๑ คนและเตรียมขึ้นเขียง ๑ คน) เมื่อเช้าวันพุธที่ ๑๐ ที่ผ่านมา ว่างานที่กำลังจะทำต่อไปนั้นจะต้องอาศัยพื้นฐานเรื่องเคมีอินทรีย์เป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงอยากจะขอทบทวนและปรับความเข้าใจในสิ่งที่พวกคุณเรียนมา ผมไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่พวกคุณได้เรียนมานั้นมันผิด เพียงแต่ต้องการให้เปลี่ยนมุมมองจาก "การท่องจำ" มาเป็น "การเข้าใจในหลักการ" เพื่อจะได้มองเห็นภาพการเกิดปฏิกิริยาที่จะทำกันต่อไป (มันไม่มีเนื้อหาในหนังสือ แต่มันใช้หลักการที่มีปรากฏอยู่แล้วในหนังสือ)

เนื้อหาในบันทึกฉบับนี้จะเป็นการขยายความเนื้อหาในข้อ 3. ในหน้าที่ 3 ของบันทึกปีที่ ๒ ฉบับที่ ๖๑ วันพุธ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๒ เรื่อง "การเกิดปฏิกิริยาเคมี" ที่กล่าวถึงเรื่อง ความเป็นขั้ว/ประจุ/ความหนาแน่นของอิเล็กตรอน ซึ่งผมจะค่อย ๆ พยายามปูพื้นไปทีละขั้น โดยจะแยกเขียนเป็นเรื่องสั้น ๆ ไปจนกว่าจะไปถึงงานที่เราจะทำกัน

ในการทำปฏิกิริยาระหว่างโมเลกุลสองโมเลกุลนั้น นอกจากเรื่องตำแหน่งการชนกันแล้วยังมีเรื่องของความหนาแน่นประจุในโครงสร้างของโมเลกุลนั้นด้วย โมเลกุลที่เป็นกลาง (ที่ไม่ใช่ไอออนนั้น) ไม่ได้หมายความว่าอิเล็กตรอนจะกระจายตัวสม่ำเสมอทั่วทั้งโมเลกุล แต่อิเล็กตรอนอาจจะชอบไปอยู่ ณ บางตำแหน่งของโมเลกุลนั้นมากกว่าตำแหน่งอื่น ทำให้บริเวณที่อิเล็กตรอนชอบไปอยู่นั้นมีความเป็นลบ (เป็นขั้วลบ) ส่วนบริเวณที่อิเล็กตรอนไม่ชอบไปอยู่จะมีความเป็นบวก (เป็นขั้วบวก) เรื่องนี้ก็อยู่ในเรื่องพันธะมีขั้ว/ไม่มีขั้ว

ตัวอย่างเช่น carbon dioxide O=C=O หรือ cabon disulfide S=C=S ซึ่งโมเลกุลสารทั้งสองตัวนี้มีประจุเป็นศูนย์ แต่ถ้าดูการกระจายอิเล็กตรอนแล้วจะพบว่าอะตอม O/S จะดึงอิเล็กตรอนออกจากอะตอม C ทำให้ตำแหน่งอะตอม C มีอิเล็กตรอนหนาแน่นต่ำกว่าตำแหน่งอะตอม O/S ตำแหน่งอะตอม C จึงมีความเป็นขั้วบวก ตำแหน่งอะตอม O/S จึงมีความเป็นขั้วลบ

และถ้าเทียบกันระหว่าง O=C=O และ S=C=S แล้ว เนื่องจาก O มีความสามารถในการดึงอิเล็กตรอนได้สูงกว่า S จึงทำให้อะตอม C ของ O=C=O มีความเป็นบวกสูงกว่าอะตอม C ของ S=C=S
อีกตัวอย่างได้แก่กรณีของ formaldehyde H-CO-H กับ phosgene Cl-CO-Cl ซึ่งสารทั้งสองต่างเป็นสารที่มีความว่องไวสูงในการทำปฏิกิริยา

ในกรณีของ H-CO-H นั้นอะตอม C ถูกดึงอิเล็กตรอนด้วยอะตอม O เพียงอะตอมเดียว แต่ในกรณีของ Cl-CO-Cl นั้นอะตอม C ถูกดึงอิเล็กตรอนด้วยอะตอม O หนึ่งอะตอมและอะตอม Cl อีกสองอะตอม จึงทำให้อะตอม C ของ Cl-CO-Cl มีความเป็นบวกที่แรงกว่าอะตอม C ของ H-CO-H

Nulceophile แปลว่าชอบนิวเคลียส หมายถึงหมู่ที่ชอบอะตอมที่มีประจุบวก ซึ่งก็คือพวกมีประจุลบ
Electrophile แปลว่าชอบอิเล็กตรอน หมายถึงหมู่ที่ชอบอะตอมที่มีประจุลบ ซึ่งก็คือพวกที่มีประจุบวก
ถ้าว่ากันตามนี้ หมู่หรืออะตอมที่เป็น nucleophile ก็จะชอบที่ทำปฏิกิริยากับหมู่หรืออะตอมที่เป็น electrophile ส่วนปฏิกิริยาจะมองว่าเป็น nucleophilic substitution หรือ electrophilic substitution ตรงนี้มันขึ้นอยู่กับมุมมองว่าเรามองจากสารตั้งต้นตัวไหนเป็นหลัก

เช่นถ้าเราไปเปิดหนังสือเคมีอินทรีย์ดูในเรื่อง organic halide หรือ aldekyde เราจะพบกับปฏิกิริยา nucleophilic substitution เพราะเขามองจากมุมสารประกอบ organic halide หรือ aldehyde เป็นหลัก ตัวอย่างเช่นสารประกอบ organic halide นั้นอาจทำปฏิกิริยาโดย

(ก) การที่อะตอมเฮไลด์หลุดออกจากโครงสร้าง ทำให้โมเลกุลส่วนที่เหลืออยู่มีประจุบวก หมู่ที่จะเข้ามาแทนที่อะตอมเฮไลด์จึงต้องเป็นพวก nucleophile ซึ่งปฏิกิริยาแบบนี้ในหนังสือจะเรียกว่าเป็นปฏิกิริยาแบบ SN1 (มาจาก 1st order nucleophilic substitution reaction) หรือ

(ข) อะตอม C ที่เกาะกับอะตอมเฮไลด์นั้นมีความเป็นประจุบวก จึงทำให้สามารถสร้างพันธะกับอะตอมที่มีความเป็นลบที่วิ่งเข้าหา จากนั้นจึงปล่อยอะตอมเฮไลด์เดิมออกไป อะตอมที่มีความเป็นลบที่วิ่งเข้าหานี้อาจเป็นไอออนของอะตอมเดียวหรือเป็นอะตอมที่มีความเป็นขั้วลบของโครงสร้างโมเลกุลที่ใหญ่กว่า ปฏิกิริยาแบบนี้ในหนังสือจะเรียกว่าเป็นปฏิกิริยาแบบ SN2 (มาจาก 2nd order nucleophilic substitution reaction)

ในกรณีของ aldehyde ก็จะเป็นตำแหน่งอะตอม C ของหมู่คาร์บอนิล (C=O) ที่มีความเป็นขั้วบวก

แต่ถ้าเราไปเปิดดูบท alkene หรือ aromatic เราจะพบกับปฏิกิริยา electrophilic addition (กรณีของอัลคีน) หรือ electrophilic substitution (กรณีของอะโรมาติก) ทั้งนี้เพราะบริเวณพันธะคู่ C=C ของ alkene (ของ aklyne ก็เช่นเดียวกัน) หรือวงแหวน aromatic นั้นมี πe- อยู่ ทำให้บริเวณนี้มีอิเล็กตรอนหนาแน่นมากกว่าบริเวณอื่น

ดังนั้นปฏิกิริยาบางประเภทเช่นปฏิกิริยาระหว่าง phenol (C6H5-OH) กับ formaldehyde (H-CO-H) ซึ่งเป็นปฏิกิริยาที่ใช้ในการผลิต phenolic resin โดยโมเลกุล formaldehyde จะทำหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมต่อโมเลกุล phenol เข้าด้วยกันนั้น ถ้ามองโดยยึด phenol เป็นหลักก็จะบอกว่าเป็นปฏิกิริยา electrophilic แต่ถ้ามองจาก formaldehyde เป็นหลักก็จะเป็นปฏิกิริยา nucleophilic

จะว่าไปปฏิกิริยาทำนองนี้มันก็ก้ำกึ่งกับการมองในรูปของปฏิกิริยาระหว่างกรด-เบสตามนิยามของ Lewis ตามนิยามของลิวอิสนั้น "กรด" คือสารที่รับคู่อิเล็กตรอน และ "เบส" คือสารที่ให้คู่อิเล็กตรอน โมเลกุล/ไอออนที่มีอะตอมที่มีอิเล็กตรอนคู่โดยเดี่ยว (เช่นอะตอม O ของ OH-) จะจัดให้เป็น Lewis base หรือ nucleophile ก็ได้ ส่วนโมเลกุล/ไอออนที่มี orbital ว่างที่สามารถรับคู่อิเล็กตรอน (เช่นอะตอม Al ของ Al(OH)3) จะจัดให้เป็น Lewis acid หรือ electrophile ก็ได้ ดังนั้นถ้าเรามัวแต่คอยจำว่าปฏิกิริยาว่าปฏิกิริยานั้นปฏิกิริยานี้มันเป็นระหว่าง nucleophile กับ electrophile หรือระหว่างกรด-เบสของลิวอิส เราก็จะมีปัญหาในการระบุว่าปฏิกิริยาที่เราพบเจอแล้วมันไม่มีในหนังสือ จะจัดให้เป็นปฏิกิริยาประเภทไหนระหว่างสองอันนี้ ทั้ง ๆ ที่อันที่จริงมันจะเป็นแบบไหนก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าต้องการพูดในเรื่องอะไร ในบันทึกฉบับที่ ๖๑ ผมถึงได้ให้มองในรูปที่เป็นปฏิกิริยาระหว่างตำแหน่งที่มีอิเล็กตรอนมาก/หนาแน่น กับตำแหน่งอะตอมที่มีความเป็นขั้วบวกโมเลกุล ซึ่งมันจะครอบคลุมปฏิกิริยาระหว่าง nucleophile กับ electrophile และระหว่างกรด-เบสของลิวอิส

แต่ปฏิกิริยาจะเกิดขึ้นที่ตำแหน่งใดนั้นยังมีปัจจัยอื่นที่ต้องพิจารณาอีก ดังเช่นกรณีของ formaldehyde กับ phenol และ phosgene กับ bisphenol

phosgene แตกต่างจาก formaldehyde ตรงที่อะตอม H ทั้งสองอะตอมของ formaldehyde ถูกแทนที่ด้วยอะตอม Cl ส่วน phenol และ ฺBisphenol A นั้นมีตำแหน่งที่สามารถทำปฏิกิริยาได้อยู่สองตำแหน่ง คือตัวหมู่ hydroxyl -OH ที่แสดงฤทธิ์เป็นกรด กับตัววงแหวนเอง

ถ้าเราเอา formaldehyde มาทำปฏิกิริยากับ phenol อะตอม C ของโมเลกุล formaldehye จะเข้าไปดึงอิเล็กตรอนจากวงแหวน สร้างพันธะกับวงแหวนโดยดึงเอาอะตอม H เดิมที่เกาะอยู่ที่วงแหวนออก และทำการเชื่อมโมเลกุล phenol สองโมเลกุลเข้าด้วยกัน โดยโมเลกุล formaldehyde เองจะสูญเสียอะตอม O ซึ่งจะไปจับกับโมเลกุล H ของวงแหวนที่ถูกดึงออกมา กลายเป็นโมเลกุลน้ำ ผลิตภัณฑ์ที่ได้คือ ฺBisphenol F ที่แสดงในรูปที่ ๑ ข้างล่างซึ่งก็คือโมเลกุล phenol สองโมเลกุลที่เชื่อมต่อกันด้วยสะพานหมู่ methylene (CH2)

รูปที่ ๑ โมเลกุล ฺBisphenol F ในกรอบสี่เหลี่ยมสีน้ำเงินคือส่วนที่มาจากโมเลกุล phenol ส่วนในกรอบสี่เหลี่ยมสีแดงคือ methylene bridgeที่มาจากโมเลกุล formaldehyde ที่สูญเสียอะตอม O ไป

Bisphenol A ก็เตรียมจากปฏิกิริยาระหว่าง phenol กับ acetone การเกิดปฏิกิริยาก็เป็นเช่นเดียวกับปฏิกิริยาระหว่าง phenol กับ formaldehyde Bisphenol A นั้นยังมีหมู่ฟังก์ชันที่สามารถทำปฏิกิริยาได้อยู่สองหมู่คือ -OH และตัววงแหวนเอง เมื่อนำ Bisphenol A มาทำปฏิกิริยากับ phosgene ปรากฏว่าแทนที่อะตอม C ของฟอสจีนจะเข้าไปดึงอิเล็กตรอนจากวงแหวนแล้วปล่อยอะตอม O ออก กลับกลายเป็นว่าอะตอม Cl ของ phosgene เองเข้าไปดึงอะตอม H ของหมู่ -OH และหลุดออกไปเป็น HCl ทำให้เกิดเป็นสะพานหมู่ carbonyl (C=O) เชื่อมโมเลกุล Bisphenol A เข้าด้วยกับ (รูปที่ ๒) ปฏิกิริยานี้คือปฏิกิริยาที่ใช้ในการสังเคราะห์ polycarbonate

รูปที่ ๒ ปฏิกิริยาระหว่าง Bisphenol A กับ phosgene (COCl2) ที่อยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมสีน้ำเงินคือส่วนที่มาจากโมเลกุล acetone (H3C-CO-CH3) ที่ทำหน้าที่เชื่อมโมเลกุล phenol สองโมเลกุลเข้าด้วยกันเป็น Bisphenol A ส่วนที่อยู่ในวงกลมสีแดงคือหมู่ carbonyl ที่มาจากโมเลกุล phosgene ที่ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมโมเลกุล Bisphenol A สองโมเลกุลเข้าด้วยกัน (รูปจาก www.en.wikipedia.org)

อนึ่งเมื่อวานเพิ่งจะทราบมาว่าสมาชิกของเราที่กำหนดขึ้นเขียงเมื่อวานถูกเลื่อนกำหนดการไปเป็นสัปดาห์หน้า และมีบางคนยังต้องไปเป็นผู้ใช้แรงงานสร้างฝายชะลอน้ำอีก ดังนั้นที่บอกไว้เมื่อวานว่าจะจัด Workshop ในวันที่ ๑๘ นั้นคงต้องเลื่อนออกไปก่อน โดยอาจเป็นวันจันทร์ที่ ๒๒ ตุลาคม เพราะจะเลื่อนไปจากช่วงนี้คงไม่ได้แล้ว เพราะมันเปิดเทอมแล้ว

หรือว่าไปจัดที่เขาใหญ่ในวันที่ ๒๕-๒๖ ตุลาคมดี เพราะยังไงก็ต้องไปประชุมที่นั่นอยู่แล้ว